แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
...เมื่อเช้านี้เราก็ได้พูดถึงช่วงแรกของชีวิตในเรื่องของการศึกษา ความสำคัญของการศึกษาต่อชีวิตนะคะ แล้วก็ได้พูดถึงว่าการศึกษาที่สมบูรณ์นั้นก็ต้องดูตัวเองด้วยตัวเอง ดูเข้าไปข้างในตัวเองจนเห็นตัวเอง และก็สามารถรู้จักตัวเองพร้อมทั้งวิจัยวิจารณ์ตัวเองได้ เมื่อรู้จักวิจัยวิจารณ์ได้ ก็จะสามารถขัดเกลาตัวเองให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นการศึกษาที่เราจะจัดให้แก่เด็กหรือเยาวชน จึงควรจะต้องจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ตามธรรมชาติของชีวิตของมนุษย์ นั่นก็คือให้มีการศึกษาที่พร้อมทั้งแก่ฝ่ายกายและฝ่ายจิต นอกจากนี้ก็ต้องรู้จักใช้ธรรมชาติเป็นสถานที่ศึกษา ถ้าเราสามารถใช้ธรรมชาติเป็นสถานที่ศึกษาได้เท่าใด ก็จะสามารถเข้าถึงหัวใจของการศึกษาได้เร็วยิ่งขึ้น และก็ไม่รู้สึกว่าเป็นการฝืนหรือเป็นการบังคับตัวเองด้วย
คำว่า ธรรมชาติ ก็อาจจะนึกถึงธรรมชาติภายนอกเหมือนอย่าง ธรรมชาติภายนอกล้อมรอบตัวเราในขณะนี้ ก็จัดว่าเป็นธรรมชาติที่ส่งเสริมการศึกษาในทางจิตเป็นอย่างยิ่ง แต่ทว่าถ้าหากว่าท่านผู้ใดมีความรู้สึกว่าไม่สามารถจะไปหาสถานที่ สิ่งแวดล้อมที่ให้เป็นสิ่งที่ช่วยเพื่อเสริมสร้างการศึกษาทำนองนี้ได้ ก็ใช้ธรรมชาติที่เรามีอยู่ในตัวเราแล้วนี่แหละค่ะมาเป็นเครื่องมือในการศึกษา นั่นก็คือรู้จักใช้เครื่องมือการศึกษาที่ธรรมชาติให้มาติดเนื้อติดตัวอยู่ ใช้ให้มันเกิดประโยชน์ แล้วถ้านักการศึกษารู้จักใช้เครื่องมือการศึกษา หรืออุปกรณ์การศึกษาที่ธรรมชาติให้มา อาจจะช่วยประหยัดงบประมาณเป็นอันมากทีเดียว ประหยัดงบประมาณ ประหยัดสถานที่ ประหยัดความลำบากในการที่จะต้องไปสรรหาอุปกรณ์การศึกษาข้างนอก อุปกรณ์การศึกษาข้างในที่ธรรมชาติให้มาที่มีอยู่แล้วก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เห็นด้วยไหมคะ ว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่คือเครื่องมือการศึกษาที่ธรรมชาติให้มา จริงไหมคะ จะเป็นการศึกษาที่โรงเรียน หรือสถาบันการศึกษาใดก็ตาม ถ้าหากว่าปราศจากเครื่องมือหกอย่างนี้แล้ว การศึกษาข้างนอกที่จะเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ แพทยศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ หรือศาสตร์อะไรต่ออะไร คงจะเป็นไปได้ยากอย่างยิ่งทีเดียว ผู้ที่มีความพิการของอวัยวะหกอย่างคือ อินทรีย์หกทางใดอย่างหนึ่งก็มีความลำบากในการที่จะศึกษา เพราะขาดเครื่องมือธรรมชาติไป
เพราะฉะนั้นเมื่อมีแล้ว มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ ก็จงใช้มันเป็นเครื่องมือทางการศึกษาให้เกิดประโยชน์ที่สุด เช่น ใช้ตา ตาเพื่ออะไร ตาเพื่อดู เรามีตาเอาไว้เพื่อดู เพื่อมองเห็นสิ่งต่างๆ แวดล้อมรอบตัว มองดูรูป เห็นรูป รูปนั้นอาจจะออกมาเป็นรูปของวัตถุ เป็นรูปของคน เป็นในลักษณะของกิริยาอาการท่าทาง หรือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นกิจกรรม มีหลายอย่างก็รู้จักใช้ตา ตานั้นประกอบกับสัมมาทิฐิที่ได้พยายามพัฒนาให้เกิดขึ้นแล้ว ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์จากรูปที่เห็น ไม่ว่าจะเป็นลักษณะใด จะเป็นรูปในทางวิชาการ ก็จะรู้เรื่องวิชาการในการทดลองวิชาวิทยาศาสตร์ หรือบทเรียนคณิตศาสตร์ หรือภาษาไทยภาษาอังกฤษได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ทำไมถึงว่าชัดเจนแจ่มแจ้งแล้วก็รวดเร็วด้วย เพราะในขณะนั้นจิตที่เป็นสัมมาทิฐิประกอบด้วยมันสมองที่มีอยู่แล้ว ก็จะมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทางตานั้นอย่างชนิดที่ว่าสิ่งใดเป็นเนื้อหาสาระเป็นประโยชน์ เก็บเกี่ยวสิ่งนั้นมา แต่จะไม่ไปคิดปรุงแต่งด้วยวิจิกิจฉาความลังเลสงสัย หรือด้วยการคาดคะเนนึก ด้วยการปรุงแต่งที่มันไกลออกไปจากตัวเนื้อหาของวิชานั้น ก็จะทำให้เป็นการทุ่นเวลา ประหยัดเวลา เช่นเดียวกับหู เมื่อฟังก็กรองเอาแต่สิ่งที่เป็นเนื้อหา ที่เป็นสาระสำคัญที่จะเกิดประโยชน์ ส่วนใดที่ไม่เกิดประโยชน์ กวาดมันทิ้งไปเสียแล้วก็ไม่ต้องไปปรุงแต่งตามทัศนคติ หรือตามทิฐิแห่งตน นี่คือการรู้จักใช้ ตา หู จมูก ได้กลิ่นหอม เหม็น ถูกใจไม่ถูกใจก็ให้มองเห็นความเกิดดับของมัน ความเป็นเช่นนั้นเองของมัน เมื่อจะใช้มันศึกษา ก็ใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษา ลิ้น กาย ใจ ก็เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกาย ถ้าเราจะใช้กายเป็นเครื่องมือให้ชัดเจน เท่ากับว่าเราได้ใช้ธรรมชาติที่ธรรมชาติให้มาเพื่อเป็นเครื่องมือในการศึกษา
อย่างที่พูดเมื่อกี้ ถ้าเราไม่สามารถจะหาธรรมชาติข้างนอกได้ ดูธรรมชาติข้างใน ตั้งแต่เส้นผมจนกระทั่งถึงเล็บเท้า ดูสภาพความเปลี่ยนแปลงที่มันเกิดขึ้นเหมือนกับธรรมชาติข้างนอก มันก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เมื่อเช้าเรามีความร้อนมากทางด้านหลัง ดวงอาทิตย์ส่องแสง บัดนี้ที่ร้อนกลับมาอยู่ข้างหน้าเห็นไหมคะ ผู้ที่นั่งข้างหน้าเมื่อเช้ายิ้มย่องผ่องใส อากาศเย็นสบาย ผู้ที่นั่งข้างหลังก็ค่อนข้างจะร้อน อึดอัด เห็นไหม อนิจจังไม่เที่ยง มันเกิดขึ้นทุกขณะเลย เกิดขึ้นทุกขณะตลอดเวลา ถ้าเราใช้มันเป็นเครื่องมือในการศึกษาอย่างนี้ เราก็จะไม่รู้สึกว่าปัญหาเกิดขึ้น แต่จะรับและจะพยายามแก้ไข คุณชีศันสนีย์ยืนอยู่นั่นกำลังพยายามที่จะหาทางแก้ไข ทำอย่างไรถึงจะให้เย็น ทำอย่างไรถึงจะหมดแสงแดด ได้พยายามอยู่ตลอดเวลา เท่าที่เราจะสามารถทำได้นะคะ เพราะฉะนั้นการที่จะให้การศึกษาให้ถูกต้องจนกระทั่งได้ผลสมตามจุดมุ่งหมายนั้น ก็หันมารู้จักใช้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เป็นเครื่องมือที่ธรรมชาติให้มานั้นให้ถูกต้อง ซึ่งเราจะพูดกันต่อไป สำหรับตอนนี้เพียงแต่เป็นการแนะนำเท่านั้น แต่ตลอดเวลาตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนกระทั่งถึงวันสุดท้าย เราจะพูดกันเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจบ่อยที่สุด เพราะมันเป็นเครื่องมือที่ธรรมชาติให้มา แล้วเราก็ใช้มันอยู่ทุกวี่ทุกวัน ไม่ว่าจะอยู่ในสถาบันการศึกษาอย่างเป็นทางการ หรืออยู่ตามลำพังเมื่อเราศึกษาด้วยตัวของเราเอง เราก็ยังต้องใช้มันอยู่ เพราะฉะนั้นเราก็จะเรียนรู้เรื่องของมันให้มากขึ้น เพื่อจะได้สามารถใช้มันได้อย่างถูกต้อง
ทีนี้ผลแห่งการศึกษาที่แท้จริง เราจะวัดผลหรือประเมินผลกันอย่างไร ในการศึกษาทางโลกก็มีการวัดผลประเมินผลกันด้วยการให้เกรดให้คะแนนว่าตก ผ่าน ได้ ได้ดี เป็นเกียรตินิยม นี่เรามีใบคะแนน เมื่อจบแล้วก็มีปริญญาบัตร ประกาศนียบัตรเป็นเครื่องวัด นี่เป็นผลการศึกษาจากภายนอก แต่สำหรับการศึกษาในความหมายของความรอดทางจิต และความรอดทางกายนั้น เราไม่อาจจะวัด หรือประเมินผลได้ด้วยประกาศนียบัตร หรือปริญญาบัตรใดใดทั้งสิ้น เราใช้ประเมินผลได้ด้วยวิธีเดียวเท่านั้นคือ มีปัญหาไหม มีปัญหายังเกิดขึ้นในจิตไหม จิตยังเป็นทุกข์หรือเปล่า ขณะนี้ทุกข์หรือเปล่า อึดอัดไหมคะ ไม่สบายเลย ยังไม่ผ่าน ถ้ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นก็ยังไม่ผ่าน แต่ถ้าสามารถมองเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของมันได้ ก็เรียกว่ากำลังผ่านแล้ว ในกรณีอย่างนี้ ฉะนั้นการวัดประเมินผลของการศึกษาในเรื่องของความรอดในฝ่ายจิต และก็ในฝ่ายวิญญาณนั้น ก็ด้วยความรู้สึกในใจ วัดเอาจากความรู้สึกในใจ ว่าใจขณะนี้มีปัญหาไหม มีทุกข์ไหม ถ้าสามารถผ่อนคลายปัญหา หรือความทุกข์ได้ นั่นก็คือการที่กำลังผ่านการสอบ และก็เมื่อผ่านการสอบถึงที่สุดก็คงจะได้เกียรตินิยม ในพุทธศาสนาก็มีปริญญาให้เหมือนกันนะคะ ได้ทราบแล้วใช่ไหมคะ ปริญญาของพระพุทธเจ้าก็มี และเป็นปริญญาสูงสุด เป็นปริญญาที่ดิฉันก็ยังพยายามทำการสอบศึกษาเล่าเรียนแล้วก็สอบ แต่ก็ผ่านบ้างตกบ้าง เก็บคะแนนมาเรื่อยๆ ตลอดเวลา แล้วปริญญาของพระพุทธเจ้า ท่านมีปริญญาเอกอยู่สามปริญญา ปริญญาเอกอันแรก ก็คือเป็นผู้ที่เป็นนายเหนือความโลภ โลภะ ปริญญาเอกที่สองก็คือเป็นนายเหนือความโกรธ โทสะ ปริญญาเอกที่สามก็คือเป็นนายเหนือความหลง คือโมหะ นี่คือปริญญาเอกของพระพุทธเจ้าซึ่งหายากเหลือเกินที่ผู้ใดจะสามารถได้รับปริญญาเอกจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะมันเป็นสิ่งที่ยากเย็นแสนเข็ญ จะวัดได้ วัดผลได้ด้วยการที่เมื่อความทุกข์ไม่ปรากฏ แล้วก็ความโลภ ความโกรธ ความหลงจะมายั่วยวนใจให้เป็นทาสของมันสักเพียงใด ก็ไม่สามารถเอาชนะใจนั้นได้
ทีนี้เมื่อพูดถึงเรื่องของการศึกษาในลักษณะนี้นะคะ ก็ค่อนข้างจะเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายใช่ไหมคะ ฟังแล้วมันน่าเบื่อหน่าย ยิ่งกว่านั้นบางท่านยังอาจจะเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ จะเป็นไปได้อย่างไร ปริญญาอย่างนี้หาไม่ได้ง่าย แล้วดิฉันก็เห็นด้วยว่าท่านทั้งหลายส่วนใหญ่จะรู้สึกอย่างนั้น ทั้งนี้ก็เพราะว่าเราไม่ได้มีการสร้างสิ่งแวดล้อม เราไม่ได้มีการสร้างบรรยากาศเพื่อส่งเสริมการศึกษาข้างใน เรามองไม่เห็นประโยชน์ของการศึกษาข้างใน เพราะอะไร ก็เพราะว่ามันเห็นคนเดียว มันไม่มีใครรับรองข้างนอก โดยสัญชาตญาณของมนุษย์นั้นอยากให้มีคนเขารับรองข้างนอก เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีคนรับรองข้างนอกก็เลยรู้สึกว่ามันไม่โก้ มันไม่มีเกียรติ มันไม่ชวนให้นึกอยากจะศึกษาวิธีนี้ ทำให้ฉันทะไม่เกิด การจะกระทำการสิ่งใดนั้นจำเป็นจะต้องมีฉันทะ ความรักความพอใจในสิ่งนั้นเสียก่อน เมื่อมีความรักความพอใจขึ้นแล้ว จึงจะมีความรู้สึกว่าอยากจะศึกษา นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ท่านผู้จัดการศึกษา ถ้าเห็นความสำคัญของการศึกษาข้างในเพื่อความรอด ความไม่มีปัญหาของทางจิตและทางวิญญาณคือทางสติปัญญา เพื่อความมีสิทธิ์ของความเป็นมนุษยชนอย่างถูกต้องอย่างเป็นสากล ก็จำเป็นที่จะต้องจัดสร้างบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมให้เด็กๆ มีฉันทะในการที่จะศึกษาในเรื่องของข้างใน
ฉะนั้นดิฉันก็พูดเรื่องของชีวิตมาโดยย่ออย่างคร่าวๆ นะคะ แม้จะพูดยาวแต่ก็ยังไม่ได้พูดให้ละเอียดทุกอย่างไป ถ้าเราจะสรุปว่าชีวิตคืออะไร เราจะมาสรุปคำถามด้วยคำถามว่า ชีวิตคืออะไร ตอบได้ทันทีไหมคะ ตอนนี้ตอบได้ทันทีไหมคะว่า ชีวิตคืออะไร คือสิ่งที่ต้องพัฒนา ถ้าเราบอกตัวเราเองไว้อย่างนี้มันจะเป็นกำลังใจ เมื่อใดที่เกิดความเหี่ยว แห้ง หม่นหมอง อ่อนเปลี้ย สิ้นกำลังใจ หรือบางทีเกิดความรู้สึกว่าเราได้ทำอะไรผิดพลาดในชีวิตนี้ แล้วก็มีความรู้สึกละอายแทบจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ มองหน้าใครไม่ได้ ไม่น่าเลย ก็อย่าเพิ่งสิ้นกำลังใจ ถ้าเรานึกว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา แล้วก็พัฒนาได้ด้วย ด้วยการศึกษาที่ถูกต้องเหมือนดังที่เราพูดมา มีกำลังใจไหมคะ กำลังใจเกิดขึ้นไหม มันเกิดขึ้นทันที มันพร้อมที่จะลุกขึ้นยืน ยืนอย่างยืดอกสง่าผ่าเผยแล้วก็ลงมือกระทำในสิ่งที่เราถูก ที่เราเห็นแล้วว่าถูกต้อง และใช้ได้ เพื่อแก้ร้อน จะเล่านิทานเซน (Zen) ให้ฟังสักเรื่องหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นอุทาหรณ์และก็ส่งเสริมคำพูดที่ว่า ชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาแล้วก็พัฒนาได้
บางท่านอาจจะเคยฟังนิทานเซน (Zen) เรื่องนี้มาแล้วก็ได้นะคะ เขากล่าวถึงเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งก็มีเชื้อสายของซามูไร คือของนักรบของญี่ปุ่นเขานะ แต่ทว่าเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ในทางชนบท พูดง่ายๆ ก็คือว่าพ่อแม่เป็นชาวชนบท แล้วก็อยากจะให้ลูกคนนี้ได้มีความรู้ ได้มีโอกาสได้ศึกษามากขึ้น ก็ส่งมาอยู่ที่บ้านของขุนนางผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นซามูไรมีชื่อแล้วก็ได้เคยรู้จักกัน แล้วก็ขุนนางผู้นี้ก็ยอมรับให้มาอยู่ในบ้านเพื่อช่วยเหลือการงานในบ้าน คล้ายๆ กับกึ่งคนรับใช้ แล้วก็อีกกึ่งหนึ่งก็ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนไปด้วย เด็กหนุ่มคนนี้ก็หน้าตาดี ถ้าพูดอย่างคำไทยๆ ก็รูปร่างหล่อเหลา เป็นที่ถูกตาของเพศตรงกันข้าม แล้วเผอิญเพศตรงกันข้ามที่ติดตาติดใจต้องใจในหนุ่มน้อยคนนี้เผอิญเป็นภรรยาของขุนนางซามูไรคนนั้นเอง ที่จิตใจไม่ค่อยจะตรง ไม่ค่อยจะมั่นคงซื่อตรงต่อสามี แล้วก็เป็นผู้ใหญ่กว่า เป็นผู้หญิงที่มีประสบการณ์ในเรื่องอย่างนี้ เพราะฉะนั้นก็คงจะได้ใช้กลวิธีอย่างที่เขาว่าร้อยเล่มเกวียนก็ว่าได้ ผลที่สุดเด็กหนุ่มคนนั้นก็เลยกลายเป็นอยากจะเรียกว่าเป็นเครื่องมือมากกว่าเป็นคู่รัก แต่อย่างไรก็ตามโดยสรุปก็คือกลายเป็นชู้ของคุณนายผู้หญิงของบ้านนั้น ก็เด็กหนุ่มคนนั้นตลอดเวลาก็มีความรู้สึกว่าตัวได้กระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่รสชาติของกามารมณ์หรือของกามคุณในเรื่องทางเพศนี้ท่านก็ว่ามันรุนแรงนัก มันเอร็ดอร่อยนัก จนกระทั่งบางลัทธิเขาถือเอาว่า การบรรลุความสัมฤทธิ์ผล ความสุดยอดของทางกามารมณ์นี่เขาถือว่านี่เป็นความบรรลุในทางลัทธิของเขา ซึ่งความเป็นจริงมันไม่ใช่ เพราะมันเป็นการตกอยู่ภายใต้ความเอร็ดอร่อยของกามารมณ์
ฉะนั้นเด็กหนุ่มคนนี้ถึงแม้จะรู้ว่ามันไม่ดีงามถูกต้อง แต่ก็ไม่สามารถจะดึงใจออกมาได้ ก็คงประกอบกิจกรรมด้วยกันอย่างนี้เรื่อยไปจนวันหนึ่งก็เป็นที่รู้เห็นแก่ขุนนางเจ้าของบ้านผู้เป็นสามี ซึ่งก็แน่ละนะคะ ต้องโกรธขัดเคืองเจ็บใจเพราะมันเป็นการลบหลู่เกียรติยศศักดิ์ศรี ฉะนั้นวันหนึ่งนี่ขุนนางผู้นั้นก็จับได้ เรียกว่าจับได้คามือ ก็ชักดาบออกมา ก็แน่ละเป็นซามูไรที่มีประสบการณ์มากกว่า เมื่อฟาดฟันกันได้ไม่กี่ที เด็กหนุ่มคนนี้ก็ทำท่าจะเสียที ข้างภรรยาผู้นั้นก็ทำแบบนางโมรา ก็ใช้วิธียื่นดาบขัดขาจนกระทั่งเด็กหนุ่มคนนั้นก็ป้องกันตัวฟาดฟันไปถูกขุนนางผู้นั้นสิ้นชีวิต ก็รู้สึกทั้งสองคน ทั้งผู้หญิงผู้ชายว่าตนได้กระทำสิ่งที่เป็นอาชญากรรม และก็น่ากลัวอย่างยิ่ง ก็หาหนทางหนี ก็พากันหนีไปทั้งสองคน แต่หนีไปอยู่ด้วยกันไม่นานสักเท่าใด เด็กหนุ่มก็เริ่มรู้สึกว่าความสุขหรือว่ารสชาติที่เอมโอชจากเรื่องอย่างนี้มันไม่ทนทานเลย มันเป็นอยู่ได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น และผู้หญิงคนนั้นก็แสดงถึงความไม่อิ่มความไม่พอในเรื่องอย่างนี้ให้เห็นอยู่เรื่อยๆ จนผลที่สุดเด็กหนุ่มซึ่งมีพื้นฐานหรือธรรมชาติของความดีงามอยู่ในใจไม่น้อยทีเดียว ก็เลยตัดสินใจแยกทางกับผู้หญิงคนนั้นไป เมื่อแยกทางแล้วก็ต้องหนีไปอีกไกลเลย หนีไปไม่ให้พวกญาติพี่น้องหรือลูก ลูกชายของขุนนางผู้นั้นนี่ค้นพบได้ เพราะเกิดมาเป็นผู้ชายนั่นนะคะ ก็ลองนึกดูเถิด แล้วซามูไรนี่เขาถือเกียรติยศถือศักดิ์ศรีมากน้อยเพียงใด แล้วมาประกอบกรรมคือการกระทำอย่างนี้ ที่เขาถือว่าเป็นสิ่งที่น่าบัดสี เป็นสิ่งที่เสียศักดิ์ศรีของความเป็นลูกผู้ชาย มองดูหน้าใครก็ไม่ได้ ยิ่งในยุคที่ศีลธรรมมีความเข้มงวดหรือว่าธรรมะยังคุ้มครองครอบงำอยู่ในใจของมนุษย์ เรื่องอย่างนี้ก็เป็นเรื่องที่เลวทราม อย่างชนิดที่ให้อภัยกันไม่ได้ เกือบจะไม่มีแผ่นดินอยู่ว่าอย่างนั้นเถอะ
เพราะฉะนั้นนายหนุ่มคนนี้ก็ซอกซอนหนีไปจนกระทั่งไปอยู่ที่เมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง เผอิญลืมชื่อเมืองนั้นนะคะ นี่เขาบอกเป็นเรื่องจริงนะคะ แต่ว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นหลายร้อยปีมาแล้ว เมืองนั้นเป็นเมืองชนบทเล็กๆ แล้วก็พวกชาวพื้นเมืองนั่นก็มีการคมนาคมติดต่อกับอีกเมืองหนึ่งด้วยความลำบากยากเย็นมาก เพราะว่ามีภูเขาสูงชันกั้นกลางอยู่ เวลาที่จะเดินนี่จะต้องเดินเลียบภูเขาซึ่งมีไหล่เขาอยู่แคบนิดเดียว แล้วก็ในขณะที่เดินพวกชาวบ้านเดินไปตามไหล่เขาเพื่อจะไปติดต่อในเรื่องการซื้อขายอาชีพกับพลเมืองอีกด้านหนึ่งนั้น เวลาฝนตกก็ลื่นแล้วก็เสียชีวิตกันอยู่ไม่น้อยเลย เวลาธรรมดาแดดออกอย่างนี้ ก็แน่นอน ร้อน เรียกว่าเป็นระยะทางที่เสี่ยงอันตราย นายหนุ่มคนนี้ก็มาถึงเมืองนี้แล้วก็ไปแอบซ่อนอยู่ในคล้ายๆ กับเป็นถ้ำเล็กๆ แห่งหนึ่ง แล้วก็ออกมาหาอาหารตามแต่จะได้ เพราะเป็นเมืองที่ไม่มีใครรู้จัก เขาก็ไม่รู้ประวัติ นายคนนี้ก็นึกถึงชีวิตของตัวเองว่า ทำไมจึงเป็นชีวิตที่ต่ำต้อยอย่างนี้ และความต่ำต้อยนี้ก็ไม่มีใครทำให้ เราทำของเราเอง เราหวังที่จะมาศึกษาเพื่อให้ชีวิตของเรานี้ เป็นชีวิตที่ก้าวหน้าด้วยความรู้ ด้วยประสบการณ์ ด้วยสติปัญญา แล้วก็มีเกียรติ มีศักดิ์มีศรีเหมือนคนอื่น แล้วทำไมมันถึงได้กลายเป็นชีวิตที่ต่ำต้อย มองหน้าใครไม่ได้ รูปร่างก็ยังแข็งแรงมีเรี่ยวมีแรงเพราะเป็นเด็กหนุ่ม เขาเข้าใจ เขาก็คร่ำครวญคิดอยู่อย่างนี้ แม้ว่าจะมีความเจ็บปวดเมื่อสำนึกบาปขึ้นมาได้ ก็พยายามคิดว่าทำอย่างไรถึงจะสามารถทำอะไรเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ อย่างน้อยก็ตอบแทนบุญคุณข้าวปลาอาหารที่เขาให้ทานกิน แล้วก็ทำให้ความรู้สึกว่าความมีค่าของความเป็นมนุษย์ของตัวเองนี่เกิดขึ้นมาในใจได้บ้าง เขาคิดไปคิดมาเขาก็มองเห็นความยากลำบากของการติดต่อในระหว่างเมืองของชาวชนบททางด้านนี้
แล้วเขาก็คิดแล้วก็บอกมีหนทางเดียวคือการต้องขุดอุโมงค์ ขุดอุโมงค์ให้ทะลุเขาจากด้านนี้ไปทะลุอีกด้านหนึ่ง นั่นแหละพวกชาวเมืองถึงจะได้มีโอกาสเดินติดต่อระหว่างเมืองได้อย่างสบาย เขาไม่มีเครื่องมือ เขาไม่ใช่วิศวกร ไม่ใช่กรมทาง ไม่สามารถจะไปหาเครื่องมือที่ไหนได้ เขาก็หาเครื่องมือตามแต่จะหาได้ เสียม มีด จอบ เพราะเขาใช้เพียงเท่านี้ ค่อยๆ ทำไป ทำไป โดยไม่หวัง โดยไม่หวังว่าการที่จะขุดภูเขาทั้งภูเขาให้ทะลุเป็นอุโมงค์นี่ มันจะใช้เวลานานสักเท่าใด และมันจะเป็นไปได้เหรอ แต่นายหนุ่มคนนี้เขาไม่คิด จะเป็นไปได้หรือไม่จะเสร็จเมื่อไรไม่สำคัญ แต่สำคัญที่ว่า ลงมือทำเดี๋ยวนี้ เขาก็ก้มหน้าก้มตาทำ ขุดไปทีละเล็กละน้อยด้วยมือสองข้างของตัวเอง ใครๆ ชาวบ้านที่มาเห็นก็บอกว่า คนนี้มันบ้า มันทำงานอย่างชนิดที่เป็นงานที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นไปได้ก็มหัศจรรย์เหลือเกิน เขาก็ทำไป ปีหนึ่งผ่านไป สามปี ห้าปี สิบปี ยี่สิบปีผ่านไป จนกระทั่งวันหนึ่งนายคนนี้ นายหนุ่มน้อยคนนี้ก็กลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว เป็นหนุ่มใหญ่วัยกลางคน แล้วก็มีหนุ่มอีกคนหนึ่งมาที่อุโมงค์ที่กำลังขุดแห่งนี้ มาถึงเขาก็แสดงตัวว่าเขานี่แหละคือลูกชายของซามูไรขุนนางผู้นั้น แล้วเขาก็ได้พยายามติดตามนายคนนี้มานานเหลือเกินด้วยความเจ็บใจที่จะมากู้ศักดิ์ศรีของตระกูลของเขานี่ให้กลับคืนมา ที่เขาจะต้องฆ่านายซามูไรที่ทำผิดมาเป็นชู้กับแม่ของเขานี่ให้จงได้
นายซามูไรคนแรกนี่ คนที่ได้ทำความผิด นายซามูไรผู้ใหญ่นั่นนะ ก็บอกว่าเขาเต็มใจที่จะให้หัวของเขานี่ต่อลูกชายของขุนนางผู้สิ้นชีวิตไปแล้ว เพราะเขารู้ว่าเขาได้กระทำการที่ไม่สมควรเลย เป็นสิ่งที่น่าอับอายไม่สมควรแก่ศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย ยิ่งศักดิ์ศรีของซามูไรไม่ต้องพูดถึง เขาพร้อมที่จะให้หัว ให้ตัดหัวเมื่อใดก็ได้ แต่บัดนี้อุโมงค์ที่เขาขุดนี่มันเป็นเวลาผ่านมาเกือบสามสิบปีแล้ว แล้วคะเนจากผลงานที่ทำนี่ คาดว่าอีกสักสองสามปีก็คงจะทะลุ ก็คงจะทะลุถึงด้านโน้นเป็นแน่เลย เพราะฉะนั้นอย่างไรเสียเพื่อเห็นแก่งานที่เขาทำที่ไม่ใช่เพื่อตัวเขาเอง แต่เพื่อเพื่อนมนุษย์เพื่อชาวเมืองนับจำนวนไม่ถ้วนให้ได้รับความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตของเขาต่อไป ขอเวลาเขาหน่อยได้ไหม วันใดที่อุโมงค์ทะลุ เขาพร้อมที่จะให้ตัดหัวเขาทันที นายคนนั้น นายลูกชายของขุนนางเขาก็เป็นซามูไรเหมือนกัน มีสปิริต (Spirit) เขาก็บอกว่า เอาเถอะ ยอม ยอมให้ แล้วเขาก็เฝ้าดูอยู่นั่นคือกลัวหนี ก็เฝ้าดูอยู่ตลอดเวลาว่านายคนนี้มันจะทำงานจริงไหม หรือมันจะคิดทรยศอะไร เฝ้าอย่างระมัดระวัง ดาบนี่ไม่ให้หลุดจากมือเชียว ก็เฝ้ามองดูทั้งกลางวันกลางคืน เป็นวัน เป็นอาทิตย์ เป็นเดือน ก็ไม่เห็นเขาทำอะไรที่จะแสดงว่าหนีหรือจะคิดทำร้าย ไม่มีเลย มีแต่ก้มหน้าก้มตาขุดอุโมงค์ไปอยู่เรื่อยตลอดเวลา
ทีนี้ข้างนายหนุ่มน้อยลูกชายที่ตามมา ก็นั่งๆ นอนๆ คอยอยู่ก็เกิดรำคาญ เพราะเป็นคนหนุ่มแล้วก็เป็นคนว่องไวกระฉับกระเฉง แล้วก็ต้องเป็นคนที่มีความเป็นลูกผู้ชายอยู่ในใจเหมือนกัน เขาก็นึกว่าจะมามัวคอยอยู่อีกตั้งนาน ตั้งเป็นปีๆ ก็ช่วยกันทำงานเสียเป็นไร คือช่วยขุดอุโมงค์เสีย มันจะได้เสร็จเร็วๆ เข้า และจะได้ตัดหัวให้เร็วๆ แล้วมันจะได้เสร็จเรื่องกันไปเสียที การแก้แค้นเรียกร้องคืน ผลที่สุดก็ลงมือช่วยขุดจากหนึ่งแรงเป็นสองแรง แทนที่จะเสร็จภายในห้าปี มันก็เสร็จได้ภายในสามปี พอถึงวันที่อุโมงค์ทะลุออกเป็นทางเดินต่อกันได้อย่างสบาย นายซามูไรผู้ใหญ่นั่นก็วางเครื่องมือทุกอย่างลงแล้วก็นั่งคุกเข่า แล้วก็ก้มศีรษะให้กับนายซามูไรหนุ่มน้อยคนนั้น ก็บอกว่าบัดนี้ถึงเวลาแล้ว พร้อมที่จะให้ตัดหัวเขาได้ นายซามูไรหนุ่มน้อยนั้นก็ทำท่ายกดาบจะตัด เสร็จแล้วเขาก็วางลง แล้วเขาก็ก้มลงกราบ ก้มลงกราบนายซามูไรผู้ใหญ่แล้วก็พูดทั้งน้ำตาว่า ข้าพเจ้าจะตัดหัวหรือจะตัดศีรษะของผู้ที่เป็นอาจารย์ของข้าพเจ้าได้อย่างไร และเรื่องนี้ก็จบและเป็นเรื่องจริง ในหนังสือที่เขาเล่าเขาบอกเป็นเรื่องจริง เข้าใจไหมคะ
ทำไม? ทำไมเขาถึงตัดหัวไม่ได้ แล้วมิหนำซ้ำกลับมาเรียกนายซามูไรคนนี้ว่าเป็นอาจารย์ จะตัดศีรษะอาจารย์ของข้าพเจ้าได้อย่างไร คนซึ่งเขาตามมาเพื่อจะฆ่า เพราะว่าเป็นชู้กับแม่ของเขาทำให้เสื่อมเสียเกียรติยศของวงศ์ตระกูล มิหนำซ้ำยังฆ่าพ่อเสียอีกด้วย แต่บัดนี้เขาบอกว่า เขาเรียกว่าเป็นอาจารย์ อาจารย์อะไร เป็นอาจารย์อะไร อาจารย์ทางไหน ให้อะไรกับเขา เขาถึงเรียกว่าเป็นอาจารย์ ซื่อสัตย์ค่ะอันหนึ่งนะ มีความซื่อสัตย์ มีความซื่อตรง ถึงแม้เขาจะได้ประพฤติผิด ได้กระทำผิดครั้งหนึ่งในชีวิต เป็นความผิดที่ร้ายแรง แต่เขาก็มีสัจจะ สัจจะที่ว่าขอทำงานนี้ให้เสร็จ แล้วก็สัจจะที่พร้อมจะชดใช้ให้ ให้หัวให้ศีรษะตามที่ต้องการ นอกจากนี้สิ่งที่ชายหนุ่มน้อยคนนี้ได้เรียนรู้จากคนที่เขาเรียกว่าอาจารย์ เขาเรียนรู้อะไร การทำงานด้วยมือ เขาบอกว่าระยะทางนั้นหลายร้อยกิโลเมตรนะคะที่เขาขุดอุโมงค์นี่ จะห้าร้อยกว่ากิโลเมตร หรืออะไรดิฉันจำไม่ได้แล้ว ขอโทษ ไม่ใช่ กิโลเมตร เป็นเมตรนะ เป็นเมตร ไม่ใช่กิโลเมตร แต่ว่าขุดด้วยมือ เพราะฉะนั้นนี่มันเป็นเวลานานแล้วก็เป็นงานที่ต้องใช้ความอดทนอย่างยิ่ง ผู้ที่ทำงานนี้ ลองนึกดูนะคะ เราทำงานอันนี้มีใครเห็นไหม มีใครยกย่องไหม มีใครยอมรับไหม มีกองเชียร์ไหม ไม่มีเลย มีแต่เขาพากันบอกว่า ไอ้นี่บ้า มาทำอะไรอยู่คนเดียว งานอย่างนี้เป็นไปไม่ได้ แต่ก้มหน้าก้มตาทำ เสียกำลังใจไหม ไม่เสียกำลังใจเลย เพราะเขารู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเพื่อตัวเขาหรือเปล่า ไม่ได้เพื่อตัวเขาเลยแต่เพื่อเพื่อนมนุษย์ แม้ชีวิตของเขาจะดูเหมือนไม่มีค่า ต่ำต้อย เป็นชีวิตที่ดูเหมือนไม่มีความหวัง ไม่มีอนาคตในชีวิต แต่ก็ช่างเถอะ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ มีกายมีใจเป็นชีวิตอยู่ ก็จะต้องใช้กายใช้ใจนี้ให้มันเกิดประโยชน์ ให้คุ้มแก่การที่เป็นมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ และเขาก็ก้มหน้าก้มตาทำ ลองคิด หรือลองคาดคะเนนะคะว่าในขณะที่เขาทำงานนี่ เขามีความทุกข์ไหม มีความทุกข์กับการทำงานไหม เหมือนอย่างคำถามบางคำถามที่ดิฉันได้รับในวันนี้...