แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เวลาที่เหลือนี้ก็ขออนุญาตตอบคำถามต่ออีกนิดนะคะ เชิญพลิกเนื้อ พลิกตัว ตามสบายจะได้ไม่เมื่อย ถ้าคำถามใดซ้ำกับคำถามที่มีมาแล้วขออนุญาตผ่านนะคะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา
เซนและพระพุทธศาสนาเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ก็พูดได้ว่า เซนก็เป็นพุทธอย่างหนึ่ง จุดหมายปลายทางหรือเป้าหมายของการปฏิบัติแบบเซนก็เพื่อความว่าง คือหมายความว่าให้จิตนี่ถึงซึ่งความว่าง ความว่าง ก็คือสุญญตา แล้วก็ในฝ่ายของเราในประเทศไทยก็เป็นพุทธศาสนาแบบเถรวาท นั่นก็คือชำระจิตให้จิตเกลี้ยงเกลาจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน ก็คือผลที่สุดจิตก็ว่าง เย็น เป็นนิพพานเช่นเดียวกัน แต่วิธีการของการสอน ท่านผู้ใดที่ได้สนใจในเรื่องของเซนมาบ้างก็จะเห็นว่าเขามีวิธีสอนอย่างรวบรัดมาก แล้วก็เขาไม่มาสอนไม่มาพร่ำพรรณนาพูดมากอย่างนี้ เขาจะมีแต่วิธีลัด ถ้าสมมุติว่ามานั่งปฏิบัติธรรมกันเขาก็ไม่มาเอาใจใส่ คอยบอก คอยทะนุถนอม เค้าบอกว่าทำอย่างนี้ก็ทำ ทุกคนต้องนั่งไป แล้วถ้าหากว่าใครโงก ใครขยุกขยิก เขาก็มีผู้คอยตรวจตรา จะถือไม้อยู่อันหนึ่ง พอขยุกขยิกเค้าก็มาโค้ง โค้งเสร็จเค้าก็ควัก ควักเสร็จเค้าก็โค้ง แล้วคนที่ถูกควักก็ต้องโค้งตอบด้วย คือนี่เป็นข้อรู้กันซะก่อนว่าการปฏิบัติแบบเซน คืออย่างเนี้ย เตือนอย่างเนี้ย เตือนอย่างนี้ก็ตื่นทันที แล้วก็ระมัดระวังตัวเอง แต่ของเราน่ะขนาดนี้ก็โอย..เหลือหลาย เรียกว่าลำบากเหลือเกินแล้ว ที่จริงแล้วยังไม่ได้เศษหนึ่งส่วนร้อยของเซนเค้าเลย และนอกจากนั้นวิธีสอนของเขา เขาก็จะให้แบบที่เรียกว่าโกอาน คือเป็นปริศนาธรรมมาซักเรื่องหนึ่ง แล้วก็เอาไปคิด พอคิดได้ก็สว่างโพลง ตัวอย่างก็เหมือนอย่างที่เล่านิทานเซน ที่พระภิกษุที่ไปเรียนถามท่านโพธิธรรม ที่ขอให้ช่วยชำระจิตให้หน่อย ให้ช่วยสอนให้หน่อย จะตัดแขนท่าน ตัดแขนของตัวเองชูให้ดูเพื่อแสดงถึงความจริงใจ พอท่านหันมาดูด้วยความสงสารก็เห็นใจ ก็บอกว่าช่วยชำระจิตให้หน่อย ให้สะอาดและท่านก็บอกว่า ก็ไหนล่ะส่งจิตมาสิ จะชำระให้ ท่านองค์นั้นก็ แต่ต้องได้ปฏิบัติมาสมควรแล้วนะคะ เอามาใคร่ครวญดู มองดู จิตไม่มี ไม่มีอะไรจะส่งให้ อ้าว ไม่มีก็หมดเรื่องแล้วสิ จบแล้ว ว่างแล้ว ของเราว่างไหม โอย พูดกันมาตั้งเท่าไรจนเหน็ดเหนื่อยเหลือเกินแล้วยังไม่ถึงความว่างซักที แต่ของเซนเค้าอย่างนั้น อย่างปฏิจจสมุปบาทของเรานี่ค่ะ ถ้าจะว่าแล้วก็คือเป็นการอธิบายที่จะบอกว่า ถ้าทำได้อย่างนี้ทุกข์หมด ทุกข์สิ้น นั่นก็คือจิตถึงซึ่งความว่าง ว่างที่สะอาด สว่าง สงบ แล้วก็ปราศจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน แต่พร้อมจะได้ สติ สมาธิ ปัญญา ฉะนั้นจุดหมายปลายทางก็เหมือนกันแต่วิธีการสอนนั้นต่างกัน ของเขาลัดสั้นมากกว่ามาก
ปลวกขึ้นบ้านจะทำอย่างไร ไม่กำจัด หรือมอดอยู่ในข้าวสาร ซาวข้าวมอดเหล่านั้นก็ตาย ทำอย่างไรถึงจะรักษาศีล
ท่านสอนให้ป้องกัน ในทางธรรมะนี่นะคะท่านสอนให้ป้องกัน เพราะฉะนั้นก็ป้องกันมันซะก่อนอย่าไปปล่อยให้มันขึ้น ก่อนจะปลูกบ้านก็รู้จักใช้ยากันปลวกซะก่อน ข้าวปลาก็หมั่นเอามาปัด มาตากแดด มาดู อย่าทิ้งเอาไว้จนกระทั่งมันมอดขึ้น แล้วก็มาถามว่าทำยังไง นี่ก็เพราะว่าไม่รอบคอบมีความประมาทในการดำรงชีวิตประจำวัน ทางพุทธศาสนาท่านสอนให้ป้องกัน
นิพพานเกิดขึ้นได้เวลามีชีวิตอยู่ เมื่อตายไปแล้วทั้งผู้ที่ได้นิพพานหรือไม่เคยนิพพานย่อมมีค่าเท่ากันคือขันธ์ 5 ไม่สมบูรณ์ ไม่มีความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น ดังนั้น เมื่อตายไปแล้วย่อมมีค่าเท่ากันหรือเหมือนกันในทุกคนคือไม่มีอะไรใช่หรือไม่ คือขันธ์ 5 ก็ไม่มี อาจจะมีชื่อเสียงหลงเหลืออยู่บ้างถ้าทำดี ถ้าทำชั่วคนก็ลืมๆไปหลังจากตายไปแล้ว
นี่เรียกว่าเข้าใจผิด ถ้าไปคิดอย่างนี้ไม่ต้องทำอะไรทำชั่วกับทำดีเท่ากันใช่ไหมคะ อย่างนี้ขอโปรดระมัดระวังเพราะมันจะเป็นมิจฉาทิฐิโดยไม่รู้ตัว ต้องระมัดระวังให้มากๆเชียว ในขณะที่ทำที่บอกว่าเดี๋ยวนี้นี่ ท่านพูดถึงเรื่องความทุกข์ พอใจไหมที่จะให้ชีวิตนี้ร้อนรน นี่เห็นไหม ถ้าเซนมันรู้เรื่องไปนานแล้ว นี่แบบเถรวาทไม่รู้เรื่องสักที ยังมาถามซ้ำอีกนี่ ก็ต้องพูดเรื่องความทุกข์อีก ร้อนไหมในขณะที่ทุกข์ ที่เรากำลังลืมตา หายใจอยู่นี่มันร้อนไหม มันไม่ไหวแล้วใช่ไหม จึงต้องรู้จักที่จะขัดเกลาจิตนี้ ให้มองเห็นว่าขันธ์ 5 เป็นธรรมชาติจริงๆ ไม่ใช่มาแกล้งคิดนึกเอาว่าขันธ์ 5 มันไม่มี นี่ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้อบรมเลย เรียกว่าเอาเปรียบ เอาเปรียบมาถึงก็จะมาเก็บผลเท่ากันไม่ได้ คิดซะใหม่ ใคร่ครวญซะใหม่ ศึกษาซะใหม่ตามที่ได้พูดกันแล้ว
พุทธเป็นวิทยาศาสตร์ เปรียบทุกคนมีสิทธิ์เป็นนักวิทยาศาสตร์ได้ ในสังคมไทยปัจจุบันมีใครบ้างที่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์แล้ว
ก็ท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่นี่ก็เป็นนักวิทยาศาสตร์กันได้ทั้งนั้นน่ะ จะเป็นหรือไม่เป็น จะไปหาคนอื่นทำไม หาที่ตัวเรานี่แหละค่ะ
การเฝ้าดูลมหายใจตามขั้นที่ 4 จับจุดได้ตรงรูจมูกช่องซ้ายได้ที่เดียว ถ้าจะให้สัมผัสทั้ง 2 ช่องจะจับไม่ได้เลยจะใช้สัมผัสแค่ช่องเดียวอย่างนี้ได้ไหม
ได้ ถ้าหากว่าสามารถจะเฝ้าดูรู้ลมหายใจทุกขณะที่ผ่านเข้าและออก
ลมหายใจสั้นละเอียดกับลมหายใจยาวละเอียดปรุงแต่งกายอย่างไรเพราะสังเกตไม่ได้
ก็ต้องลองทำใหม่ เราก็จะเห็นว่าสั้นละเอียดมันก็ปรุงแต่งกายสบายกว่าสั้นแรงหรือว่าสั้นถี่ซึ่งเป็นสั้นหยาบ แต่เมื่อเปรียบกับยาวละเอียด ยาวละเอียดมันก็ปรุงแต่งกายให้สบายได้มากกว่าเพราะระยะของลมหายใจนั้นมันอยู่ที่จะให้ความสบายได้มากกว่า ขอให้ลองปฏิบัติเองอีกนะคะ
มีบางสำนักสอนว่าการทำบุญกับพระกับวัดเป็นสิ่งที่จะให้บุญสูงที่สุดเพราะว่าพระเป็นบุคคลที่ประเสริฐ คำสอนนี้จริงหรือไม่
ก็มีในบทสวดมนต์ที่ว่าเป็นเนื้อนาบุญ คำว่าเนื้อนาบุญก็คงจะได้ฟังอธิบายแล้วใช่ไหมคะในเรื่องของบทสวดมนต์ เพราะฉะนั้นที่บอกว่าทำบุญกับพระกับวัดก็คือ เพราะว่า ถ้าพูดตามเนื้อผ้า พระภิกษุท่านก็ทรงศีล 227 วัดก็เป็นสถานที่ที่ให้ธรรมะแก่ผู้คน เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าไปวัดก็ย่อมจะได้รับการขัดขูดเกลากิเลสตามสมควร ก็ถือว่าวัดนั้นเป็นสถานที่ที่สืบพระศาสนา หรือว่าช่วยดำรงพระศาสนาอยู่โดยมีพระภิกษุเป็นผู้ดำเนินการ ท่านจึงบอกว่าเป็นบุญที่ประเสริฐ
ถ้าเปรียบเทียบวัดบางวัดที่ใหญ่โตหรูหรากับการทำทานกับผู้ยากไร้จริงๆในสังคม อย่างไหนน่าจะเป็นประโยชน์หรือให้ผลบุญมากกว่า
อันนี้ก็อยากจะขอให้พิจารณาเองนะคะโดยมีหลักว่าเราจะบริจาคทานเพื่ออะไร จะทานแก่บุคคลธรรมดาทั่วไปหรือแก่ผู้มีศีลก็ตาม เพื่ออะไร ก็เพื่อมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยเหลือดังที่พูดแล้วเมื่อตอนเช้าว่าจะใส่บาตรทำไม ทำใจอย่างไร นั่นแหละค่ะ เรามีหวังเพื่อช่วยเหลือ ครั้งแรกช่วยเหลือตัวเองให้ลด ละ ความเห็นแก่ตัวรู้จักแบ่งปัน จากนั้นก็ช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อที่จะให้ได้รับความสะดวกสบาย ช่วยผ่อนคลายความทุกข์สิ่งที่เป็นปัญหาแก่เขา ฉะนั้นถ้าหากว่าเราทำบุญแล้วมันตรงตามหลักการนี้ก็ทำ จะเป็นที่ไหนก็จงทำเถิด
วิเคราะห์เหตุไปผลหรือผลไปหาเหตุของความทุกข์ซึ่งอาจเป็นตัวอย่างดังนี้ อกหัก สอบตก บุพการีเสียชีวิตในเรื่องปฏิจจสมุปบาทโดยใช้ตัวอย่างเดียวจนครบวงจร
ขอให้วิเคราะห์เองเพราะว่าพูดเรื่องปฏิจจสมุปบาทมามากแล้ว ก็ดูสิความรู้สึกว่าอกหักหรือว่าสอบตก การสอบตกก็คือผัสสะ การอกหักก็คือผัสสะ การที่บุพการีเสียชีวิตก็คือผัสสะ ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ผัสสะนี้มีอิทธิพลทำให้เกิดเวทนา ก็ศึกษาดู
ขณะปฏิบัติในขั้นที่ 4 พอกำหนดจิตไป ลมหายใจกลับไม่ยอมสงบระงับ ลมหายใจกลับไม่ยอมสงบระงับขึ้นสงบน้อยลง น้อยลง จนเป็นลมหายใจธรรมดา แสดงว่ายังสงบระงับไม่ได้จริงๆใช่หรือไม่
ใช่ ต้องกลับไปเริ่มขั้นใด ถ้าหากว่ายังรู้สึกว่าพอ จะต่อในขั้นที่สี่ได้นะคะ ก็คงทำต่อไปทำใจเย็นๆให้มันช้า แล้วให้เป็นธรรมชาติ ไม่หงุดหงิด ก็ต่อไปขั้นที่ 4 แต่ถ้ารู้สึกมันหงุดหงิดอึดอัดก็กลับไปขั้นที่ 1
หากกำหนดจิตจดจ่อกับลมหายใจธรรมดาจะมีโอกาสพบความสงบหรือไม่
นี่เป็นวิธีทางลัด ก็มีโอกาสพบความสงบได้เหมือนกัน ถ้าหากว่าใจจดจ่ออยู่กับลมหายใจธรรมดาได้จริงๆนะคะ
พิจารณาปฏิจจสมุปบาทได้ความพยายามพบว่าพอผัสสะปุ๊บก็ทุกข์ทันทีไม่มีโอกาสคิดหรือรู้ตัวมาตามขั้นเลย เป็นอย่างนี้เราจับเอาทุกข์นั้นคิดย้อนกลับไปได้หรือไม่
ได้ค่ะ เพื่อจะได้เกิดความรู้ขึ้นมาว่าที่เมื่อกี้เราทุกข์แล้วเพราะอะไร พอมันทุกข์แล้วก็คือเวทนาแล้ว แล้วมันก็ไปตามลำดับจนทุกข์ ทีนี้อยากจะรู้ ทำไมนะมันถึงต้องทุกข์ ไม่ทันสักที ก็กลับย้อนมาคิดแบบที่้เรียกว่า ปฏิโลม คือจากผลมาหาเหตุ ดีมากเชียวค่ะ ถ้ารู้จักทำอย่างนี้จะชัดเจนในปฏิจจสมุปบาทยิ่งขึ้น
ผู้ที่ยังครองเรือนอยู่ย่อมไม่มีโอกาสพบพระนิพพานเป็นแน่
ไม่จริง ก็เราพูดกันแล้วเมื่อเช้าไง ถ้าหากเราพยายามฝึกปฏิบัติอย่างนั้น อย่างเบาะๆก็ตทังคนิพพานหรือวิกขัมภนนิพพานใช่ไหมคะ ค่อยทำไป หรือว่าพอปฏิบัติไปขั้นหนึ่งก็สละเรือนไปเอง เบื่อหน่ายไปเอง ดูเอาเองเถอะว่าเมื่อไรจะเบื่อหน่าย หรือพอเบื่ออย่างนี้มันก็ไปชอบอย่างนั้น เบื่ออย่างนั้นมันก็ไปชอบอย่างโน้น อย่างนี้ยังไม่เบื่อหน่าย
อุปกิเลส 16 มีอะไรบ้าง
มีอยู่ในหนังสือสวดมนต์หรือมิฉะนั้นก็มีอยู่ในหนังสือธรรมประมวลศัพท์ของท่านเจ้าคุณประยุทธ์นะคะ ไปเปิดดูนะคะ
ที่กล่าวว่าการปฏิบัติธรรมคือการทำหน้าที่ให้ถูกต้องจะพูดว่าให้สมบูรณ์นี่ยาก
คือมันต้องอธิบายคำว่าสมบูรณ์อีกนะคะ เรียกว่าเป็นการทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ถูกต้องโดยธรรมคือเกิดประโยชน์แก่งานแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยผู้กระทำก็ไม่มีทุกข์
ทีนี้สำหรับทหาร ตำรวจชายแดน ที่ต้องสังหารข้าศึกบุกรุกประเทศไม่ทราบว่าการฆ่ามนุษย์ตามหน้าที่เช่นนี้เป็นบาปหรือไม่หรือจะถือว่าเป็นการทำหน้าที่อย่างถูกต้อง
ก็อย่าลืมว่าองค์ของการผิดศีลมี 3 อย่าง นี่พูดตามเนื้อผ้านะคะ ทหารที่เข้ารบหรือตำรวจชายแดนที่เข้ารบมีเจตนาไหมที่จะฆ่าคนหรือว่าฝ่ายตรงกันข้าม มีเจตนาไหมที่จะฆ่าคนนี้ ตั้งใจจะฆ่าคนนี้ ไม่ได้มีเจตนา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นใคร บางทีเหมือนอย่างเกิดการกบฏขึ้นในเมือง พี่กับน้องอยู่คนละฝ่าย เข้ามาฆ่ากันโดยไม่ได้ตั้งใจจะฆ่ากัน เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงเจตนาโดยแท้จริงๆไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าคนนี้ของฝ่ายนี้ แต่เหตุปัจจัยมันเป็นอย่างนั้นในการกระทำหน้าที่ที่กำลังทำอยู่ เพราะฉะนั้น ถ้าจะถามว่าอย่างนี้จะถือว่าบาปไหม ก็ถ้าพูดถึงองค์ประกอบของการผิดศีลมันต้องประกอบด้วยสาม ถ้าจะพูดว่าการผิดศีล ศีลนี้ก็ยังไม่ผิดอย่างสมบูรณ์ เพราะเจตนาที่จะกระทำต่อคนนั้นไม่ได้เกิดขึ้น แต่ว่าต้องทำตามหน้าที่ในฐานะที่เป็นทหาร ที่นี้เราจะช่วยกันแก้ไขอย่างไรจะไม่ให้สงครามเกิดขึ้น การรบพุ่งเกิดขึ้นนี่มันก็ต้องย้อนกลับมาอีกที่ศีลธรรม ที่จริยธรรม ที่มีสงคราม คือ คนที่ก่อสงคราม ผู้ที่สั่งให้เกิดสงครามให้ทำสงครามกัน นั่นแหละคือยอดของความเห็นแก่ตัว เต็มไปด้วยอหังการ มมังการ ถือว่าฉันเก่งฉันมีอำนาจก็ส่งคนอื่นน่ะไปตาย ตายแทนตัว เพื่อให้ตัวได้สิ่งที่ต้องการ ฉะนั้น ก็หันกลับมาหาธรรมะอีกเห็นไหมคะ ความยึดมั่นถือมั่นในความเห็นแก่ตัวของตัวเองนี่แหละคือต้นเหตุของปัญหาทุกชนิดตั้งแต่เล็กๆจนกระทั่งถึงใหญ่ที่สุด ถึงการทำลายล้างซึ่งกันและกัน ก็อย่างที่เจรจาสันติภาพน่ะ ในอายุของเรานี่ กี่ครั้งแล้วที่ได้ยินมา สันติภาพไม่เคยเกิดขึ้นจริง เพราะคนที่ไปนั่งซัมมิททอล์กนั่นน่ะมันไม่ได้มีจิตใจเพื่อสันติภาพ จิตใจเพื่อจะเอาให้ได้อย่างที่ต้องการ แล้วสันติภาพจะเกิดขึ้นได้อย่างไร นี่ไม่ใช่พูดเล่นนะคะ พูดจริงๆ แต่พูดจริงๆอย่างนี้มันเห็นยากเพราะมันเป็นนามธรรม แล้วก็มันช้าไม่ทันใจคน แต่คนที่เห็นว่าช้านี่ ลืมไปนะคะว่า โอย... เราอีกไม่กี่ปีก็ตาย ลูกเรายังอยู่ไหม หลานเรายังอยู่ไหม เหลนเรายังอยู่ไหม แล้วสังคมมันจะเป็นอย่างเนี้ย คิดหรือว่าฉันเก็บเงินสะสมเงินมาให้ลูกมากมาย ลูกหนีไปอยู่เมืองนอกได้ แล้วเมืองนอกล่ะเป็นยังไง สุขสบายดีไหม ที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ นี่คนที่บอกว่าช้าไปไม่เป็นไร เอาไว้ก่อนไม่ช้าเราก็ตาย ลืม ลืมไปว่าลูกที่เป็นที่รักดั่งดวงตาดวงใจยังอยู่ หลานอีก เหลนอีก จึงไม่คิดที่จะสร้างสังคมที่ร่มเย็นเป็นสุขสงบไว้เพื่อลูกหลานเหลนของตัว แล้วเมื่อเราตายไปเราจะได้ภาคภูมิใจว่าลูกหลานที่อยู่ข้างหลังไม่สาปแช่งตามว่าทำไมถึงได้ทำให้สังคมมันเบียดเบียนร้ายกาจกันได้ถึงเพียงนี้ ไม่นึก
ในเรื่องทิฏฐุปาทาน ที่บอกว่าคือการยึดมั่นในความเห็นของตน ถ้าเรายึดมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าจะถือว่าเป็นทิฏฐุปาทานหรือไม่
ไม่ได้สอนให้ยึดมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านรับสั่ง แม้แต่ว่าธรรมะก็ไม่ต้องนับถือ ธรรมะนั้นใช้เป็นเพียงพ่วงแพ คือหมายความว่าเป็นเรือที่จะช่วยให้เราถึงฝั่ง แต่ถ้าหากผู้ใดจะยึดเรือนั้นไว้ ขึ้นฝั่งได้ไหม ก็ขึ้นไม่ได้ จะต้องติดอยู่กับเรือนั่นเอง แม้แต่ธรรมะก็ไม่ต้องยึดถือแต่รู้ว่า นี่คือธรรมะนี้ได้บอกว่าหนทางของชีวิตที่จะดำเนินอย่างถูกต้องคืออย่างไร เมื่อเห็นประจักษ์ชัดจากการทดลองดูแล้วก็ดำเนินตามนั้น เพราะฉะนั้น นี่ไม่ใช่ทิฏฐุปาทาน สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบก็ไม่ใช่ของพระองค์ เป็นของธรรมชาติ แต่พระองค์พบ พระองค์ก็มาบอก นี่แหละนะฉันรู้จักธรรมชาติอย่างนี้ จิตนั้นก็เยือกเย็นผ่องใส สะอาด สว่าง สงบได้ ฉะนั้นอันนี้ไม่ใช่ทิฏฐุปาทาน แต่ถ้าผู้ใดมาปฏิบัติธรรมนะคะ แล้วก็หนีบเอาธรรมะไปเถียงกับเค้า เถียงทะเลาะกับเขา ธรรมะอย่างนี้น่ะถูก อย่างนี้ อย่างนี้ใช้ได้ อย่างนั้นแหละผิด นี่แหละทิฏฐุปาทานแล้วก็ทำความเสียหายให้แก่พระศาสนาให้แก่ธรรมะด้วยเพราะถ้าหากว่าไปศึกษาพระประวัติก็จะรู้ว่าชีวิตนี้ที่มันไม่ร่มเย็นเป็นสุขก็เพราะความทุกข์ที่กัดกิน ก็ทำไป ทำไปจนกว่าทุกข์หมด พอทุกข์หมดแล้วมันก็หมด ไม่ต้องยึดมั่นกันต่อไป นี่คือสิ่งที่ท่านทรงสอน โปรดเข้าใจถูกต้องด้วยนะคะ