แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หรือ “ตถาตา เช่นนั้นเอง” แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเช่นนั้นเองนี่มันเกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นแล้วจากข้างนอกก็ได้ มันแก้ไขไม่ได้จึงต้องเช่นนั้นเอง แต่ถ้าเกี่ยวกับตัวเราแล้ว ก่อนที่จะเช่นนั้นเองต้องทำให้เต็มที่ก่อน เต็มฝีมือความสามารถอย่างเต็มที่แล้วถึงจะพูดเช่นนั้นเอง ไม่ใช่เอาเช่นนั้นเองมาเพื่อทำให้ตัวเองทำอะไร ๆ ได้อย่างสบายด้วยความประมาท ไม่ใช่อย่างนั้น นอกจากนี้ทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาจะเป็นการทำงานบ้าน จะเป็นการกินอาหาร การอาบน้ำ ซักผ้า เข้าห้องน้ำ การเดินทางไปมหาวิทยาลัย การเดินทางไปทำงาน สภาพที่เกิดขึ้นในห้องเรียนตลอดจนทั้งที่ทำงาน หรือเหตุการณ์สิ่งแวดล้อมตามถนนที่เราพบ ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาถือเป็นบทเรียนการพิจารณาธรรมหมดเลย ทำได้ไหมคะ อย่างน้อย ๆ ให้มองเห็นความเปลี่ยนแปลง อนิจจัง ไม่เที่ยง หรือเป็นบทเรียนในการปฏิบัติธรรมให้ทุกอย่าง นี่คือการดึงใจไม่ให้ห่างออกจากธรรมะ ธรรมะที่รู้สึกว่ากำลังจะพอใจกำลังจะเป็นประโยชน์ ดึงมันเข้ามาให้มันซึมซาบอยู่ในใจยิ่งขึ้นนะคะ เพราะฉะนั้นกิจวัตรส่วนตัวทั้งสิ้นที่เกิดขึ้นพิจารณาธรรม
นอกจากนี้ก็มองดูให้เห็นว่าในร่างกายนี้มันมีการทำหน้าที่อย่างไรที่เราไม่เคยนึกก็เป็นหน้าที่ ดูให้เห็นการทำหน้าที่ของมันอย่างไรตลอดจนกระทั่งงานอดิเรก ท่านผู้ใดมีงานอดิเรกอะไรบ้าง จะเป็นงานอ่านหนังสือ งานเล่นกีฬา หรือว่าดูวิทยุโทรทัศน์ก็แล้วแต่ ดูธรรมะในนั้น อย่างละครต่าง ๆ ที่เขาเอามาเล่นทางโทรทัศน์หรือว่าหนังภาพยนตร์ที่เขาเอามาแสดง เราดูแล้วส่วนมากก็หัวเราะร้องไห้ตื่นเต้นบางทีก็ดุด่าว่าตัวร้ายในเรื่องไป แทนที่จะปล่อยให้อารมณ์ขึ้นลงอย่างนั้น ทำไมไม่มองดูมีธรรมะอะไรในนั้นบ้าง อ่านหนังสือซักเรื่องหนึ่งมีธรรมะอะไรในเรื่องนั้นบ้าง เคยดูอย่างนี้บ้างไหมคะ ถ้าเราดูแล้วเราจะเห็นว่าธีมของละครก็ดี ธีมของหนังก็ดีหรือธีมของหนังสืออ่านเล่นนวนิยายเรื่องสั้นที่พอใจกันนักนี่อะไรเป็นธีมเอกของเรื่อง ท่านที่เป็นนักอ่านหรือนักดูเคยนึกบ้างไหมคะว่าอะไรคือธีมเอกของเรื่อง มันจะเปลี่ยนตัวชื่อตัวละคร เปลี่ยนสถานที่หรือว่าเปลี่ยนวาระ ฉากอะไรก็ตามที อะไรคือธีมเอก ตั้งแต่สมัยก่อนจนสมัยนี้อะไรคือธีมเอก นึกไม่ออกเหรอคะ ถ้าหมดนี่เสียแล้วนักเขียนไม่มีเรื่องเขียน กิเลสใช่รึเปล่า มันก็มีตัวเอกต้องเป็นตัวดี ผู้หญิงก็ต้องดีผู้ชายก็ต้องดีน่ารักมีคุณธรรม เมตตากรุณาเห็นแก่ผู้อื่นรักผู้อื่น แล้วก็ตัวร้ายคือตัวอิจฉา ผู้หญิงบ้างผู้ชายบ้าง เหมือนอย่างน้ำเซาะทรายนั่นน่ะ ใคร ๆ ก็เกลียดนายพงษ์สนิท นี่ก็ไม่ได้ไปดูหรอกนะอ่านผ่านหนังสือพิมพ์ก็มองดู แต่เคยอ่านเรื่องนี้มานานแล้วตั้งแต่ยังอยู่บ้าน แล้วก็ไม่เห็นมันน่าเกลียดเหมือนละครที่เขาเอามาทำเลย เกลียดนายพงษ์สนิทแล้วก็แม่พุดกรอง ที่จริงในเรื่องของแม่พุดกรอง แม่พุดกรองเขาก็มีอะไรน่ารัก แต่ในละครนี่มาทำซะน่าเกลียด เกลียดทำไม แทนที่จะเกลียด ทำไมไม่หัดวางใจเป็นกลาง อ๋อ นี่ธีมเป็นอย่างนี้เพราะอะไร เพราะอะไร
ลองดูอิทัปปัจจยตาศึกษาอิทัปปัจจยตาของตัวละครเหล่านี้ พบบ้างไหมคะอิทัปปัจจยตาของตัวละครเหล่านี้ พบไหมคะ อ้าว แม่พุดกรองก็ดีนายพงษ์สนิทก็ดี เพราะอะไร อะไรครอบงำจิต อวิชชาครอบงำจิตเต็มที่โดยเฉพาะนายพงษ์สนิท เราไม่ค่อยพบหรอกนะ มีบางท่านบอกว่า โอ้ย ผู้หญิงนี่ขี้อิจฉาแต่ดูจากเรื่องนี้ใครขี้อิจฉามากกว่ากัน ไม่เคยพบผู้ชายอะไรขี้อิจฉาแบบอย่างนายพงษ์สนิท ขี้อิจฉาอยากคิดจะทำลายทุกอย่างทุกประการในเรื่องน้ำเซาะทราย นี่เพราะอวิชชานี่เต็มอยู่ในหัวใจ มันจึงเต็มไปด้วยความโลภความโกรธความหลง จะเอาให้ได้อย่างใจ พอเราเอาอิทัปปัจจยตาเข้าไปจับ โธ่เอ๊ย น่าสมเพชน่าสงสาร พุดกรองก็เช่นเดียวกัน นี่หันมาดูวรรณนรี ทำไมวรรณนรีจึงเป็นอย่างนั้น ทำไมถึงให้โอกาสภีมกับพุดกรองเกิดกรณีอย่างนั้นขึ้น เพราะอะไร ก็เพราะความสุดโต่งของตัว ตัวเป็นผู้หญิงที่มีครอบครัวแล้ว ถึงแม้จะเป็นอาจารย์ใหญ่มาทำงานแต่หน้าที่ที่ต้องพึงมีต่อครอบครัวไม่ทำให้มันสมดุลกัน เพราะฉะนั้นผู้ชายที่ไหนเขาจะทนได้เขาก็ต้องดิ้นรนบ้าง นี่ก็คือความเห็นแก่ตัวของวรรณนรีในอีกรูปแบบหนึ่งถึงแม้จะว่าเป็นคนทำงานทำการดีก็ตาม แต่นี่หน้าที่อีกหน้าที่หนึ่งไม่ได้ทำหน้าที่ของภรรยาหรือของแม่อย่างถูกต้อง มันจึงเกิดขึ้นอย่างนี้ นี่ถ้าเราดูทุกอย่างนะที่ผ่านมาให้เป็นบทเรียนในการปฏิบัติธรรม ธรรมะมันจะแจ่มแจ้งขึ้นไหม แล้วแทนที่จะไปร้องไห้ด่าว่าเกลียดชัง จนเดี๋ยวนี้ข่าวหนังสือพิมพ์ถ้ามีอะไรที่ภรรยาไปจัดการกับสามี เขาบอกนี่คดีน้ำเซาะทรายเกิดขึ้นอีกแล้ว เขาพาดหัวอย่างนี้เลย สองสามวันนี่บอกว่าคดีน้ำเซาะทราย เพราะว่าสามีไปชอบผู้หญิงอื่นภรรยาเอกก็ทนไม่ได้ก็จัดการซะเลย นี่คดีน้ำเซาะทรายเขาจะใช้อย่างนี้ นี่ก็เพราะว่าคนติดแต่ว่าติดอย่างลุ่มหลง คนที่มีปฏิกิริยาอย่างนั้นก็คือคนที่มีอะไรเหมือนกัน อวิชชาเหมือนกัน อวิชชากับอวิชชามันก็เลยร้อนด้วยกันทั้งสองฝ่าย ทีนี้เราได้ศึกษาเล่าเรียนธรรมะแล้วฝึกปฏิบัติธรรมมาบ้างแล้ว ทำไมเราไม่เอาธรรมะเข้ามาดูให้มันเกิดประโยชน์แก่จิตใจของเรา นี่ล่ะค่ะเป็นวิธีที่จะเอาไปใช้ในกิจวัตรประจำวันได้ตลอดจนกระทั่งงานอดิเรกทั้งหลาย ดูไตรลักษณ์ ดูอิทัปปัจจยตา ดูความเป็นเช่นนั้นเองของมัน แล้วจิตก็จะค่อยสบายขึ้น
นอกจากนี้วิธีที่จะใช้ในกิจวัตรประจำวันนะคะ พอจะทำงานอะไรหรือจะเข้าห้องประชุม หรือจะไปสัมภาษณ์เมื่อเวลาไปสมัครงาน หรือจะไปพบใครที่เป็นคนสำคัญก็ตาม พอใจเต้นขึ้นมาล่ะทำยังไงเสียก่อน รู้ลมหายใจเสียก่อน รู้ลมหายใจก่อนเสมอ พอจะเข้าสัมภาษณ์นี่ยืนรู้ลมหายใจ ขามันยังสั่นอย่าเพิ่งก้าวเข้าห้องสัมภาษณ์ รู้ลมหายใจจนใจมันเย็นมันสงบ สามารถจะก้าวนำไปได้อย่างมั่นคงยิ้มแย้มแจ่มใส นี่คือการใช้ในชีวิตประจำวันหรือเวลาอภิปรายในที่ประชุมที่สัมมนา มันทนไม่ได้กับความคิดเห็นของนายคนนั้น ก่อนที่ถึงคราวเราอภิปรายอยู่กับลมหายใจสักกครู่จนใจสงบ ก็จะพูดจาได้คมคายน่าฟังชัดเจนตรงจุด เป็นที่รับรองของผู้ร่วมเข้าประชุมแทนที่จะอภิปรายด้วยอารมณ์ออกไป เห็นไหมคะ ลองใช้มันในทุกกรณี แต่การที่จะทำอย่างนี้ได้คือพยายามกลับมารู้ลมหายใจให้ติดต่อเนื่องกันให้มากที่สุดจนจะสามารถทำได้ นอกจากนี้ทำใจให้รู้สึกว่าการทำงานคือการประพฤติธรรม ผู้ที่บ่นว่าเบื่องานไม่อยากอยู่ ให้เห็นว่าการทำงานคือ การประพฤติธรรม การทำงานให้สนุกเป็นสุขในการทำงานอย่างที่คุณชีศันสนีย์ได้นำบทธรรมเกี่ยวกับเรื่องการทำงานมาอ่านให้ฟังแล้วใช่ไหมคะ นั่นแหล่ะค่ะทำให้ได้อย่างนั้น