แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมสวัสดีค่ะ ในรายการวรรณกรรมกับธรรมะในคราวนี้นะคะ เชื่อว่าท่านผู้ชมคงจะยังไม่ทันเบื่อที่จะฟังเรื่อง ต้นส้มแสนรักต่ออีกสักหน่อยหนึ่ง เพราะว่าเมื่อพูดกันมาแล้วนี่เรายังไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับ”เซเซ่”เด็กน้อยวัย 5 ขวบ ที่ถือว่าเป็นหัวใจของเรื่องต้นส้มแสนรักนี่เลยนะคะ ดังที่ได้เคยกล่าวไว้แล้วว่าชีวิตของเซเซ่นี่ ก็คือการถูกด่าว่า ดุว่า แล้วก็การถูกตีเป็นประจํา และการถูกตีครั้งนั้นน่ะ ครั้งที่ดิฉันได้เล่าไว้เมื่อคราวที่แล้ว ที่ว่าพ่อตบหน้าซ้ายหันขวาหันเนื่องจากว่าร้องเพลงเพื่อจะปลอบประโลมใจพ่อด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และเพราะความไม่รู้ในความหมายของถ้อยคํานั้น และมิหนําซ้ำยังถูกฟาดถูกตีด้วยเข็มขัดหนังที่มีหัวทองเหลืองจนกระทั่งสลบ ก็กล่าวได้ว่าการถูกตีครั้งนั้นเป็นไคลแมกซ์ (climax) ดิฉันต้องใช้คำว่าเป็นไคลแมกซ์ (climax) ของการถูกตีในชีวิตของเซเซ่ เพราะนับจากที่เขาถูกตีครั้งนั้นแล้ว เซเซ่ก็ฆ่าพ่อ แต่ว่าการฆ่าพ่อของเซเซ่นี่นะคะ ในความรู้สึกของเราๆ ที่อ่านหนังสือก็ยังรู้สึกน่าเอ็นดูพร้อมๆ กับสงสารแล้วก็เห็นใจเด็กน้อยคนนี้เป็นที่สุดเชียว
เซเซ่ได้เล่าให้กับ “โปรตุก้า” ซึ่งเป็นชาวโปรตุเกส เป็นผู้ใหญ่อายุมากแก่กว่าพ่อของเขาเสียอีก แต่ทว่าเซเซ่รักเหมือนหนึ่งเพื่อน เพื่อนร่วมใจ และในขณะเดียวกันก็ทั้งรักและทั้งเคารพ และก็เทิดทูนยกย่องเหมือนกับเป็นพ่อแท้ๆ ของเขา เขาบอก เขาได้เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเขา ที่เขาต้องหายหน้าไปเป็นอาทิตย์เลย ไม่สามารถจะไปโรงเรียนได้ แล้วก็ไม่สามารถจะมาพบกับโปรตุก้าที่เป็นผู้ที่เขารักอย่างยิ่ง มีความหมายต่อเขาอย่างยิ่งที่สุดในโลกนี้ได้ ก็เนื่องจากความเจ็บป่วยที่เกิดจากการถูกตี และแผลเป็นก็ยังมีเห็นเป็นรอยสะเก็ด ทั้งรอยข่วน ทั้งรอยตีแตกไปทั่วตัวแม้ว่าจะแห้งแล้ว จนกระทั่งทําให้โปรตุก้านี่รู้สึกเศร้าสลดอย่างบอกไม่ถูก ทั้งสลดทั้งสังเวช ที่พบว่าเด็กตัวน้อยๆ ผอมเหมือนกุ้งแห้งนี่ ถูกทารุณกรรมจากผู้ใหญ่ที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อแท้ๆ ของตัวเองเพราะโทสะจริตถึงขนาดนี้ค่ะ แล้วเซเซ่เขาก็เล่าให้ฟังว่า บัดนี้เขาฆ่าพ่อของเขาเสียแล้ว โปรตุก้าก็ถามว่าฆ่ายังไง เขาก็บอกว่าผมจะฆ่า อันที่จริงผมเริ่มไปแล้วด้วยซ้ำไป ฆ่านี่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเอาปืนไปยิงโป้งนะ ไม่ใช่อย่างนั้น ผมฆ่าอยู่ในใจ เพียงแต่นายเลิกรักเขาแล้ววันหนึ่งเขาก็จะตาย เพราะฉะนั้นวิธีฆ่าของเซเซ่เด็กน้อยคนนี้ ที่หัวใจของเขานี่เปี่ยมอยู่ด้วยความรักความอ่อนโยนต่อบุคคลอื่น มีความเห็นใจในความทุกข์ของคนอื่นอยู่เสมอ
วิธีฆ่าของเขาก็คือ หยุดรักคนนั้นเสีย คือเลิกรักพ่อ เขาไม่ได้เอาปืนไปยิงพ่อ แต่บัดนี้ในหัวใจของเซเซ่ ที่เคยมีความรักความอ่อนโยน ความเห็นใจ แล้วก็มีความใกล้ชิด เนื่องจากว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขอันเดียวกัน บัดนี้เขาสลัดความรู้สึกในความรักเช่นนั้นออกไปสิ้น จากความทารุณโหดร้ายที่เขารู้สึกว่าพ่อตีเขาประหนึ่งว่า เขานี่เป็นคนร้ายเป็นอาชญากรที่แสนจะน่าเกลียดใช้ไม่ได้ จึงจะประหัตประหารให้สิ้นไป มันก็เป็นการประหัตประหารความรักในหัวใจของเขาให้หมดไปด้วย ฉะนั้นวิธีฆ่าของเขาก็คือว่า สิ้นรัก เพราะว่านับตั้งแต่เซเซ่เจ็บหนักในคราวนั้นแล้วพอเขาฟื้นขึ้น จากการที่เป็นเด็กช่างพูด ช่างเล่น ช่างคุย แล้วก็แก่น แล้วก็มีเล่ห์กลที่จะเล่นสนุกสนานต่างๆ นานากับเพื่อนกับพี่กับน้อง เซเซ่หยุด กลายเป็นคนเงียบเฉย ไม่พูด ไม่คุย ไม่สนใจกับอะไรทั้งสิ้น เขาจะสนใจแต่อยู่ใกล้ๆ ต้นส้มที่แสนรักของเขาเท่านั้น เพราะฉะนั้นเขาบอกว่าอันนี้แหละเป็นวิธีฆ่า และเซเซ่ก็เริ่มฆ่าพ่อตั้งแต่ในใจของเขา นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา แล้วเขาได้พูดกับโปรตุก้าต่อไปอีกว่า เราเลือกพ่อไม่ได้เมื่อตอนเกิด แต่ถ้าเลือกได้ผมจะเลือกนาย คําว่านายในที่นี้เป็นคําที่เขาเรียกโปรตุก้า เหมือนอย่างกับเป็นคนสนิทกัน อย่างที่เพื่อนเด็กผู้ชายพูดกัน นายอย่างนั้น นายอย่างนี้ นายทําอย่างนี้สิ ฉันจะทําอย่างนั้นสิ คําว่านายในที่นี้ไม่ได้หมายถึงนายกับบ่าว แต่เป็นคําเรียกแทนนายในฐานะที่เป็นเพื่อนกัน ทั้งๆ ที่โปรตุก้าอายุมากกว่าพ่อของเขา แต่โปรตุก้าก็มีความเห็นใจในหัวใจของเด็กน้อยๆ คนนี้พอที่จะยอมเป็นเพื่อนของเด็ก แล้วมาถูกขอให้เป็นพ่อก็พร้อมที่จะนับ ยอมรับนับถือเด็กผู้นี้ เป็นพ่อและทําตัวของเขาให้เหมือนกับพ่อจริงๆ เพราะฉะนั้นเซเซ่ก็เมื่อเขาฆ่าพ่อของเขาเสียแล้ว เขาก็บอกว่าเมื่อเราเลือกพ่อไม่ได้เมื่อตอนเราเกิด ดิฉันก็ไม่ทราบว่าประโยคนี้ ถ้าพ่อของเขาได้ยินเองด้วยหู จะรู้สึก ช้ำใจ เสียใจ แล้วก็หดหู่ในใจของตนเองสักเพียงใด เพราะเหตุว่าโทษทัณฑ์อันใดเล่า จะหนักจะเป็นโทษหนักสําหรับพ่อเท่ากับได้ยินว่า ลูกฆ่าพ่อเสียแล้วด้วยการที่หยุดรักพ่อเสียแล้ว มันเป็นการฆ่าที่โหดเหี้ยมเสียยิ่งกว่าไปนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า หรือว่าเอาขวานมาฟันคอให้ด่าวดิ้นไปเสียอีก ดิฉันรู้สึกอย่างนั้นนะคะ แต่ถ้าเลือกได้ ผมก็จะเลือกนาย คือจะเลือกผู้ชายที่มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ เข้าใจในธรรมชาติของเด็ก พร้อมที่จะหัวเราะด้วย พร้อมที่จะร้องไห้ด้วย พร้อมที่จะให้คําปลอบประโลม คําแนะนํา คําสั่งสอน คําอบรม ให้ทุกอย่าง แต่ให้อย่างคนที่เป็นมนุษย์เหมือนกัน แล้วก็เข้าใจกันได้ รู้สึกว่า คําที่บอกว่า “เราเลือกพ่อไม่ได้ เมื่อตอนเราเกิด แต่ถ้าเลือกได้ ผมจะเลือกนาย” นี่รู้สึกจะเป็นคําอุทธรณ์ทีเดียวนะคะ เป็นคําอุทธรณ์ของเด็กน้อยๆ คนหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นคําอุทธรณ์ แทนเด็กหลายๆ คนในโลกนี้อีกด้วยก็ได้
แล้วเซเซ่เองก็ตาย เมื่อนายหรือพ่อของเขาคือโปรตุก้านี่ตาย ตายเพราะเหตุว่ารถยนต์ที่โปรตุก้าขับไป แล้วก็เป็นรถยนต์ที่เซเซ่ชอบนั่ง โปรตุก้ารู้ว่าเซเซ่ชอบนั่งรถยนต์คันสวยของเขา ก็พาเซเซ่นั่งรถยนต์ แล้วก็ไปเที่ยว ไปปิกนิกกันก็มี หรือมิฉะนั้นก็ขับพาไปส่งโรงเรียน แต่จะไม่ไปถึงที่หน้าประตูโรงเรียน พอก่อนจะถึงโรงเรียน เขาก็จะหยุดให้เซเซ่ลง เพราะทั้งสองคนสัญญากันว่า มิตรภาพระหว่างเขาทั้งสองนี้ถือเป็นความลับ ไม่มีบุคคลที่สามจะรู้ได้ ในความรัก ความสนิทชิดเชื้อ ความมีเสมือนหนึ่งเป็นหัวใจเดียวกัน จะไม่มีคนอื่นรู้ เขาเก็บเอาไว้ แต่ว่ามีโอกาสทั้งสองคนนี้ก็จะไปเที่ยวด้วยกัน แล้ววันหนึ่ง โปรตุก้าก็ขับรถยนต์คันสวยเขานี่ผ่านทางรถไฟ ซึ่งรถไฟทางสายนี้มีรถไฟหลายสายผ่าน แล้วก็มีรถไฟอยู่สายหนึ่งซึ่งแล่นเร็วมากเหลือเกินเป็นพิเศษ แล้วเซเซ่ก็ได้สังเกตรถไฟสายนี้ด้วยความทึ่งเมื่อก่อนนี้เสมอ ว่ามันช่างดูเหมือนกับว่ามีอิทธิพลอํานาจจริงนะ เมื่อมันแล่นพุ่งมาทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องหลีกทาง มิฉะนั้นก็แหลกสลายไป แล้ววันหนึ่งในขณะที่เซเซ่นั่งอยู่ในห้องเรียน ก็ได้ยินเพื่อนที่มาโรงเรียนช้านี่ มาเล่าอย่างตื่นเต้นว่า เหตุที่เขามาโรงเรียนช้านี่เพราะว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นเนื่องจากว่ารถไฟสายที่วิ่งเร็วอย่างยิ่งได้พุ่งเข้าชนรถคันสวยของคนโปรตุเกสคนนั้นตาย พอเซเซ่ได้ยินเท่านั้นน่ะ รู้สึกว่าหัวใจเขาหยุด แล้วเขาก็วิ่งออกจากห้องเรียนทันทีโดยไม่บอกครู ไม่บอกให้ใครรู้ วิ่งไปๆๆ เพื่อจะไปให้ถึงสถานที่นั้นให้จงได้ แต่ก็เผอิญมีคนรู้จักคนหนึ่ง ผู้ใหญ่มองเห็นเซเซ่วิ่งเช่นนั้น ก็รู้ว่าเซเซ่จะไปไหน ก็เลยจับตัวไว้เพราะรู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่เด็กเล็กๆ เช่นนี้ควรจะไปเห็น แล้วเซเซ่ก็ถูกผลักดันให้เดินไปในทางอื่น
แล้วก็จากวันนั้นเซเซ่ก็ตาย คือตายทั้งๆ ที่เขายังเดินอยู่ ตายทั้งๆ ที่เขายังมีลมหายใจอยู่ พูดง่ายๆ ก็คือว่า หัวใจของเขานั้นมันมีแต่ความแห้ง แห้งเหือด เฉา พร้อมๆ กับความตายของโปรตุก้า ผู้ที่เขารู้สึกว่านี่แหละคือพ่ออันแท้จริงของเขา แม้จะไม่ใช่เป็นผู้ให้กําเนิดแก่ชีวิต อันเป็นร่างกาย ตัวเนื้อที่มองเห็น แต่ได้ให้กําเนิดแก่ความรักที่มันมีอยู่ในชีวิตของเขา คือที่มันมีอยู่ในหัวใจของเขา เซเซ่เป็นคนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ชุ่มชื่นเบิกบานขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ก็เพราะน้ำรักที่โปรตุก้าได้รดให้แก่หัวใจของเขา พรวนดินให้ปุ๋ย จนกระทั่งเซเซ่รู้สึกว่าชีวิตนี้มีความหมาย บัดนี้ความหมายนั้นก็สิ้นไป เขาก็รู้สึกเป็นความเจ็บปวดที่รุนแรงที่สุดตั้งแต่เกิดมาในชีวิต แม้แต่การถูกตีคราวนั้นจะรุนแรงเพียงใดก็ยังไม่เท่ากับการที่เขาจะต้องเป็นลูกกําพร้า แต่กําพร้าจริงๆ ในความรู้สึก ทั้งที่พ่อผู้ให้กําเนิดเลือดเนื้อก็ยังคงนั่งอยู่ที่บ้าน
จุดประทับใจของเรื่องต้นส้มแสนรักนี่อยู่ที่ไหนนะคะ ก็เห็นจะอยู่ที่ประเด็นสองประเด็น ซึ่งมันเป็นความขัดแย้งกันในตัว ประเด็นหนึ่งก็คือ ความทารุณที่เซเซ่ได้รับจากพี่ๆ เพราะว่าเขาเป็นคนเล็กก่อนน้องคนสุดท้อง มีน้องคนสุดท้องอีกคนซึ่งเป็นน้องที่เขารัก แล้วก็ทั้งๆ ที่น้องคนนั้นนี่ หลุยส์ได้รับความรักใคร่ ทะนุถนอมแล้วก็ดูแลอย่างดีจากพี่จากพ่อแม่ แต่เซเซ่ไม่เคยอิจฉาน้องเลย และเขาก็ได้ช่วยเหลือดูแลน้องด้วย เหมือนอย่างพี่ที่ดีทั้งหลาย ทั้งๆ ที่เขาได้รับความทารุณจากพ่อ จากพี่ๆ ก็ตาม แต่ความรักน้องยังมีอยู่ ฉะนั้นจุดประทับใจของเรื่อง มันก็เป็นประเด็นที่ขัดแย้งกันคือประเด็นหนึ่งก็คือความทารุณที่เกิดขึ้นกับเซเซ่เด็กน้อยคนนี้ ที่ทําให้ผู้อ่านนี่อาจจะรู้สึกถูกบีบคั้นหัวใจไปด้วย และในขณะเดียวกัน ก็มีจุดประทับใจอีกประเด็นหนึ่ง คืออยู่ที่ลักษณะนิสัยธรรมชาติของตัวเซเซ่เอง ซึ่งอาจจะแจงออกมาเป็นรายละเอียดได้ เช่น ความเป็นผู้มีใจละเอียดอ่อน ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง ทั้งที่หลายๆ คน ผู้ใหญ่หลายคนเห็นว่า เขาเป็นเด็กเกะกะ เป็นเด็กที่มีเล่ห์กลสารพัด ไว้ใจไม่ได้ แต่ในหัวใจแท้ๆ ของเขานี่เป็นคนที่มีความละเอียดอ่อนในใจเป็นอันมาก เช่นเมื่อถึงใกล้วันจะคริสต์มาส ซึ่งเขารู้ว่าที่บ้านนี่จะไม่มีโอกาสได้รับของขวัญวันคริสต์มาสเลย เพราะทั้งพ่อทั้งแม่ก็ไม่มีเงินที่จะให้ แต่ได้ยินข่าวว่าจะมีผู้แจกของขวัญในวันคริสต์มาสที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมันค่อนข้างไกลจากบ้านของเขามาก แล้วเด็กเล็กวัย 5 ขวบขนาดเซเซ่กับน้องชาย ซึ่งเล็กไปกว่า แต่ไม่ได้บอกว่าอายุเท่าไหร่ อาจจะสัก 3 ขวบก็ได้ สองคนพี่น้องก็พยายาม คือเชเซ่นั่นแหละแต่งตัวให้น้องอย่างดีที่สุด แล้วก็แต่งตัวให้แก่ตัวเอง แล้วก็ขออนุญาตพี่สาวคนหนึ่ง ซึ่งพอจะมีน้ำใจ เห็นใจของเด็กเล็กๆ ขออนุญาตที่จะพากันเพื่อไปรับของขวัญ และทั้งสองคนพี่น้องก็จับมือกันแน่น เดินไปตามถนนสายใหญ่ๆ เดินไปไกลๆ น้องก็เหนื่อยลง เดินช้าลง จนผลที่สุดเมื่อไปถึงที่ๆ เขาแจก ก็ปรากฏว่าเขาแจกของหมดแล้ว เหลือแต่เศษกระดาษที่ฉีกกันเกลื่อนกลาดทิ้งอยู่ นี่ก็เป็นความแสดงถึงความมีใจละเอียดอ่อนที่ไม่ใช่เฉพาะเห็นใจตัวเองเท่านั้น แต่เห็นใจน้อง เขาบอกว่าน้องเขานี่น่ารัก เรียบร้อยเหลือเกิน ลองใครเห็นหลุยส์ เขาเรียกพระเจ้าหลุยส์ เพราะงามน่ารักยังกับพระราชา ถ้าใครเห็นหลุยส์นี่จะต้องให้ของขวัญแก่หลุยส์ทั้งหมดเลย เป็นต้น หรือเมื่อเวลาวันหนึ่งที่เขารู้สึกว่า พ่อนี่เหงาเศร้าใจมาก แล้วก็เป็นวันคริสต์มาส พ่อไม่มีของขวัญให้ลูก แต่ว่าพ่อเองก็คงเหงา เขาก็นึกว่าทําอย่างไรนะเขาจึงจะสามารถหาของขวัญให้แก่พ่อได้ และเมื่อเช้านี้เขาก็เผอิญพูดอะไรอย่างหนึ่งที่ทําให้พ่อเสียใจโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะความปากพล่อยไปหน่อยของตัวเองนี่ ก็คิดหาวิธีด้วยการไปเป็นเด็กขัดรองเท้า แบกกล่องเครื่องมือที่ต้องไปขัดรองเท้าที่ค่อนข้างจะหนักเกินกําลังของเขานี่ เที่ยวไปหาขัดรองเท้าตามที่ต่างๆ ในวันนั้นก็ไม่ค่อยจะมีใครมาขัดรองเท้า เขาขัดรองเท้าได้เพียงรายเดียว แล้วก็ในรายเดียวนี่เขาก็ไม่ยอมเรียกร้องเงินตามราคาที่คนขัดรองเท้าทั้งหลายเรียกร้อง เขาเรียกร้องเอาเพียง 200 เร ในขณะที่ราคาขัดรองเท้าจริงๆ นี่ 400 เพราะเขาบอกว่าฝีมือเขายังไม่ถึง ฝีมือยังไม่ถึงนักขัดอาชีพเพราะฉะนั้นขอรับเพียง 200 เท่านั้น แล้วเขาก็ไปซื้อของให้พ่อ ด้วยการที่เลือกซื้อบุหรี่ที่ดีที่สุดจากเงินที่เขาได้มาจากผู้อื่นอีกนิดหน่อย แล้วก็เอาไปให้พ่อ หรือว่าเมื่อเขาได้รับสตางค์จากครูให้ไปซื้อขนมกิน เขาก็ยังแบ่งขนมที่เขามีกินอยู่น้อยแล้วนั้นให้แก่เด็กที่เขาเห็นว่าจนยิ่งกว่า และก็มีน้อยยิ่งกว่าเขา แล้วครูก็บอกให้มาหาบ่อยๆ นะ จะให้เงินให้ทุกวัน เขาก็บอกว่า เขาไม่กล้าจะมาทุกวันหรอก คุณครูควรจะแบ่งเงินให้แก่เด็กผู้หญิงอีกคนที่อยู่ในชั้นเดียวกันนั่นแหละ แต่ว่าจนยิ่งกว่าเขาเสียอีก หรืออย่างตัวครูเอง ครูเซซิเรียนี่ เป็นครูที่ไม่มีใครจะเอาดอกไม้มาให้เหมือนกับครูคนอื่นๆ เลย เซเซ่ก็รู้สึกสงสารครูเป็นอันมาก วันหนึ่งก็ไปหาดอกไม้มาใส่แจกันไว้ให้ครู แล้วก็ครูก็รู้สึกขอบใจ เพราะเซเซ่นี่เป็นเด็กที่มีน้ำใจเป็นเด็กดี ถึงแม้ว่าเขาจะไปหาดอกไม้มาให้ ไม่ได้หมายความว่าเขาให้ เพื่อทดแทนในการที่ครูให้ขนม แต่เขาหาดอกไม้มาให้นี่เพื่อที่จะให้ครูได้มีความชื่นบานเหมือนอย่างครูอื่นๆ ที่เขาเห็นแจกัน มีดอกไม้เต็มทุกวัน แต่ของครูไม่มี แต่เสร็จแล้วก็ปรากฏว่าอีกสองสามวันต่อมา ก็มีผู้มาหาครูแล้วก็มาพูดเรื่องดอกไม้ ครูก็เรียกเซเซ่ไปแล้วก็ถามว่า เซเซ่ได้ดอกไม้นี่มาจากไหน เซเซ่ก็บอกว่าเขาหาดอกไม้นี่มา ตามที่มีคนมาฟ้องครูถูกแล้วล่ะ คือเขาเดินเข้าไปเก็บในสวนของเพื่อนบ้านคนหนึ่ง ซึ่งมีสวนใหญ่มีดอกไม้เยอะเลย แล้วก็โลกนี้เป็นของพระเจ้าใช่ไหมครับ เมื่อโลกนี้เป็นของพระเจ้า ทุกอย่างในโลกนี้ก็เป็นของพระเจ้า ดอกไม้นี้ก็เป็นของพระเจ้าด้วย เพราะฉะนั้นทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะนําดอกไม้มาให้ แทนที่จะไปซื้อเอา เพราะมันต้องเสียเงินใช่ไหม ครูก็รู้สึกจนต่อเหตุผลของเซเซ่ เพราะเขาช่างรู้ ช่างคิดด้วยความละเอียดอ่อนต่างๆ หรือแม้แต่พี่ที่เคยตีเขา พี่ชายที่ตีเขาร่วมกับพี่สาวช่วยตี เมื่อพี่มาขอยืมเงินหลังจากที่ตีเขาเจ็บไปไม่นาน มาขอยืมเงิน พูดไปพูดมา เซเซ่ก็อุตส่าห์ให้ไป เพราะเขาเป็นคนช่างหาเงินเหมือนกัน ด้วยวิธีการต่างๆ ตามประสาเด็ก พี่ขอ 400 เร แต่ว่าเขาให้ใบละ 500 เร ไป แล้วยังมีน้ำใจที่จะบอกพี่ว่าพี่เก็บเอาไว้เถอะ ไม่ต้องเอามาหรอกเงินทอนนี่ จะได้ไว้ไปซื้อขนมกิน อย่างนี้เป็นต้น
ความละเอียดอ่อน เราจะได้พบในหัวใจของเด็กน้อยคนนี้เป็นอันมาก ฉะนั้นถึงแม้ว่าจะมีความแก่นอะไรอยู่ เราก็รู้สึกว่าเกลียดเด็กคนนี้ไม่ลง แล้วก็ยังมีความซื่อสัตย์ ดังตัวอย่างที่กล่าวมาแล้วนอกจากตัวอย่างที่กล่าวมาแล้ว ก็อย่างเช่น ถ้าเขาจะสอนน้องเขาสักคํา ถ้าน้องถามคําอะไรใหม่ๆ เขาจะต้องคิดแล้วคิดอีกว่าคํานั้นถูกต้องหรือเปล่า ถ้าไม่แน่ใจว่าเป็นคําที่ถูกต้องเขาจะไม่ยอมบอกแก่น้องเลย จนกว่าเขาจะไปค้นหาได้ว่าคํานี้เป็นคําถูกต้อง เหมือนอย่างคําว่าผาดโผน มันจะพูดจริงๆ ว่าอะไร โผนโผน หรือว่าผอดโผน หรือว่าผาดโผนเพราะว่าเด็ก 5 ขวบนะคะ เขาก็บอกว่าเขาจะต้องไปหาว่ามันคำใน 3 คํานี่อะไรถูกต้องที่สุดแล้วจึงจะมาบอกกับน้อง หรือว่า นักผู้อ่านนี่ เขาเรียกกันรึเปล่าว่า นักผู้อ่าน หรือเขาเรียกกันว่า ผู้อ่าน อย่างนี้เป็นต้น แล้วความฉลาดของเด็กคนนี้นี่ เรียกว่าเป็นความฉลาดที่เกินวัย แล้วก็มีธาตุดีอยู่ในตัวเองเป็นอันมากทีเดียว เพราะแม้เขาจะเป็นเด็กเกเรเกะกะเมื่ออยู่บ้าน แต่เมื่อเวลาไปโรงเรียน เซเซ่ได้ชื่อว่าเป็นเด็กนักเรียนที่ดีที่สุดแล้วก็เล่าเรียนได้อย่างว่องไว ทําคะแนนได้ดีมาก และเมื่อเขาอยู่กับโปรตุก้า ที่เป็นพ่อที่รักของเขานั่นน่ะ เขาก็รับรองเขาจะเป็นเด็กดีทุกอย่างไม่พูดปด ไม่เกเร ไม่พูดคําหยาบ แล้วก็จะทําแต่สิ่งที่ถูกต้อง เด็กเพียงห้าขวบนี่รู้จักว่าจะทําสิ่งที่ถูกต้อง และเขาก็ทําสิ่งที่ถูกต้องจนตลอดชีวิตที่โปรตุก้าอยู่ แต่หลังจากที่โปรตุก้าตายแล้ว หัวใจของเซเซ่ก็ตายไปด้วย เขาอาจจะไม่คิดทําอะไรที่เกเร เกกมะเหรกอีกก็ได้
เพราะฉะนั้นต้นส้มที่แสนรักนี้คืออะไร ต้นส้มที่เป็นวัตถุนั่นนะ ที่เป็นต้นไม้เป็นแต่เพียงวัตถุ เป็นแต่เพียงสัญลักษณ์ แต่ต้นส้มที่แสนรัก ในหัวใจของเซเซ่ ก็คือโปรตุก้า พ่อที่เป็นพ่อในหัวใจของเขานั่นเอง ที่จริงยังมีแง่มุมที่เราจะพูดเกี่ยวกับเรื่องต้นส้มแสนรักนี่ได้อีกเยอะนะคะ แต่ทว่าเวลาจํากัดเสียแล้ว ก็ต้องขอจบเพียงเท่านี้ แต่ก็ขอเน้นอีกครั้งหนึ่งนะคะ ขอฝากท่านผู้ชมไว้ว่า ความรักที่ถูกต้อง คือความรักที่จะต้องเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณา และความรักชนิดนี้จะเป็นความรักที่ทําร้ายผู้ใด เบียดเบียนผู้ใดไม่ได้ เป็นความรักที่จะทําให้มนุษย์ทั้งหลายอยู่ร่วมกันด้วยสันติสุข ธรรมสวัสดีค่ะ