แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ผู้ดำเนินรายการ: เราได้ยินคำอยู่บ่อยอยู่คำหนึ่งนะครับ คือคำว่า “อโหสิ” เวลาเราไม่พอใจใครเราก็บอกว่า อโหสิ อโหสิในทางธรรมจะเป็นอย่างไร ท่านอาจารย์คุณรัญจวน จะให้รายละเอียดของคำว่า อโหสิ กันนะครับ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: มาถึงคำที่ว่า“อโหสิ” อโหสิแล้วก็ต้องอนุโมทนาตามด้วย อโหสิ อะไร อโหสิสิ่งที่เขาทำไม่ถูกใจ เขาทำให้เราขัดเคือง หรือเขาอกตัญญูต่อการกระทำที่มุ่งดีต่อเขา ปรารถนาดีต่อเขา แต่เขาไม่เห็นไม่อะไร ก็ไม่แปลกนี่ สิ่งใดที่ผู้ใดทำไปแล้วได้แล้ว ผู้ที่ทำทำได้แล้ว คือหมายความว่า ได้กระทำสิ่งที่ดีงามต่อใครก็ตาม ได้รับแล้ว ความดีงามนั้นเกิดขึ้นแล้วแก่ผู้กระทำ เพราะว่ามีความสุขที่ในใจเกิดขึ้นในใจแล้ว เพราะฉะนั้นถ้านึกเสียอย่างนี้มันไม่ต้องมีความทุกข์ ไม่ต้องมีการที่จะต้องคอยแก้แค้นกัน หรือว่าเรียกเอาคืน ฉะนั้น ถ้าหากว่าพบอะไรที่ไม่ถูกใจที่เกิดขึ้นก็อโหสิ แล้วก็การอโหสินี้มันจะต้องอโหสิให้ถึงที่สุด ไม่ใช่อโหสิแต่ปาก
แต่จะอย่างไรก็ตามมันขึ้นอยู่กับว่าการกระทำนั้นออกจากหัวใจจริงหรือเปล่า ถ้าออกจากหัวใจจริงนี่ มันจะเกลี้ยง คือมันจะไม่เพียงแต่อโหสิด้วยปาก แต่มันจะมีอะไรที่ขึ้นมา ผุดขึ้นมาที่จะให้เป็นตอเป็นตุ่มอะไรนี่นะคะ ที่มันจะผุดขึ้นมามันก็จะทำให้รู้สึกว่า ไม่เป็นไรเลย เราขัดให้เกลี้ยงไปได้ มันจะไม่เกิดอะไรขึ้นจะมาสะกิดให้รู้สึกอย่างนั้นอีกต่อไป จะสัญญาอะไรที่มีอยู่ ในความที่ไม่ดีไม่งามอะไรอย่างนี้ ก็ขูดมันออกไปเสียให้เกลี้ยง ไม่ต้องให้มันเหลือ นั่นก็จะเป็นการอโหสิที่เกลี้ยงเกลา บางทีอาจจะอโหสิแล้วเหมือนอย่างเพื่อนรักกันหรือว่าสามีภรรยาเราก็เคยได้ยินใช่ไหมคะ อโหสิ แต่ว่าไม่ต้องพบกันอีกแล้วนะ ชาติหน้าเราก็อย่าได้มาพบกันอีกเลย แค่นี้พอแล้ว นั่นมันก็อโหสิแต่ปาก แต่มันมีการจองเวรต่อไป สังเกตไหมคำพูดนี่ มันมีการจองเวรต่อไป ว่าฉันยังโกรธอยู่นะ ฉันยังอาฆาตแค้นอยู่นะ เพราะฉะนั้นอย่าได้มาพบกันอีกเลย ถ้าพบกันอีกมันอาจจะห้ำหั่นกันอีกก็ได้อะไรอย่างนี้ อย่างนี้ก็เป็นการอโหสิที่ยังไม่บริสุทธิ์ ยังไม่เกลี้ยงเกลา ถ้าเกลี้ยงเกลาล่ะก็ ไม่เอาเลย ปล่อยไปให้หมด แล้วก็จะพบหรือไม่พบมันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ให้มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย และเมื่อพบกันอีกก็พบกันตามฐานะของเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ฐานะของเพื่อนมนุษย์ที่พึงจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างไร ก็ช่วยเหลือกันไป นี่ก็ถ้าพยายามอโหสิในลักษณะนี้ ก็จะเป็นการอโหสิที่ทำให้จิตใจของผู้นั้นเองมีความเกลี้ยงเกลา สะอาดสะอ้านมากขึ้น สิ่งใดที่จะเป็นกิเลสมาเกาะเกี่ยว หรือจะเป็นเวร ที่เขาเรียกว่าเป็นเวรภัยที่จะมาต่อเนื่องกันต่อไป มันก็จะค่อยๆ หลุดไปเอง มันจะเป็นไปได้ ก็น่าที่จะนึกถึงในสิ่งนี้ถ้าจะอโหสิ พออโหสิได้ก็ต้องสามารถ “อนุโมทนา” ได้ อนุโมทนาในสิ่งที่เขาทำ ถ้าเผอิญเขากระทำสิ่งที่เป็นคุณงามความดีอย่างไรเกิดขึ้น อนุโมทนา อย่าให้ความรู้สึกอิจฉาริษยา หรือว่าความแข่งดีเปรียบเทียบเกิดขึ้นมา ถ้ามันเกิดขึ้นมาต้องรีบกำจัดมันออกไปอย่าปล่อยให้มันค้างคาอยู่ ถ้าปล่อยให้มันค้างคาอยู่มันสะสม แล้วนี่แหละมันกลายเป็น “อนุสัย”
สิ่งที่เราเรียกว่า “อนุสัย” มันจะสะสมเอาไว้ แล้วทีนี้มันก็จะอดไม่ได้ พอเกิดอะไรขึ้นอีกเมื่อไหร่ก็จะสะสมความรู้สึกอิจฉาริษยา แข่งดีเปรียบเทียบ ทำไมถึงไม่เป็นฉัน ทำไมถึงต้องเป็นคนอื่นอะไรอย่างนี้โดยไม่รู้ตัว แล้วเรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องละเอียดมาก มันเป็นเรื่องของจิตใจ มันไม่ใช่เรื่องที่มองกันเห็นข้างนอก เพราะฉะนั้นบางคนก็เลยนึกว่าคนอื่นเขาไม้รู้หรอก เขาไม่รู้หรอกว่าฉันคิดยังไง เพราะว่านี่มันอยู่ข้างใน แต่ก็มีบางคนเหมือนกัน เขาหิริโอตตัปปะสูงมากจนจะเป็นโรคประสาทก็ว่าได้ คิดอะไรนึกอะไรเดี๋ยวคนอื่นรู้หมด กลัว กลัวเขารู้หมด นี่ก็เกินไปอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นอันนี้นี่ก็ต้องนึกดูของตัวเอง ถ้าหากว่าคนยิ่งฉลาดเท่าไหร่ก็อาจจะมีวิธีซ่อนเร้นได้มากขึ้น นี่แหละก็ต้องยิ่งขัดเกลาจิตใจของตนให้ยิ่งขึ้น บางทีคนฉลาดอาจจะต้องขัดเกลามากกว่าคนโง่ก็เป็นได้ เพราะคนโง่มักจะเป็นผู้เชื่อฟังง่าย ถ้าได้รับคำสอนคำแนะนำที่ถูกต้องก็จะพยายามทำตามแล้วก็อาจจะไปได้เร็วเหมือนอย่างเต่า ที่ไม่ฉลาดเหมือนกระต่าย เพราะฉะนั้นก็อาจจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วก็ได้
เพราะฉะนั้นการอโหสิกรรมนี่ ถ้าอโหสิให้บริสุทธิ์ใจ ให้เกลี้ยงไปจากใจก็อย่าให้มีรอยของสัญญาเหลืออยู่ ถ้าสัญญาใดผุดขึ้นมาก็ต้องรีบลบมัน ลบมันให้เร็วที่สุดอย่าไปอ้อยอิ่งเสียดายมันก็ไม่ได้ ขอนึกดูก่อน ขอเคียดแค้นชิงชังอีกสักพักหนึ่งก่อน อย่าเล่นกับมันเป็นอันขาด มันเป็นไฟ มันไหม้ได้ทันทีเลย แล้วพอไหม้แล้วล่ะก็ บางทีมันหมดเนื้อหมดตัวโดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นอย่าประมาทเลยเชียว พอรู้สึกว่าจะอโหสิ เอาให้เกลี้ยง ให้เกลี้ยงกันจริงๆ แล้วก็เกลี้ยงด้วยใจที่ใสสะอาด คำว่า ใสสะอาด ก็จะรู้สึกเหมือนกับว่า เออ เขาก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง เป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้มีรอยของอะไรที่เขาประทับไว้ในใจที่จะทำให้เราเป็นคนที่รู้สึกอยากจะแก้แค้นหรืออยากจะชดเชยเอาให้สาสม ไม่ให้มันมีรอย พอรอยอะไรเกิดขึ้น รอยอะไรเกิดขึ้น ลบ รอยอะไรเกิดขึ้น ลบ ไม่ว่าจะรอยมาจากสัญญาครั้งไหนอย่างไร จนกระทั่งเป็นการอโหสิที่สะอาดได้ สะอาดเกลี้ยงบริสุทธิ์ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า เกลี้ยงบริสุทธิ์ มันสบาย มันสบายใจ มันสบายใจมันเบาใจแล้วมันก็หมดความรู้สึกที่จะต้องผูกพันเกี่ยวข้องในประการใดก็ตาม ทั้งทางร้ายทางดี มันก็เหมือนกับว่า เออ เราก็เป็นเพื่อนที่จะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันไป แต่จะไม่ดึงความรู้สึกที่ให้เกิดทางลบหรือทางบวก
ทีนี้พอจะถึง อนุโมทนานี่แหละ ถ้าสามารถอนุโมทนาได้ด้วยใจที่ใสสะอาด ไม่มีอาการของความรู้สึกอยากจะเปรียบเทียบ ชิงดีอะไรขึ้นมาประกอบเลย แต่ด้วยความยินดีอย่างจริงใจ และก็เต็มใจที่ได้มีผู้ที่มีความตั้งใจดี ปรารถนาดีที่จะกระทำความดีต่อโลก ต่อโลกก็คือต่อผู้อื่น ต่อผู้อื่นต่อเพื่อนมนุษย์ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร ถ้ามีคนอย่างนี้เพิ่มมากๆ ขึ้น มันดีนะ โลกเราก็จะได้มีความสุขมากขึ้น แล้วก็ใครที่เป็นนักพัฒนาก็ทำงานน้อยลง ไม่ต้องไปเที่ยวพัฒนาคนนั้นคนนี้ มุ่งแต่พัฒนาตัวเองให้ขึ้นไปถึงที่สุดก็จะดีขึ้น เพราะฉะนั้น การอโหสิ อโหสิกรรม และอนุโมทนา ในใจก็รู้สึกว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่ไปด้วยกัน เมื่ออโหสิแล้วก็อนุโมทนา ถ้าทั้งสองอย่างนี้ไปด้วยกันได้ จิตใจก็จะมีความสบายมากขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือ ความว่าง ความว่างก็จะเกิดขึ้นในใจมากยิ่งขึ้นตามลำดับ
เพราะฉะนั้นท่านจึงบอกว่า อย่างที่เจ้าชายสิทธัตถะท่านเสด็จออกจากวัง แล้วก็ผู้คนก็ร้องห่มร้องไห้ อาลัยเสียดาย หรือว่าพอท่านตรัสรู้แล้วเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็มาสั่งสอนถึงพระธรรมคำสอนอันประเสริฐของพระองค์ แล้วคนก็ว่า เจ้าชายสิทธัตถะพาเอาผู้ชายออกไปทำให้ ผู้หญิงลำบาก เป็นหม้ายไม่มีพ่อ อะไรอย่างนี้
อันที่จริงไม่นึกถึงว่า ผลที่เกิดขึ้นจากที่พระองค์ตรัสรู้นั้น พระองค์ได้นำความสุขสงบเย็นมาสู่โลกมนุษย์เพียงใด มนุษย์ทั้งหลายได้รับความสุข สงบเย็น เนื่องจากพระธรรมคำสอนอันอ่อนโยน บริสุทธิ์สะอาด ถูกต้อง จริงใจ แล้วก็ตรงไปตรงมา เต็มไปด้วยพระมหาเมตตาพระมหากรุณาอย่างหาที่เปรียบมิได้ มันยิ่งใหญ่กว่าอย่างชนิดเปรียบเทียบกันไม่ได้เลยว่าพระองค์ได้ทรงสละบ้านสละพระราชวัง สละพระบิดา สละพระชายาพระโอรสไป เปรียบกันไม่ได้ เพราะถ้าเราดูต่อมาเราก็จะเห็นว่า บรรดาท่านเหล่านั้น ทั้งพระชายา ทั้งพระบิดา ทั้งพระโอรส ตลอดจนพระประยูรญาติกลับได้ลิ้มรสของพระธรรมอันเอมโอษฐ์ด้วยกันทุกองค์ไปเลย นี่ถ้าตีราคาแล้วล่ะก็ ตีราคาไม่ได้เลย ว่าราคานั้นมหาศาลมากมายเพียงใด
เพราะฉะนั้นคนที่จะมองในเรื่องของพระธรรมหรือคำสอนของพระพุทธเจ้าในทางลบ ก็เพราะเขายังไม่ได้เข้าใกล้ เขายังไม่ได้มาศึกษา ยังไม่ได้เรียนรู้ ยังไม่ได้ฝึกอบรม เขาก็เลยไม่ได้ลิ้มรสของความสงบ ความเย็น ความเอมโอษฐ์ของรสอันนี้ว่ามีเพียงใด เขาไม่ได้ลิ้มรส ฉะนั้นจะไปว่าเขาก็ยาก จนกว่าเมื่อไรเขาตาสว่างขึ้นมา เขาลบล้างอวิชชาออกไป เกิดวิชชาความสว่างขึ้นในใจ เขาก็จะบอกตัวเอง เรานี่เข้าใจผิดมาตั้งนาน เราควรจะได้มีความสุขมาตั้งนาน สงบเย็นตั้งนานแล้ว น่าเสียดายนะที่ยังไม่ตายเสียก่อน ถ้าตายเสียก่อนก็หมดโอกาสไปเปล่าๆ เพราะฉะนั้นในเรื่องของผู้ที่ท่านได้บรรลุแล้ว ในส่วนตัวเองก็ยังไม่ได้บรรลุนะ แต่ว่าเชื่อว่าท่านที่ได้บรรลุแล้ว ตามที่เราได้อ่านได้ฟังมา ท่านก็อยู่กับสิ่งที่ท่านบรรลุแล้ว อันเป็นความสุขสงบเย็นนั้นตลอดไป ตลอดเวลา จะอยู่ที่ไหนอย่างไร ท่านก็มีแต่ความสุขสงบเย็น