แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ธรรมะสวัสดีค่ะ วันนี้เราก็คงจะต้องพูดต่อจากที่เราพูดค้างไว้ ในเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องของยามไหนก็ได้ ใช่ไหมค่ะ อยาก-ยามไหนก็ได้ ซึ่งจะได้อย่างไรถึงจะได้ให้เป็น คราวก่อนโน้นเราก็พูดถึงในเรื่องของการได้ในเรื่องวัตถุ สิ่งของหรือว่าผู้คน เช่น ได้ทรัพย์สินเงินทอง ได้คู่รัก เป็นพ่อแม่แล้วได้ลูกอย่างนี้ เป็นต้น ที่นี้หันมาพูดนามธรรมบ้าง ถ้าสมมติว่าเราได้ในด้านของนามธรรม เช่น ความรัก ความดี ชื่อเสียง เกียรติยศ ความมีหน้ามีตา ความมีศักดิ์ศรี ความมีอำนาจอะไรต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ แต่จะว่าไปแล้วมันเป็นสิ่งที่มนุษย์เราอยากได้มาก บางทีจะอยากได้ยิ่งเสียกว่าในด้านวัตถุเสียอีกสำหรับบางคน โดยเฉพาะคนที่มีวัตถุแล้ว ก็จะแสวงหาสิ่งที่เป็นนามธรรม
ที่นี้นามธรรมที่อยากจะหยิบมาพูดกันในวันนี้ ก็คือ เรื่องของคำว่า “อำนาจ” เมื่อได้อำนาจ อยากได้อำนาจ ได้มาแล้วจะใช้อำนาจนี้อย่างไร ถึงจะเรียกว่าใช้เป็น เพราะอันที่จริงแล้วอำนาจนี้ ดูเป็นสิ่งที่หอมหวาน จริงไหม ใครๆ ก็อยากได้อำนาจ อำนาจเป็นสิ่งที่หอมหวาน ใครๆ อยากได้ ใครๆ อยากกิน แล้วก็พากันยื้อแย่งเพื่อที่จะได้มีอำนาจ ทำไมเราถึงรู้สึกว่า อำนาจเป็นสิ่งที่หอมหวาน เป็นสิ่งที่น่าอยากได้ น่าอยากมี ทำไมนะ
ผู้ดำเนินรายการ: อาจจะเพราะคนที่มีอำนาจแล้วก็สามารถจะใช้อำนาจนี้ไปในทางไหนก็ได้ครับ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ก็เพราะรู้สึกว่า เมื่อมีอำนาจขึ้นมา อำนาจนี้มองไม่เห็นแต่เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะคล้ายๆ บันดาลให้มีอะไรขึ้นได้ ให้เกิดอะไรขึ้นได้ ทั้งในทางที่เป็นบวกและเป็นลบ เรียกว่า ชี้ต้นตายปลาย อย่างที่เขาว่า ชี้นกเป็นกา ชี้กาเป็นกระรอก ชี้กระรอกเป็นคางคก ทำนองอย่างนั้นเป็นต้น คือชี้อะไรชี้ได้ เพราะฉะนั้นคนก็เลยอยากได้อำนาจ อยากมีอำนาจ ทั้งในทางบวกและทางลบ อันที่จริงแล้ว การที่มนุษย์เรา อยากได้อำนาจหรืออยากมีอำนาจ ถ้าจะนึกดู ใครอยากได้อำนาจ ตัวฉันนี้แหละอยาก อยากได้อยากมีอำนาจ เพราะฉะนั้นถ้าจะว่าไป ก็อยากได้เพื่อสนองตัณหาของฉัน แต่เป็นตัณหาที่เกิดขึ้นตามอำนาจของอวิชชา ไม่ใช่ตัณหาที่เกิดขึ้นด้วยสติปัญญา เพราะฉะนั้นอันนี้ จึงอยากจะพูดว่า อำนาจนี้เป็นสิ่งที่หอมหวานเป็นสิ่งที่น่าอยากได้อยากมีสำหรับคนทั่วไปก็จริง แต่เป็นสิ่งที่จะต้องระมัดระวังให้มากเลย ไม่อยากใช้คำว่า อำนาจ เป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะว่าการที่มันจะน่ากลัว หรือไม่น่ากลัว มันอยู่ที่ว่าได้มาแล้วใช้เป็นหรือไม่เป็น ถ้าใช้เป็นน่ากลัวใช่ไหมค่ะ ไม่น่ากลัวเลย กลับจะเกิดประโยชน์ซะอีก อำนาจที่ใช้เป็นและมีประโยชน์
ผู้ดำเนินรายการ: อำนาจนี้ ถ้าใช้ไม่เป็นนั่นแหละ จะเป็นสิ่งที่น่ากลัว ยกตัวอย่างให้ฟังได้ไหมครับ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: เดี๋ยวจะยกตัวอย่างให้ฟัง ถ้าใช้ไม่เป็นแล้วมันจะน่ากลัว และความน่ากลัวนี้ มันน่ากลัวทั้งแก่ผู้ใช้เองหรือผู้ที่ได้อำนาจ และแก่ผู้ถูกใช้อำนาจด้วย ถ้าจะว่าไปแล้วมันน่ากลัวทั้งสองอย่างทางเลย มันเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวัง เพราะอะไร ก็เพราะว่าอำนาจนี้เมื่อได้มาแล้ว มันทำให้เหลิงได้ง่าย มันทำให้เหลิงมันทำให้หลง มันทำให้ตัวกูเหลิงและก็หลงได้ง่าย เพราะคิดว่าเรานี้ใหญ่เรานี้วิเศษ เรานี้คล้ายๆ กับเป็นผู้ที่สามารถดลบันดาลได้ เป่าพรวด อะไรมันจะเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น และความหลงของอำนาจหรือความเหลิงอำนาจนี้ ถ้าจะว่าไปแล้วมันมีได้ในทุกระดับเลย ถ้าหากว่าได้มาแล้วใช้ไม่เป็น มันจะทำให้เกิดความหลงความเหลิงทุกระดับตั้งแต่ระดับง่ายๆ ที่เรียกว่า คนรับใช้ตามบ้านไปจนกระทั่งถึงระดับสังคม ระดับชาติ ระดับโลก มันหลงกันได้
พูดง่ายๆ เหมือนอย่างเรามีคนรับใช้ 3-4 คนในบ้าน ก็อยู่ด้วยกันก็มองดูว่า ก็ดี ท่าทางคล่องแคล่ว เสร็จแล้ววันหนึ่งก็ ผู้เป็นนายเกิดนึกว่า ถ้าตั้งใครเป็นหัวหน้าขึ้นมาสักคนบางทีอาจจะทำอะไรให้เรียบร้อยขึ้นอีก นายก็ไม่ต้องเสียเวลาไปบอกทุกๆ คนว่าทำอย่างนี้ ก็เรียกคนหนึ่งมา บอกว่าเอาล่ะเธอเป็นหัวหน้านะ เท่านั้นแหละ พอได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้า ทีแรกก็อาจจะยังใจดี เพราะว่าเรายังเคยเป็นเพื่อนกันอยู่ ไม่ช้าไม่นานมันเกิดความหลงระเริง เพราะมันมีความรู้สึกว่า ฉันมีอำนาจ เป็นหัวหน้า ฉันน่าจะต้องมีหน้าที่สั่งได้ บอกได้ และต้องหวังให้ทำตามในทันทีด้วย มันมีความหลงความลืมขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
แล้วถ้าหากว่าพูดถึงว่า การใช้อำนาจอันนี้มันเกิดอำนาจหรือมีอำนาจนี้มันไปมีแก่ผู้ที่อยู่ในระดับสูงขึ้นไป เช่น ตั้งแต่เป็นหัวหน้าแผนกถึงหัวหน้ากองหรือผู้อำนวยการกองหรืออธิบดี รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีจนถึงประธานาธิบดีทั้งหลายก็ตาม ซึ่งจะมีอำนาจเป็นไปตามลำดับเรียกว่ามากยิ่งขึ้นตามลำดับ ถ้าไม่รู้จักใช้หรือใช้ไม่เป็น ตัวผู้มีอำนาจก็เป็นคนน่ากลัว น่ากลัวตรงไหน ตรงที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ใครๆ ก็ไม่อยากเข้าใกล้ก็เพราะว่ามันร้อน เขาใช้อำนาจไม่เป็น ก็เพราะว่าใช้ด้วยอำนาจของอวิชชา เมื่ออวิชชาเข้ามาครอบงำจิตให้ใช้ เพราะฉะนั้นผู้ใช้อำนาจนั้นก็จะใช้เพื่อประโยชน์ของใคร ก็ของตนเองค่ะ ของตัวเองและของพวกพ้องผอของฉันพี่น้องพ่อแม่ของฉัน ตลอดจนบริวารของฉัน อะไรๆ ที่เป็นของฉันก็จะต้องได้รับสิทธิได้รับอภิสิทธิ์ก่อน นี่ก็เพราะเหตุว่าอวิชชาครอบงำ ก็เลยคิดว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นจริงเป็นจัง เลยลืมกฎของธรรมชาติที่ว่า ทุกสิ่งมันเป็นอนิจจังและมันก็เป็นทุกขัง มันทนอยู่ไม่ได้ การมีอำนาจมันก็เป็นชั่วครั้งชั่วคราว มันเป็นหัวโขน ที่เขาสวมมาให้ เสร็จแล้วมันก็เปลี่ยนไป ไม่ช้ามันก็เปลี่ยนไป มันก็หายไป มันก็หมดตัวหมดตนหมดความที่จะเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะฉะนั้นอำนาจจึงเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะว่ามันจะทำให้คนเกิดความหลงความเหลิงความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวฉันมากยิ่งขึ้น และก็จะทำอะไรที่น่าเกลียดเพื่อประโยชน์แห่งตนเท่านั้นเอง ทำให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่พวกพ้องเกิดความเดือดร้อนหรือเกิดความเสียประโยชน์ ซึ่งไม่ใช่ความยุติธรรมตามที่พูดกันในทางโลกหรือไม่เป็นธรรมในทางธรรมนั่นเอง
นอกจากนี้ก็อยากจะบอกว่า ที่ต้องระมัดระวังก็เพราะว่า พออำนาจเกิดขึ้นในผู้ใด จะเป็นการให้โอกาสแก่กิเลสลุกโพลงได้อย่างรวดเร็วเลย กิเลส จะเข้าครอบงำจิตนั้น มันจะลุกโพลงอย่างรวดเร็วและมันจะเผาผลาญจิตนี้ได้เต็มที่เลย ประเดี๋ยวก็อยากได้ก็จะดึงเข้ามาพอถูกใจ ประเดี๋ยวมันก็จะถูกผลักออกไป ไม่เอา และประเดี๋ยวมันก็จะวนเวียน ครุ่นคิดทำไงจะได้ ทำไงจะทำลายเสียในสิ่งที่ไม่ชอบไม่ถูกใจ โดยใช้อำนาจอันนี้ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเป็นอำนาจด้วยอวิชชา ต้องระมัดระวังให้จงหนักเพราะกิเลสนี้จะเข้ามาเผาผลาญในจิตทั้งโลภะ โทสะ โมหะ เพื่อให้ได้อย่างใจ และเพื่อทำลายให้ได้อยากใจ แล้วก็หลงที่จะเอาให้ได้ดั่งใจ จะวนเวียนอยู่ 3 อย่าง แล้วอย่างนี้ก็บอกได้ว่า วงล้อของวัฐจักรชีวิตจะหมุนอยู่เรื่อย ไม่มีจบเลย เพราะมีกิเลส ก็ทำตามใจกิเลสของตัว
พอมีการกระทำท่านก็เรียกว่า กรรม เกิดกรรมขึ้นแล้วในการกระทำ เมื่อการกระทำมีกรรมมันก็มีวิบากผลของกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง กระทำกรรมที่ถูกต้องผลมันก็ถูกต้องคือสบายใจพอใจ ทำกรรมที่ไม่ถูกต้องผลก็คือความเดือดร้อนวุ่นวายอยู่ในใจไม่มากก็น้อย แล้ววงล้อของชีวิตนี้ก็หมุน วงล้อของชีวิตของมนุษย์ที่หมุนอยู่อย่างนี้เพราะกิเลสกรรมวิบาก พอเกิดกิเลสขึ้นในใจ เกิดเป็นกรรม และเมื่อมีกรรมก็มีวิบากผลของกรรม พอมีวิบากเกิดขึ้นมันเกิดอร่อย คำว่า อร่อยนี้ไม่ได้หมายความว่า ดีงามถูกใจเสมอไปนะ แม้ว่าจะเป็นความแค้นความชอกช้ำมันก็อร่อย อร่อยเพื่ออะไร เพื่อจะแก้แค้น เราชอกช้ำเราก็คงไม่สะใจ เราหวังจะแก้แค้นเพื่อให้มันสะใจความแค้นที่มันเกิด เห็นไหมค่ะ ถ้ากิเลสเข้าครอบงำจิต มันทำให้ผู้ใช้อำนาจไม่เป็น ยิ่งใช้อำนาจในทางที่เบียดเบียนผู้อื่น เบียดเบียนหมด และคำว่าเบียดเบียนในที่นี้ไม่เฉพาะแต่สิ่งมีชีวิต แม้ว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าธรรมชาติ ต้นหมากรากไม้ ภูเขาน้ำทะเล ถูกเบียดเบียนไปหมดเลย
อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ อากาศบริสุทธิ์ก็กลายเป็นอากาศที่มีมลภาวะ น้ำที่เคยบริสุทธิ์สะอาดดื่มกินได้เป็นอย่างดี ก็กลายเป็นน้ำที่มีมลภาวะ แม้แต่แม่น้ำเจ้าพระยาก็พยายามที่จะมีโครงการฉันรักแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อจะช่วยแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เคยใสสะอาดเ และก็กลายเป็นเน่าเหม็น ให้กลับมาใสสะอาดอย่างเดิม ซึ่งนี่มันเกิดขึ้นเพราะว่าอะไร ทำไมเราถึงต้องมีโครงการรักเจ้าพระยา ก็เพราะการใช้อำนาจของแต่ละคนที่มีอำนาจ ในที่นี้นะเป็นอำนาจที่ง่ายๆ ที่มองเห็นเป็นอำนาจที่เกิดจากความเห็นแก่ตัว เช่น ผู้ที่สามารถจะทิ้งอะไรลงไปในแม่น้ำลำคลองแม่น้ำเจ้าพระยา ผู้ที่อยู่ใกล้หรือผู้ที่มีอะไรมากกว่านั้น เช่น มีโรงงานอะไรต่ออะไรต่างๆ ก็ลืมนึกเมื่อเรามีอำนาจในการทิ้งเราก็ทิ้งไม่ต้องนึกถึงผลที่มันจะเกิดขึ้นอย่างไร นี้แหละเห็นมั้ยค่ะ พออำนาจที่เกิดขึ้นและครอบงำจิตด้วยอวิชชามันมีแต่นึกถึงแต่จะได้ จะเอาแต่ได้อย่างเดียว ภูเขาทั้งภูเขาที่ใหญ่ยืนทะมึนสูงตระหง่านที่เราเคยนึกว่า จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง สมัยที่เรายังไม่รู้จักกฎธรรมชาติ เรายังนึกว่ายังไงเสีย อะไรจะพังทลายภูเขาก็คงอยู่ แต่บัดนี้ก็ดูซิ ภูเขาก็ค่อยๆ เหี้ยนเตียนไป เขาสูงก็กลายเป็นเขาเตี้ย เขาเตี้ยก็แบนติดดิน ความสวยงามความสดชื่น ความเขียวชอุ่มที่เคยมี ไม่เหลือหลอ พร้อมกับต้นน้ำลำธารที่เคยใสสะอาด เคยหลั่งไหลก็พลอยหมดไปด้วย ต้นไม้ถูกตัด เวลาที่ฝนตกมาจะได้อาศัยต้นไม้เหล่านี้ เป็นเครื่องกีดขวางหรือเป็นสิ่งที่เหมือนทำนบน้อยๆ คอยป้องกัน ก็ไม่สามารถจะเป็นได้
บัดนี้บ้านเมืองเราก็เกิดอุทกภัยน้ำท่วม มันเกิดเพราะการใช้อำนาจของบุคคลที่เกี่ยวข้องในแต่ละระดับ ท่านก็ลองโปรดนึกดูนะคะ ในแต่ละระดับไม่ว่าในระดับไหนทั้งนั้น พอมีอำนาจขึ้นมาที่จะทำอะไรขึ้นมาได้ในขอบเขตที่คิดว่าตัวทำได้ และทำได้นอกขอบเขตก็ยิ่งทำเพื่อที่จะแสดงว่า ฉันนี้มีอำนาจได้มาก และก็มีบารมีมากมีความเก่งกล้ามาก แต่แท้ที่จริงแล้ว เป็นการให้โอกาสกิเลสให้ลุกโพลงอย่างเต็มที่เลย แล้วภายในนั้นมันไม่ได้เย็นเลย มันร้อนอยู่ตลอดเวลา ร้อนว่าจะใช้อำนาจอย่างไร จึงจะได้ประโยชน์มากที่สุดเพื่อใคร เพื่อตัวฉัน ถ้าอวิชชาเข้าครอบงำ พอมีอำนาจเข้า ความเห็นแก่ตัวจะยิ่งแก่กล้ายิ่งแก่กล้ายิ่งทวีคูณยิ่งขึ้นมาก และต้องระมัดระวังเพราะว่ามันจะทำความเดือดร้อนให้แก่เพื่อนมนุษย์ตลอดจนสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ทุกหย่อมหญ้า ไม่มีอะไรเลยที่จะผ่านพ้นไปได้ เพราะฉะนั้นเมื่อพูดถึงว่าได้อำนาจมา ดี ได้อำนาจ แต่ว่าทำอย่างไรถึงจะใช้อำนาจนั้นให้เป็น ฉะนั้นปัจจัยที่เราควรจะต้องระลึกถึงหรือระลึกรู้เอาไว้เสมอ เพื่อควบคุมอำนาจให้เป็นการที่ได้อำนาจมาแล้ว ก็รู้จักใช้อำนาจด้วย สติปัญญา เพื่อไม่ให้อำนาจนั้น ไปทำความเดือดร้อนให้แก่เพื่อนมนุษย์หรือสรรพสิ่งทั้งหลาย แต่กลับจะนำความสุขสงบเย็นหรือสันติสุขมาสู่บุคคลสันติภาพมาสู่ส่วนรวม ทำให้เราอยู่ได้อย่างร่มเย็นเป็นสุขอย่างชนิดที่เป็นมิตรกันถ้วนหน้า
ถ้าหากว่าผู้มีอำนาจจะระลึกจดจำไว้ในใจทีเดียวว่า อำนาจคือธรรม ธรรมคืออำนาจ ให้มันเป็นอันเดียวกันเสีย ถ้านึกได้อย่างนี้ก็นึกออกใช่ไหมค่ะว่า ผู้มีอำนาจจะใช้อำนาจเพียงเพื่ออะไร เพื่อธรรม ธรรมะคืออะไร คือหน้าที่ ทำตามหน้าที่เท่านั้นเอง จะใช้อำนาจนั้นตามหน้าที่ที่พึงมี เป็นประธานกรรมการบริษัทก็จะใช้อำนาจในฐานะของประธานกรรมการบริษัท ในขอบเขตที่จะนำความเจริญรุ่งเรืองในทางการงานมาให้แก่บริษัท ในทางที่จะนำความสุขสวัสดีหรือเรียกว่า สวัสดิการที่นำความสุขมาให้แก่เจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในบริษัทนั้น หรือเป็นหัวหน้ากองก็จะดูว่าทำยังไงจึงจะให้กองมีความเจริญรุ่งเรืองในทางด้านการงาน นั่นก็คือการงานไปเร็วไม่ดองไม่หมักไม่แช่ และในขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ในกองเดียวกันได้รับความสุขสบายร่มเย็นทั่วหน้า แล้วทุกคนก็ได้มีอำนาจ ได้มีหน้าที่ในการที่จะทำงาน อันจะสมกับศักดิ์ศรีแก่ความรู้ความสามารถของแต่ละคน ไม่มีการกีดกัน ไม่มีการเบียดบัง ไม่มีการข่มเหงไม่มีการยื้อแย่ง
น่าแปลกนะบางทีนายยื้อแย่งลูกน้องก็มี อย่าว่าแต่ลูกน้องที่อยากจะยื้อแย่งนาย หรือนายอิจฉาลูกน้อง เกรงว่าลูกน้องในวันหนึ่งจะมีอำนาจเท่านาย ในเรื่องความเห็นแก่ตัวนี้แหละ สอดแทรกอย่างนึกไม่ถึงเลย เพราะมีแต่ผู้ใหญ่มีแต่ผู้น้อยจะอิจฉาผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่อิจฉาผู้น้อยก็อัศจรรย์ นี่ก็กลัวอำนาจจะเสียนั่นเอง เพราะฉะนั้นอันนี้ล่ะค่ะ เราต้องพยายามที่จะมีธรรมะประกอบอำนาจ และอำนาจนี้ก็จะเป็นหน้าที่ ถ้าอำนาจคือธรรมะ หรือธรรมะคืออำนาจ ผู้ที่มีอำนาจก็จะใช้อำนาจตามหน้าที่ หน้าที่อย่างถูกต้องมีความรู้มีสติปัญญา มีความสามารถเพียงใดก็ทุ่มเทลงไป ในเมื่อเรามีอำนาจใช้ให้ถูกต้องให้เกิดประโยชน์แก่งาน เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม ในทุกขณะ ใจระลึกนึกถึงกฎของธรรมชาติอยู่เสมออย่างที่เราพูดแล้ว กฎของไตรลักษณ์ที่แสดงตนให้เห็นอยู่ทุกเมื่อ ถึงความเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยคงที่เลย และก็คงทนได้ยาก หัวโขนที่สวมใส่ หาเป็นไปตลอดไม่
เดี๋ยวนี้ก็มีการกำหนดวาระกันใช่ไหมค่ะ 2 ปีบ้าง 4 ปีบ้างแล้วนึกไหมว่า 2 ปี ในระหว่าง 2 ปี เขาไหว้นอบน้อม ถ้าไม่ใช้อำนาจให้ถูกต้องมีสติปัญญาพอผ่านพ้น 2 ปีไปแล้ว เขาหันหลังให้ แล้วเราจะรู้สึกยังไง เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจใดก็ตามที่กำลังดำรงอยู่ในอำนาจ น่าจะระลึกถึงสิ่งนี้ไว้ ว่าความเป็นผู้มีอำนาจนั้นมันจะไม่มีตลอดกาล หัวโขนออกไปแล้วอำนาจก็ยังอยู่ตอนนี้อยู่ด้วยอะไร อยู่ได้ด้วยธรรมะ อยู่ด้วยคุณธรรม ซึ่งแม้ว่าจะไม่มีอำนาจที่จะลงโทษหรือจะให้รางวัล จะชี้ต้นตายปลายเป็นอะไรได้เหมือนอย่างเมื่อก่อน แต่ธรรมะในใจนี้ยังจะทำให้บุคคลทั้งหลายเคารพและนอบน้อม มีความยกย่องนับถืออย่างบริสุทธิ์ใจ อำนาจที่เกิดจากภายในอย่างนี้ มันน่าชื่นชมมากกว่า และถ้าจะว่ามันไม่ยั่งยืน ก็จะมีความยั่งยืนอยู่พอสมควร เพราะเหตุว่ามันอยู่ได้ตามเหตุตามปัจจัย ฉะนั้นอันนี้นะคะผู้ที่จะมีอำนาจจะใช้ให้เป็น ก็คือใช้ตามหน้าที่ เราจะใช้ได้ถูกต้องตามหน้าที่อยู่ด้วยการระลึกถึงกฎของธรรมชาติอยู่เป็นนิจอยู่เสมอ มันก็เกิดความไม่ประมาท จะใช้อำนาจนั้นทุกขณะก็จะไม่ประมาท เพราะรู้แล้วว่าเราจะต้องไม่อยู่นานไม่มีอะไรอยู่นาน จึงพยายามที่จะกระทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด โดยความไม่เห็นแก่ตัว ใช่ไหมค่ะ
เมื่อทำหน้าที่ใช้อำนาจตามหน้าที่ความเห็นแก่ตัวก็ไม่มี ความที่จะใหญ่จะพองจะยโสโอหังขึ้นมาก็ไม่มี เพราะฉะนั้นอันนี้ทำไมจึงทำได้ ก็บอกได้ว่า เพราะมี หิริโอตัปปะ อยู่ในจิต อยู่ในจิตตลอดเวลา หิริก็คือความละอาย ความละอายอาจจะเปรียบเหมือนกับว่าละอายที่จะเปลื้องผ้าต่อหน้าธารกำนัล คนเดียวก็พอทำเนา แต่ธารกำนัลนี่ เราจะต้องระมัดระวัง นี่แหละหิริถ้ามีความละอายในการที่จะกระทำอะไร โดยแม้จะไม่มีคนเห็น ละอายถึงขนาดนี้ ก็จะรู้จักใช้อำนาจแต่เพียงหน้าที่ โอตัปปะ ความกลัว อย่างจะเปรียบว่า เหมือนกับความกลัว พิษร้ายของงูเห่า เรากลัวไม่กล้าเข้าใกล้งูเห่ากลัวมันกัดตาย นี่ให้เรากลัวทำความชั่ว ทำบาป ทำผิด คือใช้อำนาจด้วยอวิชชา กลัวที่จะทำอย่างนั้น ก็มันน่าละอายมันเบียดเบียดคนอื่นมันทำให้เพื่อมนุษย์เดือดร้อน ไม่มีใครเห็นก็ไม่ยอมทำ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง จะทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเช่นนี้ก็เรียกว่า ได้อำนาจมาก็ใช้อำนาจเป็น และชีวิตนี้ก็จะมีความสุข มีความสงบมีความร่มเย็น ไม่ว่าจะอยู่หรือจะไป หัวโขนจะมีหรือไม่มี คงได้รับความเคารพยกย่อง และมีชีวิตที่ไม่มีความทุกข์เลย อย่างนี้แหละเรียกว่ามีอำนาจแล้วใช้เป็น ธรรมะสวัสดีนะคะ