แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
กลับมาหาจุดเริ่มต้น
พูดถึงธรรมะกัน ธรรมะคือการเกี่ยวข้องกับการกระทำ เพราะฉะนั้นเราก็เลยมีการพูดถึงสิ่งที่เรากระทำ หรือสิ่งที่เราได้กลับมา การกลับมาคือกลับมาหาความมีสติ มีการกระทำก็ต้องเกี่ยวข้องกับสติ ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจึงเป็นการที่เราจะเริ่มต้น หรือการชำระจิตใจอยู่เสมอ
คือหลักของการปฏิบัติเป็นไปเพื่อการเป็นจิตที่ว่างๆ จิตที่ปลอดจากสิ่งต่างๆ เขาเรียกว่าจิตปกติ เพราะฉะนั้นพอเราพูดถึงการปฏิบัติก็ต้องพูดถึงความเป็น ความเป็นของจิต คือการที่จิตเรากลับมา กลับมาหาความรู้ตัว กลับมาหาสติ
เพราะว่าการที่เรากลับมหาสติ จะเป็นลักษณะทำให้จิตมันว่าง ทำให้จิตมันโล่ง ทำให้จิตมันโปร่งใส เรียกว่าเป็นจิตที่เบิกบาน เพราะว่าไม่มีอะไรมาบดบัง ก็จะทำให้จิตโปร่งใส หรือจิตที่เป็นจิตว่างๆ
หมายถึงว่าการปล่อยวาง หรือการเริ่มต้นใหม่ หรือการชำระจิตให้ขาวรอบ หรือให้เป็นปกติ ต้องเกี่ยวข้องกับความรู้ตัวอยู่แล้ว เพราะถ้าเราจะบอกว่าจิตมันว่าง จิตมันโล่ง ก็ต้องเกี่ยวข้องกับการที่เราสัมผัสความรู้ตัว คือตัวรู้ตัวจะเป็นจิตที่แรกเริ่ม คือจิตที่โปร่งใสอยู่ในตัวของความรู้ตัว
คำว่ารู้ซื่อๆ รู้ตัวก็หมายถึงการรู้ซื่อๆ คือรู้สึกเฉยๆ รู้แบบซื่อๆ ไม่ต้องมีอะไร รู้แล้วก็รู้ รู้เพื่อรู้ รู้เพื่อความเป็นการสัมผัสความรู้
คำว่ารู้ตัวจึงเป็นลักษณะเกิดขึ้น ในขณะกำลัง กำลังเกิด กำลังเป็น กำลังมี การที่เข้าไป “เห็น” หรือเข้าไป “สัมผัส” อาการเช่นนั้นได้ หมายถึงจิตที่มีความเป็นเอกัต หรือเป็นเอกเป็นหนึ่งอยู่ในตัวของมัน ถ้าจิตผ่องใส หรือจิตเบิกบาน หรือจิตรู้ซื่อๆ ได้ เรียกว่าจิตเป็นหนึ่ง ไม่มีสิ่งที่มาบดบัง
เมื่อเราปฏิบัติธรรม เราก็เลยกลับมาหาจุดเริ่มต้น จุดเริ่มต้นของการปฏิบัติคือ การที่เราสัมผัส สัมผัสความรู้ตัว ความรู้สึกความรู้ตัวเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในการชำระจิต เพราะว่ามันเป็นของมัน เหมือนกับว่า เมื่อมีตัวนี้ตัวนี้ก็ไม่มี
ถ้ามีความรู้แบบประจักษ์ หรือแบบรู้ซื่อๆ ได้ มันก็เป็นของมันแบบที่มันเป็นความรู้ซื่อๆ คำว่ารู้ซื่อๆ คือไม่มีสิ่งที่มาบดบัง ไม่มีสิ่งที่มาเคลือบทามาเคลือบอยู่กับสิ่งนั้นๆ
เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติธรรมคือการชำระจิต การภาวนาคือความขยัน หรือความรู้ตัวบ่อยๆ คือรู้ขณะปัจจุบันบ่อยๆ คำว่ารู้บ่อยๆ คือรู้อยู่เสมอ รู้แบบสัมผัสอยู่เสมอ เป็นลักษณะเป็นสิ่งที่เราทำด้วยตัวเรา ด้วยใจเรา ด้วยการสัมผัสรู้ ด้วยตัวเองนั่นแหละ
เพราะฉะนั้นก็ว่ามันเป็นเอง ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเป็นสิ่งนี้ได้ เรียกว่าไม่จำกัด ไม่จำกัดไม่สงวนลิขสิทธิ์ มันเป็นความชอบ หรือความที่มันเป็นโดยธรรม เป็นโดยธรรมชาติ คำว่าความเป็น ความมี
การที่เรามาหาความรู้ อยู่ที่ว่าใครจะรู้ตัว สัมผัสความรู้ตัวได้แบบประจักษ์แค่ไหน หรือการเริ่มต้นใหม่อยู่กับปัจจุบันได้แค่ไหน อยู่ที่สิ่งที่เขาเรียกว่าอุปทาน
อุปทานเป็นสิ่งที่เรียกว่ามาได้หลายๆ ด้าน มาทั้งทางด้านสัญญา มาด้านการปรุงแต่ง มาด้านของความเป็นสัญชาตญาณ หรือความสิ่งที่มันเป็นธรรมชาติ แต่ว่ามันไปบวกกับอุปทาน คือมันมีการปรุงแต่งที่เป็นสิ่งซึ่งเพิ่มให้สิ่งนั้นมันเหนียวแน่น มันติดนาน หรือมันติดลึก หรือมันติดอยู่กับใจของเราไปกับการปรุงแต่ง
ท่านจึงเรียกว่า การที่เราจะชำระหรือขจัดสิ่งต่างๆ ที่เป็นอุปทานออกได้ ก็ต้องอาศัยการกลับมา กลับมารู้ซื่อๆ กลับมารู้ตัว การที่เรากลับมารู้ตัวได้เป็นเอกลักษณ์หรือเป็นสิ่งเฉพาะ ที่เรียกว่าอยู่กับความ “เป็น”
สัมผัสแบบที่มันเป็นการประจักษ์ หรือเป็นเอกัตหรือเป็นหนึ่ง หาความรู้แบบขณะกำลังเคลื่อน หาความรู้แบบขณะกำลังไหว กำลังเป็นปัจจุบัน ก็กลับมาใหม่ ไม่มีสิ่งที่ผิดสิ่งที่อะไรที่จะทำให้เราต้องกังวล เหมือนกับว่าเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
การกลับมาเริ่มต้นใหม่ เป็นการเริ่มต้นที่ความรู้ตัว ที่ความรู้สึก ฉะนั้นความรู้ตัวหรือความรู้สึกที่เรากำลัง เป็น มี มันเป็นลักษณะของการชำระสิ่งที่มันตกค้างก็ได้ สิ่งที่มันติดขัดก็ได้ สิ่งที่มันเปรอะเปื้อนก็ได้ หรือสิ่งที่มันเป็นอุปทาน
เรื่องอุปทานของจิตมันเหนียวแน่น มันละเอียด บางทีมันก็ เห็น รู้ แต่ว่ามันไม่เป็น เห็นว่ามันกำลังไม่ปกติ เห็นว่ามันเป็นสภาวะอาการอย่างนี้ แต่เราจะกลับหรือขจัดมันออก ให้มันหลุดออกจากจิตมันไม่หลุด มันก็ติด มันเป็นยางเหนียว มันเป็นสิ่งที่ติดแล้วยึดมั่น
เขาเรียกว่าอุปทานก็แปลว่าความยึดมั่น หรือมันเหนียวแน่น เห็นอยู่แต่เอาออกไม่ได้ รู้อยู่ว่าโกรธไม่ดีแต่ว่าบางทีก็ออกจากความโกรธไม่ได้ ความหงุดหงิดไม่ดีก็เอาออกไม่ได้ เขาเรียกว่ามัน “เป็น” เพราะฉะนั้นเราจึง “สร้าง”
หน้าที่ของเราคือ การสร้างความสัมผัสกับอาการของความรู้ รู้สึก การที่เราสัมผัสกับความรู้สึกหรือรู้ตัวได้ ก็เป็นเอกลักษณ์หรือเป็นคุณพิเศษ เป็นคุณพิเศษของนักปฏิบัติธรรม ท่านจึงเรียกว่าวิปัสสนา
วิปัสสนาหมายถึง ความเป็นพิเศษที่มันเกิดกับจิต ซึ่งเราจะนึกคิดเอา หรือการที่เราอยากใช้ความเป็นอะไรอย่างอื่นไม่ได้ เรียกว่าจะใช้เป็นสิ่งที่จะไปแลกด้วยค่าจ้างรางวัลสินบน หรือจะเป็นลักษณะไหนก็ไม่ได้ มันต้องเป็นของมันเอง
เมื่อจิตสู่จิต จิตถึงจิต สติรู้สัมผัสกับจิต คำว่าเป็น เป็นของมันเอง หรือมี มีการหลุดออกไป โดยที่เรียกว่าเป็นกุศโลบายมาอยู่กับความรู้ตัว เมื่ออยู่กับความรู้ตัว ตัวที่มันไม่รู้มันก็หาย
เหมือนจุดไฟขึ้น แสงสว่างเกิดขึ้นความมืดก็หาย มันไล่ความมืดไปโดยอัตโนมัติ มันเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติที่มันจะต้องเป็นอย่างนั้น มันจะต้องเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้น
เมื่อเราสัมผัส หรือสิ่งนี้เกิดขึ้นก็จะเป็นลักษณะไปทำให้จิตของเราเป็น เป็นการสัมผัส เป็นการรู้แจ้ง หรือเป็นการประจักษ์แจ้ง หรือเป็นการเห็นตามความเป็นจริง หรือขณะกำลังที่มัน มี เป็น อยู่ขณะนั้นๆ ฉะนั้นเราจึงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
คำว่าความไม่ประมาทคือ ต้องใส่ใจในการสัมผัสความรู้ตัว เราจะไปอะไร เราก็ต้องมีที่กลับ มีที่ตั้งเอาไว้
การกลับมาหาความรู้สึกตัวได้ เป็นคุณพิเศษเลย เขาเรียกว่าเป็นลักษณะความพิเศษเฉพาะผู้ที่กลับมาได้ หรือผู้ที่กลับมาเริ่มต้นได้ หรือผู้ที่กำลังสัมผัสได้ ได้ไว ได้ชัด ได้ประจักษ์ หรือได้แบบโดยตรง เขาเรียกคุณพิเศษของบุคคลนั้นๆ
ที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราต้องได้ฝึก ได้ภาวนา หรือได้เกี่ยวข้องกับความรู้สึก ความรู้ตัวโดยตรง ที่มันจะเป็นลักษณะเข้าไปแนบแน่นอยู่กับจิตเราได้ มันจึงต้องประกอบด้วยสิ่งต่างๆ สิ่งต่างๆ หลายๆ อย่าง เรียกว่ามันเป็นไปเพื่อความรู้พร้อม เป็นธรรมที่พระสุคตประกาศ
มันเป็นมันมีความเกี่ยวข้องหลายอย่าง อย่างเราจะเอาเมล็ดพืชให้มันงอกขึ้นมา ก็ต้องเกี่ยวข้องกับดิน กับความชุ่มชื้น กับความที่มันจะเป็นลักษณะไม่ร้อนไม่แข็งไม่อะไรพวกนั้น มันก็เกี่ยวข้อง จะเติบโตได้มันก็เกี่ยวข้อง
มันมีส่วนประกอบ เหมือนเราจะจุดไฟให้มีแสงสว่างก็ต้องมีประกอบ มีไส้ตะเกียง มีน้ำมัน มีความที่มันจะเป็นวัตถุที่รองรับ ก็ต้องเกี่ยวข้องหมด
เพราะฉะนั้นการที่เราจะเกี่ยวข้องกับจิต ที่มันเป็นจิตรู้ซื่อๆ หรือจิตเป็นเอกัต หรือจิตเป็นหนึ่ง พวกนี้ก็ต้องเกี่ยวข้อง การที่เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องได้ดี คือความรู้ตัวนี่แหละ ความรู้ตัวจะเป็นลักษณะสายตรง เป็นลักษณะที่มันทำหน้าที่แบบเป็นเอกัต หรือเป็นหนึ่ง
ถ้าเรารู้ตัวแบบประจักษ์ หรือแบบสัมผัสรู้ มันเป็นลักษณะความคมชัด ความคมชัดของการรู้สึก จะเหมือนกับว่าสิ่งที่มันขวางกั้น หรือสิ่งที่มันบดบัง หรือสิ่งที่มันติดยึด มันก็จะมีการที่เขาเรียกว่าค่อยๆ เสื่อมสลาย ค่อยๆ ลดน้อยลงไป
ถ้าชำนาญมากขึ้น ก็จะเหมือนกับว่าสับไฟ เป็นลักษณะที่มันว่องไว คำว่ารู้สึก รู้ตัว ก็เป็นความที่มีความละเอียดลึกเข้าไปๆ เหมือนกัน
จากการรู้แบบรู้บ้างไม่รู้บ้าง หรือพยายามใส่ใจในความรู้ ต่อไปจะเป็นการรู้ง่ายขึ้น รู้ไวขึ้น รู้แบบในช่วงที่เราไม่ได้กำหนด หรืออยู่นอกรูปแบบ หรือขณะที่เราทำ สิ่งต่างๆ มันอาจจะผุดขึ้นมาเป็นประจั
กษ์ให้เราได้สัมผัส อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย.