แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
...ของทุกคน ก็อยากจะขอพักตอนนี้เพื่อให้โอกาสยืดแข้งขาเสียก่อนนะคะ แล้วถ้าหากมีคำถามใด มีกระดาษอยู่ในตะกร้านี้ค่ะ เชิญเขียนคำถามได้ และก็ใส่ไว้แล้วดิฉันจะรวบรวมตอบ ทั้งคำถามในการบรรยายธรรม และก็ในการฝึกปฏิบัติ โปรดเขียนได้ตลอดเวลา และก็ใส่ไว้ในนี้ เชิญพักสักสิบนาทีนะคะ
ได้สั้นๆ นะคะ การมีชีวิตธรรมชาติ หรือเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติจะนำความสุขมาสู่ตน แต่เพราะเหตุใดการมีคู่ครองอันเป็นเรื่องธรรมชาติอย่างหนึ่ง ผู้ปฏิบัติธรรมที่มิใช่ฆราวาสจึงควรเลี่ยง เช่นนี้มิถือว่าเป็นการฝืนธรรมชาติหรือ พูดง่ายๆ ว่าการมีคู่ครองเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่ว่าผู้ที่บวชไม่มีคู่ครอง อย่างนี้เป็นการฝืนธรรมชาติหรือ เข้าใจว่านี่เป็นคำถามนะคะ ก็อยากจะตอบว่า “ไม่เป็นการฝืนธรรมชาติค่ะ” เพราะเหตุว่าผู้ที่อยู่ในโลก เป็นฆราวาสชาวบ้าน ไม่มีคู่ครองก็เยอะแยะไป เพราะการที่จะมีคู่ครองนี่มันมีเหตุปัจจัยหลายอย่าง จะไม่พูดละเอียด ในเมื่อเราพูดถึงเรื่องของสัปปุริสธรรมนะคะ เอาไว้คอยฟังตอนนั้น ตอนนี้ก็ขอตอบสั้นๆ ว่าไม่ผิด ที่ว่าไม่ผิดนี่ เพราะว่ามันเป็นเหตุปัจจัยหลายอย่างประกอบนั่นเอง
คำถามต่อไปว่า การควบคุมอารมณ์โกรธ ความรำคาญซึ่งมักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ครั้ง ในระหว่างการประชุม ในขณะปฏิบัติงาน มีข้อแนะนำในการคุมสติในกรณีนี้อย่างไรบ้าง นี่ก็ที่จริงจะพูดต่อไปเมื่อเราพูดถึงอานาปานสตินะคะ แต่ที่นำมาตอบเสียตอนนี้ก็เพื่อเป็นการป้องกันอารมณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างสิบเอ็ดวันนี้ เพราะว่าเราอยู่กันอย่างหนาแน่น อาจจะกระทบทางกายบ้าง อาจจะกระทบ และก็ทำให้กระทบทางใจบ้าง วิธีที่จะควบคุมได้ดีที่สุดนะคะ ก็คือ “การลืมตัว” เข้าใจไหมคะ ลืมตัว หมายความว่าอะไร ถ้าลืมตัวทางโลก แปลว่าอะไรคะ คนลืมตัวทางโลกเป็นอย่างไรคะ คนหยิ่ง ยโส โอหัง ไม่มีใครชอบ มีแต่คนเกลียด เพราะว่าเรียกว่าเป็นคนคิดว่าตัววิเศษกว่าคนอื่น ยกตนข่มท่าน นั่นคือลืมตัวในภาษาโลก แต่ลืมตัวในภาษาธรรมนั้นหมายความว่า ลืมเสียว่าเราเป็นใคร ก่อนจะมานี่นะคะ จะเป็นใครก็ช่าง โปรดทิ้งเอาไว้เสียที่ประตูเสถียรธรรมสถานข้างนอกประตู ไม่ต้องเอาความเป็นครู ความเป็นหมอ ความเป็นนิสิต นักศึกษา ความเป็นนายช่าง ความเป็นอะไรที่ทำให้ตัวตนมียิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ตลอดจนกระทั่งลืมเสียว่าเราเป็นหญิง หรือเราเป็นชายได้ยิ่งดี รู้แต่ว่ามันมีการกระทำ แต่อย่างนั้นมันอาจจะมากไปนะคะ เอาแต่เพียงว่า ลืมว่าฉันเป็นใคร อย่างน้อยที่สุดที่อยากจะเป็นก็เป็นผู้ปฏิบัติธรรม ขณะนี้ทุกท่านเป็นผู้ปฏิบัติธรรม อันที่จริงแม้แต่ผู้ปฏิบัติธรรมก็ไม่ต้องมีก็ได้ ถ้าเอาถึงที่สุดละก็ แต่ตอนนี้มีไว้ก่อนก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยพอนึกว่าเรามาปฏิบัติ เรามาปฏิบัติธรรม เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรม คำนี้ก็จะเตือน เตือนใจที่กำลังอยากจะโกรธ อยากจะขัดใจ อยากจะรำคาญนะคะ เพราะฉะนั้นในการอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าในที่ประชุม หรือในที่ทำงาน หรือแม้แต่ที่บ้าน ถ้าเราใช้วิธีลืมเสีย อย่างอยู่บ้าน ฉันเป็นแม่ เพราะฉะนั้น นี่แกเป็นลูก ใช่ไหมคะ นี่พูดอย่างเสียงอ่อนๆ แกเป็นลูก แกต้องฟังฉันหน่อย ฉันเป็นแม่ ถ้าพอดีกรีของความขัดใจมาก เสียงมันก็สูง มันก็ดัง ก็กราดเกรี้ยวไปด้วย นี่คือเพราะถือว่า ฉันเป็นแม่ ข้างลูกก็ ฉันเป็นลูกนะแม่ ลูกของแม่นะนี่ ไม่ใช่คนอื่นนะ แม่ทำกับฉันได้อย่างไร นี่ยึดมั่น เพราะฉะนั้นถ้าหากว่ายึดมั่นว่าเป็นอะไรเมื่อไร มันมีแต่ปัญหาตามมา เพราะฉะนั้นคำแนะนำที่สั้นที่สุดก็คือ โปรดลืมเสีย ว่าเราเป็นใคร สำหรับในขณะนี้ เราคือผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าเรากลับไปบ้านแล้ว เราก็คือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งเราจะพูดรายละเอียดกันต่อไปนะคะ
ส่วนคำถามที่เกี่ยวกับเรื่องของการปฏิบัติทางจิตนะคะว่าจะควบคุมจิตอย่างไร จะดูจิตอย่างไรนั้น กรุณาอดใจรออีกนิดหนึ่งค่ะ เพราะว่าในวันพรุ่งนี้จะได้เริ่มต้นในเรื่องของทางจิตโดยตรงนะคะ ส่วนข้อเสนอแนะของท่านที่เขียนมาบอกว่า เรื่องพูดเรื่องของชีวิตนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ และก็น่าที่จะเผยแผ่ เผยแพร่ให้ใครๆ ได้ทราบทั่วกันทางสื่อมวลชน เช่น หนังสือพิมพ์ หรือวิทยุ โทรทัศน์ อะไรอย่างนี้ ก็เห็นด้วยค่ะ เห็นด้วยว่าควรจะได้มีการทำ แต่จะทำเมื่อไร อย่างไร ก็ต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ
อยากจะขอกลับมาพูดถึงช่วงชีวิตที่สำคัญของมนุษย์ นั่นคือช่วงชีวิตเบื้องต้น คือช่วงชีวิตแห่งการศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่ของท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้เป็นนิสิตนักศึกษา อยู่ในช่วงของการศึกษา และก็ท่านครูบาอาจารย์ ท่านผู้ที่ทำงานแล้วที่ผ่านช่วงของการศึกษามา ถึงแม้จะผ่านมาแล้วแต่ก็อาจจะย้อนหลังเพื่อใคร่ครวญดู ว่าการศึกษาในช่วงชีวิตที่ผ่านมานั้นเป็นอย่างไร มีสิ่งใดเป็นปัญหา เป็นอุปสรรคบ้างหรือไม่ แล้วก็จะแน่ใจได้อย่างไรว่าช่วงชีวิตของการศึกษาที่ผ่านมานั้นจะเป็นแนวส่งไปให้สู่ช่วงชีวิตสุดท้ายแห่งความสุขสงบเย็นได้สมปรารถนา ถ้าไม่ได้เพราะอะไร มันมีอะไรที่เราควรจะใคร่ครวญคิดเพื่อแก้ไขปรับปรุงในเรื่องของการศึกษาบ้างไหม ช่วงชีวิตของการศึกษานั้น เราก็ต้องดูตั้งแต่เริ่มต้นว่าอะไรคือจุดมุ่งหมายของการศึกษา หรืออุดมคติของการศึกษา นี่เราไม่ดูการศึกษาที่จัดการศึกษากันในบ้านในเมือง แต่เรามาดูจากความเป็นจริงของชีวิต ดังที่ชีวิตต้องการอะไร จุดมุ่งหมายหรืออุดมคติของการศึกษาก็คือ เพื่อให้เกิดความรอดแก่ชีวิตในทุกความหมาย ให้เกิดความรอดแก่ชีวิตในทุกความหมาย นี่เป็นเป้าหมายสูงสุด หรือเป็นอุดมคติสูงสุดของการให้การศึกษา คำว่าเพื่อความรอดในทุกความหมาย หมายถึงอะไรบ้าง ก็คือความรอดทางกาย ความรอดทางจิต ความรอดทางวิญญาณ การศึกษาที่เราได้รับจากทางบ้านก็ดี จากสถาบันการศึกษา โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัยก็ดี ส่วนมากเน้นไปที่ความรอดทางกาย ใช่ไหมคะ เราให้ความรู้ในวิชาการต่างๆ แก่ลูกศิษย์ แก่นักเรียนอย่างเต็มที่ ศาสตร์ต่างๆ มีมากมายเพิ่มเติมขึ้นทุกวัน เพื่อให้เป็นคนมีความรู้ มีความรู้มากเท่าไร ก็จะได้เปรียบในการที่จะไปหางานการทำ เพื่อที่จะได้มีตำแหน่งการงาน มีเงินเดือนสำหรับที่จะเลี้ยงดูชีวิตนี้ให้ได้มีความสะดวก มีความสบาย และส่วนมากเราก็ได้รับผลจากการศึกษาในโรงเรียน ในวิทยาลัย มหาวิทยาลัย ในลักษณะนี้ คือพอเรียนจบมา ก็สามารถหางานหาการทำ เลี้ยงชีวิตเลี้ยงตัวได้ เลี้ยงครอบครัวได้ แล้วแต่จะทำงานส่วนตัว ทำงานราชการ หรือจะทำงานในด้านไหน แต่ก็สามารถจะเลี้ยงไปได้ตามอัตภาพของตน แต่เมื่อหันมามองดูทางจิต รอดไหม รอดไหมคะ ทุกท่านโดยเฉพาะท่านที่ทำการงานแล้วจะตอบได้เอง รอดไหม
คำว่ารอดในที่นี้ รอดทางจิต หมายความว่าอย่างไร ก็คือหมายความว่า การศึกษานั้นได้ช่วยให้จิตนี้รอดพ้นจากปัญหา จากสิ่งที่เป็นปัญหา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ จากสิ่งที่เป็นความทุกข์ ถ้าพูดตามทางธรรม ทางธรรมะ ก็เรียกว่าความทุกข์ที่มนุษย์เกลียดกลัว ไม่อยากเข้าใกล้ พยายามจะดิ้นรนหนีความทุกข์ แต่เมื่อพูดตามทางโลก ทำไมจึงทุกข์ มันทุกข์ เพราะชีวิตมีปัญหา ใช่ไหมคะ ปัญหาทางบ้าน ทางครอบครัว เช่น ทางเศรษฐกิจ การเงินไม่พอใช้ พ่อบ้าน แม่บ้าน ไม่ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง ลูกหลานไม่ดีดังที่ต้องการ คนใช้ไม่ได้อย่างใจ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ข้าวไม่อร่อย นอนไม่สบาย นี่คือปัญหาที่เราพบอยู่ในชีวิต แล้วทำให้จิตนี้มันขุ่นมัว อึดอัด หงุดหงิด ไม่สบายตลอดเวลา นี่คือปัญหาทางจิต ที่เราไม่รอด ยิ่งพอไปถึงที่ทำงาน หลายคนจะบอกว่า เหมือนนรก ที่ทำงานฉันนะ พอย่างเท้าเข้าไปเหมือนนรก ร้อน ร้อน ร้อนเพราะอะไร ก็เพราะปัญหา ปัญหากับเพื่อนร่วมงาน ผู้บังคับบัญชา ลูกน้อง ลูกศิษย์ นักเรียน สารพัดแต่ลืม ลืมที่จะนึกว่าแล้วมีปัญหาที่เกิดนี่ เรามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยไหม เรามักจะมองไปที่อื่น เพราะฉะนั้นก็พูดได้ว่า การศึกษาที่จัดในสถาบันการศึกษาทุกระดับในปัจจุบันนี้ ไม่ได้ช่วยให้มนุษย์เกิดความรอดในทางจิต พูดได้อย่างไร ก็พูดได้จากเราดูจากปรากฏการณ์ที่เกิดในสังคมทุกวันนี้ ที่เราพบในสังคมทุกวันนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกรูปแบบ และก็ในทุกวงการด้วย ปัญหาผู้หญิงที่จะเรียกว่าเป็น โสเภณี บางทีก็ไม่ใช่เพราะถูกบังคับหรือล่อลวง เพราะสมัครใจก็มี เพราะถูกบังคับ ถูกล่อลวงในฐานะที่ยังเป็นผู้วัยเยาว์ก็มีอีกมาก นี่ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น ก็เพราะเหตุว่าในทางจิตมันมีปัญหา ทางจิตของคนแต่ละคนมันมีมลพิษอยู่ มลพิษที่เกิดขึ้นในจิตนี่ มันก็เลยพ่นออกข้างนอก ทำให้เกิดมลพิษภาวะทางอากาศ ทางน้ำ ทางอาหาร เรียกว่าทั้งบนบก ทั้งในน้ำ ทั้งบนดิน มันเกิดมลพิษภาวะไปหมดเลย เพราะจากจิตของคนที่มันมีมลพิษภาวะแห่งตัณหาความอยาก แห่งการตกเป็นทาสของความโลภ ความโกรธ ความหลง จริงไหม นี่ไม่ได้เอาอะไรมาพูดข่มขู่ แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นเพราะอย่างนี้ใช่ไหม นี่คือจุดอ่อน หรือช่องโหว่ของการจัดการศึกษาในปัจจุบันที่ไม่ได้ช่วยเน้นให้เกิดความรอดทางจิต
เพราะฉะนั้นที่ครอบครัว คนที่เป็นพ่อ เป็นแม่ แม้แต่เป็น ปู่ย่า ตายาย ก็ยังหนีไม่พ้นปัญหา และเมื่อปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ มีปัญหา จะให้ลูกหลานรอดพ้นไปจากปัญหาได้อย่างไร อย่างน้อยก็ต้องพกความกราดเกรี้ยว ความเอาแต่ใจตัวของพ่อ ของแม่ ของปู่ย่า ตายาย มันก็ตกทอดกันมาตลอด นี่คือจุดโหว่ ช่องโหว่ ของการให้การศึกษาในปัจจุบัน เพราะไปเน้นแต่การให้ความสำเร็จในอาชีพ ให้มีชื่อมีเสียง ให้มีหน้ามีตา ให้เป็นอะไรได้มากกว่าเพื่อนฝูงในรุ่นเดียวกัน นั่นคือความสำเร็จของชีวิต นี่คือสิ่งที่เน้นในสถาบันการศึกษาทุกระดับ เพราะฉะนั้นผู้ที่จบออกมาจากวิทยาลัย จากมหาวิทยาลัย จึงเต็มไปด้วยเป้าหมาย หรือความยึดมั่นในอุดมคติอันนี้ ฉันจะต้องมีความสำเร็จในชีวิต และจากสัญชาตญาณที่ีมีอยู่ ที่ต้องการมีมากกว่าเขา ก็ใช้สัญชาตญาณอันนี้กระตุ้นที่จะเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ กวาดคนอื่นออกไปให้พ้นนอกทาง เพื่อฉันจะได้ก้าวหน้า ออกไปเร็วว่องไวกว่าคนอื่นเขา นี่คือจุดโหว่ของการศึกษาที่ดิฉันขอเน้นว่า เราต้องแก้ไข แม้จะแก้ไขกันอยู่ในขณะนี้ เอาพระไปเทศน์ เอาเด็กไปวัด นั่นคือเอาตัวไป ใช่ไหมคะ นิมนต์พระมาเทศน์ ถูกบังคับให้มาฟัง เครียด ในขณะที่ฟังไม่ได้ชุ่มชื่นเบิกบาน เครียด ง่วง แล้วบางทีแช่งด่าอยู่ในใจ ใครนะมันให้ผมคิดดีจัดรายการอย่างนี้ บังคับกันชัดๆ ธรรมะไม่ได้เข้าไปสู่ใจเลย นี่คือวิธีแก้ปัญหาที่นักการศึกษาทำกันอยู่ในปัจจุบันนี้ มันจึงเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด แต่กลับยิ่งเพิ่มปัญหา อย่างเราเห็นข่าวหนังสือพิมพ์ ทบวงส่งประกาศแสดงอุปกรณ์ต่างๆ ที่พวกนักเรียนใช้เพื่อที่จะคิดทุจริตในการสอบเข้า สอบเอ็นทรานซ์ (Entrance Examination) นี่อ่านพบจากหนังสือพิมพ์ นี่มันอะไร นี่คือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ หรือที่ปลายเหตุ และที่เหตุที่มันเกิดขึ้นอย่างนี้เพราะอะไร เห็นไหมคะ จนกระทั่งจะสอบเอ็นทรานซ์ (Entrance Examination) เข้ามหาวิทยาลัยก็ยังต้องมีการบอกผู้คุมสอบให้รู้ว่า อุปกรณ์มีอย่างนี้นะ เป็นปากกาบ้าง เป็นคอมพิวเตอร์ (Computer) บ้าง เป็นโทรศัพท์ติดตัวบ้าง ดูให้ดี นี่มันเพิ่มงานทั้งนั้น ไม่เป็นการประหยัดเลย คนคุมสอบก็พยายามหนีไม่อยากคุมสอบ เพราะไหนจะเหนื่อย แล้วไหนอาจจะถูกหาว่าเป็นใจควบคุมสอบไม่เรียบร้อย ทำหน้าที่ไม่ถูกต้อง โดนวินัยต่อไปอีก แก้ไขอย่างไร เพิ่มเงินค่าคุมสอบ เอาวัตถุเข้ามาล่อ เกิดผลไหม ไม่ได้เกิดผล กำลังความจำกัดในการทำงานของคนก็มีเท่านี้ เพราะฉะนั้นนี่คือจุดโหว่ของการศึกษา ไม่ได้ช่วยให้เกิดความรอดในทางจิต
ชีวิตนี้พบปัญหา คือความทุกข์ทุกรูปแบบ ตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ ไปจนกระทั่งถึงใหญ่ ยิ่งความรอดทางวิญญาณยาก วิญญาณในที่นี้ก็โปรดอย่าเข้าใจว่ารอดจากการถูกผีหลอก ไม่ใช่นะคะ พวกเด็กๆ สาวๆ หนุ่มๆ ไม่ใช่ วิญญาณในพุทธศาสนาท่านหมายถึง “สติปัญญา” นี่คือวิญญาณในพุทธศาสนาหมายถึง สติปัญญา เพราะฉะนั้นเพื่อความรอดในทุกความหมาย ก็คือกายก็รอด รอดด้วยการที่สามารถใช้กายนี้ทำมาหากินตั้งหลักฐานเลี้ยงตัวเอง ให้ความสะดวกสบายแก่ตัวเอง และครอบครัวได้ ช่วยให้จิตไม่ต้องผจญกับปัญหาอยู่ทุกวี่ทุกวัน ถึงแม้ปัญหามันจะเกิด ก็ไม่ถือเป็นปัญหาให้เป็นความทุกข์ แต่ใช้สติปัญญาจะแก้ไขปัญหานั้นให้ลุล่วงไปด้วยดี เพราะฉะนั้นความรอดทางวิญญาณจึงหมายถึง ความรอดทางสติปัญญาที่การศึกษาจะต้องให้ ให้ให้ถูกต้อง ที่ไม่สามารถจะหลีกรอดจากปัญหาได้ก็เพราะเหตุว่า สติปัญญานั้นมันคิดไม่ถูกต้อง ไม่อยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง สติปัญญาที่ถูกต้อง ก็คือสติปัญญาที่เมื่อคิดแล้วไม่นำใจให้เกิดความทุกข์ ถ้าหากเมื่อคิดเรื่องใดแล้วก็พูดออกมา แล้วก็ทำตามความคิด ทำตามคำพูดนั้น แล้วมันทำให้ชีวิตนี้พบปัญหา เกิดความทุกข์ นั่นเป็นสติปัญญาที่เป็นมิจฉาทิฐิ ไม่ใช่สัมมาทิฐิ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องการนี้ก็คือ สติปัญญาที่ถูกต้อง ฉะนั้นจุดมุ่งหมาย หรืออุดมคติของการศึกษาจึงต้องให้การศึกษาทั้งสามอย่างเพื่อความรอดของทั้งสามอย่าง ชีวิตนั้นจึงจะสมดุล เป็นชีวิตที่ร่มเย็นเป็นสุข เป็นชีวิตที่ไม่เบียดเบียนตนเอง เมื่อไม่เบียดเบียนตนเองก็ไม่คิดเบียดเบียนคนอื่น มีแต่จะแบ่งปันกัน ให้กัน
ฉะนั้นดิฉันจึงอยากจะเสนอแนะสิทธิของมนุษยชนที่ถูกต้อง และก็เป็นสิทธิของมนุษยชนที่เป็นสากลด้วย เป็นสากลอย่างชนิดฝรั่งที่ถือว่าเจริญนักก็เถียงไม่ได้ นั่นก็คือ สิทธิมนุษยชนที่จะต้องรอดพ้นจากปัญหา หรือความทุกข์ มนุษย์ทุกคนมีสิทธิมนุษยชนที่จะรอดพ้นจากปัญหา และความทุกข์อย่างเท่าเทียมกัน นี่เป็นสิทธิของทุกคน และเป็นสิทธิที่ไม่ต้องแย่งกันด้วย แต่เราไม่ได้เคยให้สิทธิ หรือว่าหยิบยื่นสิทธิเช่นนี้แก่เพื่อนมนุษย์เลย เรามัวแต่ไปขอสิทธิสตรี สิทธิบุรุษ สิทธินายจ้าง สิทธิคนทำงาน สิทธิกรรมกร สิทธิของประเทศด้อยพัฒนา สิทธิสารพัด สิทธิแบบนั้นเท่าไรก็ไม่จบ เพราะตัณหาของมนุษย์ไม่มีขอบเขต ความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่มีขอบเขต แต่ว่าสิทธิที่มีขอบเขตเป็นสิทธิที่ถูกต้อง เป็นสิทธิที่มนุษย์ทุกคนพึงมี นั่นคือ สิทธิของมนุษยชนที่จะต้องมีความรอดพ้นจากปัญหาทุกปัญหา หรือมีความรอดจากความทุกข์อย่างเท่าเทียมกัน ฉะนั้นจุดมุ่งหมาย หรืออุดมคติของการศึกษาจึงเป็นสิ่งที่เราน่าจะนำมาพูดกันให้ชัดเจน แล้วก็มองดูสิว่าในระบบของการให้การศึกษาตั้งแต่แผนการศึกษาแห่งชาติเป็นต้นมา จนถึงหลักสูตรได้พูดถึงเรื่องของอุดมคติของการศึกษา หรือจุดมุ่งหมายของการศึกษาเพื่อพัฒนาเด็กให้มีความรอดครบทั้งสามอย่างนี้หรือเปล่า ความรอดทางวิญญาณ คือทางสติปัญญาเป็นสิ่งนำชีวิต ถ้าสติปัญญาถูกต้องจะรู้จักพัฒนาจิตให้ถูกต้อง รู้จักพัฒนากายให้ถูกต้อง เพราะฉะนั้นสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก ดิฉันจะหยุดตรงนี้ก่อน เพราะเรายังจะพูดกันต่อไปในเรื่องนี้อีก ทีนี้ลองมาดูย้ำถึงความสำคัญของการศึกษาว่าการศึกษานั้นมีความสำคัญต่อชีวิตอย่างไรบ้าง หรือเจ้าประคุณท่านอาจารย์สวนโมกข์ท่านชอบเรียกว่า “ความลับของการศึกษา” ทุกอย่างที่เราทำอะไรนี่ มันมีความลับซ่อนเร้นอยู่ทั้งนั้น
ความลับของการศึกษาข้อแรกก็คือ การศึกษา คือสิ่งที่ต้องคู่กับสิ่งที่มีชีวิต สิ่งมีชีวิตทุกอย่าง จะเป็นแมว เป็นสุนัข เป็นไก่ เป็นหมู เป็นงู เป็นอะไรทั้งนั้นละคะ ตลอดจนกระทั่งถึงมนุษย์ มันมีการศึกษาโดยอัตโนมัติ โดยสัญชาตญาณ โดยตามธรรมชาติ จริงไหมคะ ท่านผู้ใดที่เลี้ยงสัตว์ที่บ้าน จะเลี้ยงสุนัข จะเลี้ยงแมว จะเลี้ยงไก่ จะเลี้ยงอะไรก็แล้วแต่ เลี้ยงนก จะมองเห็นเลยว่ามันมีวิธีการที่จะให้การศึกษาแก่ชีวิตของมันเอง หรือแม้แต่คนก็เถอะ มีวิธีการหาการศึกษากันต่างๆ เอาอย่างพื้นๆ อย่างคนโลกๆ เช่น ศึกษาเรื่องการกิน ใช่ไหมคะ กินอย่างไหนมันถึงจะอร่อย กินอย่างไหนถึงจะแปลก ถึงจะมหัศจรรย์ อย่างที่มีเรียกว่ากินพิสดาร นั่นละ ที่ไหนที่เขากินกันอร่อย เอาละ ขับรถสักสองร้อยกิโลเมตรก็จะเอา เพื่อจะไปลิ้มชิมเสียว่าการกินที่วิเศษนั่นมันเป็นอย่างไร ขึ้นเครื่องบินไปกินฮ่องกง ขึ้นเครื่องบินไปกินเมืองโน้นเมืองนี้ นี่แหละ หาความรู้เรื่องการกิน มันก็อยู่ในเรื่องของการศึกษาเพื่อการกิน นี่อย่างพื้นๆ ที่พูดอย่างนี้ก็เพื่อที่จะบอกว่า ที่ท่านว่าการศึกษานั้นมันต้องคู่กับชีวิต จริงไหมคะ แม้แต่แค่เรื่องกิน ข้าวแกงจานละสิบบาท ก๋วยเตี๋ยวจานละสิบบาท มันก็อิ่มเท่ากับอาหารฮ่องเต้จะคำละพันบาท มันอิ่มเท่ากัน แต่ว่า แหม แพงกว่ากันเยอะแยะหลายอย่างเหลือเกิน แต่ทำไมคนเราถึงดิ้นรนทุรนทุราย หาความรู้จากการกิน หาความรู้จากการเล่น เล่นพิสดารต่างๆ เกม (Games) พิสดารต่างๆ อย่างที่ข่าววันสงกรานต์ที่น่าเศร้าสลดใจ ที่เด็กน้อยเล่นกันวันสงกรานต์คงได้ข่าวใช่ไหมคะ เล่นยิงปืน แล้วก็ไปพบปืนของตา หรือของปู่อะไรอยู่ใต้หมอน ก็นึกว่านี่คือปืนเด็กเล่น เอามาเล่นยิงกันให้สนุกวันสงกรานต์กับเพื่อนลูกพี่ลูกน้อง พอยิงโป้งเข้าไป อ้าว คราวนี้ทำไมไม่หันมาเล่นกับเรา มันกลับล้มสลบ แล้วก็สิ้นใจ หยุดหายใจไปเลย นี่ก็คือวิธีหาความรู้จากการเล่น เล่นสมัยก่อนโน้น เล่นหมากเก็บ เล่นก้อนกรวด เล่นต้องเต ซึ่งไม่ต้องใช้อะไรมาก แต่เดี๋ยวนี้เล่นอย่างนั้นมันพื้นเสียแล้ว มันธรรมดา ก็หาการเล่นที่พิสดารต่างๆ ไปอีก แล้วก็ยิ่งอายุมากเข้าก็ใช้สติปัญญา แต่เผอิญน่าเสียดาย มันเป็นมิจฉาปัญญา ไปหาวิธีการเล่นต่างๆ นานา ที่ทำความเดือดร้อนให้แก่ตัวเอง เช่น สร้างโน่นสร้างนี่ ด้วยการไปยึดเอาที่ดินตรงโน้นตรงนี้ของธรรมชาติมาเป็นของตน นี่คือวิธีการหาความรู้เรื่องการเล่น หาความรู้เรื่องการเที่ยว ที่ไหน ที่ไหน ที่เขามีเที่ยวแปลกๆ พิสดาร วิตถารเท่าไรยิ่งดี มีบ้างไหม นี่คือวิธีหาความรู้ที่เขาบอกว่ามันเป็นสิ่งคู่กับชีวิตมนุษย์ แต่น่าเสียดายที่ไม่หาความรู้ในทางที่ถูก พอมากขึ้นไปอีกหน่อย เข้ามาในหนทางสักหน่อย ก็หาความรู้จากการเรียน หาความรู้จากการทำงาน จากการหาเงิน จากการหาความสำเร็จในวิธีการต่างๆ จากการหาความสุขด้วยวิธีการต่างๆ เพราะฉะนั้นนี่คือที่ท่านบอกว่า การศึกษานั้นเป็นสิ่งที่คู่กับชีวิต มันก็เป็นจริงอย่างนี้นะคะ และเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ประเด็นที่น่าคิดก็คือว่า การศึกษาอะไรละมันถึงจะเป็นการศึกษาที่คู่กับชีวิตแล้วก็นำชีวิตนั้นไปสู่ความมีคุณค่าของชีวิตอย่างสมแก่การเกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ให้เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ นี่เป็นสิ่งที่เราควรคิดกัน
ข้อที่สอง ความลับของการศึกษาข้อที่สองก็คือ การศึกษาเป็นบ่อเกิดของทิฐิ ทิฐิก็คือ ความเห็น มนุษย์เรามีความเห็นกันทุกคน เรียกว่ามันมีอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์นะคะ เรามีความเห็นกันทุกคน ตาเห็นอะไรเราก็มีทิฐิเกี่ยวกับเรื่องนั้น ดีหรือไม่ดี ใช้ได้หรือไม่ได้ จากทิฐิความเห็นนี้ก็ชวนให้วิเคราะห์วิจารณ์แยกแยะไปตามความรู้ประสบการณ์ของแต่ละคน เพราะฉะนั้นทิฐินี่มีอยู่ด้วยกันทุกคน เป็นบ่อเกิดของทิฐิ แล้วก็ทิฐินี่แหละ คือต้นเหตุแห่งปัญหาในชีวิตของมนุษย์ ทั้งส่วนตัว และก็ส่วนรวม ทั้งในสังคม ทั้งในโลก ใช่ไหมคะ ที่ทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ทุกวันนี้ ตลอดจนกระทั่งใช้คำพูดที่เผ็ดร้อนด่าทอกัน หรือทำลายล้างกันในหน้าหนังสือพิมพ์ที่เราพบ ก็เพราะทิฐิ แต่ทิฐิที่มันก่อให้เกิดปัญหาก็คือ ทิฐิที่มันไม่ถูกใจฉัน เอาอย่างใจฉัน และมันไม่ได้อย่างใจฉัน เพราะฉะนั้นทิฐินี้ก็ยึดมั่น คือยึดมั่นในทิฐินี้ ยอมรับทิฐิของคนอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันก็เกิดเป็นปัญหา เกิดเป็นศัตรูกันขึ้น ทิฐิที่เราเห็น แล้วก็รู้สึกว่าเป็นทิฐิที่เป็นอันตรายแก่ชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่ผู้ที่อยู่ในวัยเยาว์ นั่นก็คือทิฐิเกี่ยวกับค่านิยม
ดิฉันเชื่อว่าท่านที่เป็นครูบาอาจารย์มีความสำนึกในเรื่องค่านิยมเป็นอย่างมากเลย ว่ามันเป็นจุดของการนำปัญหา นำอันตรายมาสู่เยาวชนของเรา ทิฐิเกี่ยวกับค่านิยมที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้น ดิฉันอยากจะบอกว่ามันเป็นค่านิยมที่เป็นมิจฉาทิฐิ เป็นความนิยมที่นำชีวิตไปสู่ปัญหา สู่ปัญหาของความดิ้นรน กระเสือกระสน เพื่อการแย่งชิง เพื่อการเบียดเบียน ให้ได้มากกว่าเขา มีมากกว่าเขา เก่งมากกว่าเขา วิเศษกว่าเขา ตั้งแต่เล็กๆ ไปจนโต แล้วมันก็สั่งสมไว้ในใจจนเพิ่มอัตรากำลังของความต้องการมากยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น น่ากลัวเหลือเกินที่เกี่ยวกับค่านิยม ที่เกิดค่านิยมมิจฉาทิฐิ ดิฉันอยากจะพูดว่า เพราะคนทุกวันนี้พากันเมินมองปัจจัยสี่ ปัจจัยสี่ที่เราพูดมาแต่โบราณ ได้รับคำสอนมาแต่โบราณว่า ชีวิตมนุษย์อยู่ได้เพราะปัจจัยสี่ คือ ที่อยู่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ซึ่งเราก็อยู่กันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวด แต่บรรพบุรุษของเราก็มีความสุขดำรงชีวิตมาด้วยปัจจัยสี่ แต่ยิ่งโลกเจริญ มีอารยธรรมมากขึ้น เป็นชาวศิวิไลซ์ (Civilize) มากขึ้น ปัจจัยสี่ดูจะไร้ความหมาย ไม่เพียงพอ เพราะปัจจัยสี่นั้น ในความหมายของปัจจัยสี่ ที่อยู่อาศัยก็พออยู่ พออยู่พอเป็นพอไป พอมีความสะดวกสบายตามสมควร ตามความจำเป็นของชีวิต เครื่องนุ่งห่มก็พอกันร้อน กันหนาว พอสุภาพ สะอาด พอดู อาหารก็พอเลี้ยงร่างกายให้แข็งแรง มีชีวิตเป็นไปอยู่ได้ ยารักษาโรคก็เมื่อมีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้น แต่เดี๋ยวนี้ที่ดิฉันพูดว่า ปัจจัยสี่ขั้นพื้นฐานที่เราได้รับการบอกเล่ากันมาแต่ปู่ย่าตายาย มันดูกลายเป็นพื้นฐานธรรมดาไปเสียแล้ว เหมือนอย่างยารักษาโรค ตัวอย่างง่ายๆ เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่ยารักษาโรคที่ไปแสวงหากัน เพราะโรคยังไม่ทันเกิด แต่มันกลายเป็นชะลอความสวย ชะลอความสาว คือเป็นยาชะลอความสวย ชะลอความสาว ชะลอความแก่ เพื่อจะให้หนุ่มเสมอ สาวเสมอ ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นบรรดาบุคคลเหล่านี้ที่หากินทางนี้จึงร่ำรวย อาหารก็เหมือนกันอย่างที่พูดเมื่อกี้นี้ สมัยก่อนโน้นเราอยู่เย็นเป็นสุขกันเพราะอะไร เพราะน้ำพริกถ้วยเดียว มีสำรับ เอามาวางรวมกันเข้า มีผัก มีน้ำพริก มีปลา มีแกง มีผัด อย่างมาก พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ลูกหลาน ล้อมวงกันกิน คนละหมุบคนละหมับ แม้จะบางทีแย่งกันนิดหน่อย แต่มี...