แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การทำงานคือการปฏิบัติธรรม แล้วเราจะเห็นว่าธรรมะนี่แหละคือสิ่งที่อยู่ในชีวิต เราควรจะหายใจธรรมะเข้าออกแล้วชีวิตนี้ก็จะปลอดภัยเพราะจะมีแต่ความเย็น ที่ดิฉันพูดว่าธรรมะคือชีวิตเนี่ยดิฉันพูดหลอกรึเปล่า ถามจริง ๆ เถอะ รู้สึกว่าดิฉันพูดหลอกรึเปล่า ลองนึกใคร่ครวญดูซิว่าธรรมะคือชีวิต ชีวิตคือธรรมะจริงไหม ธรรมะนี้มีความจำเป็นต่อชีวิต ไม่ใช่จะบอกว่าไม่แพ้ลมหายใจ จะบอกว่ายิ่งกว่าลมหายใจเสียอีก ถ้าหากหายใจเข้าออกอย่างร้อนรนแล้วก็อยู่อย่างตายทั้งเป็น การหายใจนั้นดูไม่มีความหมายสักเท่าไรเลย ฉะนั้นธรรมะนี่แหละจะช่วยให้หายใจเย็น จริงหรือไม่จริงก็ลองนึกดูนะคะ นึกดูเอง ฉะนั้นก็ฝึก
การทำงานคือการประพฤติธรรม ทำงานให้สนุกเป็นสุขเมื่อทำงาน นอกจากนี้ก็ธรรมะต่าง ๆ ที่ได้รู้แล้ว ปฏิจจสมุปบาท อริยสัจ 4 เอาไปใคร่ครวญให้มาก ๆ วิชชาก็จะเกิดขึ้นภายในยิ่งขึ้น ๆ นอกจากนั้นวิธีที่จะไปฝึกในชีวิตประจำวันมากที่สุดเนี่ยนะคะ อยากจะขอเสนอแนะให้ทุกท่านลองฝึกเป็นผ้าขี้ริ้ว ฝึกเป็นผ้าขี้ริ้วแทนที่จะเป็นผ้าโพกผม ใคร ๆ ก็อยากเป็นผ้าโพกผมเพราะอะไร ทำไมถึงอยากเป็นผ้าโพกผม ก็โดยสมมติสัจจะถือกันว่าหัวเนี่ยเป็นของสูงใช่ไหมคะ อะไรที่โพกอยู่บนหัวก็ถือว่าเป็นของสูง ถ้าเขายกเราเป็นผ้าคลุมหัวเป็นผ้าโพกผม ภูมิใจ แต่ถ้าเขาบอกว่ายัยเนี่ยเหมือนผ้าขี้ริ้วถึงไหนถึงกันยอมไม่ได้ จึงถ้าผู้ใดฝึกเป็นผ้าขี้ริ้วผู้นั้นจะถึงธรรมได้เร็ว
นั่นก็คือฝึกการลืมตัว ลองดูจริง ๆ เถอะค่ะทุกท่านที่มาในที่นี้เนี่ย มาวันแรก ๆ ก็เครียดไม่สบายอึดอัด พอมาวันที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ที่ 10 ที่ 11 วันนี้เป็นอย่างไร ยังเครียดเหมือนวันแรกไหมคะ ยังอึดอัดยังแน่นเหมือนวันแรกไหม มองดูหน้ากันเองก็ได้ ใครมีกระจกมาด้วยก็ลองไปส่องดู สาวขึ้นหนุ่มขึ้นทั้งนั้นน่ะรู้รึเปล่าคะ ไม่ใช่แกล้งพูดนะเนี่ย มองดูเถอะหนุ่มขึ้นสาวขึ้นทั้งนั้นเลย แจ่มใส เพราะอะไร เพราะพอมาถึงนี่ลืมตัวกันหมดใช่ไหม ลืมว่าตัวเป็นอะไร เป็นอธิการเป็นผู้อำนวยการ เป็น ผ.ศ. หรือว่า ร.ศ. หรือว่าเป็นหมอเป็นแพทย์ เป็นครูเป็นพยาบาล ลืมหมด ตอนแรก ๆ น่ะมี มีมา มาดต่าง ๆ น่ะ ออกมาในมาดต่าง ๆ มองดูท่าเดินมองดูอากัปกิริยาฟังดูวาจาก็รู้ว่านี่มาดของใคร นี่คือภพที่อมเอาไว้รู้รึเปล่าคะ นี่คือภพที่อมเอาไว้โดยอัตโนมัติ แต่เพราะเราไม่เคยศึกษาตัวเรา เราไม่รู้ นี่แหละคือธรรมะในชีวิตประจำวัน แต่พออยู่ไปอยู่ไปอยู่ไปเรามาฝึกปฏิบัติเข้าแล้วเราก็มาฟังธรรมะแม้จะเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่ก็ค่อย ๆ เห็นไปเองทีละน้อย ๆ เมื่อนำมาลองฝึกปฏิบัติความลืมตัวเกิดขึ้น ความเครียดที่เคยมีมามากมายยังเครียดเหมือนวันแรก ๆ ไหมคะถามจริง ๆ ลดลงตามลำดับ นี่แหละคืออานุภาพของพระธรรมหรืออีกนัยหนึ่งคืออานุภาพของความสามารถที่ลืมตัวได้ ลืมตัวในภาษาธรรมคือลืมว่าเราเป็นใครไม่ใช่ลืมตัวในภาษาโลก เพราะฉะนั้นหมั่นฝึกเป็นผ้าขี้ริ้ว
ที่ดิฉันนำคำว่าหมั่นฝึกเป็นผ้าขี้ริ้วเนี่ยเพราะว่าประทับใจในท่านพระสารีบุตร ที่ทุกท่านก็คงทราบว่าท่านเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ได้รับคำยกย่องจากองค์พระพุทธเจ้าว่าเป็นพระอัครสาวกที่มีปรีชาสามารถมาก แม้แต่ว่าจะแสดงธรรมเทศนาท่านก็สรรเสริญว่าสารีบุตรเนี่ยแสดงธรรมได้ไม่แพ้เรา คือถ้าเป็นเราต้องแสดงธรรมในเรื่องนี้เราก็จะพูดอย่างนี้เหมือนกัน นี่คือความยกย่องที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยกย่องสติปัญญาความสามารถความเป็นพระมหาเถระที่น่าเคารพของท่านพระสารีบุตร ก็แน่นอนนะคะท่านเป็นพระอัครสาวก บรรดาพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายก็อยากจะเข้าใกล้อยากจะพูดอยากจะคุยด้วย พระสาวกที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เนี่ย แต่ก็มากมายก่ายกองเป็นหลายร้อยหลายพันท่านก็ไม่อาจจะทักทายได้ทุกองค์ ในคราวหนึ่งที่ท่านมาทูลลาท่านพระสารีบุตรเพื่อจะกลับไปบ้านเนี่ย หลายองค์ก็พากันเข้าไปที่ท่านจะขอเข้าใกล้ แล้วก็มีพระอยู่องค์หนึ่งที่เป็นปุถุชนอยู่เต็มที่ ก็อยากจะให้ท่านพระสารีบุตรหันมาทักมาพูดสักนิดสักหน่อย ท่านก็ไม่มีเวลาคือมาไม่ถึง ไม่ได้ตั้งใจจะเมินเฉยหรือทำไม่รู้จัก และเผอิญขณะที่เดินผ่านไปเนี่ย ชายสังฆาฏิของท่านพระสารีบุตรเนี่ยก็ไปถูกเข้าโดยไม่เจตนา ก็เพราะเข้ามากันชุลมุนเยอะแยะใช่มั้ยคะ พอเดินไปชายผ้าอย่างนี้ก็ไปถูกเข้า พระองค์นั้นก็ถือเป็นเหตุไปกล่าวโทษ ไปทูลกล่าวโทษต่อพระพุทธเจ้า ท่านพระสารีบุตรยังไม่ทันออกไปคือยังไม่พ้นตัว ก็ไปกล่าวโทษว่าท่านพระสารีบุตรเนี่ยมีความเย่อหยิ่งถือตัวเรียกว่าอหังการมมังการ แล้วก็เอาสังฆาฏิเนี่ยมาตีแล้วก็ยังไม่ขอโทษอีกด้วย ซึ่งองค์พระพุทธเจ้าท่านทรงทราบเต็มพระทัยว่าท่านพระสารีบุตรไม่ได้เป็นอย่างนั้นแน่นอน แต่ท่านก็อยากจะให้ท่านพระสารีบุตรเนี่ยได้มากล่าวธรรมกถาเพื่อให้พระภิกษุทั้งหลายเนี่ยได้สำเหนียกว่าสิ่งดีที่ถูกต้องคืออะไร และสิ่งที่ไม่ถูกต้องคืออะไร ท่านก็ให้เรียกให้นิมนต์ท่านพระสารีบุตรกลับมา แล้วท่านก็ถามว่าทำอย่างนี้อย่างนี้จริงไหมตามที่พระภิกษุองค์นั้นกล่าวหา แทนที่ท่านพระสารีบุตรท่านจะทูลตอบว่าข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ทำหรือข้าพระองค์ไม่ได้ทำ ท่านกลับพรรณนาถึงตัวท่านว่าท่านเนี่ยได้พยายามฝึกอบรมตัวท่านเองอย่างไร ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาซึ่งเรียกว่าเป็นที่สองรองจากพระพุทธเจ้า แต่ท่านก็ฝึกตัวท่านเองเนี่ยให้เป็นเสมือนดิน น้ำ ลม ไฟ ดินน้ำลมไฟเป็นอย่างไรคะ เคยสะเทือนไหม ใครเอาขี้หมาทิ้งลงแผ่นดิน แผ่นดินก็เฉย ใครเอาทองคำทิ้งลงแผ่นดิน แผ่นดินก็เฉย
เรียกว่าทั้งบวกทั้งลบไม่กระเทือน เช่นเดียวกับน้ำ อะไรทิ้งลงไปในน้ำ น้ำก็พัดไปเหมือนกัน ทั้งสิ่งงามและไม่งาม ไฟ ใครเอาซากศพโยนลงไปในไฟ ไฟก็ไหม้เท่ากัน เอาดอกกุหลาบดอกบัวโยนลงไปในไฟ ไฟก็ไหม้เท่ากัน หรือลม เมื่อลมพัดมา จะเป็นบ้านใหญ่บ้านเล็กกระท่อมน้อยสัปปะรังเค ถ้าอยู่ในทางของลม ลมก็พัดให้ถูกต้องเท่ากันไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชัง นี่คือท่านบอกว่าท่านฝึกจิตของท่านให้เหมือนมีความหนักแน่นมั่นคงเหมือนแผ่นดินเหมือนน้ำเหมือนลมเหมือนไฟที่ไม่มีอคติต่อผู้ใดเลย มีแต่ความสม่ำเสมอในทุกสรรพสิ่ง เพราะมองเห็นแล้วว่าไม่มีสิ่งใดเป็นตัวเป็นตนให้ยึดมั่นถือมั่นได้เลยสักอย่างเดียว นอกจากนี้ท่านก็ฝึกองค์ท่านเนี่ยให้เหมือนผ้าขี้ริ้ว แต่ท่านเรียกว่าผ้าเช็ดทุลีแต่เมื่อพูดเป็นคำไทยธรรมดาก็คือเป็นผ้าขี้ริ้ว รู้จักผ้าขี้ริ้วแล้วใช่ไหมคะ เลือกผู้เช็ดไหมผ้าขี้ริ้ว ไม่เลือก เท้าจะสะอาดหรือจะสกปรกแค่ไหนไปย่ำขี้โคลนขี้ควายมาเช็ด ผ้าขี้ริ้วเคยร้องไหม เฮ้ย เอาไปสกปรก นี่สกปรกอย่าเข้ามาเช็ดฉัน นั่นเท้านั้นหอมดีขาวดีมาเช็ดฉัน ผ้าขี้ริ้วไม่เคยบอก ยอมรับทุกอย่างเท่าเทียมกันเหมือนกัน นี่คือความต่ำต้อยใช่ไหม ผ้าขี้ริ้วนี้ต่ำต้อยที่สุด ท่านเป็นพระอัครสาวกแต่ท่านฝึกองค์ท่านให้เป็นผู้มีความถ่อมองค์อยู่เสมอ ไม่เคยคิดที่จะเย่อหยิ่งหรือว่าถือดีอวดใหญ่กับผู้ใดเลย จึงหมั่นฝึกให้เป็นผ้าขี้ริ้ว นอกจากนี้ท่านก็ยังพรรณนาไปอีกว่าฝึกให้เหมือนโคเขาขาด โคเขาขาดเป็นอย่างไรคะ อาวุธของโคอยู่ที่ไหน เขา ทำไมปราศจากเขาเสียแล้ว มันก็หมดพิษร้ายที่จะไปทำร้ายใครได้ นี่ท่านฝึกใจของท่านเหมือนโคเขาขาดก็คือไม่มีพิษสงกับผู้ใดเลย หรือเหมือนกับอสรพิษที่ตายแล้ว คืองูนี่ก็ร้ายนักหนาแต่เป็นงูที่ตายแล้วมันก็กัดใครไม่ได้ หรือบางทีก็เหมือนกับคนที่ประคองถ้วยน้ำมัน น้ำมันเนี่ยร้อนนะคะ น้ำมันร้อนน้ำมันเดือดแล้วก็อยู่ในถ้วยแบน ๆ แล้วก็ต้องประคองถือน้ำมันไปอย่างนี้ ถ้าไม่ประคองให้ดีน้ำมันมันไหลเลอะราดมาก็เป็นอย่างไร ร้อนลวกไหม้ ปวดแสบเหลือจะพรรณนาเพราะน้ำมันร้อน นี่คือถ้าผู้ใดจะทำอย่างนี้ได้ต้องเป็นผู้ที่มีอะไรคะ มีสติถึงจะเดินประคองได้อย่างนี้โดยไม่ให้กระฉอก นอกจากนั้นท่านก็เปรียบอีกว่าเปรียบเหมือนกับเดินไปเนี่ยแล้วมีเพชฌฆาตที่ถือดาบพร้อมที่จะฟันลงที่คอนี้ทุกขณะ นี่คือแสดงถึงอะไร ถึงความมีสติอีกเช่นเดียวกัน คือท่านฝึกจิตของท่านให้เป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ต้องมีตัวตนเข้าไปเบียดเบียนทับถมใครใหญ่กว่าใคร พร้อมกับฝึกจิตของท่านให้มีสติอยู่เสมอ ถ้าสรุปรวมก็คือลืมตัว คำทางธรรมภาษาธรรมเดี๋ยวนี้ก็คือลืมตัว เพราะฉะนั้นเนี่ยทุกท่านก็เห็นผลของความลืมตัวแล้วที่เกิดขึ้นแก่ทุกท่าน มีความสดชื่นแจ่มใสผ่องใส่สบายขึ้นเยอะแยะเลย ก็ฝึกต่อไป ไปถึงที่ไหนมีหน้าที่จะทำอะไรก็ทำแต่ไม่ต้องเอาตัวเข้าไปทำ นี่คือความลืมตัว แล้วธรรมะก็จะยังคงอยู่ไม่หายไปไหน ถ้าหากว่าเกิดความสงสัยในธรรมะจะถืออะไรเป็นหลักคะ จะถืออะไรเป็นหลักถ้าเกิดมีวิจิกิจฉาเกิดขึ้น จะถืออะไรเป็นหลัก กาลามสูตร อย่าลืม ถ้าเกิดวิจิกิจฉาว่าอะไรแน่นะ จะเชื่อได้หรือไม่ได้ ควรหรือไม่ควร กาลามสูตร นี่ก็คือสิ่งที่ควรจะนำไปปฏิบัติ
ต่อให้จบนะคะ ขออีกสักห้าหรือสิบนาที ในการปฏิบัติอย่างลัดขณะใคร่ครวญธรรมต้องทำสมาธิให้สงบระงับในระดับใด เพียงการตามลมหายใจในขั้นที่ 3 พอไหมหรือจะต้องสงบจนเป็นเอกัคคตา ถ้าเราจะปฏิบัติอย่างทางลัดนะคะ พอให้สงบลงไม่ต้องถึงเอกัคคตา ถ้าเอกัคคตาจะต้องใช้เวลานั่งสมาธิ ถ้าเราปฏิบัติในกิจวัตรประจำวันได้ทุกวัน เรียกว่าเป็น Meditation in Action แล้วล่ะก็พยายามหาเวลาเท่าที่จะเจียดได้ จะเป็นวันละ 20 นาทีหรือครึ่งชั่วโมง ตอนเช้าหรือตอนกลางคืนที่เรียกว่าร่างกายสบายพร้อมทั้งใจด้วยก็นั่งสมาธิ แล้วจะรู้สึกนะคะว่าจิตมันรวมได้เร็ว และการที่เราฝึกรู้ลมหายใจแล้วก็ใคร่ครวญธรรมอยู่เรื่อยเป็นระยะ ๆ ตลอดเวลาเนี่ยเท่ากับเป็นการเตรียมจิต เตรียมจิตที่จะให้สัมผัสกับความสงบอยู่เรื่อย เพราะฉะนั้นพอนั่งสมาธิเข้าจริง ๆ จิตจะสงบได้เร็ว ลองสังเกตดูสิคะ แต่ถ้าไม่ปฏิบัติเลย เลิกไปตลอดวัน พอถึงเวลากลางคืนหรือตอนเช้าอยากจะนั่งสมาธิ จิตจะรวมได้เลยยาก เพราะฉะนั้นการฝึกปฏิบัติทุกวันนี่ก็เท่ากับว่าเป็นการช่วย ช่วยฝึกให้จิตรวมได้เร็ว
ถ้าจะไปอยู่สวนโมกข์อย่างดิฉันบ้างจะได้ไหม จะต้องเตรียมตัวอย่างไร ต้องมีเงินไว้ใช้จ่ายส่วนตัวเท่าใด ถ้าเป็นผู้หญิงนะคะ ถ้าผู้หญิงที่ต้องการปฏิบัติธรรมจะไปอยู่ที่ไหนก็ต้องสามารถช่วยตัวเองได้ เพื่อจะได้มีเวลาในการปฏิบัติธรรมของตน แต่ว่าอย่าเพิ่งตัดสิน ลองนึกเสียก่อนอย่างที่ดิฉันพูดแล้วว่าเรามีความพร้อมในใจเพียงใดแล้วเราถึงค่อยตัดสิน แต่ส่วนการที่จะไปอยู่สวนโมกข์นั้นก็คงจะรับรองได้ยากเพราะว่าดิฉันก็ไม่ใช่ผู้เป็นเจ้าของสถานที่ และนอกจากนี้ที่สวนโมกข์ก็เป็นวัดเปิด เป็นวัดที่เปิดให้ผู้ที่สนใจในการปฏิบัติธรรมมาได้ทุกวันทุกเวลา จึงเต็มไปด้วยผู้คนที่เข้ามาเพื่อศึกษาปฏิบัติธรรมอยู่เป็นอันมาก แล้วก็ที่พักเฉพาะตัวท่านอาจารย์ท่านก็ไม่ได้จัดกุฏิเอาไว้สำหรับผู้หญิง จะมีแต่กุฏิสำหรับพระซึ่งในเวลาเข้าพรรษานี่พระที่สวนโมกข์มากเลย ถ้าผู้ที่จองต้องการไปอยู่เนี่ย อย่างพรรษาที่แล้วนี่ดูเหมือนจะถึงร้อยซึ่งเกินจำนวนของกุฏิเดี่ยวที่มีอยู่ก็ต้องไปอยู่ในที่รวม ฉะนั้นการที่จะไปที่ไหนนี่เราต้องดูเสียก่อนว่ามีความเหมาะสมแก่สถานะของเราอย่างไรนะคะ แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งเลยค่ะอย่าเพิ่งคิด
นี่ก็ถามถึงว่าที่ได้ไปฝึกปฏิบัติเรื่องที่ให้กำหนดว่าปวดที่ไหน ก็ให้กำหนดว่าปวดหนอปวดหนอแล้วมันก็หายไป นี่ก็เพราจิตที่เป็นสมาธิค่ะ เมื่อเป็นสมาธิเข้ามันก็หายไปเพราะว่าจิตมันมาอยู่กับสิ่งที่เพ่งอยู่ในขณะนั้น แล้วนี่ก็พูดถึงเรื่องการใส่บาตรทางภาคอีสานนี่ก็ เรื่องสกปรกหรือไม่สกปรก ดิฉันคิดว่าคงจะไม่เป็นสิ่งที่ต้องตอบนะคะ ชาวบ้านเขาทำกันอย่างนั้นจนเคยชิน ก็หมดแล้วค่ะคำถาม
ก็คิดว่าเราคงจะจบได้แล้วนะคะ จากการที่ได้อยู่ด้วยกันมาเป็นเวลาสิบวันเต็มไม่นับวันที่หนึ่ง ก็เชื่อว่าทุกท่านก็คงจะได้พบอะไรตามประสบการณ์ของแต่ละท่าน จะมากหรือจะน้อยก็สุดแต่ประสบการณ์ของแต่ละท่านอีกเหมือนกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ดิฉันก็คิดว่าถ้าท่านผู้ใดเห็นประโยชน์แล้วก็คงจะได้พยายามรักษาสิ่งนี้เอาไว้ ถ้าหากว่าท่านผู้ใดรักษาไว้ได้จนรู้สึกว่าชีวิตมีประโยชน์เกิดความเย็น สิ่งนั้นก็เป็นคุณประโยชน์แก่ชีวิตของท่านเอง และเรียกว่าเป็นการแสดงความกตัญญูต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในฐานะที่ท่านได้ให้ธรรมะไว้แก่โลกแล้วก็ใช้ได้ประโยชน์แก่เรา เพราะว่าพระพุทธประสงค์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่มีอะไรอื่น นอกจากพระองค์ปรารถนาที่จะเห็นมนุษย์ทุกคนสามารถอยู่บ้านก็อยู่ได้อย่างเป็นสุข เย็นใจผ่องใส อยู่ที่ทำงานก็อยู่ได้อย่างเป็นสุขมีความสนุกในการทำงาน ไม่รู้สึกว่าที่ทำงานเป็นนรกหรือการทำงานเป็นเครื่องเผา ถ้าผู้ใดสามารถพัฒนาจิตของตนได้อย่างนี้ หรือนิสิตนักศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยยังเป็นลูก ก็สามารถเป็นลูกได้ด้วยความผ่องใส เป็นลูกศิษย์นิสิตได้ด้วยความเยือกเย็นสบายเท่านี้ ถูกต้องตามพระพุทธประสงค์แล้ว แล้วทุกท่านก็ย่อมจะได้รับกุศลแห่งการปฏิบัติถูกต้องตามกำลังแห่งการปฏิบัติของทุกท่านเช่นเดียวกัน และก็หวังว่าคงจะเป็นเช่นนั้นนะคะ สิ่งใดที่พอใจแล้วจงใส่กระเป๋าใส่ใจกลับไปไม่ต้องทิ้งเอาไว้ที่นี่ เพราะว่าที่นี่มีพร้อมที่จะให้แต่ว่าไม่ปรารถนาจะเรียกคืน ก็ขอธรรมะสวัสดีจงมีแด่ทุกท่านนะคะ ก็เชิญไปรับประทานน้ำปานะ แล้วก็หกโมงครึ่งคือสิบแปดครึ่งก็เชิญมาพร้อมกันที่นี่เพื่อที่จะฟังว่าโลกสวยด้วยน้ำใจมีอย่างไร แล้วก็จะได้ฟังทรรศนะจากท่านที่เป็นผู้แทนของเรา แล้วก็เมื่อท่านทำกิจส่วนตัวเสร็จแล้วก็หวังว่าจะใช้เวลาที่เหลืออยู่เนี่ยนะคะ ใช้สถานที่นี้ให้เกิดประโยชน์ จะเดินหรือจะนั่งก็สุดแต่อัธยาศัยให้จิตใจสงบเย็นยิ่งขึ้น