แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เราได้พูดกันถึงเรื่องของ “อริยมรรค” หนทางอันประเสริฐมาหลายครั้งแล้วนะคะ และเราชี้ว่าเป็นหนทางอันประเสริฐ ที่ว่า..เรา..นี่นะคะ ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นผู้ชี้ แต่จากการที่เราได้ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านทรงฝากให้ไว้แก่ชาวโลกนี้เพื่อนำมาใคร่ครวญตาม เราก็ได้มองเห็นว่าหนทางนี้ เป็นหนทางอันประเสริฐ ประเสริฐอย่างไร? เพราะจะพาชีวิตนี้ไปสู่อะไร? “ความดับทุกข์” เมื่อความดับทุกข์เกิดขึ้น อะไรเป็นผลตามมา? ความสงบเย็นที่จะเกิดขึ้น แล้วความสงบเย็นในที่นี้ก็เป็นความสงบเย็นที่จะเกิดขึ้นที่ไหน? ที่ “จิต” เกิดขึ้นที่ภายใน เพราะฉะนั้นอันนี้นะคะก็น่าที่จะลองใคร่ครวญตามดูว่า ถ้าเราแน่ใจว่าเป็นหนทางอันประเสริฐ หนทางนี้ควรเดินไหม? ..ควร และควรผัดวันประกันพรุ่งในการเดินไหม? ..ไม่ควร แต่ถ้าใครยังขืนควรอยู่ โง่หรือฉลาด? ..โง่ ทั้งๆ ที่อวดตัวว่าฉลาดเป็นปัญญาชน มีปริญญามาก และก็อยากมีความสุข อยากมีความร่มเย็นเป็นสุข เวลาที่ใครให้ศีลให้พรก็อยากให้เขาให้พรว่าให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข..ใช่ไหม? แต่เสร็จแล้วเมื่อมีหนทางที่จะเดินอันประเสริฐ และไม่ต้องไปอ้อนวอนขอใครด้วย สามารถจะทำได้เองอย่างมีศักดิ์ศรีเลย ไม่ต้องไปก้มหน้าขอพรใคร ไม่ต้องไปกราบกรานขอพรใคร เออ..ก็น่าแปลกนะ และก็ยังไม่ทำ และก็ยังอุตส่าห์รักศักดิ์ศรีของตัวเอง โอ..ฉันนี่เป็นคนมีศักดิ์ศรี ใครจะมากระทบสักนิดจะลู่ไปไม่ได้ทีเดียว ต้องรักษาความแหลมความคม แต่พอจะรักษาได้ด้วยตัวเอง แปลก..มนุษย์เราแปลกไหมคะ..ท่านผู้ชม แปลกจริงๆ ที่ไม่ค่อยจะนึกว่าหนทางอันประเสริฐนี่ประเสริฐแล้ว แต่ทำไมจึงไม่เดิน เราอยากได้รับความร่มเย็นแต่ทำไมเราจึงไม่เดินตามหนทางของความร่มเย็นนั้น ในเมื่อเราสามารถทำเองได้
เพราะฉะนั้น ท่านจึงเปรียบว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ เปรียบได้เสมือนกับหนทาง และหนทางอันนี้เป็นหนทางชีวิต ไม่ใช่หนทางที่เป็นถนนหนทาง เป็นตรอกเป็นซอกที่เราเดินอยู่ เป็นหนทางของชีวิต ดังที่เราพูดกันมาแล้ว เพราะฉะนั้นอันนี้เราไม่ต้องเสียเวลาพูดซ้ำ มีคำอุปมาอย่างอื่นของอริยมรรคว่า เปรียบเสมือน “กัลยาณมิตร” ด้วย กัลยาณมิตรคืออะไร? คือเพื่อน เพื่อนอะไร..ไม่ใช่เพื่อนเฉยๆ เพื่อนที่ดีด้วย..กัลยาณมิตร เราต้องการนักละเพื่อนที่ดี เพราะว่ามนุษย์เราต้องการเพื่อน..เพื่ออะไร? เพื่ออะไร..มีเพื่อนเพื่ออะไร เพื่อความอบอุ่นใจ อบอุ่นใจว่าเรามีที่พึ่งที่ปรึกษา เรามีคนคอยให้ความเห็นอกเห็นใจ อย่างน้อยถ้าเราจะร้องไห้ ก็มีคนร้องด้วย หรือเมื่อเวลาที่เรามีความสุขก็มีคนหัวเราะด้วย ก็มีความอบอุ่นใจที่ไม่ต้องร้องไห้คนเดียว หรือไม่ต้องหัวเราะคนเดียว จะหันไปไหนก็มีคนอยู่เคียงข้าง มนุษย์เราจึงต้องการเพื่อนด้วยความเข้าใจอย่างนี้ แต่อันที่จริงนะ..ถึงแม้เราจะมีคนที่เราเรียกว่า..เพื่อน แต่เราจะคบหาเขาคบได้ทุกครั้งไหมในเวลาที่ต้องการ? มีหลายๆ ครั้งเลย ที่เรารู้สึกว่า แหม..อย่างพบเพื่อนอยากจะปรับทุกข์ อยากจะเล่าอะไรให้ฟัง โทรศัพท์ไปหาก็ไม่อยู่ ไปหาที่บ้านก็ไม่พบ เพราะต่างคนต่างก็มีกิจธุระของตนเอง หรือแม้ว่ามีข่าวดีอยากจะเล่าให้ฟัง บางครั้งก็หาเพื่อนไม่พบ นี่เพราะเป็นเพื่อนข้างนอกใช่ไหมคะ เพื่อนข้างนอกนี้อาจจะอยู่บ้างไม่อยู่บ้าง ภายใต้กฎอนิจจังของการเกิดดับ อยู่-ไม่อยู่ มา-ไป นี่เป็นธรรมดา แต่ท่านเปรียบอริยมรรคมีองค์ ๘ ว่าเสมือนกัลยาณมิตร ซึ่งจะเป็นไปได้ยังไงเพราะอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นนามธรรม ไม่ใช่เป็นบุคคล แต่ท่านก็เปรียบว่าเป็นกัลยาณมิตร ลองใคร่ครวญดูสิคะว่า การเดินตามหนทางอันประเสริฐ คืออริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แล้ว เปรียบเสมือนมีกัลยาณมิตร หมายความว่าอย่างไร?
ก็เพราะว่าการปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น เราปฏิบัติอยู่บนหนทางแห่ง “สัมมา” ใช่ไหมคะ? สัมมาคืออะไร? ความถูกต้อง เราปฏิบัติอยู่บนหนทางแห่งความถูกต้อง เริ่มต้นจากความเห็นถูกต้อง ความตั้งใจถูกต้อง การพูดจาถูกต้อง การงานถูกต้อง และก็การดำรงตนถูกต้องหรือการดำรงชีวิตถูกต้อง ความพากเพียรถูกต้อง ความระลึกรู้ถูกต้อง และความตั้งมั่นก็ถูกต้องไม่มีหวั่นไหว เมื่อบุคคลใดก็ตาม เมื่อกระทำสิ่งที่เขาสำนึก สำเหนียก และก็รู้อยู่ตลอดเวลาว่า สิ่งนี้เป็นความถูกต้อง มันถูกต้องเพราะอะไร? เพราะ “เกิดประโยชน์” เกิดประโยชน์แก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง และตัวผู้ทำเองก็ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความร้อน ไม่มีความทุรนทุราย มีแต่ความเยือกเย็นผ่องใส นึกออกไหมคะว่าเมื่อเราทำสิ่งใดที่เป็นความถูกต้อง ใจเราเกิดความรู้สึก..ไหวหวั่นไหมคะ? ไม่ไหวหวั่นเลย มีแต่ความมั่นคง มีความหนักแน่น มีความเชื่อมั่น เชื่อมั่นว่าอะไร? เชื่อมั่นในการกระทำ เชื่อมั่นในการกระทำว่าการกระทำอันนี้ถูกต้อง
แล้วก็ที่ว่าเชื่อมั่นในการกระทำก็หมายความว่า เพราะว่ากระทำถูกต้อง นี่คือกระทำยังไง? กระทำโดยเพียงเพื่อหน้าที่..ใช่ไหมคะ ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่โดยไม่หวัง เพราะฉะนั้นก็มีแต่การกระทำ ตัวผู้กระทำนี้ก็จะค่อยๆ ลดลงตามลำดับ นี่แหละ “วิราคะ” มันลดลงๆ แล้วก็มีการกระทำแต่ตามหน้าที่ ความถูกต้องเกิดขึ้นก็มีความเชื่อมั่น..เชื่อมั่นในการกระทำ แต่ไม่ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะในขณะที่ทำตามหน้าที่เพื่อหน้าที่ ความที่จะนึกเห็นว่าใครเป็นผู้ทำ มันลืม..ใช่ไหมคะ มันลืม..มีความลืมตัวเกิดขึ้นตามประสาธรรม ลืมว่าใครผู้กระทำ มีแต่ความตั้งใจมุ่งมั่นแต่จะทำๆๆ มีแต่การกระทำ ก็มีความมั่นใจ มีความเชื่อมั่นในการกระทำว่าทำอย่างนี้แล้วถูกต้อง เชื่อมั่นได้ยังไง..ทำไมถึงเชื่อมั่นได้? เพราะประจักษ์ในผลใช่หรือเปล่า? ประจักษ์ในผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำนั้น นี่เรียกว่า “ประจักษ์แจ้ง” ไงคะ
ที่ว่าถ้าหากว่าเดินตามหนทางของอริยมรรคมีองค์ ๘ แล้ว เป็นการสอนเป็นการชี้ทาง เป็นการประจักษ์แจ้ง รู้แจ้งอยู่ในตน..ในตนเอง คือในความรู้สึกข้างในด้วยตนเอง คือทุกขณะอยู่ตลอดเวลา ไม่มีผู้ใดบอก เพราะฉะนั้น ความมั่นคง ความหนักแน่น ความเชื่อมั่น มันก็เกิดมากขึ้นตามลำดับ แล้วจะต้องพึ่งใครไหม? ไม่ต้องแล้ว ตอนนี้ไม่ต้องพึ่งใคร ที่จะต้องไปเล่าให้ใครฟัง ต้องไปปรับทุกข์ ต้องไประบาย ต้องไหม? มันไม่มีอะไรต้องระบาย เพราะมันอยู่กับความถูกต้อง เพราะฉะนั้นอันนี้แหละ ท่านจึงบอกว่าเป็นกัลยาณมิตร..เข้าใจไหมคะ? เป็นกัลยาณมิตร และเป็นกัลยาณมิตรที่หายากด้วย เป็นกัลยาณมิตรอันประเสริฐด้วย ถ้าใครสามารถทำได้ นี่เป็นกัลยาณมิตรอันประเสริฐ และผู้นั้นก็จะมีความมั่นคงในจิตยิ่งขึ้น ไม่หวั่นไหว ไม่กระทบกระเทือน จะมีอะไรมากระทบก็ไม่โยกคลอน ไม่โยกโคลงได้ง่ายๆ มันมีความมั่นคงอยู่ ท่านจึงเปรียบว่า..ถ้าเดินตามหนทางอันประเสริฐนี้ ก็มีมิตรประเสริฐอยู่ในใจนั่นเอง แล้วจะไปไหน ความวังเวงเหงาหงอยไม่เกิด ความกลัวจะมีไหมคะ? ความกลัวก็ไม่มี เพราะรู้แล้วว่าสิ่งที่กระทำนี้ถูกต้อง ไม่เบียดเบียนใคร จะต้องคิดว่าต้องมีศัตรูไหม? ไม่จำเป็น หรืออาจจะมีบางผู้บางคนที่มีจิตเป็นมิจฉา
แต่ว่าในการกระทำถูกต้อง มีความรอบคอบไหมคะ? มีความรอบคอบพร้อมอยู่ มีความไม่ประมาทพร้อมอยู่ เพราะมันมีอะไร? มี “สัมมาสติ” อย่าลืม มีสัมมาสติที่ระลึกรู้ถูกต้องอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นเมื่อกระทำด้วยความรอบคอบ กระทำด้วยความไม่ประมาทก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีสิ่งใดที่จะมากระทบกระเทือน ถึงกระทบกระเทือนจิตนี้ก็ประจักษ์แล้วว่า ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้กฎอนิจจัง เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย มันเกิดแล้วมันก็ดับ เปลี่ยนแปลงได้ จิตเช่นนี้ไม่หวั่นไหว ถ้าหากว่าดีเกิดขึ้น ก็เช่นนั้นเอง ไม่ดีเกิดขึ้น ก็เช่นนั้นเอง คงมุ่งมั่นที่จะเดินต่อไปบนหนทางอันประเสริฐนี้ และมิตรผู้ประเสริฐนี้ก็จะยิ่งมั่นคงหนักแน่น และก็ไม่ไปไหนเลย อยู่ด้วยตลอดเวลา นี่อริยมรรคมีองค์ ๘ จึงเป็นกัลยาณมิตร ท่านผู้ใดที่รู้สึกเหงาหงอย ไม่มีเพื่อน ไม่ต้องกลัวเลย เริ่มเดินตามหนทางของอริยมรรคมีองค์ ๘ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เพื่อนกำลังคอยอยู่แล้ว เพื่อนที่ดีที่พร้อมที่จะเป็นเพื่อนที่ให้ความอบอุ่น ให้ความมั่นใจและก็จะเดินไปด้วย เคียงข้างตลอดเวลา
นอกจากนี้ท่านก็อุปมาว่าอริมรรคมีองค์ ๘ นี้ เหมือนอุปกรณ์การข้ามฟาก มองเห็นไหมคะ ข้ามฟากจากฟากไหนไปฟากไหน? จากฟากไหนไปฟากไหน จากฟากแห่งความทุกข์ไปสู่ฟากแห่งความไม่มีทุกข์ คือความพ้นทุกข์ หรือจากฟากแห่งความร้อนไปสู่ฟากแห่งความเย็น ฟากฝั่งของความวุ่นวายไปสู่ฟากฝั่งของความสงบ เพราะฉะนั้นอันนี้แหละ ท่านจึงเปรียบว่าเป็นเสมือนกับอุปกรณ์ของการข้ามฟาก ถ้าผู้ใดมีจิตที่รู้สึกว่าเราวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา มีความยุ่งเหยิง มีความสับสน มีความดิ้นรนทุรนทุราย ก็ลองหยุด เปลี่ยนหนทางใหม่ เรียกว่าหยิบเอาสิ่งที่เราพูดกันมา..ลองใคร่ครวญดู ที่ดิ้นรนทุรนทุรายเพราะอะไรนะคะ? ที่ดิ้นรนทุรนทุรายเพราะอะไร? “ความยึดมั่นถือมั่น” อย่างหนึ่งละ เพราะความอยาก ความอยากที่มันดิ้นรนไปตามอำนาจของตัณหา ด้วยอำนาจของอวิชชา เพราะฉะนั้นก็นำเอาสิ่งนี้มาใคร่ครวญ ทำไมเราถึงร้อนนัก? เราถึงเจ็บปวดชอกช้ำขมขื่นนัก? ใช่ไหม เพราะความอยากอันนี้ที่ครอบงำด้วยอำนาจของอวิชชา เพราะความยึดมั่นในตัวตนนี้ กลัวตัวตนนี้จะไม่ได้ กลัวจะเสีย ถ้า..ได้แล้ว..ก็ดี แต่ถ้า..เสีย..ไม่ยอม ใช่ไหม? ถ้าเราหันมามองดู และถ้าเห็นว่าใช่..ก็เปลี่ยนเสียใหม่ ก็ลองฝึกกระทำโดยหน้าที่ ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่โดยไม่หวัง เอามาใคร่ครวญดู ถ้าเห็นถูกต้องก็ลองทำ ลองดำเนินตามทางนี้ แล้วเสร็จแล้วมันก็แน่นอนที่สุด ก็จะรู้สึกว่าเรากำลังข้ามจากฟากฝั่งของความร้อนความวุ่นวาย ไปสู่ฟากฝั่งของความสงบเยือกเย็นผ่องใสยิ่งขึ้นตามลำดับ
บางทีท่านก็เปรียบว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ เปรียบเสมือนกับ “คอกล้อมเสือ” คอกล้อมเสือ “เสือ” คืออะไรละคะ? กิเลส เสือก็คือกิเลส กิเลสที่มันกระโดดตะครุบมนุษย์อยู่ทุกวัน..ใช่ไหม ตะครุบแล้วก็กัดกินจนบาดแผลเหวอะหวะ สาหัสสากรรจ์กันอยู่ทุกวี่ทุกวัน ถึงแม้จะมองไม่เห็นบาดแผลนั่น มองไม่เห็นเลือดที่ไหลโซม แต่มันไหลหรือเปล่า? ไหลไหม มันก็ไหล ไหลที่ไหน ก็ไหลอยู่ข้างใน ที่เขาบอกน้ำตาเป็นสายเลือด น้ำตาจะเปลี่ยนจากน้ำใสๆ เป็นสายเลือดนะไม่เปลี่ยน แต่เป็นการอุปมาอุปไมยอย่างที่ทราบแล้ว มันไหลอยู่ข้างในเป็นสายเลือด เป็นสายเลือดจนเลือดซีด จนตัวซีดรีดเลือดหมดตัว ก็ยังเดินได้ กินได้ นอนได้ แต่ข้างในมันชอกช้ำ ขมขื่น เจ็บปวด สุดที่จะพรรณนา เพราะฉะนั้นท่านจึงเปรียบอริยมรรคมีองค์ ๘ เหมือนคอกล้อมเสือ คือ กิเลสที่มาทำจิตรบกวนจิตนี้ให้สกปรก ให้เศร้าหมอง ให้วุ่นวายอยู่ตลอดเวลา ด้วยอำนาจของ “ความอยาก” อยากอะไรบ้าง? อยากจะเอา จะดึงเข้ามาเป็นของเรา เดี๋ยวก็อยากจะผลักออกไปเพราะไม่ชอบไม่ถูกใจ ประเดี๋ยวก็อยากวนเวียนครุ่นคิดเพราะมันคิดไม่ตก เหมือนกับวิ่งวนเพื่อที่จะจับอะไรให้ได้สักอย่าง แต่ก็จับไม่ได้ จิตมันก็ดิ้นรน แล้วทำไมท่านจึงเปรียบว่าเหมือนคอกล้อมเสือ?
ถ้าเราจะไปปราบเสือนี่ ถ้าเขาบอกว่าที่นี่มีเสืออันตรายเสือลำบากเข้ามาใกล้หมู่บ้าน ถ้าเราต้องการจะปราบเสือนี่ทำยังไง? เอาปืนไปยิงเลย ถ้าเป็นนักแม่นปืน ก็ยิงโป้งตัดขั้วหัวใจตายเลย มีใครเป็นนักแม่นปืนไหม? มีไหม ไม่มี มีแต่นักหนีเสือ หรือมิฉะนั้นก็เข้าไปใต้ท้องเสืออย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเก่งจริงนี่ ท่านบอกว่าเก่งจริงเอาปืนไปยิงโป้งเลย ยิงโป้งเลย..ก็หมายความว่า ใคร่ครวญพิจารณาพอเห็นชัดประจักษ์แจ้งในกฎของธรรมชาติว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีอะไรสักอย่างให้ยึดมั่นถือมั่น ตัดเด็ดขาด เรียกว่า ตัดบัวไม่ไว้ใย นี่แหล่ะนักแม่นปืน..ยิงโป้ง แต่เราทั้งหลายนี่ไม่แม่น มันไม่แม่น แม่นแต่ถูกกิเลสยิง กิเลสยิงทีไรแม่นทุกที โป้งทุกที กิเลสโลภะยิงโป้งสลบเพราะความโลภ โทสะยิงโป้งก็สลบเพราะความโกรธ โมหะยิงโป้งก็วนเวียนครุ่นคิดกระเสือกกระสนซบเซาอยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้นเรานี่แพ้กิเลส ถูกกิเลสยิง เสือกัดขบกัดอยู่เรื่อย ท่านจึงบอกว่า ถ้าเราไม่เก่งที่จะเป็นนักแม่นปืนตัดขั้วหัวใจได้ ก็ใช้วิธีนี้ คือใช้วิธี “เป็นคอกล้อมกิเลส” คือล้อมคอกนี่ แต่ต้องเป็นคอกที่แข็งแรงนะ ไม่ใช่คอกไม้รวก มันต้องคอกคอนกรีตทีเดียวละ เอามาล้อมแต่ให้เสือนี่มันอยู่วงใน ในที่สุดเสือมันก็ผอมตาย ผอมตายเพราะอะไร? เพราะมันไม่ได้อาหาร อาหารของมันคืออะไร? อาหารของมัน..อวิชชา..นี่มันเป็นตัวเสือใหญ่ที่มันคอยตะครุบ มันคอยจะกิน ฉะนั้นถ้าหากเราล้อมกิเลสให้ตาย ก็หมายความว่าเราไม่ยอม เราจะไม่เป็นเหยื่อของมัน จะไม่ยอมอยากตามมัน ไม่ว่าอยากจะเอาหรือว่าอยากจะผลักออกไป หรือว่าอยากจะหลงครุ่นคิด หรือแม้แต่..นิวรณ์ นิวรณ์ที่จะครุ่นคิดอยู่ด้วยกามฉันทะ ด้วยพยาบาท หรือว่าด้วยถีนมิทธะ หดหู่ มึนซึม แห้งแล้ง ว้าเหว่ ตกต่ำ อะไรอย่างนั้น หรือฟุ้งซ่าน เพ้อเจ้อ อุทธัจจกุกกุจจะ หรือวิจิกิจฉา วนเวียนครุ่นคิด ก็ไม่เอา เราจะเดินไปตามหนทางของอริยมรรคมีองค์ ๘ นี่ละวิธีจะกำจัดกิเลส จะกำจัดนิวรณ์ ต้องเอาอริยมรรค จะกำจัดอวิชชาคือแหวกม่านของอวิชชาที่ยังปกคลุมอยู่ ทำให้จิตนี้โง่อยู่เรื่อย โง่เขลาเบาปัญญาอยู่เรื่อย ต้องใช้อริยมรรค ใช้อริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะพร้อมอยู่ด้วยปัญญา ศีล สมาธิ และก็ยังทับลงไปที่ปัญญาอีกครั้ง และก็ปัญญาข้างใน
เพราะฉะนั้น อริยมรรคมีองค์ ๘ จึงเป็นหนทางอันประเสริฐจริงๆ เพราะว่าหนักแน่น มั่นคง เข้มแข็ง รู้ว่าที่จะล้อมเสือนี่ ก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ต้องแข็งแรงเท่าคอนกรีต เวลานี้คอนกรีตแข็งแรงที่สุดหรือเปล่า? เสริมเหล็ก คอนกรีตเสริมเหล็กนั่นแหละ อะไรที่แข็งแรงที่สุด นี่ละ..เราจะเปรียบอริยมรรคมีองค์ ๘ ว่าแข็งแรงอย่างนั้น โดยทางวัตถุ แต่แท้ที่จริงแล้วเมื่อสามารถสร้างหนทางอริยมรรคมีองค์ ๘ ขึ้นมาได้แล้วละก็ แข็งแรงยิ่งกว่ารั้วใดๆ ที่เป็นวัตถุทั้งสิ้น แล้วก็จะล้อมเสืออวิชชา และก็ลูกน้องของมันทุกอย่าง ตัณหา อุปาทาน กิเลส นิวรณ์ ทุกอย่างให้ตายไปทีละน้อยๆ ก็มันไม่มีอาหารจะกิน ถ้าเราไม่ยอมเป็นเหยื่อของมันอีกแล้ว เราไม่ป้อนเหยื่อ มันยิงมาเราก็หลบ ที่มันจะเฉียดๆ ไปในครั้งแรก ต่อไปเราหลบๆๆ จนลูกปืนมันหมด ลูกปืนมันหมด ลูกปืนมันด้าน แล้วมันก็หมดไม่มีอะไรจะยิงเรา ทีนี้เราก็รื้อรั้วได้ เรารื้อรั้วได้ เราเดินได้อย่างสง่า พวกศัตรูหมู่ร้ายที่คอยบั่นทอนกำลังใจให้จิตนี้ร้อนรุ่มวุ่นวายกระวนกระวายอยู่นี่หายไปหมด เพราะอะไร? เพราะจิตนี้เดินอยู่บนหนทางอันประเสริฐอยู่เป็นนิจ ท่านจึงเปรียบว่าเหมือนกับคอกล้อมเสือ แล้วจิตนี้ก็จะมีแต่ความสะอาดจากความเศร้าหมอง จากความสกปรกที่ถูกรบกวนด้วยกิเลส สะอาดจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง สะอาดเพราะมันสิ้นสุดแห่งการปรุงแต่ง และก็สว่างอยู่ด้วยปัญญาที่กระจ่างชัดว่าไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะให้ยึดมั่นถือมั่น และก็สงบเยือกเย็นผ่องใส เพราะว่าถึงซึ่งความสิ้นสุดแห่งความทุกข์ สังสารวัฎสิ้นแล้ว
เพราะฉะนั้น ท่านจึงเปรียบว่าเหมือนกับคอกล้อมเสือ อย่าลืมสร้างคอก ครั้งแรกเอาเถอะ เอาคอกไม้สักก่อน แล้วก็เปลี่ยนเป็นคอกคอนกรีต แล้วก็เสริมเหล็ก แล้วก็ผลที่สุดมันแข็งแรงเสียยิ่งกว่าคอนกรีตเสริมเหล็ก ถ้าเราฝึกอย่างนี้ มันมีหนทางที่จะเป็นไปได้ นี่เป็นอุปมา..เป็นอุปมาของอริยมรรคมีองค์ ๘ ทีนี้มนุษย์เราทำไมชอบผัดวันประกันพรุ่ง ไม่อยากจะเดินตามอริยมรรค? ขี้เกียจ ทำไมถึงขี้เกียจ นิวรณ์เข้ามากลุ้มรุมก็ทำให้เกิดความขี้เกียจ ก็นั่นแหละ คือความประมาท และก็ความโง่อย่างยิ่งนะ โง่จริงๆ และก็โง่อวดฉลาดด้วย เพราะคิดว่าตัวเองฉลาด ที่แท้ก็เลยโง่ซ้ำ..ซ้ำซ้อน นี่แหละคือความโง่ของมนุษย์เราอย่างน่าสงสาร เพราะถูกอวิชชาครอบงำ หรือถ้าจะพูดไปก็เห็นจะเป็นเพราะว่าที่ร้องตะโกนว่าทุกข์ๆๆ นี่ ยังไม่ทุกข์จริง ยังไม่สาหัสสากรรจ์ มันยังไม่ถึงตาย ถ้าเจียนตายหรือว่าจะตาย ตายเมื่อไหร่นั่นแหละ ถึงจะหันเข้ามาหา เหมือนอย่างที่หมอเขาบอกว่า นี่ระวังนะมะเร็งกำลังกินตับนะ หรือเวลานี้โรคเอดส์ติดเชื้อมาแล้ว นี่ละวิ่งตาลีตาเหลือกเพราะกลัวไอ้รูปร่างที่จะตาย ตัวตนที่จะตาย..เห็นไหม? ยึดมั่นถือมั่นแต่ในรูปลักษณ์ที่จับได้ แต่ส่วนที่ใจที่ชอกช้ำ ตัวตนนี้มันเจ็บปวดหรือเปล่า? จะเป็นโรคเอดส์ก็ตาม จะเป็นโรคมะเร็งก็ตาม ตัวตนนี้มันเจ็บปวดหรือเปล่า? เปล่า ”ใจ” ต่างหากเจ็บปวด นั่นละช่วยไม่ได้ มีหนทางอันประเสริฐแล้วแต่ก็ยังไม่ปรารถนาเดิน ก็ไม่มีใครที่จะผลักให้เดินได้ นอกจากจิตของตนเองเท่านั้น ที่จะนำมาใคร่ครวญและก็เลือกทางเดินเอง แต่พูดได้ว่านี่คือ หนทางอันประเสริฐที่ผู้เป็นมนุษย์หวังที่จะเดิน
ธรรมะสวัสดีค่ะ