แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
...ก็ได้รับทำนองนี้ เป็นทุกข์ ทุกข์มากเหลือเกินในการทำงาน เรียกว่าทุกข์จนจะคลั่ง ทุกข์ไหมนายคนนี้ ไม่ทุกข์ เขาไม่มีความทุกข์เลยสักนิดเดียว ทำไมถึงไม่ทุกข์ละคะ ทั้งที่มีรางวัลให้ไหมคะ มีความดีความชอบให้ไหมคะ ไม่มี แต่ทำไมเขาถึงไม่ทุกข์ เพราะเขาไม่หวัง เพราะเขาไม่หวัง เขาทำเพื่อประโยชน์ที่เกิดขึ้นเพราะเขารู้ว่าถ้างานนี้เสร็จเมื่อใด ประโยชน์เกิดขึ้นแน่นอน เกิดขึ้นแก่เพื่อนมนุษย์ เขาจึงก้มหน้าก้มตาทำ และก็เมื่อเวลาที่ลูกชายของขุนนางผู้นั้นมาตาม ถ้าเป็นคนธรรมดาเป็นอย่างไร ตกใจไหมคะ กลัวไหมคะ คิดหนีไหมคะ หรือว่าฆ่ามันเสียก่อนก่อนที่มันจะฆ่าเรา เพราะรู้แล้วนี่ว่านายคนนี้มาเพื่อมาเอาหัวเรา ฆ่ามันเสียก่อนเป็นไร แต่นายคนนี้ไม่เคยคิด ไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย ก้มหน้าก้มตาทำเพื่อให้งานนั้นเสร็จ แล้วก็รักษาสัจจะที่จะให้หัวแก่ตัว ในขณะที่เขาทำนั้น จิตใจเขาก็หนักแน่น พร้อมอยู่ด้วยสติ สมาธิ และปัญญา เพราะฉะนั้นผลที่สุด สิ่งที่เขาได้รับอย่างไม่คาดฝันก็คือได้รับชีวิตที่ยังมีลมหายใจอยู่ ซึ่งอันที่จริงแล้วมันก็ดีหรอกที่ยังมีชีวิตที่จะมีลมหายใจอยู่ เพื่อใช้ชีวิตนี้ให้เกิดคุณค่าต่อไป แต่สิ่งที่เขาได้รับที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่านั้นคืออะไร คะ ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่านั้นคืออะไร คือเกียรติศักดิ์ของความเป็นมนุษย์ใช่ไหมคะ เกียรติศักดิ์ของความเป็นมนุษย์ที่ได้รับการยกย่องนับถือจากคนที่พร้อมที่จะมาประหารชีวิตเขา จะมาตัดหัวเขา แต่กลับยกย่องเรียกเขาว่าเป็นครู เป็นครูอาจารย์ ยอมเป็นศิษย์ เขาได้สอนสักคำหนึ่งไหมคะ นายคนนี้ได้สอนสักคำหนึ่งไหมคะ ไม่ได้สอนอะไรนายหนุ่มน้อยคนนั้นเลยสักคำ แต่ทำไมนายหนุ่มน้อยคนนั้นถึงยอมยกย่องให้เป็นอาจารย์ เขาสอนด้วยอะไร เขาสอนด้วยอะไรคะ สอนด้วยการกระทำ สอนด้วยตัวอย่าง เพราะฉะนั้นการสอนในการศึกษาของเรา ทุกท่านก็ทราบดีแล้ว ทั้งนิสิต นักศึกษาและท่านครูบาอาจารย์ ว่าการสอนที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ได้ผลประทับใจที่สุด ก็คือการสอนด้วยตัวอย่าง ด้วยการกระทำให้เห็นว่าการกระทำที่ถูกต้องเป็นอย่างไร มันอย่างนี้แหละ ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง แล้วศักดิ์ศรี มันคืนมาเอง ความเคารพยกย่องนับถือมันคืนมาเอง ความชื่นใจในความเป็นมนุษย์ มันเกิดเบิกบานขึ้นในใจเอง นี่คือตัวอย่างที่บอกว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาแล้วก็พัฒนาได้ ถ้าจิตนั้นพร้อมที่จะพัฒนา
ฉะนั้นผู้ใดที่จะได้ทำอะไรที่เป็นสิ่งที่รู้สึกอาย รู้สึกเสียใจ เศร้าหมอง ถ้าเป็นชาวพุทธที่ถูกต้อง หรือเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าที่แท้จริง อย่าไปมัวร่ำไรรำพันกับสิ่งที่ล่วงไปแล้ว แต่จงทำสิ่งที่ถูกต้องเดี๋ยวนี้ ทำใหม่เดี๋ยวนี้ สิ่งที่เรารู้แล้วว่าถูกต้อง ที่จะเกิดประโยชน์โดยไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว นี่เรียกว่าเป็นสัมมาทิฐิ หรือมิจฉาทิฐิ สัมมาทิฐิ ในครั้งตอนต้น นายหนุ่มคนนั้นมีมิจฉาทิฐิเพราะถูกยั่วยวน ด้วยจิตที่ยังไม่มั่นคงด้วยสติ สมาธิ ปัญญาก็พ่ายแพ้แก่ตัณหา แก่กิเลส แต่เมื่อเขาตั้งตัวได้ ตั้งตัวได้ ใคร่ครวญ ย้อนดูเข้าไปโดยธรรมชาติ จนกระทั่งเขารู้จักเขาก็เปลี่ยนจากมิจฉาทิฐิ เป็นสัมมาทิฐิจนกระทั่งสามารถชนะ ชนะแม้แต่ศัตรู ศัตรูที่พร้อมจะประหัตประหาร นี่คือตัวอย่างว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา แล้วก็พัฒนาได้ด้วยการศึกษาที่ถูกต้องคือการศึกษาจากข้างใน เพื่อให้สามารถทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างถูกต้อง ถูกต้องโดยธรรมะ คือเพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น นี่คือชีวิตคืออะไร ถ้าถามว่า ชีวิตคืออะไร คำตอบคืออย่างนี้ ถ้าจะย้อนถามซ้ำว่าแล้วเกิดมาทำไม คนบางคนเวลาโกรธชีวิตขึ้นมา เกิดมาทำไมนะ! แล้วก็ไปโทษคุณพ่อคุณแม่ นี่แหละต้นเหตุให้เราเกิดขึ้นมา แล้วก็ไม่เห็นให้เรามีความสุขเลย ใช่ไหมคะ พวกเด็กหนุ่มสาวเขาจะว่า ทำให้เราเกิดขึ้นมา แล้วไม่เห็นเอาความสุขมาให้เราด้วย เอาความทุกข์ เอาปัญหา เอาความจน ความลำบากมาให้เรา นี่ลูกบางคนที่ลืมนึกถึงคุณของพ่อแม่ เป็นไปอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าจะย้อนถามว่า แล้วเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร คำตอบก็คือ เกิดมาเพื่อทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างถูกต้อง
ธรรมชาติบอกเรา สอนเรา ธรรมชาติสร้างกายนี้มาให้เรา อย่างที่บางท่านมาเมื่อวานนี้ แล้วก็ได้ยินคุณรสนาบรรยายเกี่ยวกับชีวิตและสิ่งแวดล้อมแล้วใช่ไหมคะ เธอบรรยายได้ดีมากเลย ชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของธรรมชาติ ชี้ให้เห็นถึงบุญคุณของธรรมชาติที่ได้ให้แก่มนุษย์ กายนี้ให้มาทุกอย่าง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ที่เรามีความเป็นอยู่อย่างสบายแล้วราบรื่น นี่ก็เพราะกายที่ธรรมชาติให้มา แต่ว่ามันยังไม่ราบรื่นทีเดียว เพราะจิตนั้นต้องการการฝึกฝนอบรม ถ้าฝึกฝนอบรมเอามันมาเจียระไนสักหน่อยเท่านั้นนะ มันจะเกิดประโยชน์อย่างเต็มที่เลย กายนี้ธรรมชาติให้มา และก็ชี้ให้เห็นว่า ทุกอย่างนี้มันทำหน้าที่ใช่ไหมคะ โดยเฉพาะท่านที่เป็นหมอเป็นแพทย์จะรู้ดี ตอนเช้าตื่นขึ้น เช้าวันนี้แจ่มใส เพราะอะไร เพราะร่างกายทำหน้าที่ของมันอย่างถูกต้อง ใช่ไหมคะ พอตื่นขึ้น ไปห้องน้ำ พอเข้าห้องน้ำ ร่างกายก็ทำหน้าที่เรียบร้อย ทั้งหนักทั้งเบา สบาย เบาตัว หายอึดอัด ออกมาทำหน้าที่ตามที่ร่างกายบอก คือต้องการอาหารที่จะบำรุงเลี้ยง ก็รับประทานอาหาร พอรับประทานอาหารใส่ปากเข้าไป อวัยวะส่วนต่างๆ ที่ธรรมชาติได้สร้างมาแล้วนี้ ก็ทำหน้าที่บด ทำหน้าที่ย่อย ทำหน้าที่แจกจ่ายสิ่งที่หลังจากที่ได้บดได้ย่อยแล้ว ควรจะเป็นไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ลำไส้ กระเพาะ ตับ ปอด ม้าม หัวใจ ล้วนแล้วแต่ทำหน้าที่อย่างสอดประสานกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นสหกรณ์ นี่ธรรมชาติได้แสดงถึงความเป็นตัวอย่างของการทำหน้าที่โดยไม่เรียกร้อง เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงต้องเลียนแบบของธรรมชาติ ถ้าต้องการให้ชีวิตนี้ไม่มีปัญหา นั่นก็คือ เกิดมาเพื่อฝึกการทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างถูกต้อง ทั้งเพื่อประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น
หน้าที่ของมนุษย์ที่เกิดมา ที่เป็นมนุษย์นะคะ พูดสรุปได้ว่า เพื่อทำโลกนี้ให้งดงามและสมบูรณ์ มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาทำลายโลก โลกอันสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ งดงาม แจ่มใส ทั้งทางบก ทางอากาศ ทางน้ำ ที่ธรรมชาติให้มาไว้ มนุษย์ไม่มีหน้าที่ที่จะมาทำลายบรรยากาศของความสะอาด บริสุทธิ์หมดจด แต่มนุษย์ก็ทำ เพราะไม่ใช่มนุษย์ เป็นเพียงแค่คน จึงได้กระทำอย่างที่เรามองเห็นอยู่ แต่ว่าหน้าที่ของมนุษย์ที่ถูกต้องนั้นเกิดมาเพื่อทำโลกนี้ให้งดงาม ให้สมบูรณ์ ให้เป็นโลกที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วยน้ำใจที่เผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์อย่างปราศจากความเห็นแก่ตัว นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่สังคมไทยเรียกร้อง สังคมไทยปัจจุบันเรียกร้องคือสิ่งที่เรียกว่า “น้ำใจ” ปู่ย่าตาทวดของเราอยู่กันมาอย่างอบอุ่นเป็นสุข เพราะเราร่ำรวยน้ำใจ เราไม่ร่ำรวยเงินทองหรอก และมิหนำซ้ำบางประเทศเขายังมาเรียกประเทศเราว่าเป็นประเทศที่ด้อยพัฒนา เขาตีราคาตรงไหนว่าประเทศไทยด้อยพัฒนา เพราะไม่มีมหาวิทยาลัยมาก ไม่มีตึกสูงๆ หลายสิบชั้น ไม่มีถนนหนทางที่ก่ายกันไปก่ายกันมาเหมือนอย่างที่กำลังเริ่มสร้างในปัจจุบันนี้ และก็ไม่ร่ำรวยเงินทองมากมาย เขาก็บอกว่าประเทศอย่างนี้ด้อยพัฒนา แต่ความเป็นจริงแล้วด้อยพัฒนาหรือเปล่าคะในความรู้สึกของเรา อย่างไม่เห็นแก่ตัว พูดอย่างตรงไปตรงมารู้สึกว่าเราด้อยพัฒนาไหมคะ ประเทศไทยด้อยพัฒนาไหม คนไทยด้อยพัฒนาไหม ไม่เลย คนไทยเราแต่โบราณกาลนะคะ ต้องบอกว่าเป็นประเทศของคนที่มีจิตอันเจริญแล้ว นี่ไม่ใช่การยกย่องเกินไปเลย มีจิตอันเจริญแล้ว เจริญแล้วอย่างไร ก็ด้วยการเผื่อแผ่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เรามีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แล้วก็เดี๋ยวนี้ก็ยังมีคำยืนยันที่พวกคนตะวันตกที่ร่ำรวย เป็นประเทศที่เจริญแล้วอารยธรรมสูงกำลังวิ่งกลับมาหาธรรมชาติ วิ่งกลับมาหาธรรมชาติทั้งๆ ที่มีพร้อมทั้งการศึกษา การเศรษฐกิจก็สูง ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็สูง แต่ก็กลับวิ่งมาหาธรรมชาติ เพราะฉะนั้นนี่เป็นสิ่งที่แสดงว่า ความเจริญที่แท้จริง หาได้อยู่ที่สิ่งอุปกรณ์ข้างนอกไม่ มันอยู่ที่เรื่องของใจ ความเจริญที่ใจ ใจที่ไม่เห็นแก่ตัว นี่เป็นหน้าที่ของมนุษย์
แต่ว่าชีวิตของเราในขณะนี้ ของท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ในที่นี้ ส่วนหนึ่งก็กำลังอยู่ในช่วงชีวิตของการศึกษาที่จะต้องศึกษาให้ถูกต้อง เมื่ออยู่ในช่วงชีวิตของการศึกษาก็อยากจะบอกว่าเป็นโชคดีนะคะ เป็นโอกาสดีที่เรามาได้ฟังกันว่า การศึกษาที่ถูกต้องนั้น จะต้องให้เกิดความรอด ทั้งทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ เราจะได้ไปลองคิดดูว่า การศึกษาที่เราได้รับในสถาบันการศึกษา มีอะไรที่ยังขาดอยู่ แล้วเราจะเติมของเราเองเพื่อให้ชีวิตของเราเป็นชีวิตที่เต็มต่อไปข้างหน้า เราสมควรทำถ้าเราเห็นว่าชีวิตนี้เป็นชีวิตของเรา เราก็ต้องทำมันให้ถูกต้องด้วยความไม่เห็นแก่ตัว แต่ทว่าให้เป็นชีวิตที่จะเกิดประโยชน์ต่อไป ถ้าหากว่าในสถาบันการศึกษาไม่เอื้อ ครูอาจารย์ไม่เอื้อ เราต้องเอื้อตัวเราเอง ต้องช่วยตัวเราเองให้ได้การศึกษาที่ถูกต้องเพื่อชีวิตข้างหน้าจะได้สมบูรณ์ และเมื่อถึงเวลาที่ไปเผชิญชีวิตจะได้ใช้สติปัญญาที่พร้อมด้วยสมาธิ ด้วยสติปัญญาที่เป็นสัมมาทิฐิแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของการเผชิญชีวิต ซึ่งท่านผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ใหญ่กว่านิสิตนักศึกษาก็ย่อมจะทราบดีว่า ช่วงของการเผชิญชีวิตนี้มันหนักหน่วงแค่ไหน ใช่ไหมคะ มันหนักหน่วงเหลือเกิน มันมีการต่อสู้กันทุกรูปแบบ ทั้งข้างหน้าทั้งข้างหลัง เรียกว่าต้องมีสติปัญญาให้แหลมคม ให้รอบตัว และสติปัญญานั้นจะต้องประกอบด้วยสติ สติที่บริบูรณ์ที่จะรั้งใจได้ ฉุดใจเอาไว้ได้ เพราะความหนักหน่วงของช่วงของการเผชิญชีวิตนั้น ทั้งในเรื่องครอบครัว ในเรื่องการงาน ในวงสังคม ในวงของเพื่อนฝูงหรือว่าการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรมทุกอย่างเลย รอบด้าน และถ้ากำลังอยู่ในช่วงของการเผชิญชีวิต จะใช้อะไรเป็นเครื่องประคับประคองใจ นั่นก็คือการใช้สมาธิภาวนาที่จะเป็นเครื่องส่งเสริมให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการศึกษาข้างในที่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์ที่จะให้ชีวิตนี้รอดจากปัญหา หรือว่ามีความทุกข์น้อยลงน้อยลงเท่าที่จะสามารถเป็นไปได้นะคะ
นี่ก็ได้ถือโอกาสพูดเรื่อง ชีวิตคืออะไร หรือเรื่องของช่วงชีวิตมาตลอดแล้วนะคะ ก็เพื่อจะเน้นให้เห็นว่าจุดหมายปลายทางของชีวิตของมนุษย์ทุกคนปรารถนาความสุข ถ้าพูดอย่างคำโลกง่ายๆ ก็คือ ความสุข แต่ทว่าความสุขนี้คืออะไร ถ้าลองให้คำจำกัดความ ขอให้ท่านให้คำจำกัดความของคำว่า ความสุข ก็ให้จำกัดความกันต่างๆ ตามความต้องการของแต่ละคน ซึ่งยากที่จะเหมือนกัน แต่แล้วเมื่อลองคิดดูว่าความสุขที่ต้องการนั้นพอได้แล้ว พอใจไหม หยุดไหม ไม่หยุด ต้องการต่อไปอีก ได้ตำแหน่งการงานอันนี้ ต้องการตำแหน่งการงานที่สูงไปอีก ได้ลูกคนหนึ่ง อยากได้สอง ได้ผู้ชาย อยากได้ผู้หญิง มีเงินฝากในธนาคารแสนหนึ่ง ก็แหมอักโขอยู่ ไม่เคยนึกเลย บัดนี้ล้านหนึ่งถึงจะพอ ล้านหนึ่งก็น้อยไปอีก เพราะมันดูจิ๊บจ๊อยเมื่อเทียบกับที่เขาพูดกัน อะไรอะไรมันต้องสิบล้าน ร้อยล้าน เห็นไหมคะ ความสุขของคน ไม่เคยนิ่ง ไม่เคยสิ้นสุด ไม่มีขอบเขต เพราะฉะนั้นเราก็ต้องค่อยๆ รู้จักพัฒนาสิ่งที่เรียกว่าความสุขอย่างโลกๆ ให้เป็นความสุขสงบเย็น คือความมีชีวิตที่เป็นสุขสงบเย็น และเป็นประโยชน์แก่ตนเอง และเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริง นั่นก็คือสามารถสร้างความเบาสบายในใจให้เกิดขึ้นได้ นี่คือจุดหมายปลายทาง จุดหมายปลายทางของชีวิต หรือท่านผู้ใดปฏิเสธ หรือว่าท่านผู้ใดปฏิเสธว่านี่ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของเรา ของมนุษย์ทุกคน ไม่มีใครปฏิเสธ เพียงแต่ว่าทำอย่างไรถึงจะได้มันมา มันหยิบยื่นกันไม่ได้ มันไม่ใช่ระฆังใบนี้ มันไม่ใช่ตุ๊กตา มันไม่ใช่วิทยุ รถยนต์ มันไม่ใช่วัตถุ มันเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม ซึ่งเราต้องสร้างเอาเองต้องทำเอาเอง โดยเริ่มต้นด้วยการที่จะได้รับการศึกษาที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นดิฉันจึงขอเน้นเรื่องของการศึกษาว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิตเป็นเบื้องต้น เป็นพื้นฐาน เพราะการศึกษาที่ถูกต้องมันจะโยงไปถึงการสร้างครอบครัวที่ถูกต้อง ครอบครัวที่ถูกต้องก็คือครอบครัวที่มีความสุขสงบเย็น มีความอบอุ่นในความรัก ความกลมเกลียว ความถนอมน้ำใจกัน ระหว่างพ่อ แม่ ลูก ตลอดจนกระทั่งญาติพี่น้อง คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย นี่คือครอบครัวที่อบอุ่น ถ้าสังคมใดประกอบด้วยครอบครัวที่อบอุ่นเป็นสุขเย็น สังคมนั้นก็เป็นสังคมที่สงบเย็น ทุกท่านทราบดี เป็นคำพูดที่เราได้ยินซ้ำแล้วซ้ำอีก จนเราเห็นเป็นของธรรมดา และก็เลยปล่อยให้มันผ่านไปโดยไม่คิดแก้ไข
ถ้าเราจะไปดูปัญหาของสังคม คือของคนที่เป็นปัญหาของสังคมในทุกวันนี้ ไปดูเถอะค่ะ คนที่เป็นปัญหาของสังคมนะไม่ได้หมายความว่าเป็นคนไม่มีการไม่มีงานทำนะคะ บางคนมีตำแหน่งการงานทำอย่างดี เป็นหัวหน้างานเขาก็มี แต่ก็ยังเป็นคนที่เป็นปัญหา เพราะทำงานกับใครไม่ได้ราบรื่น เพราะชอบเอาเปรียบคน เพราะชอบเห็นแก่ตัว เพราะไม่มีความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ฉันจะเอาคนเดียว ฉันจะออกหน้าคนเดียว นี่คือคนที่เป็นปัญหา มาจากไหน รวมทั้งคนที่มีปัญหาที่ก่ออาชญากรรมต่างๆ หรือคนที่ต้องไปอยู่ในโรงพยาบาลประสาท โรงพยาบาลโรคจิต นั่นก็คือคนที่มีปัญหาอีกเหมือนกัน ไปดูเถอะค่ะ เห็นจะพูดได้ว่าร้อยก็ทั้งร้อยสาเหตุมาจากครอบครัว ครอบครัวที่แตกแยก ครอบครัวที่ปราศจากความอบอุ่น ครอบครัวที่พ่อไปทาง แม่ไปทาง ลูกไปทาง ไม่มีความเห็นอกเห็นใจกัน และครอบครัวเหล่านี้มีไม่น้อยที่ไม่ได้มีความอัตคัดขาดแคลนในเรื่องของวัตถุเลย มีบ้านอยู่ มีรถยนต์ใช้ มีทีวีดู มีเงินทองจับจ่ายใช้สอย มีอาหารการกินบริบูรณ์ ลูกก็ได้ไปโรงเรียน ได้ศึกษาดี แต่มันมีแต่บ้านที่เป็นเฮ้าส์ (House) แต่ไม่ได้มีบรรยากาศของโฮม (Home) ที่เป็นบ้าน พอย่างเท้าเข้าไปให้หลังใหญ่เท่าใหญ่ มันมีแต่ความว่างเปล่า เคยสัมผัสไหมคะ เคยสัมผัสไหมคะ มันมีแต่ความว่างเปล่า ไม่ใช่ไม่มีคน บางบ้านนะมีคนใช้สามคนห้าคน แต่ไม่ได้มีความหมาย ไม่มีความหมายกับจิตใจเลยสักนิดเดียว เพราะฉะนั้นเมื่อย่างเข้าไปมันว่างเปล่า มันวังเวง มันไม่มีอะไรจะให้ความอบอุ่นแก่จิตใจ ก็พากันวิ่งหนี พ่อก็วิ่งหนีไปบาร์ (Bar) ไปไนต์คลับ (Nightclub) ไปหาความสุขจากสุรา นารี พาชี กีฬาบัตร แม่ก็วิ่งหนีไปหาความสุขจากวงไพ่ จากการสมาคมการเต้นรำการดื่มตลอดจนกระทั่งไปช่วยสงเคราะห์คนอื่น โดยไม่มีเวลาสงเคราะห์คนในบ้าน หรือสร้างความอบอุ่นให้เกิดขึ้นแก่ในบ้าน ลูกก็วิ่งหนี วิ่งหนีไปอยู่กับเพื่อน วิ่งหนีไปอยู่กับยาเสพติด วิ่งหนีไปอยู่กับอบายมุข หรือไปเป็นเหยื่อของคนที่เขากำลังคอยตะครุบเพื่อใช้ประโยชน์จากคนหนุ่มคนสาว เห็นไหมคะ ปัญหามันเกิดขึ้นเพราะบ้าน บ้านที่ขาดความอบอุ่น บ้านที่มีพ่อก็สักแต่ว่าได้ชื่อว่าพ่อ แต่หาทำหน้าที่ของพ่อไม่ มีแม่ก็สักแต่ว่าแม่ มีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในบ้าน อย่างดีก็ทำกับข้าวกับปลาไว้ให้กิน แค่นั้นเอง นี่มันเป็นสิ่งวัตถุ สิ่งที่ลูกต้องการ คือความรักความอบอุ่น
เหมือนอย่างเรื่องในหนังสือ นิสิตนักศึกษาคงนึกออก “เวลาในขวดแก้ว” ได้อ่านแล้วได้ดูแล้วใช่ไหมคะ ปัญหาของใครนะ ของหนิง ของนัต ของจ๋อม ของเอก ของชัย ของป้อม เด็กเหล่านั้นแต่ละคนๆ มีปัญหาไหม ที่ได้อ่านแล้ว หรือท่านผู้ใหญ่ที่ได้ดูหนังดูโทรทัศน์ ดิฉันไม่ได้ดูเพียงแต่ได้อ่านหนังสือ มีปัญหาไหม ปัญหานั้นเกิดจากอะไร แต่ละแห่ง แต่ละคน แต่ละคน เขาเครียดไหม มีชีวิตที่เครียดไหม เครียด ทั้งๆ ที่มีบ้านอยู่ มีพ่อ มีแม่ ถึงบางคนจะมีไม่ครบก็ยังมี มีเงินทองใช้สอยพอสมควร ได้มีโอกาสไปเล่าเรียนหนังสือ แต่เครียด แล้วก็วิ่งหนีจากบ้านใช้เวลาให้หมดไป ด้วยการนั่งรถเมล์ตั้งแต่ต้นสายไปถึงปลายสายบ้าง เข้าไปเดินท่อมๆ ตามห้างสรรพสินค้าบ้าง หรือมิฉะนั้นก็เถลไถลไปพูดกันคุยกัน จนกระทั่งค่ำ จนกระทั่งเย็น บางทีดึกดื่นถึงกลับบ้าน หรืออย่างหนิง เมื่อขมขื่นเจ็บปวดกับบรรยากาศในบ้านมากเข้า ประชดประชันด้วยการไปกินเหล้า เมายา ไปเที่ยวบ้านเพื่อน ผลที่สุดก็ประชดชีวิตด้วยการหาผู้ชายสักคนหนึ่ง คิดว่าบางทีมันจะชดเชยให้เกิดความอบอุ่นในชีวิตขึ้นมาบ้างละกระมัง และผลที่สุดก็จากกันด้วยมีเด็กคนหนึ่งมาอยู่ในท้อง พูดง่ายๆ ก็คือท้องเข้า และก็ไม่มีคนที่จะปรากฏตัวเป็นพ่อ แล้วก็ต้องขวนขวายพี่ชาย นายนัตก็ขวนขวายหาเงิน รวมทั้งป้อมเพื่อน เพื่อจะไปช่วยกันเอาเด็กคนนั้นออก และอนาคตของหนิงในการที่จะเป็นแม่คนต่อไปก็หมด เห็นไหมคะ หรือนายนัตวันหนึ่งก็นึก ชีวิตนี้ไม่เห็นมีอะไร เอาเพลงความตายมาเปิด ฟังเข้า ฟังเข้า เกิดซาบซึ้ง ควักยาแก้ปวดกินเข้าไปเลยเป็นกำหนึ่ง แล้วมันคงไม่ต้องตื่นอีก แต่มันก็ไม่ตาย แล้วมันก็ตื่นขึ้นมาอีก พอตื่นลืมตาขึ้น มันยิ่งเลวร้ายเสียยิ่งกว่าเมื่อก่อนที่จะกินยาเสียอีก ใครที่เคยนึกคิดจะฆ่าตัวตาย โปรดทราบนะ เวลาคิดฆ่าตัวตายบางทีมันรู้สึกสวยงาม เออ มันจะได้พ้นไปเสียที แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างนั้นเพราะพอลืมตาขึ้นมามันร้ายกาจเสียยิ่งกว่าตอนที่คิดตายอีก ฉะนั้นนี่ปัญหาของครอบครัวที่อ้างว้างเดียวดาย เพราะเป็นครอบครัวที่ประกอบด้วยจิตที่เป็นมิจฉาทิฐิ น่ากลัวมากเลย เพราะมีแต่จะนำชีวิตของลูกหลานให้ไปผิดหนทาง เดินผิดทาง
ดิฉันชอบคำที่ท่านอาจารย์สวนโมกข์ท่านพูด แล้วก็จำใส่ใจที่ท่านบอกว่า คนมีบุญนะ คือ คนที่เกิดในครอบครัวสิ่งแวดล้อมที่เป็นสัมมาทิฐิ เข้าใจไหมคะ ว่าทำไมคนอย่างนี้ถึงมีบุญ ไม่ใช่คนมีบุญไม่ใช่เกิดในครอบครัวเศรษฐีหลายพันล้าน หรือไม่ใช่เกิดในครอบครัวจีเนียส (Genius) มีมันสมองฉลาด ฉลาดเตลิดเปิดเปิงไปเลย ไม่ใช่ฉลาดอย่างไอน์สไตน์ (Einstein) ถ้าฉลาดอย่างไอน์สไตน์แล้วก็ยังจะใช้ได้ เพราะเขามีปรัชญาของชีวิตที่เป็นเรื่องของชาวพุทธอยู่มากมายทีเดียว ไอน์สไตน์เคยบอกว่า คนที่จะเข้าถึงศาสนาได้จริงนี่ คือคนที่สามารถปลดปล่อยใจของตนเองพ้นจากโซ่ตรวนของชีวิต นี่เขาไม่เคยเรียนพุทธศาสนา ไม่ใช่ชาวพุทธ แต่สิ่งที่เขาพูดมานั้นคือสิ่งที่เป็นธรรมะทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นดิฉันย้ำเรื่องการศึกษา เพราะมันมีความสำคัญอย่างนี้ แล้วก็อยากจะเห็นเหลือเกินว่าการจัดการศึกษานั้นเพื่อส่งเสริมยกระดับจิตใจของมนุษย์ เพราะเรากำลังต้องการสิ่งนี้ สังคมไทยกำลังอยู่ในระยะวิกฤต เราไม่เคยคิดหรอก ผู้ที่มีอายุอยู่ในวัยสี่ห้าสิบปีปัจจุบัน ไม่เคยคิด เวลาจะมาพบอะไรที่ป่าเถื่อน อย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนังสือพิมพ์ ในวิทยุ โทรทัศน์ ที่เราได้ดูอย่างทุกวัน เราไม่คาดคิด แต่มันก็เป็นขึ้นมาได้ นี่เพราะอะไร เพราะจิตมิจฉาทิฐิ ถ้าสังคมเป็นมิจฉาทิฐิ นี่คือถ้าอยากจะบอกว่ากรรมนะคะ กรรมอย่างชาวบ้านนะคะ นี่แหละคือกรรมคือเวร แต่กรรมอันนี้ก็เกิดจากการกระทำที่ไม่ถูกต้องนั่นเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่จะต้องแก้ และแก้ได้ แก้อย่างชนิดถอนรากถอนโคน นั่นคือแก้ที่การศึกษา แต่ต้องอาศัยเวลา เราต้องให้เวลา เรารู้ว่าการศึกษาไม่เหมือนการหุงข้าว การหุงข้าวนั่นเอาข้าวสารมาซาว แล้วก็ตั้งหม้อ ตั้งไฟ ชั่วโมงหนึ่งก็ได้กิน แต่ว่าการศึกษาอย่างถูกต้องอย่างนี้ มันต้องให้เวลา ให้เวลาตั้งแต่เริ่มพรวนดิน หาที่ดินให้ถูกต้อง จนกระทั่งหาพืชกล้าที่เป็นพันธุ์ดีหว่านลงไป แล้วก็คอยเวลาเก็บเกี่ยว จนกระทั่งเข้าโรงสี จนกระทั่งมาเป็นข้าวสาร แล้วก็เอามาหุงเป็นอาหาร ที่เป็นอาหารพื้นหลัก ที่มีคุณค่าต่อชีวิตของเรา เพราะฉะนั้นผู้ใดที่อยู่ในวงการศึกษา ต้องใจเย็น ต้องใจเย็น ต้องอดทน ต้องคอยได้ แล้วก็ต้องกล้าหาญด้วย คนขี้ขลาดไม่สามารถจะจัดการศึกษาให้ถูกต้องเพื่อเพื่อนมนุษย์ได้ เพราะคนขี้ขลาดนั้นคือคนเห็นแก่ตัว หวังผลเร็วๆ จะเอาให้ได้อย่างใจ ผลนั้นต้องเป็นวัตถุ เป็นการตอบแทน เป็นซี เป็นขั้น เป็นเงิน เป็นตำแหน่ง ไม่มีวันที่จะจัดการศึกษาเพื่อเพื่อนมนุษย์ได้อย่างถูกต้อง
เพราะฉะนั้น ในเรื่องของครอบครัวเราถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นพื้นฐานของสังคม แล้วมันจะมาจากไหนที่เราจะได้ครอบครัวที่ถูกต้อง มันก็ต้องมาจากการศึกษา เพราะฉะนั้นอันนี้จึงขอเน้นเพื่อให้ทราบว่า ถ้าชีวิตของบุคคลใดไม่สามารถจะไปถึงจุดหมายปลายทางดังกล่าวได้ ก็เพราะการศึกษานั้นยังมีช่องโหว่ ยังมีจุดที่มันรั่ว มันบกพร่อง ที่เราจะต้องพยายามช่วยกันแก้ไข ให้มันสมบูรณ์ยิ่งขึ้น มันจึงจะไม่เสียเวลาเปล่า แล้วเราจะไม่ต้องเสียเวลาที่มาแก้ปัญหาที่ปลายเหตุกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนหมดแรง หมดงบประมาณ งบประมาณจากเมื่อก่อนเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นแสนล้าน ไม่ไหวละ ต่อไปเงินมันก็ไม่มีค่าเท่านั้นเอง เราไม่สามารถที่จะปล่อยให้สังคมไทยไปคล้ายกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังที่เราเห็นตัวอย่างอยู่รอบตัวเรา ถ้าถามไม่มีทุกคนต้องการ ไม่ต้องการจะเป็นเหมือนอย่างเวียดนาม เหมือนอย่างลาว เหมือนอย่างเขมร เราต้องการเป็นไทยอย่างที่เราเคยเป็นอยู่ แล้วก็เป็นไท ท-สระไอ ด้วย มันจะเป็นได้เพราะการศึกษาที่ถูกต้อง ให้พร้อมทั้งกาย จิต และวิญญาณ ฉะนั้นก็ขอฝากนิสิตนักศึกษาที่กำลังอยู่ในวัยของการศึกษา ช่วยเหลือตัวเองให้ได้การศึกษาที่ถูกต้อง ท่านผู้เป็นผู้ใหญ่ทำงานทำการแล้วจะเป็นบิดา มารดา หรือเป็นครูอาจารย์ หรืออยู่ในตำแหน่งใดที่กำลังเผชิญชีวิตอย่างแสนลำเค็ญในขณะนี้ ก็จงเพิ่มเสริมสร้างการศึกษาที่ถูกต้องเพื่อภายในให้เกิดขึ้นแก่ชีวิต แล้วก็จะสามารถบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง คือความสุขสงบเย็นได้เป็นแน่นอน
ทีนี้อากาศก็ร้อนมากนะคะ แล้วดิฉันเห็นใจในความอึดอัด ก็แทนที่จะพูดต่อก็อยากจะขอมาเปลี่ยนตอบคำถาม เพื่อเป็นการผ่อนคลายบรรยากาศ เชิญนั่งตามสบายค่ะ ขยับเนื้อขยับตัวได้ค่ะ จะได้ไม่อึดอัด ไม่ปวดเมื่อยมาก โดยเฉพาะท่านผู้มีอายุ เห็นใจจริงๆ เลย
คำถามมีหลายคำถามนะคะ คำถามนี้ถามว่า พี่เขาไม่สนับสนุนให้มาปฏิบัติธรรมในครั้งนี้เท่าไรนัก เขาบอกว่าคนที่มานั่งทำภาวนาเป็นการทำเพื่อตนเอง ถ้าหากว่าทุกคนในประเทศมานั่งภาวนากันทั้งวันทั้งคืน บ้านเมืองก็ไม่เจริญ โดยเฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัย เขาบอก...