แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ธรรมสวัสดีค่ะ เบื่อเรื่องความเห็นแก่ตัวแล้วยังคะ รู้สึกจะเบื่อไม่ได้ คิดว่าเราคงจะยังเบื่อเรื่องนี้ไม่ได้ แล้วถ้าจะนึกเวลานาที ถ้าจะพูดว่าใครต้องการจะศึกษาพระพุทธศาสนา ก็จงศึกษาลงไปที่เรื่องของความเห็นแก่ตัว ถ้าศึกษาเรื่องของ ความเห็นแก่ตัวจนเจนจบเมื่อไหร่ สว่างแจ้ง อาจจะพูดได้ว่าจบการศึกษาพระพุทธศาสนา
เรื่องของความเห็นแก่ตัวนี่แหละ เป็นเรื่องของพระพุทธศาสนา เพราะว่าในพระพุทธศาสนาเรา เรามีพูดกันถึงเรื่องของ “อัตตา” และ “อนัตตา” พระพุทธเจ้าท่านรับสั่งถึงเรื่องของ อัตตา แต่ทว่าอัตตานี่ท่านบอกให้รู้ว่ามันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่นของจิตที่ถูกครอบงำด้วย อวิชชา และก็ถ้าจะไปนึกอยู่แต่เพียง อัตตาแล้วล่ะก็ จิตนี้จะต้องมีแต่ความทุกข์เดือดร้อนเพราะความเห็นแก่ตน ท่านจึงได้สอนถึงเรื่องของ “อนัตตา” ลงไปให้ชัดถึงว่า อัตตานี้หาใช่ตัวใช่ตนไม่
ต้องศึกษาไปจนเห็น อนัตตา ถ้าเห็นชัดเมื่อใดก็จะแจ้งในความเห็นแก่ตัวว่ามันมีจริงหรือไม่
ผู้ดำเนินรายการ: เรื่องนี้เราลงกันไปไม่ถึง
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ค่ะ เราลงไปกันน้อยในเรื่องนี้ ก็เพราะว่ากลัว กลัวอะไรรู้ไหม กลัวจะเสียความเห็นแก่ตัว เสียดาย อยากจะรักษามัน ก็เลยไม่ค่อยจะยอมศึกษา
ผู้ดำเนินรายการ: คุ้นชิน ที่อาจารย์เคยใช้ศัพท์ว่า คุ้นเคยกับตัวเรา
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ก็คุ้นเคยกับความมีตัว คุ้นเคยจนกระทั่งรักมันแล้วก็เลยไม่อยากจะเสียมัน อยากจะเก็บไว้ตลอดเวลา
ผู้ดำเนินรายการ : บางครั้งพยายามทำดูนะครับก็พบว่า บางทีเราก็หลอกตัวเองเหมือนกันในบางช่วงว่าเราไม่เห็นแก่ตัว ถ้ามีโอกาสพิจารณาจิต ก็จะพบว่าจริงๆ แท้จริง คือ ความเห็นแก่ตัว ความที่เราหลอกตัวเองว่าไม่เห็นแก่ตัว เราวางเฉยได้ เราสลัดมันได้ มันชั่วขณะหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่อีก อาจเป็นเพราะว่าเรามีภาพซ้อนอย่างที่ท่านอาจารย์เคยอธิบาย
อุบาสิกา คุณรัญจวน: เป็นเพราะว่าเราไม่ยอมพิจารณาให้มันแจ่มแจ้งจริงๆ เราก็เลยปล่อยให้มันเป็นภาพซ้อน แล้วก็ยอมหลอกตัวเองไปบางครั้ง เพื่อความสุขชั่วครั้งชั่วคราว ซึ่งอันนั้นไม่ใช่ความสุขจริงอย่างที่เราว่ากันมาแล้ว
คราวที่แล้วเราพูดกันถึงว่า ความเห็นแก่ตัวนี่ มันเป็นสิ่งที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้คนเราพยายามทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง วันนี้ผู้ใดมีเรื่องอะไรจะเล่าเกี่ยวกับเรื่องของความเห็นแก่ตัวเพื่ออภิปรายออกเป็นความเห็นแก่ตัวบ้างไหมคะ
...
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ถ้าหากว่าในขณะที่ทำงานไป แล้วก็มีเคสคือมีกรณีเกี่ยวกับปัญหาในเรื่องของจำจะต้องให้การสังคมสงเคราะห์เพิ่มมากขึ้น ก็เรียกว่าเป็นความสำเร็จของงาน บอกว่าเป็นความสำเร็จของงาน อย่างนี้จะถือว่าเป็นความเห็นแก่ตัวหรือไม่ เพราะในการที่มีเคสหรือมีกรณีของปัญหาเกิดขึ้น มันเท่ากับว่าในสังคมนี้มีปัญหาเพิ่มขึ้น และปัญหานี้ไม่ได้ลดลง อย่างนี้ถือว่าเป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัวหรือเปล่า ก็เป็นความเห็นแก่ตัวโดยไม่เจตนา คือเป็นความเห็นแก่ตัวออกมา ทั้งนี้ก็จะถือในแง่ของความสำเร็จ ก็เพราะว่าเราได้รับการศึกษาอบรมมาในสถาบันการศึกษาว่า ความสำเร็จของอาชีพของเราก็คือความสำเร็จในการงาน ถ้าหากว่าในวิชาชีพอย่างอื่นก็อาจจะหมายถึงความสำเร็จในทางผลิตผล เช่นอย่างความสำเร็จของนักธุรกิจ ก็จะต้องมีเงินมากๆ ได้ผลกำไรมาเป็นมหาศาล ถ้าความสำเร็จของนักก่อสร้างต้องมีวัตถุวางมองเห็นกี่ชิ้นๆ ทีนี้ความสำเร็จของนักสังคมสงเคราะห์ นั่นก็คือ สามารถที่จะให้การสังคมสงเคราะห์เพื่อแนะนำแก่กรณีปัญหาต่างๆ และก็เมื่อมามองดูในปีหนึ่งๆ มันมีปัญหาเยอะแยะที่เราได้ช่วยเหลือให้ลุล่วงไปหรือยังกำลังช่วยเหลืออยู่ นี่ก็คิดในแง่ของความสำเร็จของงาน ก็สำเร็จของงาน แต่ถ้าหากว่าจะไปพอใจว่าอันนี้คือความสำเร็จแล้วก็ยินดีอยากที่จะให้มีเคสต่างๆ เกิดขึ้นมากๆ อันนี้ก็เป็นความโลภ เป็นโลภะ โลภะอันนี้ย่อมจะเกิดมาจากความเห็นแก่ตัว เพราะว่าถ้ามีเคสน้อยก็จะเห็นว่านี่ไม่ใช่ความสำเร็จ เพราะงานมันน้อยลงแสดงว่าปัญหามันน้อยลง แต่ทางที่ถูกถ้ามองในมุมกลับก็คือ เมื่อปัญหาน้อยลงก็แสดงว่าคนในสังคมนี้สามารถลดปัญหาของตนลง ปัญหาที่ลดลงได้ ก็ต้องความเห็นแก่ตัวมันลดลงไปด้วย ฉะนั้นที่พูดว่าเรื่องของความเห็นแก่ตัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน นี่มันละเอียดอย่างนี้ ทั้งที่มองดูแล้วก็ต้องเป็นความสำเร็จ
ผู้ดำเนินรายการ: ในทางกลับกันที่ผมได้ยินได้ฟังบ่อยๆ คือไม่ใช่ว่า กรณีของมีงานเยอะเพิ่มขึ้นเป็นความสำเร็จ ในเรื่องของยิ่งได้ทำงานน้อยยิ่งดี ยิ่งสบายเพราะว่างานที่ทำนั้นก็ไม่ใช่ของเราคนเดียว ประเทศไทยไม่ใช่ของเราคนเดียว ทำไมต้องไปทุ่มกับงานให้มาก ส่วนใหญ่คนมักคิดอย่างนั้นมากกว่าอยากได้งานทำเยอะๆ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: คือหมายความว่า ในแง่หนึ่งบางท่านในอาชีพจะเห็นว่า ที่มีงานมากคือความสำเร็จ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะมีบางคนบอกว่า ยิ่งงานน้อยนั่นแหละคือความสำเร็จเพราะว่ามันสบายไม่ต้องทำงานมาก ถ้าจะพูดไปแล้วมันก็เป็นเรื่องของ อยู่บนพื้นฐานของความเห็นแก่ตัว อย่างที่มีงานน้อยนั่นล่ะยิ่งดี ก็เพราะเห็นแก่ตัวเพื่อจะได้สบายๆ เพื่อจะได้ทำงานน้อยนั่นเอง ฉะนั้นเรื่องของความเห็นแก่ตัวนี้มันจึงละเอียดอ่อนเหมือนดั่งที่ว่าแล้ว ก็มองดูเถอะในทุกวงการแหละมันจะต้องมีสอดแทรกในเรื่องของความเห็นแก่ตัวอยู่ ถ้ามิฉะนั้นแล้วล่ะก็ ทุกวงการนี่คนในวงการจะต้องทำงานด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าหากัน ต่างก็พออกพอใจที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แต่นี่เพราะมีความเห็นแก่ตัวอยู่ จึงมีการแก่งแย่งที่อยากจะให้ความสำเร็จนั้นเกิดขึ้นแก่ตนแต่ฝ่ายเดียวให้ได้มากกว่าเขา
ทีนี้เราลองมามองดูกันถึงลักษณะของความเห็นแก่ตัว เมื่อเราพูดถึงเรื่องความเห็นแก่ตัวนี่มันมองไม่เห็น หรือคนส่วนมากไม่ค่อยเห็น เราจะดูลักษณะของความเห็นแก่ตัวนั้นได้อย่างไร ก็อาจจะพูดได้ว่า ลักษณะของความเห็นแก่ตัวที่เกิดขึ้นนี้ มันเกิดขึ้นได้ทั้งภายนอกและภายใน ถ้าภายนอกล่ะก็คนอื่นสังเกตุเห็นง่าย มันมาจากการแสดงออกทางกาย ทางวาจา ใช่ไหมคะ วาจาที่ทิ่มแทงหรือวาจาที่กระทบกระเทียบ ที่จะทำให้เกิดการแตกร้าวบาดหมาง เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น นี่เราก็จะมองเห็นได้ชัดว่าคนที่แสดงวาจาอย่างนั้นน่ะคือเป็นวาจาของความเห็นแก่ตัว หรือการกระทำที่แก่งแย่งเบียดเบียนด้วยประการใดก็ตาม นั่นก็เรียกว่าเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว หรือการกระทำที่ข่มขู่ ทุบตีข่มเหงคนอื่นเขา นี่ก็เห็นแก่ตัว เรียกว่าลักษณะของความเห็นแก่ตัวทางด้านภายนอก อาละวาดภายนอกมันเห็นชัด และคนอื่นเห็นได้ง่าย ตัวเองบางทีก็เห็น ก็เห็นการกระทำอย่างนั้นนี่มันเป็นการเห็นแก่ตัว ลุอำนาจแก่โทสะ ลุอำนาจแก่ความโลภอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงกระทำเช่นนั้น ถ้าไม่หลงตัวจนเกินไป ตัวเองก็จะมองเห็นว่าลักษณะอาละวาดข้างนอกนี่ คือ ความเห็นแก่ตัว แต่ก็มีบางคนเหมือนกันไม่เห็น ไม่เห็นว่าการที่เที่ยวอาละวาดพ่นพิษใส่คนอื่นนี่คือความเห็นแก่ตัว กลับคิดไปว่าเป็นการดี เป็นการสมควร เป็นการใช้อำนาจอย่างเหมาะสม เพื่อให้คนอื่นเกิดความเกรงกลัว จะได้ไม่กระทำอย่างนั้นอีก อันนี้ก็มีเหมือนกัน
แต่มีลักษณะของความเห็นแก่ตัวอีกอย่างหนึ่ง ที่เราเรียกว่ามันละเอียด และก็คนเราไม่ค่อยจะได้สังเกตกัน นั่นก็คือลักษณะของความเห็นแก่ตัวที่มันเกิดอยู่ภายใน มองเห็นไหม ที่เป็นพิษหรือเป็นผลของความเห็นแก่ตัวที่เกิดขึ้นภายใน
นั่นก็คือ ขณะใดที่จิตเต็มไปด้วยความระแวงสงสัย ความวิตกกังวล ความหม่นหมอง ความอาลัยอาวรณ์ ความกลัดกลุ้ม บางทีก็ไม่รู้ว่ากลัดกลุ้มอะไร รู้แต่ว่ากลัดกลุ้ม รู้แต่ว่ามันมัวๆ สลัวๆ แต่อะไรคือสาเหตุ หรือจะเอาอะไรกันแน่กับความกลัดกลุ้มนี่ ก็ไม่สามารถจะบอกได้ นึกไปคิดไปจนกระทั่งนอนไม่หลับ นี่แหละมันมาจากความเห็นแก่ตัว ใช่ไหม ลองนึกดูสิ ใช่ไหม เพราะว่าอะไรล่ะ เพราะหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่แต่ในเรื่องนั้น พอคิดไม่ตกมันก็เกิดความสงสัย เกิดความลังเลเกิดความไม่แน่ใจ เกิดความกลัดกลุ้ม วิตกกังวลไปถึงอนาคต หรือบางทีก็อาลัยอาวรณ์กับอดีตที่ผ่านมาอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วเสร็จแล้ว มันก็มัว ในข้างในมันมัว สลัว เหมือนกับฟ้าหม่นอยู่ตลอดเวลา หรือบางทีก็เหมือนกับฟ้าร้องไห้ แต่จะถามว่าร้องไห้เพราะอะไร ตอบไม่ได้ หาสาเหตุไม่ได้ มันรู้แต่ว่าฉันไม่สบาย ฉันไม่สบายคือไม่สบายข้างใน ใจไม่สบาย ใจไม่เป็นสุขมันหงุดหงิด มันอึดอัด นี่แหละดูลงไปเถอะ เพราะความเห็นแก่ตัว จริงหรือไม่จริง ลองคิดดูนี่คือลักษณะ
ถ้าจะถามว่าความเห็นแก่ตัวเป็นยังไงไม่รู้จัก ก็โปรดดูที่ลักษณะที่มันปรากฏขึ้นซึ่งมันอาจจะปรากฏได้ทั้งข้างนอกและข้างใน ข้างนอกเห็นง่าย คนอื่นเห็นง่าย ตัวเองก็อาจจะเห็นถ้าไม่หลับตาเกินไป แต่ว่าข้างในนี่คนอื่นอาจจะมองไม่เห็น เพราะว่ามองดูว่าข้างนอกก็ดูเรียบร้อยดี พูดจาอะไรก็รู้เรื่องกัน ทำอะไรมองดูมันก็ถูกต้อง แต่ข้างในในขณะนั้นนี่ ที่ข้างนอกมันมองดูถูกต้องเรียบร้อย แต่ข้างในมันไม่เรียบร้อยเลย เหมือนไฟสุมขอน มันรุ่มร้อน เร่าร้อนและก็หนักหน่วงอยู่ตลอดเวลา นี่แหละคือลักษณะของความเห็นแก่ตัว
ฉะนั้นถ้าผู้ใดบอกว่า ไม่รู้ว่าความเห็นแก่ตัวเป็นยังไง ก็โปรดรับทราบไว้ด้วยนี่คือลักษณะ แล้วก็หมั่นศึกษาใคร่ครวญดูข้างใน จับดูอาการว่านี่แหละความเห็นแก่ตัว ถ้าหมั่นศึกษาก็จะรู้ว่าอาการของความเห็นแก่ตัว ความรู้สึกที่เห็นแก่ตัวอย่างนี้เกิดขึ้นมากหรือน้อย ถ้ามองเห็นก็จะค่อยๆ ขัดเกลาได้ เพราะเราจะบอกว่า ไม่ชอบ เราไม่อยากเป็นคนมัวๆ อย่างนี้ เราอยากเป็นคนใสๆ เป็นคนสว่างๆ เราก็จะหยุดเสีย หยุดอะไร หยุดนึก หยุดคิดถึงตัวเอง เริ่มนึกคิดในสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ นึกคิดถึงความรู้สึกเป็นทุกข์ความลำบากของคนอื่นให้มากขึ้น นี่คือการแก้ไขจิตใจอย่างหนึ่ง
...
อุบาสิกา คุณรัญจวน : แน่นอนเลย มาจากความเห็นแก่ตัวแน่นอน ตั้งแต่ผู้ที่นำเชื้อขึ้นมาในทีแรก ก็ต้องมาจากความเห็นแก่ตัว แล้วที่เราเห็นชัดๆ ก็อย่างที่มีข่าวจากหนังสือพิมพ์ที่ว่า คนเอาเข็มฉีดยาไปเที่ยวแทงเขาในศูนย์การค้าอะไรทำนองนั้น นี่ก็เป็นลักษณะของความเห็นแก่ตัวแสดงออกมาจากอาการข้างนอกที่เห็นชัดเลย เพราะว่าอยากจะแก้แค้น อยากจะแก้แค้นว่าทำไมถึงต้องมาเป็นกับฉันด้วยแล้วก็อยากจะให้คนอื่นได้รับรู้ด้วย ได้เป็นด้วย จะได้รู้ว่ามันเป็นยังไง เจ็บปวดยังไงแค่ไหน นี่แหละเป็นลักษณะอาการของความเห็นแก่ตัวที่เห็นชัด และส่วนในใจของเขาไม่ต้องสงสัย เต็มไปด้วยความเร่าร้อนเป็นทุกข์ หม่นหมองขุ่นมัว อยู่ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นเรื่องของความเห็นแก่ตัวที่เกี่ยวกับโรคเอดส์ มองเห็นชัด และนอกจากนั้น คนข้างนอกที่ไม่ได้เป็นโรคเอดส์ ก็ให้ความเห็นอกเห็นใจไม่ได้ ให้ความช่วยเหลือไม่ได้ แทนที่จะเห็นใจกันในความเป็นคนเคราะห์ร้าย คือเป็นผู้ที่ต้องมาประสบกับโรคร้ายที่ขณะนี้ยังไม่มีหนทางรักษา ก็ด้วยความเห็นแก่ตัวจึงมีแต่จะเอาตัวรอด เอาตัวรอดโดยการไม่ยอมเข้าใกล้ ไม่ยอมให้โอกาสไม่ยอมให้ความเมตตากรุณา ไม่ยอมให้ความเห็นใจ ก็เลยทำให้ผู้ที่ตกอยู่ในเคราะห์กรรมอันนี้ ยิ่งมีความรู้สึกร้ายแรง เลวร้ายต่อชะตากรรมของตนมากยิ่งขึ้น ถ้าหากว่าเราเปลี่ยนเสีย จากความเห็นแก่ตัว เอาใจเขามาใส่ใจเรา นึกถึงใจเขาบ้าง ถึงแม้ว่าโรคเขาจะไม่หาย เราก็จะดูว่าในภาวะของเรานี้ที่เรายังไม่ได้เป็นอะไร เป็นคนดีๆ แข็งแรง เราจะช่วยเหลือเขาได้อย่างไร เราจะให้โอกาสเขาได้อย่างไร อย่างน้อยที่สุดก็ให้น้ำใจ เราให้น้ำใจเขา ให้ความเข้าใจให้ความเห็นใจ ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลเท่าที่จะทำได้แล้วเราก็ศึกษาว่า วิธีที่เราจะป้องกันโรคเอดส์ไม่ให้เกิดขึ้นแก่เรา ควรมีวิธีใดบ้าง เมื่อเราศึกษาเข้าใจแล้ว เราก็จะรู้จักถึงระยะขั้นของการเป็นโรคว่าโรคเอดส์นี่ระยะไหนขั้นไหนถึงจะเป็นอันตรายถึงผู้อื่น และอันตรายที่จะเกิดขึ้นนั้นมันเป็นไปในทางใด
ถ้าเรารู้จักแล้วเราก็ป้องกันตัวเรา รักษาตัวเราให้อยู่ในขอบเขตอันนี้ การที่เราจะเกี่ยวข้องหรือให้ความเมตตาแก่ผู้ที่เป็นโรคเอดส์ ก็คงจะไม่เป็นอันตรายมาถึงเรา นี่เพียงแต่ว่าจะสละความเห็นแก่ตัว คือสลัดมันออกไปเสีย ก็จะได้ช่วยมนุษย์อีกจำนวนหนึ่งที่เขาตกอยู่ในความทุกข์ทรมาน ให้ความทุกข์ทรมานความขมขื่นเจ็บปวดของเขาลดน้อยลง เพราะอย่างน้อยเขาก็จะมีความชุ่มชื่นใจว่าอย่างน้อยเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็ยังเห็นใจนะ ยังไม่เห็นว่าเขาเป็นมนุษย์นอกสังคมหรือเป็นมนุษย์ที่ไม่มีใครคบค้า นี่ความเห็นแก่ตัวมันทำให้เราช่วยเหลือกันไม่ได้ มันทำให้เรามีความเมตตากรุณา เห็นอกเห็นใจกันไม่ได้ และนอกจากนั้นคนที่เป็นแล้ว ถ้ามองรู้ว่ามันมาจากเหตุปัจจัยอะไร พยายามแก้ไขระมัดระวังเหตุปัจจัยอันนั้น ความที่จะบรรเทาโรคร้ายให้มันลดลงหรือให้ชะลอช้าลงมันก็มีหนทางที่จะเป็นไปได้ และในขณะเดียวกันนี่ ถ้าหากว่าเอาใจนึกถึงใจของคนอื่นให้มากขึ้น ผู้เป็นโรคเอดส์ก็จะสามารถใช้ระยะเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่นี่นึกดูสิว่า การที่จะตายนี่ ถ้าจะว่าไปแล้วไม่สำคัญเพราะว่าทุกคนต้องตาย แต่เราจะใช้เวลาที่ยังมีชีวิตอยู่นี้อย่างไรมันถึงจะเกิดประโยชน์ที่สุด พูดง่ายๆ คือ มีคุณค่าที่สุดของชีวิต
นี่ถ้าหากเราลดความเห็นแก่ตัว ลืมนึกถึงตัวเองที่จะเอาแต่ใจของเราว่า ให้ฉันหาย ให้คนอื่นรับรองฉัน ให้คนอื่นช่วยเหลือฉัน แทนที่จะนึกอยู่อย่างนี้ เปลี่ยนมานึกเสียใหม่ว่า คนมันเป็นแล้วยังไงก็ต้องตาย แล้วก็ไม่ตายด้วยโรคเอดส์ก็ตายด้วยโรคอื่น ยังไงก็ต้องตาย บางทีคนที่แข็งแรงยังไม่ทันเป็นอะไร มันตายก่อนแล้วก็มี เป็นลมตาย อุบัติเหตุตาย ใช่ไหมคะ
แต่เวลาที่มีชีวิตอยู่เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ จะทำชีวิตเดี๋ยวนี้ขณะนี้ให้เกิดประโยชน์ที่สุดให้มีคุณค่าที่สุดต่อชีวิตได้อย่างไร ตายอย่างไรถึงจะไม่ทรมาน อยู่อย่างไรถึงจะอยู่เย็นเป็นสุข เยือกเย็นผ่องใส และนอกจากนั้นแล้วในเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ ยังสามารถประกอบสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ได้ ให้แก่คนอื่นได้ แหม มันมีความสุขใจแค่ไหน มันจะอิ่มใจจะพอใจ จะรู้สึกว่าเรานี้คุ้มค่าแก่การเกิดมาเป็นมนุษย์ จะเจ็บป่วยเป็นโรคอะไรไม่สำคัญเลย มันสำคัญที่ว่าเราได้ทำประโยชน์อะไรแก่เพื่อนมนุษย์ นี่ถ้าเราละความเห็นแก่ตัวเสีย หรือลดมันให้เหลือน้อยลง นึกถึงตัวเองให้น้อยลง ทุกคนมีโอกาสที่จะทำประโยชน์แก่ตนเองและก็ประโยชน์แก่ผู้อื่น คือประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ได้อย่างเท่าๆ กัน แล้วจะสามารถมีชีวิตได้อย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
พูดถึงเวลาที่เราจะต้องหยุดหายใจ จะหยุดหายใจอย่างภาคภูมิ เพราะรู้แล้วว่าชีวิตนี้คุ้มค่า คุ้มค่าของการมีชีวิตอยู่ จะน้อยจะมาก จะสั้นจะยาว จะได้ใช้ชีวิตนี้อย่างคุ้มค่าของความเป็นมนุษย์ แต่เราเห็นกันได้ยาก ทำได้ยาก เพราะอะไรมันบัง ความเห็นแก่ตัวอย่างเดียวมันมาปิดบังหมด มาปิดบังทำให้ไม่สามารถจะใช้เวลาอันมีค่าที่มีอยู่นี้ให้เกิดประโยชน์ได้ในชีวิตของมนุษย์ เพราะฉะนั้นจงเห็นเถอะว่า ความเลวร้ายของความเห็นแก่ตัวนี่ มันปิดบังหมดทุกอย่าง มันทำให้ชีวิตมีความมืดครึ้ม และผลที่สุดทุกเวลานาทีของชีวิตก็ถูกความเห็นแก่ตัวนี่ กัดเอาๆๆ จนยับเยินชอกช้ำ ถ้าพูดว่าเป็นแผล จะอุปมาเป็นแผล มันพรุนไปหมดแล้วทั้งตัว เลือดมันไหลออกจนหมดสิ้นไม่มีแรงจะยืนแต่ก็ยังไม่เห็น นี่แหละคือความเลวร้ายของความเห็นแก่ตัว ฉะนั้นจงศึกษามันต่อไป ยิ่งศึกษามันเท่าใดจะยิ่งได้กำไรแก่ชีวิตเท่านั้น แล้วก็จะทำให้ชีวิตที่เป็นทุกข์นี้มีความสุขรื่นเริงผ่องใส และเป็นความสุขที่แท้จริง เพราะมันเป็นความสุขที่อยู่เหนืออามิสสินจ้างไม่ตกเป็นเหยื่อของสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น เพราะความเห็นแก่ตัวมันไม่มี มันมีแต่ความเห็นแก่ผู้อื่น ความเห็นแก่ผู้อื่นเกิดแทนความเห็นแก่ตัวเมื่อใด ความสุขเกิดขึ้นเมื่อนั้น ความสุขอยู่แค่เอื้อม อยู่ที่ใจของเรานี่เอง ก็ลองใคร่ครวญดูนะคะ เผื่อจะเกิดประโยชน์แก่ชีวิตของเรา และก็เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ต่อไปอีกด้วย สำหรับวันนี้ก็ธรรมสวัสดีก่อนนะคะ