PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • อุบาสิกา คุณรัญจวน อินทรกำแหง
  • การปฏิรูปชีวิตเพื่อความบังเกิดขึ้นแห่งศานติในหมู่มนุษย์ (ตอน2)
การปฏิรูปชีวิตเพื่อความบังเกิดขึ้นแห่งศานติในหมู่มนุษย์ (ตอน ... รูปภาพ 1
  • Title
    การปฏิรูปชีวิตเพื่อความบังเกิดขึ้นแห่งศานติในหมู่มนุษย์ (ตอน2)
  • เสียง
  • 12471 การปฏิรูปชีวิตเพื่อความบังเกิดขึ้นแห่งศานติในหมู่มนุษย์ (ตอน2) /upasakas-ranjuan/2023-12-14-03-35-07.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
อุบาสิกา คุณรัญจวน อินทรกำแหง
ชุด
URI 021
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • ใช่ไหมคะ ในขณะที่ทำชั่ว จิตสำนึกของคนที่เป็นคนนี่ ดิฉันว่าไม่หนาเกินไป พอระลึกได้ นี่เราทำไม่ถูกนะ แต่ตัณหาความอยากมันสูงกว่า มันเหนือกว่า ก็เลยพ่ายแพ้ เพราะไม่มีฐานที่มั่นคง คือขาดปรมัตถธรรม หรือธรรมะชั้นสูงที่จะอยู่เป็นพื้นฐาน  ค้ำยันเอาไว้ อย่าไปเสียใจ อย่าไปประหวั่นวิตก ไม่มีอะไรแน่ ไม่มีอะไรแน่ ในชีวิตนี้ วันนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้ยังมี ใช่ไหมคะ วันนี้เขาได้ พรุ่งนี้เขาตกก็มี เราก็เห็นอยู่แล้วในชีวิต แต่เผอิญอะไรที่มันเกี่ยวกับอัตตาตัวตน มันลืมนึกถึงสัจธรรมข้อนี้ ใช่ไหมคะ มัวนึกแต่ว่าทำไมไม่ได้ ทำไมไม่ได้ ทำไมฉันไม่ได้ แล้วคนนั้นทำไมถึงได้ นี่แหละ อย่าให้คำว่าทำไมเกิดขึ้นเลยค่ะ ในคำพูดของเรา ครูว่าจะบอกว่า เด็กคนไหนมีคำว่าทำไมมากๆ เด็กคนนั้นฉลาด ระวัง จะถูกความฉลาดฆ่าตัวตาย จะถูกฆ่าตายเพราะความฉลาดของคำว่าทำไม ทำไม ทำไม เพราะทำไมอันนี้ มักจะทำไมโดยการไปเพ่งโทษคนอื่น ยิ่งเพ่งโทษคนอื่นเท่าใด ว่าเพราะเขา เพราะเขา เราก็ยิ่งเดือดร้อนมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น เพราะตัณหา ทำให้ไม่มีความคิดที่จะไตร่ตรอง เพราะเป็นคนดี เพียงแค่ศีลธรรม จึงไม่มั่นคง กฎของธรรมชาติ เข้ามาช่วยไว้ไม่ทัน ฉะนั้น อิทธิพลของตัณหา ก็เป็นสมุทัยของความทุกข์ทั้งปวง แล้วก็เพราะเห็นไปว่า เป็นอัตตา จึงมีตัณหาที่ดิ้นรนร้ายแรง นำความทุกข์มาสู่ ตามอำนาจของตัณหานั้น

    ฉะนั้น การที่จะเข้าศึกษาฝึกฝนอบรม ทำการเรียนรู้ในเรื่องของพุทธศาสนานั้น จึงอย่าเพียงแค่ เป็นคนดีมีศีลและธรรม ไม่เพียงพอ เมื่อถูกพายุร้ายของชีวิตมากระหน่ำ คือไม่ได้อย่างใจ จะซวนเซ ล้มละลาย ได้ง่ายๆ จึงต้องหาฐาน เหมือนอย่างเวลาสร้างบ้าน ใช่ไหมคะ ถ้าหากว่ ในการก่อสร้าง เจ้าของบ้านคนใดลงฐานคอนกรีตพื้นเอาไว้ให้นั่นหนามั่นคง จะไม่ปรากฏการณ์พังทลายของบ้านนั้น แต่ที่เราได้ข่าวว่าคอนโดพังทลายหรืออะไรพังทลายก็เพราะฐานไม่มี หรือมีก็อ่อนแอเต็มที ทำบางๆ ฉะนั้นปรมัตถธรรมจะเป็นฐาน เป็นรากฐานของชีวิตที่มั่นคง รักษาชีวิตนั้นไว้ให้ตลอดปลอดภัย เมื่อเวลาต้องเผชิญกับมรสุมของชีวิต และรักษาความเป็นคนดีมีศีลธรรม ที่จะกระทำสิ่งที่ดีเป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ไว้ได้ ทีนี้ ข้อต่อไปอีกที่เป็นเหตุที่ทำให้ต้องกลายเป็นโจรองคุลิมาล ก็เพราะศรัทธาที่ขาดปัญญา อย่างที่กล่าวแล้ว นี่สำคัญมากเหลือเกิน องค์สมเด็จพระศาสดาก็ได้สอนเรื่องต้องมีศรัทธา พระองค์จะทรงปลูกศรัทธาก่อน แต่ทว่าศรัทธานั้นจะต้องมีปัญญานำอยู่เสมอ ถ้าขาดปัญญานำแล้ว จะกลายเป็นศรัทธาที่นำอันตรายมาสู่ชีวิตของตนเอง ทั้งๆ ที่เป็นคนดี เป็นคนฉลาด เป็นคนมีความรู้สูง แต่ก็กลายเป็นเหยื่อไปได้ง่ายๆ เลย น่ากลัวที่สุด ฉะนั้นอันนี้คือสิ่งที่น่ากลัว ถ้าขาดปัญญาแล้วเราก็มีชีวิตจะตกอยู่ใต้ภัย จะตกอยู่ใต้ภัยอันตรายที่ใหญ่หลวง แล้วก็ก่อเวรก่อภัยต่อไปไม่รู้จบ สิ่งที่เราเห็นจากชีวิตของอหิงสกะอีกประการหนึ่งซึ่งสำคัญมาก ก็คืออิทธิพลของครูอาจารย์ ใช่ไหมคะ เกียรติภูมิของครูอาจารย์นั้นสูงส่ง มีอิทธิพลต่อชีวิตของลูกศิษย์อย่างยิ่งเลย และในชีวิตของอหิงสกะ แสดงถึงอิทธิพลของครูอาจารย์ชัดเจน อหิงสกะ เกือบจะไม่มีวันผุดเกิด ก็เพราะเผอิญไปได้ครูอาจารย์ที่เป็นอสัตบุรุษ อาจารย์ผู้ปราศจากมนุษยธรรม ปราศจากภูมิปัญญาของความเป็นครู เป็นครูที่มุ่งแต่จะตักตวง จะเอาจากลูกศิษย์ ซึ่งเป็นมิจฉา มิจฉาครู มิจฉาอาจารย์ เพราะเต็มไปด้วยมิจฉาทิฏฐิ เพราะฉะนั้นครูที่เป็นมิจฉาอย่างนี้ เป็นครูที่ทำลาย ไม่ใช่ครูที่สร้างสรรค์ ผิดหน้าที่ของครูอย่างสิ้นเชิง เมื่อเปรียบ ในชีวิตของอหิงสกะ อหิงสกะก็ยังไม่โชคร้ายเสียทีเดียว ที่ได้พบครูผู้ประเสริฐอีกท่านหนึ่ง คือองค์สมเด็จพระบรมครู ที่ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาพระกรุณาที่บริสุทธิ์ เป็นผู้ให้ที่ประเสริฐที่ยิ่งใหญ่ พระองค์จึงทรงนำศิษย์ที่กำลังจะพลัดตกลงไปสู่เหวลึก ขึ้นมาได้ อยู่ในหนทางของสัมมาทิฏฐิ นี่เป็นสิ่งที่ชีวิตต้องเกี่ยวข้อง เป็นเหตุปัจจัยของชีวิตที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมของชีวิต ว่าจะพาชีวิตดำเนินไปสู่ความเป็นลบหรือความเป็นบวก นอกจากนี้ ความสำคัญของคำสอนที่ถูกต้อง นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก วิกฤตการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องของพระศาสนา อย่างที่ได้ยินอยู่มานานแล้ว แล้วก็จนกระทั่งยังมีอยู่ในปัจจุบัน แล้วก็อาจจะยังมีอยู่ต่อไปในอนาคตก็ได้ สาเหตุที่สำคัญก็คือการละเลยคำสอนที่ถูกต้องตามพระพุทธโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะนี้ละทิ้งกันเป็นส่วนใหญ่หลายสำนักที่ทำการสอนเรื่องของธรรมะเรื่องของพุทธศาสนาต่อปวงชนทั่วไปเรียกว่าละเลยคำสอนที่ถูกต้อง แต่จะใช้คำสอนที่คิดว่าใช่ตามความเข้าใจของตนเอง ฉะนั้นคำสอนที่ถูกต้องมีความสำคัญเพราะอะไรเพราะมันสามารถพลิกผันชีวิตของลูกศิษย์คือของมนุษย์คนนั้นได้อย่างหน้ามือเป็นหลังมือจากลบเป็นบวกจากบวกเป็นลบ จึงต้องอาศัยวิจารณญาณที่จะมาพิจารณาตัดสินว่าคำสอนนั้นถูกต้องหรือไม่ด้วยการมีกาลามสูตรเป็นหลัก ดิฉันก็เชื่อว่าท่านผู้มีเกียรติทุกท่านรู้จักกาลามสูตร แต่ก็หวังว่าจะได้กรุณานำกาลามสูตรมาทบทวนอีกสักครั้งหนึ่งว่าจริงๆ ท่านเตือนว่าอะไร อันที่จริงกาลามสูตรนั้นเป็นสูตรที่ให้สิทธิแก่มนุษย์ให้เลือกอย่างเสรีเป็นประชาธิปไตยอย่างยิ่งเลย เลือกเชื่อ เลือกคิด เลือกทำ แต่ตัวนี้ตัวโตหน่อยใช้ปัญญาสักก่อน ใช้ปัญญาไตร่ตรองพิจารณาหาเหตุหาผลเอามาทดสอบมาทดลองจนใจสัมผัสก่อนแล้วจึงตัดสินใจว่าเชื่อว่าใช่ ยุคใดก็คงไม่ใช่ยุคที่ต้องการกาลามสูตรเท่ายุคนี้ใช่ไหมคะ เพราะเป็นยุคของข่าวลือ ข่าวสารข้อมูลต่างๆ มาสารพัดทิศ สมัยก่อนโน้นชาวกาลามะนี่ ก็หมู่บ้านเดียว เขายังสับสนเลย ครูอาจารย์คนนั้นเข้ามาสอนอย่างนี้ ครูอาจารย์คนนี้เข้ามาสอนอย่างนั้น แค่นั้นน่ะ ครูอาจารย์ก็คงไม่กี่สิบคนน่ะ ก็ยังสับสน ยังต้องมากราบทูลถามพระพุทธเจ้า

    สมัยนี้ข่าวสารข้อมูล เรียกว่าเข้ามาทุกสารทิศ ปิดหูแล้วก็ยังได้ยิน ปิดตาแล้วก็ยังเห็น ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นยุคนี้แหละเป็นยุคที่ต้องการกาลามสูตร เป็นหลักของชีวิตอย่างยิ่งเลย ถ้าหากว่าใช้หลักกาลามสูตรแล้ว จะตัดสินได้ทันที คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะเป็นหลักตัดสินได้ง่ายๆ ที่สุดก็คือ ตลอดพระชนม์ชีพ ไม่พูดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องของความทุกข์ และกรรม การดับทุกข์ เหตุของทุกข์ ตัณหา ความอยาก จึงทำให้เกิดอุปาทาน ยึดมั่น เมื่อยึดมั่นสิ่งใด ทุกข์เพราะสิ่งนั้น ฉะนั้นถ้าคำสอนของผู้ใด จะอ้างว่าเป็นครูบาอาจารย์สมัยไหน สมัยไหนก็ตามที แต่ถ้าสอนว่า ให้มีความยึดมั่น ไม่ต้องยึดมั่นอื่น ยึดมั่นตัวฉัน ที่เป็นผู้สอน เท่านี้ก็สวนทางแล้ว สวนทางกับคำสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอากาลามสูตรเข้ามาตัด เข้ามาตัดสิน หรือเข้ามาพิจารณา บอกได้ทันที ไม่ใช่คำสอนในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นคำสอนที่ ส่งเสริมให้เกิดการยึดมั่น พอยึดมั่นเข้า เย็นไหม นี่ถามง่ายๆ ตัวเอง เย็นไหม ไม่เย็นแล้ว มันร้อน เพราะฉะนั้น ยุคนี้เป็นยุคที่ต้องการกาลามสูตร จึงน่าที่จะมีการติดกาลามสูตร ด้วยการพิมพ์แผ่นใหญ่ๆ ไว้ในที่ ๆ ส่วนกลางจะอ่านได้ เห็นได้ แล้วก็จะได้ใคร่ครวญใช้ประโยชน์ได้ นอกจากนี้ชีวิตของอหิงสกะ ยังแสดงถึงอิทธิพลของกฎของธรรมชาติ ที่อยู่เหนือกฎอื่นใด นั่นก็คือ กระทำสิ่งใด คือกระทำเหตุปัจจัยอย่างใด ผลก็สนองตามเหตุปัจจัยนั้น เมื่อเป็นโจรองคุลิมาล ประกอบเหตุปัจจัยอย่างเป็นโจรองคุลิมาล ก็ได้รับการตอบสนองอย่างเจ็บปวด แสนสาหัส ในทางใจก็ทุกข์เดือดร้อน เมื่อ มาประพฤติพรหมจรรย์ ตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหตุปัจจัยอันนั้นก็ส่งสนอง ให้ได้รับความสุขสงบเย็น อันเป็นสันติสุข ปากเบื่อ แต่เวลาการกระทำ ทำอย่างชนิดออกจากวัฏสงสาร หรือวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร นี่เป็นคำถามที่สำคัญมากนะคะ ฉะนั้นเบื่อด้วยปากไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ ต้องทำ ทำให้ออกจากวัฏสงสาร แล้วท่านก็บอกว่า ที่จริงแล้วนิพพานกับวัฏสงสารอยู่ที่เดียวกัน ชีวิตของมนุษย์นี่ต้องเกี่ยวข้องกับนิพพานและและวัฏสงสารอยู่ตลอดเวลา เชื่อไหมคะ หรือไม่เชื่อ ถ้าไม่เชื่อก็นึกไปอีกนิดหนึ่งว่า วัฏสงสารหมายความว่าอะไร วัฏสงสารก็หมายถึงระยะเวลาที่ ช่วงหนึ่งของเวลาจะสั้นหรือยาวก็แล้วแต่ 1 นาที 10 นาที แต่เป็นระยะเวลาที่ภายในคือจิตใจนั้นเดือดพล่านไปด้วยกิเลส คำเดือดพล่านก็คงจะบอกแล้วนะคะ ว่าภาวะของใจอย่างนั้นเป็นเป็นอย่างไร และในขณะที่จิตใจเดือดพล่าน ด้วยกิเลสนั้น วัฏสงสารจึงเป็นเครื่องทรมานบีบคั้นมนุษย์ บีบคั้นให้มีความเจ็บปวดขมขื่น ชอกช้ำ จึงเอ่ยปากว่า ไม่อยากแล้วไม่อยากอยู่ในวัฏสงสาร แต่คงกระทำอย่างเดิมต่อไป ก็ต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารออกไม่ได้ ทีนี้นิพพานคืออะไร นิพพานก็หมายถึงระยะ เวลาที่ว่างจากกิเลส คือภายในจิตว่างจากกิเลส ช่วงเวลาที่จิตว่างจากกิเลสนี่แหละ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต ถ้ายังอยู่กันได้ ไม่ตายไปเสีย จริงไหมคะ ไม่มีท่านผู้ใดพยักหน้าว่าจริง ก็ลองนึกดูอีกทีสิคะว่า ถ้าตลอดเวลาของชีวิตของเรา คือทุกขณะทุกเวลานาที ร้อนเดือดพล่านร้อนเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา ทนไหวไหม ก็ทนไม่ไหวใช่ไหมคะ ที่ตายกันไปตายกันไปยังไม่ถึงเวลาที่จะหยุดหายใจ รีบหยุดหายใจไปเสียก่อน ก็เพราะทนไม่ไหว ทนไม่ไหวเพราะอะไร เพราะไม่เคยมองดู ว่าจริงๆ แล้ว ในช่วงชีวิตหนึ่งชีวิตหนึ่ง ได้พบกับนิพพานคือความเย็น ความเย็นที่เกิดเพราะชั่วขณะจิตนั้นน่ะ มันว่างจากกิเลส ไม่มีโลภไม่มีโกรธไม่มีหลงเข้ามารุมล้อมให้ดิ้นรนเดือดพล่าน ไม่มีตัณหาความอยาก ไม่มีอุปาทานความยึดมั่น ถือมั่นเข้ามารุมล้อมอยู่ในจิตให้เดือดพล่าน ลืมนึกไป ไม่คิดไม่นึก นึกไม่ถึง แล้วก็เพราะอัตตาตัวตนนี่แหละใช่ไหมคะ อัตตาตัวตนที่ยึดมั่นอยู่ ก็เลยจะเอาแต่ที่ดีๆ ที่ถูกใจ แล้วก็จะเอามากๆ จะเอาให้อยู่นานๆ จะเอาให้อยู่ตลอดชีวิต โลภไหม ก็เลยไม่เห็นความเย็นที่เขามาสลับ เขามาสลับฉากให้กับชีวิตตลอดเวลา จริงหรือไม่จริงลองนึกดู อีกทีสิคะ เพราะชีวิตที่ผ่านมา เราได้สัมผัสกับความเย็น ชั่วระยะที่จิตมันนิ่ง มันเย็น มันสงบ มันหยุดอยาก พูดง่ายๆนะคะ มันหยุดอยาก ตอนนี้มันอยากอะไร เพราะมันร้อนเต็มทีแล้ว มันเหนื่อย เหนื่อยกับความเดือดพล่าน ก็เลยหยุด ถ้าหยุดเท่านั้นแหละ เย็น นี่แหละค่ะ เว้นระยะให้มีลมหายใจต่อไป

    เพราะฉะนั้น ธรรมชาติจึงบอกว่า ชีวิตนี้เกี่ยวข้องอยู่กับนิพพานและวัฏสงสารอยู่ทุกขณะตลอดเวลามันสลับกันอยู่อย่างนี้ แล้วมันก็ต่อต้านซึ่งกันและกัน ต่อต้านซึ่งกันและกันอย่างไร เจ้าวัฏสงสารก็ไม่อยากให้นิพพานเข้ามาใช่ไหมคะ เพราะเข้ามาแล้วมันจะกำจัดเราออกไป เราไม่อยากออกน่ะ เพราะฉะนั้นมันก็ต่อต้านกันอยู่ตลอดเวลา ข้างฝ่ายนิพพานไม่ต่อต้านกับใคร นิพพานเป็นจิตที่เป็นอิสระ เพียงแต่จะยืนอยู่ ชี้ให้เห็นเฉยๆ เย็นคืออย่างนี้ เย็นคืออย่างนี้ แล้วแต่ว่าจะมีสติปัญญาเพียงพอที่จะเลือกเอาไหม ถ้ามีสติปัญญาเพียงพอที่จะเลือกเอานิพพานก็อยู่ตรงนี้แหละ เพราะฉะนั้นนิพพานไม่ใช่เป็นสถานที่ที่จะต้องเดินไปหา แล้วก็ไม่ต้องก้าวเดินไปหานิพพาน นิพพานเป็นสิ่งที่จะต้องทำให้เกิดมี โปรดจำไว้เถอะค่ะ นิพพานเป็นสิ่งที่จะต้องทำให้เกิดมี มีที่ไหน มีที่ข้างใน มีที่ข้างในที่ในใจของเรา ทำให้เกิดมีได้อย่างไร ถ้าวันหนึ่งๆนะคะ หรือในชั่วโมงหนึ่ง หยุดอยากให้ได้หลายๆนาทีซักหน่อย ไม่เอาทั้งชั่วโมงหรอก ให้ได้หลายๆนาทีสักหน่อย นิพพานก็จะมีโอกาสปรากฏ ปรากฏขึ้นภายใน ไม่ใช่ปรากฏตัว เพราะนิพพานไม่มีตัวตน ไม่ได้ปรากฏตัว แต่จะปรากฏให้ได้สัมผัส กับความรู้สึกเย็นที่บังเกิดขึ้นภายใน ขณะใดที่จิตสัมผัสกับความรู้สึกเย็นที่เกิดขึ้นภายใน นั่นแหละ ภาวะของนิพพานได้มาเกิดขึ้นแล้ว ฉะนั้นธรรมชาติจึงบอกว่า ชีวิต เกี่ยวข้องอยู่กับนิพพาน วัฏสงสาร อยู่ที่เดียวกัน สลับกัน อย่างต่อต้านกันอยู่ตลอดเวลา หรือถ้าจะพูดง่ายๆ ธรรมดาก็อาจจะบอกว่า ชีวิตนั้น เกี่ยวข้องอยู่ความร้อนความเย็น คือชีวิตที่ยังไม่ได้พัฒนาถึงที่สุดก็จะเกี่ยวข้องอยู่กับความร้อนความเย็น อยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ แต่ มีโอกาสเลือก เพราะชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา และพัฒนาได้ ขณะใดที่รู้สึกว่าสิ้นหวัง ดิฉันมีความรู้สึกว่าประโยคนี้ พอปรากฏขึ้นให้กำลังใจทันที ที่จะลุกขึ้นเดินต่อไป ยืนต่อไป มั่นคง เดินต่อไป ก้าวหน้าต่อไป ฉะนั้นนี่คือสิ่งที่ธรรมชาติได้ให้คำแนะนำ คำบอกกล่าว อย่างเป็นมิตรอันประเสริฐแก่มนุษย์นะคะนอกจากนี้ชีวิตของอหิงสกะ ก็ยังสนับสนุนคำที่กล่าวว่า เรื่องทั้งหมดของชีวิต หรือทุกอย่างที่เกี่ยวกับชีวิต ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรียกว่า จิต เพียงสิ่งเดียวใช่ไหมคะ

    เมื่อจิตได้รับการพัฒนา อย่างถูกต้อง จิตก็จะพาชีวิตนี้ ไปสู่หนทางที่เป็นความเย็น แต่ถ้าจิตไม่ยอมรับการฝึกอบรมพัฒนาเลย จิตนี้ก็จะอยู่ แต่กับสิ่งที่เป็นความร้อน เป็นความร้อน เป็นความเดือดพล่าน อยู่ในใจตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ในการศึกษา การจัดการศึกษาให้แก่เด็กทุกระดับของการศึกษา ตั้งแต่อนุบาลขึ้นไปจนจบอุดมศึกษา ดิฉันว่าแน่นอนที่สุดที่จะต้องมุ่งพัฒนาจิตเป็นสำคัญ ซึ่งก็น่าเสียดายที่การศึกษาปัจจุบันหาได้มุ่งพัฒนาจิตไม่แต่ไปมุ่งพัฒนากายวัตถุ ผลที่ปรากฏขึ้นก็คือวิกฤตการณ์อย่างที่พบกันอยู่ทุกวันนี้แหละค่ะ ฉะนั้นการปฏิรูปชีวิตจึงจะข้ามการปฏิรูปจิตไปไม่ได้เพราะจิตเป็นสิ่งที่นำชีวิตเป็นประธานของชีวิต ถ้าขาดการปฏิรูปจิตก็เหมือนหนึ่งไม่ได้มีการปฏิรูปชีวิตเลย ศานติก็จะบังเกิดขึ้นไม่ได้ สัจจะของชีวิตอย่างหนึ่งที่มนุษย์มองไม่ค่อยเห็นหรือไม่ค่อยยอมรับแต่เป็นสัจจะก็คือชีวิตเป็นตัวธรรมชาติเป็นตัวธรรมชาติเองทีเดียวเลยค่ะ พอพูดถึงคำธรรมชาติมักจะนึกถึงแต่ต้นไม้ป่าเขาลำเนาไพรหรือว่าภูเขาแม่น้ำทะเล แต่ความเป็นจริงชีวิตนี่แหละเป็นตัวธรรมชาติอย่างหนึ่งแล้วก็มีความลับอยู่ในตัวชีวิตนี้ นั่นคืออะไรก็คือมีกฎของธรรมชาติควบคุมอยู่ในชีวิตนี้ ฉะนั้นเราจะมองเห็นว่าชีวิตใดที่ตกอยู่ในวงของวัฏสงสารมากกว่าที่จะได้ลิ้มรสของความเย็นก็เพราะว่าชีวิตนั้นฝ่าฝืน ต่อต้าน พยายามจะอยู่เหนือกฎของธรรมชาติคือไม่ยอมรับความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไม่ยอมรับว่าชีวิตนี้เป็นเพียงเหตุปัจจัย หรือเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีอัตตาจะเอาอัตตาให้ได้จะรักษาอัตตาตัวตนนี้ไว้ให้ได้  ชีวิตนั้นจึงเป็นทุกข์แล้วก็มีแต่ปัญหา เพราะฉะนั้นชีวิตเป็นตัวธรรมชาติมีกฎธรรมชาติควบคุมอยู่จึงจะต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติ การที่จะหวังว่าจะให้ชีวิตเป็นอย่างใจอยากนั้นไม่ได้เลยไม่ได้เลย ถ้าหากว่าภาวนาพุทโธไม่ได้ตามลมหายใจไม่ได้ อย่างน้อยท่องเอาไว้ว่าไม่ได้เลย ไม่ได้เลย ไม่ได้อย่างใจเลย ไม่ได้อย่างใจเลย ถ้ากำลังเจ็บใจมากๆ ขมขื่นมากๆ ภาวนาไปเถอะค่ะไม่ได้เลย ไม่ได้อย่างใจเลย อย่างน้อยระบายความเครียดออกไป นี่ได้ผลง่ายๆ ระบายความเครียดออกไปผลที่สุดก็ไม่เป็นไรหรอก คราวหน้ายังมี ได้กำลังใจให้กับตัวเองเรียกว่านี่เรียกว่าเป็นธรรมะเข้ามาโดยไม่ได้เรียกร้องไม่ได้เชื้อเชิญและก็บางทีก็เกลียดธรรมะด้วยซ้ำไป แต่ธรรมะอยู่ในชีวิต ธรรมะกับชีวิตนี่เป็นอันเดียวกันนะคะ ท่านผู้ใดที่ว่า ธรรมะอยู่วัด ชีวิตฉันอยู่บ้าน อยู่ที่ทำงาน ก็แน่นอนแหละ เป็นชีวิตตายทั้งเป็น ถ้าไปแยกส่วนของชีวิตนี่คะ มันก็เลยไม่สามารถจะรวมกันเป็นชีวิตได้ มันขาดความเป็นชีวิตเสียแล้ว นอกจากนี้ นอกจากว่าชีวิตเป็นตัวธรรมชาติ มีกฎของธรรมชาติควบคุมอยู่ ธรรมชาติยังบอกอีกว่า ชีวิตนี้ เป็นเครื่องมือของการศึกษาที่ยิ่งใหญ่เลยทีเดียว นักการศึกษา น่าจะศึกษา ข้อนี้ เมื่อชีวิตนี่แหละ คือตัวของการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธรรมชาติได้ให้เครื่องมือของการศึกษามา แล้วก็ไม่ว่าจะศึกษาขั้นระดับปริญญาอะไร ระดับใด ไม่ว่าขณะนี้เทคโนโลยีจะเจริญก้าวหน้าสูงส่งเพียงใด มีอุปกรณ์การสอนมากมายเพียงใดก็ตาม แต่ ถ้าขาดเครื่องมือการศึกษาที่ธรรมชาติมอบให้มา อุปกรณ์ทางเทคโนโลยี ที่แสนวิเศษเหล่านั้น หามีประโยชน์ไม่ ไร้ค่าทันที เครื่องมือที่ธรรมชาติให้มาคืออะไร ใช้อยู่ทุกวี่ทุกวันแต่ไม่รู้คุณ อกตัญญู ต่อธรรมชาติ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ใช่หรือไม่ ในการศึกษาทางวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยก็ตาม สถาบันการศึกษาใดก็ตาม ถ้าไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ ที่เป็นเครื่องมือการศึกษาเบื้องต้นที่สุด เป็นฐานของการศึกษาอื่น จะเอาอะไรไปดูไปศึกษาอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีทั้งหลาย ใช่ไหมคะ ฉะนั้นถ้ารู้ความจริงข้อนี้ จะรักชีวิต จะเห็นคุณของธรรมชาติ จะเห็นว่านี่คือ เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา แล้วก็จะพยายามทำ นี่น่าเสียดายมีเพชรอยู่กับมือ มีแก้วอยู่กับมือ ปล่อยทิ้ง ทำแตกทำร้าว บางคนอยากจะกระทืบซ้ำด้วยซ้ำ ในความรู้สึกของดิฉันนะคะ ดิฉันมีความรู้สึกว่า ไม่มียุคใดสมัยใด ที่ธรรมะหรือคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะถูกเหยียบย่ำยับเยิน เหมือนยุคนี้ ทั้งๆ ที่ผู้ที่เยียบย่ำยับเยินเหล่านั้นหาใช่คนโง่เขลาไม่ หาใช่คนไม่มีความรู้ไม่มีปัญญาไม่ นี่สิเป็นสิ่งที่น่าเสียใจ ถ้าคนโง่คนเขลาคนป่าคนเถื่อนก็เอาเถอะ ป่าเถื่อนนี่จะไปเอาอะไร แต่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีการศึกษา แต่เป็นการศึกษาที่มีแต่วิชา ว แหวน สระอิ ช ช้าง ตัวเดียว สระอา ศึกษาศาสตร์ต่างๆ มาสารพัด ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก แต่ละเลยมองข้ามสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดของชีวิต คือ วิชชา ช สองตัว ว แหวน สระอิ ช ช้าง ช ช้าง สระอา วิชชาอันนี้สิ ที่เป็นประทีปนำชีวิตที่แท้จริง ที่จะนำไปสู่ความสว่างของชีวิตเป็นความสุข เป็นความสงบเย็น เป็นความเจริญ เป็นความมงคล เป็นความประเสริฐ ที่ฟังพระให้พรมงคล 38 ประการนั่นน่ะ ก็ยังไม่เท่ากับพัฒนาวิชชาให้เกิดขึ้นในจิต จริงหรือไม่จริงก็ลองโปรดพิสูจน์ดู ด้วยตนเองตามหลักกาลามสูตร เพราะฉะนั้นยุคนี้ เป็นยุคที่ดิฉันคิดว่า นักการศึกษาทั้งหลายที่รับผิดชอบในการศึกษารับผิดชอบในความเสื่อมความเจริญ ความพินาศความตั้งอยู่ได้ของบ้านเมือง ต้องสนใจสิ่งนี้ให้จงมาก ถ้าละเลยอย่าประมาท อย่าทะนงตัวว่าบ้านเมืองไทย ในน้ำมีปลาในนามีข้าว เดี๋ยวนี้ก็ไม่มี ลดลงไปทุกทีๆ ไม่มีอะไรจะช่วยได้ เพราะชีวิตนี้เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอย่าลืม เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวม ทำไมถึงไปถึงส่วนรวม ก็เพราะว่าส่วนรวมหรือสังคมเกิดขึ้น ก็เพราะสมาชิกแต่ละคนที่เป็นปัจเจกบุคคลใช่มั้ยคะ ถ้าหากว่าปัจเจกบุคคลแต่ละคนที่เป็นสมาชิกของสังคมของโลก ละเลยต่อสิ่งนี้ ย่ำยีธรรมะ ย่ำยีคำสอนที่เป็นสัจธรรม ที่จะดึงชีวิตของตนให้สู่ความเย็นสู่ความสว่าง และชีวิตนั้นจะเป็นสุขได้อย่างไร จะประสบกับสันติสุขได้อย่างไร ชาติบ้านเมืองสังคมจะเย็นได้อย่างไร ก็จะมีแต่ความร้อนอย่างที่จะพบ แล้วก็อย่าคิดว่าจะร้อนเพียงเท่านี้

    ถ้าเปรียบความร้อนปีนี้กับความร้อนปีที่แล้ว อุณหภูมิก็ต่างกันเหลือเกิน ก็อย่าไปโทษธรรมชาติ หลงโทษธรรมชาติ ธรรมชาตินี้น่าสงสารที่สุด ธรรมชาติมีแต่แสดงให้ดูแต่ไม่พูด ถ้าธรรมชาติพูดให้ฟังนะคะ ดิฉันอยากจะบอกว่า ถ้ามนุษย์รู้จักเจ็บแสบกัน ถ้ารู้จักนะคะ ถ้ารู้จักเจ็บแสบกัน จะเจ็บแสบที่สุด ก็น่าเสียดายอีกเหมือนกัน หิริโอตตัปปะมันหายไปเสีย เพราะงั้นความเจ็บแสบจะมีหรือเปล่าก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน แต่ถ้าไม่มี มนุษย์ต่างอะไรกันกับสัตว์โลกอื่น หน้าที่ของการศึกษา คือทำคนให้เป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น มนุษย์นี่แหละ เป็นสิ่งที่พัฒนาได้ แล้วก็พัฒนาให้ได้อย่างใดตามที่ใจต้องการก็สามารถทำได้ เพียงแต่ให้มีศรัทธา ที่ถูกต้อง ประกอบด้วยปัญญา มีวิริยะความพากเพียร ที่เด็ดเดี่ยว มีสติ มีสมาธิ และปัญญาสูงสุดจะเกิดตามขึ้นมา ฉะนั้นก็จงดูเถิดว่า ชีวิตนี้ เป็นเครื่องมือของการศึกษาที่ยิ่งใหญ่ เริ่มจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตลอดมาถึง ร่างกายนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะใช้ศึกษาภายนอก ศึกษาวิชาก็ได้ คือวิชาศาสตร์ต่างๆก็ต้องใช้ หรือจะใช้เพื่อศึกษาเพิ่มพูนวิชชา ที่เป็นช สองตัวก็ได้ และดิฉันไม่ควรใช้คำว่าก็ได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องศึกษา ต้องใช้อยู่แล้ว ถ้าใช้ถูกต้อง ผลก็คือความเย็นที่จะเกิดขึ้น ถ้าใช้ผิด ก็ไม่ต้องสงสัย อย่างที่ดิ้นรนเดือดร้อนกันอยู่ในกระทะน้ำเดือด อยู่ทุกวันนี้ แม้ว่าไม่ใช่นรก อยู่บนพื้นแผ่นดิน กระทะทองแดงก็มีรอรับ และหลายๆคนหลายๆชีวิตก็อยู่ในกระทะทองแดง แต่ไม่นึกนั่นเอง ทีนี้ถ้า หากว่าจะใช้ร่างกายนี้เป็นเครื่องมือการศึกษาที่ยิ่งใหญ่ต่อไปอีกไปสู่การพัฒนาที่สูงสุดในชีวิตนี้แหละตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ชีวิตร่างกายรูปนามกายใจนี้นะมีทั้งทุกข์ มีทั้งสมุทัยมีทั้งนิโรธมีทั้งมรรค ทุกข์ก็คือบอกให้รู้แล้วลักษณะอาการของความทุกข์มีอยู่ทั้งภายในและภายนอก เราพูดสั้นเพราะถือว่าท่านทั้งหลายเป็นผู้รู้แล้วนั่นอย่างหนึ่งและเพราะเวลาอีกอย่างนะ ทั้ง ๆที่ไม่อยากเป็นทาสของเวลา แต่เวลาก็เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่บ้างเหมือนกันนะคะนี่ดิฉันดูนาฬิกาตามที่ท่านอธิการให้ดิฉันมาเลยอีกครึ่งชั่วโมงใช่เปล่าคะ ของดิฉันสิบเอ็ดนาฬิกาอย่างที่ได้เรียนไว้ตอนต้นว่าดิฉันไม่กังวลเรื่องจบหรือไม่จบ มีอีกเยอะพูดอีกหนึ่งชั่วโมงสองชั่วโมงก็ได้อย่างไม่จบ แต่ถ้าว่าเมื่อดิฉันไม่กังวลกับเวลาแต่ว่าเวลามันก็มาควบคุมในบางกรณีก็จะจบเมื่อนาฬิกาบอกว่าจบนะคะตอนนี้ก็จะพูดต่อไปอีก ทีนี้ที่บอกว่าในร่างกายนี้เป็นเครื่องมือของการศึกษาที่ยิ่งใหญ่เพื่อความเข้าไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตนั่นคืออะไรที่พูดว่าศึกษาเรื่องทุกข์สมุทัยนิโรธมรรคทุกท่านก็ทราบดีแล้วว่านี่คืออริยสัจสี่ ความจริงอันประเสริฐสี่ประการ และความจริงอันประเสริฐสี่ประการนี้ถ้าท่านผู้ใดสนใจติดตามคำสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างใกล้ชิดก็จะสังเกตได้ว่าในขณะที่พระองค์จะทรงแสดงธรรมทุกครั้งก็จะทรงเริ่มด้วยทานศีลภาวนาเบื้องต้นเพื่อสนับสนุนให้เกิดกำลังใจ จากนั้นเมื่อพระองค์ทรงตรวจแล้วก็เห็นว่าผู้ที่ฟังอยู่ในขณะนั้นบางคนมีใจพร้อมที่จะรับธรรมที่สูงละเอียดขึ้นไปอีกก็จะทรงประทานธรรมะธรรมเทศนาเกี่ยวกับเรื่องของพระอริยสัจสี่ทันที พระอริยสัจสี่นี้จะเป็นธรรม เป็นพระธรรมคำสอนที่เป็นหลักสูงสุด พระองค์สอนเรื่องความทุกข์และการดับทุกข์ นี่เป็นสิ่งที่พระองค์ปรารถนาที่จะให้มนุษย์ทุกคนในโลกนี้ สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยมีความทุกข์น้อยที่สุด ยกเว้นผู้ใดที่ปรารถนาจะพ้นทุกข์อย่างสูงสุดสิ้นเชิงนั่นก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง เพราะฉะนั้นอันนี้ค่ะในร่างกายนี้มีพร้อมหมดทุกอย่างที่จะให้ศึกษาแค่ระดับวิชาศาสตร์ต่างๆ ก็ได้ไปถึงวิชาสูงสุดก็ได้ เพราะมีเรื่องของความทุกข์ มีเรื่องกองสมุทัยตัณหา มีเรื่องของนิโรธความดับแห่งทุกข์ จะทำอย่างไรก็อย่างที่เราพูดกันมาแล้ว แม้ดิฉันจะไม่เอ่ยนิโรธ แต่ดิฉันก็เชื่อว่าท่านผู้มีเกียรติทุกท่านทราบว่าวิธีที่จะปฏิบัติให้ถึงนิโรธนั้นทำอย่างไร ได้พูดมาตามลำดับแต่ดิฉันไม่เอ่ยชื่อ อยากจะให้เป็นการทำนายทายทักของท่านทั้งหลายเองว่ามันอยู่ตรงไหน แล้วก็สามารถที่จะทำได้นะคะ แล้วก็มรรค

    ซึ่งในมรรคนี้ที่เรียกว่าพระอริยมรรคมีองค์แปด ก็จะมองเห็นแล้วนะคะว่าสัมมาทิฏฐิมาเบื้องต้นเป็นองค์แรกของมรรค จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการที่จะปฏิรูปชีวิต ไม่ว่าจะเป็นชีวิตส่วนตัวหรือชีวิตสังคมก็ตาม จะต้องปฏิรูปที่ทิฏฐิ ที่คำว่าทิฏฐิ ทิฏฐิก็คือความเห็น ทุกคนเกิดมามีความเห็นติดตัวมาด้วยกันทั้งนั้นตามสัญชาตญาณ ความเห็นในชั้นนั้นยังเป็นความเห็นที่เป็นกลางๆ ไม่ถูกไม่ผิด แต่เมื่อชีวิตที่ผ่านไปก็ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนอบรม หรือไม่ได้รับการฝึกฝนอบรม ที่อาจจะทำให้เป็นสัมมาทิฏฐิก็ได้ หรือเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ แต่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะตรัสว่าสัมมาทิฏฐินี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ที่ต้องมาก่อน ถ้าหากว่ามีความคิดเห็นที่ถูกต้อง มีความคิดเห็นที่เป็นธรรมแล้วละก็ ก็จะก่อให้เกิดสัมมาสังกัปปะ คือความตั้งใจ ปรารถนาที่จะกระทำสิ่งที่ถูกต้องที่ดีงาม ซึ่งทิฏฐินี้ก็มีหลายระดับนะคะ แต่เมื่อเราพูดกันถึงเรื่องของชีวิต พระองค์คุรุมาล ก็ย่อมจะหมายถึงสัมมาทิฏฐิขั้นสูงสุด คือสัมมาทิฏฐิที่จะพัฒนาตนให้ก้าวไปจนถึงจุดหมายสูงสุดของชีวิต นั่นก็คือมองเห็นว่าชีวิตนี้เป็นตัวธรรมชาติ มีกฎของธรรมชาติควบคุมอยู่ แล้วก็จะต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ นั่นก็คือเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย จะเรียกร้องให้เป็นอย่างใจนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นผู้ใดปรารถนาชีวิตเย็น ก็ต้องฝึกในการที่จะมองเห็นสัจจะธรรมข้อนี้ให้ลึกเข้า ลึกเข้าลึกเข้า จนใจสัมผัส แล้ววันหนึ่งก็ถึงบางอ้อ อย่างนี้เอง ที่ท่านบอกว่าอนิจจัง ไม่เที่ยง เราก็พูดสอนลูกศิษย์มานานแล้ว ชีวิตไม่เที่ยงนะ อย่าไปยึดถือเลย มันไม่เที่ยง แต่ใจไม่เคยสัมผัส สัมผัสอย่างไร สัมผัสก็คือใจเห็น พออะไรเกิดขึ้น มันปุ๊บขึ้นมาเอง อย่างที่ภาษาอังกฤษเขาว่า pop up มันปุ๊บขึ้นมาเองในใจ อ๋อ อนิจจัง โดยไม่ได้นึกถึง ที่เราเคยท่อง ที่เราเคยบอก หรืออะไร แต่มันปุ๊บขึ้นมาเอง มันสัมผัสจนชัดประจักษ์ใจใช่ไหม นี่คือสภาวะ หรือชีวิตที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย ตามกฎอิตัปปัจจยตา เป็นอย่างนี้จริง ๆ นะ เราพยายามที่จะทำอย่างนี้ แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนี้ เพราะเหตุปัจจัยที่เรากระทำมันไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม พูดให้ง่ายๆ ตัวอย่างง่ายๆ ที่สุดก็คือว่า อยากมีชีวิตเย็น อยากมีชีวิตเย็นเป็นสุข แต่ทว่า กระทำเหตุปัจจัยด้วยความอยาก อยาก อยาก อยาก ด้วยตัณหาตลอดเวลา แล้วจะให้ผลมันสนองเป็นความเย็นได้อย่างไรล่ะคะ มันก็ต้องเป็นความร้อน อยากแล้วไม่มีเย็นหรอกค่ะ หยุดอยากเมื่อไหร่จึงจะเย็นเมื่อนั้น นี่จำง่ายๆ เลย ไม่ต้องไปศึกษาธรรมะอะไรให้ลึกซึ้งพระไตรปิฎกก็ได้ เอาแค่นี้แหละค่ะ ท่องเอาไว้ตลอดเวลา จนกระทั่งมันซึมซาบ จนกระทั่งมันกลายมาเป็นการปฏิบัติขึ้นในใจ โดยอัตโนมัติ นั่นแหละจะถึงธรรมโดยไม่รู้ตัวนะคะ อย่าประมาท คำง่ายๆ อย่างนี้ ดิฉันชอบคำง่ายๆ มากกว่าบาลีสันสกฤต เพราะอะไร เพราะไม่มีความรู้เรื่องบาลีสันสกฤต แต่ชอบเอาธรรมะเข้ามาสู่ใจ และให้ใจสัมผัส แล้วก็ค่อยๆ ออกไปจากใจของเรา เพราะฉะนั้นอันนี้ ถ้าหากว่าพิจารณาอย่างนี้เรื่อย ก็จะมองเห็นว่า  ชีวิตนี้มีคุณค่ามหาศาลเหลือเกิน เพียงแต่กายกับใจเท่านี้ ธรรมชาติให้ต้นทุนที่ประเสริฐที่พร้อมจะพัฒนาไปสู่จุดหมายที่สูงสุด ถ้าต้องการ เหมือนอย่างที่ท่านประธานกองทุนท่านพูดเมื่อเช้า ว่า ใครจะไปก็ได้ ใครจะมาก็ได้ ใครจะเอาก็ได้ ใครจะไม่เอาก็ได้ จุดหมายสูงสุดอยู่ตรงนั้นเอง ไม่ไปไหน แล้วแต่ใครจะต้องการหรือไม่ ชีวิตนี้มีจุดหมายปลายทางเป็นนิพพานแน่นอน ได้ฟังแล้วกลัวหรือเปล่าล่ะ คำว่านิพพาน บางคนกลัว ได้ยินนิพพานแล้วกลัว ที่กลัวเพราะอะไร เพราะความเข้าใจผิด ว่าเป็นสถานที่ที่จะพาห่างไปจากลูกหลานพี่น้องพ่อแม่ ไปจากครอบครัวไปจากการทำงาน แต่ความเป็นจริงเปล่า นิพพานต้องเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดมี เกิดมีขึ้นภายในใจ คือให้เกิดมีความเย็น ให้มีระยะของเวลาที่กิเลสหยุดพักบ้าง ให้กิเลสหยุดพัก กิเลสหยุดพักเมื่อไหร่ความเย็นเกิดขึ้น แล้วไปไหนล่ะคะ ก็ยังอยู่กับพ่อกับแม่กับพี่กับน้องลูกภรรยานี่แหละ ตลอดเวลา ยังทำงานอยู่ในตำแหน่งต่างๆ ยังเป็นบุคคลที่มีฐานะในสังคม แต่มันเย็นข้างใน นี่ถ้าหากว่าเข้าใจความหมายของนิพพานถูกต้อง จะไม่มีวันเกลียดนิพพานใช่ไหมคะ จะมีแต่ใฝ่คว้าหา ใฝ่คว้าหาก็ไม่มีอยู่บนดวงดาว แต่ว่าใฝ่คว้าหาด้วยการเพิ่มพูนความคิดที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เกิดวาจาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เกิดการกระทำที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ความเย็นเพิ่มพูนมากขึ้นมากขึ้นมากขึ้น จากที่เคยห่างกันเป็นระยะๆ ติดต่อกันมากขึ้นมากขึ้น เหมือนกับน้ำประปาที่ไหลดี น้ำไหลไฟสว่าง ไม่ไปกระปริบกระปรอย ทีนี้จิตก็มีความเย็นมากขึ้น นิพพานเพิ่มพูนขึ้น วัฏสงสารก็ค่อยๆ ห่างไปๆๆ จริงไหมคะ สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนำมาตรัสสอนล้วนแล้วแต่เป็นสัจธรรม เพราะอะไร ก็เพราะว่าสิ่งที่พระองค์นำมาตรัสมาเล่ามาบอก เป็นสิ่งที่ได้ทรงค้นคว้า ขุดคุ้ยด้วยพระองค์เอง ด้วยความทรมาน พระวรกาย ทั้งกระทั่งพระหทัยของท่านด้วยล่ะ อย่างสุดแสนสาหัส เพื่อจะค้นให้พบว่าความทุกข์นี่มันคืออะไรนะ อะไรเป็นสาเหตุ มันเกิดจากอะไรและวิธีที่จะดับความทุกข์นั้นน่ะ จะดับอย่างไร ก็ด้วยพระมหากรุณาต่อบรรดาปวงมนุษย์อย่างมหาศาล ไม่อยากให้อยู่กันด้วยน้ำตา อยากจะให้อยู่กันด้วยความแย้มยิ้มชื่นบาน จึงได้ไปทรงค้นพบ ฉะนั้นสิ่งที่นำมาตรัสนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสัจธรรมทั้งสิ้น ถ้านำมาคิดดูแล้วก็จะได้สัมผัสแล้วก็จะพบเอง ฉะนั้นถ้าหากว่าชีวิตใดมีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มีจุดหมายปลายทางเป็นนิพพานแน่นอน เมื่อนั้น ก็เชื่อว่าเริ่มเข้าสู่การปฏิรูปที่ถูกต้องตามแนวทางแล้ว

    ทีนี้จุดเริ่มต้นของการปฏิรูปชีวิต ก็อยากจะขอเสนอเป็นความเห็นนะคะ เพื่อพิจารณา ดิฉันก็คิดว่าข้อแรก เห็นจะต้องพัฒนาปัญญาที่เป็นวิชชา ช สองตัวให้เกิดขึ้น เราพัฒนาไอคิวให้มีความรู้วิชาต่างๆมามากแล้ว บัดนี้ก็ถึงเวลาที่ควรจะได้พัฒนาปัญญา ให้เป็นวิชชา ช สองตัวให้เกิดขึ้น เพื่ออบรมควบคุมจิต ให้สามารถตั้งอยู่ในสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐินี่คือองค์ของปัญญารวมกับสัมมามังกัปปะ  เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาของปัญญา เป็นศาสนาของปัญญานำหน้าศรัทธา ไม่ใช่ศรัทธานำหน้าปัญญา ทิฏฐิ เป็นสิ่งสำคัญมาก เป็นจุดเกิดของการกระทำที่สามารถเป็นไปได้ทั้งทางสร้างสรรค์และทางทำลาย อยู่ที่ทิฏฐินี่แหละค่ะ ทำไมฮิตเลอร์ถึงอยากจะทำลายโลก ก็เพราะทิฏฐิ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยากจะสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในโลก ก็เพราะทิฏฐิ เพราะพระองค์ทรงเห็นแล้วว่า มนุษย์เราจะสามารถอยู่ด้วยกันได้ ด้วยความสงบร่มเย็น เป็นสุข สวรรค์อยู่ที่ตรงนี้ ไม่ต้องไปมองดูสวรรค์ข้างบน ที่มองเท่าไหร่ก็ไม่เห็น สวรรค์อยู่ที่ตรงนี้ ที่สามารถทำความเย็นให้เกิดขึ้น ด้วยการพัฒนาทิฏฐิ ที่ยังเป็นกลางๆ อยู่นั้น ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ฉะนั้น ถ้าหากชีวิตใดรู้สึกว่าทิฏฐินั้นยังเป็นมิจฉา หรือมีมิจฉาแอบแฝงอยู่ มันไม่ออกมาเด่นชัด แต่มันแอบแฝงอยู่ ค้นมันให้พบ จับมันออกมาทำลายเสีย แปลมันให้เป็น สัมมาทิฏฐิให้จงได้เพื่อให้มีการกระทำที่เกิดประโยชน์ แล้วก็นำศานติ มาสู่ตนและเพื่อนมนุษย์ การพัฒนาปัญญาที่เป็นวิชชา ก็ทำได้ด้วยการศึกษาเรียนรู้ ในเรื่องกฎของธรรมชาติ จนชัดแจ้งประจักษ์ใจ เอาแต่เพียงได้ยินได้ฟัง ท่องไม่พอ ต้องไตร่ตรองพิจารณา ลึกซึ้งทุกขณะ โดยใช้สิ่งแวดล้อมรอบตัวที่ผ่านเข้ามา เหตุการณ์ที่ประสบทุกวี่ทุกวันนี่ค่ะ พิจารณาไปในจุดนี้ประเด็นนี้ แล้วก็จะพบ ประจักษ์ใจในเรื่องกฎของธรรมชาติ ชัดขึ้นชัดขึ้น จนกระทั่ง ความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน ที่มีอยู่ตามสัญชาตญาณนั้น ก็จะค่อยๆ จางคลายลงตามลำดับตามลำดับความยึดมั่นถือมั่นจางคลายเพียงใด ศานติ ความสงบเย็นก็จะเพิ่มพูนขึ้น ตามเหตุปัจจัยที่ได้กระทำ และในขณะ ขณะเดียวกัน ก็ฝึกปฏิรูป สิ่งที่เคยกระทำจนเป็นความเคยชิน ให้เพิ่มพูน แปรเปลี่ยนเป็นปัญญาให้ยิ่งขึ้น เช่นเคยทำบุญอย่าหวัง ทำบุญแล้วหวังได้วิมาน ได้ปราสาท ได้สวรรค์ หรือได้นิพพานที่เขาหลอก  เปลี่ยนเสียใหม่เป็นทำบุญอย่างไม่หวังแล้วลองดูนะคะ ในขณะที่ทำบุญอย่างหวังกับทำบุญอย่างไม่หวังจะเป็นยังไง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายใน ทำบุญอย่างหวังวัฏสงสารใช่ไหมเกิดขึ้นแล้ว ทำบุญอย่างไม่หวังนิพพานเกิดขึ้นแล้วใช่ไหมในชั่วขณะจิตนั้น ขอได้ลองเองนะคะ น่าเสียดายที่เราสอนกันแต่เรื่องของการทำบุญ ทำบุญไปเถอะแล้วได้บุญ หลายๆ คนทำบุญพร้อมที่จะควักสตางค์พร้อมที่จะทำบุญแต่บางทีไม่ได้มีจุดหมายของการทำบุญ ก็น่าเสียดายเหมือนอย่างซื้อของไม่มีจุดหมายของการซื้อประโยชน์ที่จะใช้ของนั้นก็ไม่คุ้มค่า ฉะนั้นลองเปลี่ยน ปฏิรูปการทำบุญอย่าหวังลองทำบุญอย่าไม่หวังมันต่างกันยังไง เพราะทำบุญอย่างไม่หวังนี้ ทำบุญอย่างหวังก่อน ทำบุญอย่างหวังเพราะมีผู้หวังใช่ไหมคะ ผู้หวังนั้นคือใคร ตัวตนอัตตา ฉันอยากได้ แต่ถ้าทำบุญอย่างไม่หวังก็คือทำบุญอย่าง เพื่อทำบุญ ทำบุญเพื่อบุญ ทำทานเพื่อทาน ไม่มีตัวตนที่ในการกระทำ การทำบุญอย่างไม่หวังก็ลองนึกดูว่าทำอย่างเป็นไทย ท ทหาร สระไอ หรือทำอย่างเป็นทาส ถ้าหากว่าทำบุญอย่างหวังตกเป็นทาสโดยไม่รู้ตัวใช่ไหมคะ อย่างที่เราเห็นๆ อยู่ได้ยินๆ อยู่ นี่คือการทำบุญอย่างเป็นทาส ถ้าทำแล้วหวัง เมื่อหวังมันก็ต้องดิ้นรน ได้ไหมหนอ ได้ไหมหนอ ได้ไหมหนอ ได้หรือยัง ได้หรือยัง เมื่อไหร่จะได้ นรกตลอดเวลา วัฏสงสารตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นสิ่งที่จะต้องดูนะคะ ลองฝึกดู แต่พอทำบุญอย่างไม่หวังเท่านั้น นิพพานเกิดทันที นิพพานเป็นสิ่งที่ต้องทำให้เกิดมี เกิดขึ้นเอง คือมีความเย็น เพราะในขณะนั้นความโลภไม่มี ความโกรธไม่มี ความหลงไม่มี ตัณหาอุปาทานไม่มี มันมีแต่พร้อมที่จะให้ ก็ลองนึกดูเถอะค่ะ เมื่อใดที่เรานึกว่าเราอยากจะให้อะไรนี่ เป็นสุขไหม สุขสบายเย็น หรือ ตอนนี้ดิฉันกำลังจะเป็นทาสของเวลาแล้วนะคะ เพราะจวนจะหมดแล้ว ขอเร่งหน่อย คือต้องเร่งการพูดหน่อย แล้วก็อาจจะต้องตัดลงจบเฉยๆ ตามวิธีของดิฉัน ลองปฏิรูปอีกอันหนึ่ง เมตตากรุณา คนไทยได้ชื่อว่าเป็นผู้มีเมตตากรุณา ใหญ่หลวงเลย แต่ลองนึกดูอีกทีหนึ่งว่า ถ้าเราจะปฏิรูปเมตตากรุณา ไปสู่มุทิตาได้ไหม มุทิตานี่คือความยินดีด้วยใช่ไหมคะ ยินดีด้วยเมื่อเห็นใครเขาได้ดีมีสุขด้วยประการใดก็ตาม ยินดีด้วยอย่างสนิทใจไหม ถ้าสามารถทำได้ นี่เป็นการพัฒนาแล้ว คือเป็นการปฏิรูปแล้ว จากเมตตาธรรมดา เมตตากรุณาธรรมดา ไปสู่มุทิตา การที่จะมีมุทิตาได้อย่างสนิทใจ คือความที่ไม่เอาตัวเข้ามา ทำไมฉันไม่ได้นะ ทำไมเป็นเขา มันน่าจะเป็นฉันสิ ทั้งๆ ที่ พอเห็นหน้า ยินดีด้วยนะ ขอจับมือหน่อย ยินดี เธอสมควรจริงๆ แต่ในใจทำไมไม่เป็นฉันนะ ทำไมเป็นเขา นี่มุทิตาอย่างนี้ หลอกมายา มุทิตาของคนที่เรียกตัวเองว่าศรีวิไล แต่ความจริงไม่ศรีวิไลเลย เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นสิ่งที่เอาลองมาปฏิรูปได้ จากเมตตากรุณาไปสู่มุทิตา นี่ข้ามขั้นแล้วนะคะ ถ้าทำได้เมื่อไหร่ ข้ามขั้น แล้วก็จะไปอุเบกขาได้ คือความวางเฉย อุเบกขานี่คือความวางเฉย แต่เป็นความวางเฉยที่ประกอบด้วยเมตตากรุณา พร้อมที่จะช่วย พร้อมที่จะให้ พร้อมที่จะแก้ไขปัญหา เมื่อโอกาสให้หรือลองปฏิรูปอย่างคิดวุ่น ชอบคิดวุ่นตลอดเวลา จิตใจถึงไม่ได้พัก ลองปฏิรูปไปสู่ความคิดว่างดูบ้างซิ เพราะคิดว่างเป็นยังไง เย็นสบาย นี่เป็นตัวอย่างนะคะ ที่จริงเตรียมมาอีกเยอะเลย แต่ว่าหยุดแค่นี้ก่อนนะคะ

    ทีนี้ก็ขอพูดสุดท้ายข้ามไปอีกหน่อยหนึ่งว่า จากที่เราพูดมาถึงเรื่องของชีวิต การปฏิรูปชีวิตนี้ สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญที่จะขาดไม่ได้ก็คือเรื่องของการศึกษาใช่ไหมคะ ฉะนั้นการศึกษาเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่ง จริงอยู่ เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง พัฒนาได้ด้วยตัวเอง แต่ ถ้าหากว่ามีการศึกษาเข้ามาเป็นปัจจัยช่วย การพัฒนานั้นย่อมไปเร็วขึ้น รวดเร็วขึ้น เข้าสู่ทางลัดขึ้น แล้วก็เราอยากจะพัฒนาให้เป็นประเทศที่เป็นอารยะอย่างแท้จริงเมื่อไหร่ก็สามารถจะทำได้โดยรวดเร็ว เพราะทรัพยากรของชาติ เป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพ พร้อมด้วยศักยภาพ ที่น่าสนใจทีเดียว ฉะนั้นก็พูดได้ว่าการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ เพื่อการปฏิรูปชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แต่มีเงื่อนไข นี่เงื่อนไขของดิฉันนะคะว่า การศึกษาที่จะช่วยได้ในลักษณะนี้นั้น จะต้องเป็นการจัดการศึกษาเพื่อฝึกฝนอบรมเด็กให้มีศักยภาพที่สมบูรณ์ เพื่อสามารถเป็นพลเมืองที่มีคุณค่า รับใช้สังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุข ของไอสไตน์ ไม่ใช่ของดิฉัน แต่ดิฉันไปเอาของเขามา เพราะดิฉันชอบ ก็ทราบอยู่แล้วว่าไอสไตน์คือนักวิทยาศาสตร์เรืองนาม สิ้นชีวิตไปร่วมครึ่งศตวรรษแล้ว แล้วเขาก็พูดสิ่งนี้มาก่อนครึ่งศตวรรษ แต่ทำไมเราถึงยังเห็นว่าเป็นสิ่งที่สวยงาม เป็นสิ่งที่มีคุณค่า นี่เป็นสิ่งที่จะชี้ให้เราเห็นว่า อะไรที่ดีๆ งามๆ นี่นะคะ มีมานานแล้ว เราไม่ต้องไปคิดอะไรใหม่ก็ได้ คนในยุคปัจจุบันมีมานานแล้ว หรืออย่างไปอ่านหนังสือ ที่เป็นหนังสือกราบังคมทูลของเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี เคยได้ยินชื่อใช่ไหมคะ ท่านเป็นเสนาบดีของกระทรวงธรรมการในสมัยโน้น ดิฉันก็ยังไม่เกิด หรือเกิดไม่ทันท่าน ไม่ได้พบท่านก็ไม่ทราบ แต่อ่านหนังสือที่ท่านได้เขียนกราบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และพระองค์ก็ทรงมีพระราชหัตถเลขาตอบมา ไปอ่านเท่านั้นแหละค่ะ บรรดานักการศึกษาปัจจุบัน ที่อวดอ้างนักว่า รู้อะไรวิเศษๆ มีโครงการวิเศษๆ จะเห็นว่า โอ้ เรานี่ยังล้าหลังท่าน ล้าหลังท่านไปนานเลยใช่ไหม เพราะฉะนั้น ถ้านักการศึกษาปัจจุบันเพียงแต่ไปหยิบหนังสือฉบับนั้น มีหลายฉบับนะ รู้สึกว่าจะมีผู้ที่รวบรวม ด็อกเตอร์เอกวิทย์ ดูเหมือนจะได้รวบรวมในเรื่องการศึกษาร้อยปีหรืออะไร ไปหยิบมาอ่าน จะมองเห็นเลยว่า วิธีจัดการศึกษาที่ท่านได้คิด ได้เขียน ได้บอกไว้ แล้วท่านก็ยังทำไม่สำเร็จทั้งหมด บางส่วน จะเหลือมาที่เราควรจะนำมาปฏิรูปต่อ เพื่อให้เกิดต่อยอดของการศึกษาที่สมบูรณ์ ที่เป็นคุณประโยชน์กับชาติบ้านเมืองไทย และเด็กไทย มีอะไรบ้าง นี่เป็นสิ่งดีๆ ทีนี้ สิ่งดีๆ งามๆ ทั้งหลายนี่ ที่คิดกันมาแล้ว ทำไมมันถึงไม่เกิดสัมฤทธิ์ผล เป็นรูปธรรม แล้วก็จะได้ต่อยอดกันไปเรื่อยๆ ทำไมมันถึงต้องหล่นลงมาที่ฐาน บางทีก็รอดลงไปใต้ฐาน แต่กายขึ้นมาใหม่ ต่อไปใหม่อีก แล้วก็หล่นลงไปอีก มันเพราะอะไร ก็แน่นอนที่สุด ใครล่ะเป็นคนทำ ก็คนนี่แหละ ใช่ไหมคะ คนทั้งหลายนี่แหละ ต้องเป็นคนทำ ต้องปฏิรูป ทีนี้ เมื่อคนขาดศักยภาพ เพราะการศึกษาไม่พัฒนาคนในลักษณะนี้ อะไรๆ ก็อ้างประชาชน คือต้องมีประชาชนเป็นฐาน เวลานี้ได้ยินหนาหูเลย ขี้หูมากยังไงก็ยังได้ยินหนาหูทันที มากเหลือเกินใช่ไหมคะ แต่ว่าประชาชนก็ไม่สามารถเป็นฐานที่มั่นคงได้ ไม่ว่าจะเป็นฐานในทางประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ให้เกิดขึ้น หรือจะเป็นฐานในการทำโครงการเพื่อพัฒนาประเทศในด้านใดก็ตามที อาศัยไม่ได้เต็มไม้เต็มมือ ได้อย่างกระพร่องกระแพร่ง ก็เพราะประชาชนยังไม่ได้รับการพัฒนา ด้วยระบบการศึกษาที่เพื่อพัฒนาประชาชน ไม่ได้เป็นระบบการศึกษาเพื่อจัดการพัฒนา แต่เป็นระบบการศึกษาที่จัดเพื่อฉัน เห็นไหม เจ้าอัตตา เห็นไหมเจ้าอัตตา ธรรมชาติจึงบอกแล้วว่าไม่มีอัตตา มันมีแต่กายใจ แต่มนุษย์โดยสัญชาตญาณที่หนักไปในทำความเขลามากกว่าความฉลาด ทั้งที่มีปริญญาสูงๆนะคะ ก็ไปดึงเอาสิ่งนี้เข้ามา มันจึงกลายมาเป็นสิ่งที่ทำลาย ทำลายความเจริญของชาติบ้านเมือง คือบั่นทอนการปฏิรูปการการพัฒนาให้เป็นไปในทางที่รกๆรุงรัง เกิดปัญหายิ่งขึ้น แทนที่จะเป็นการสิ้นปัญหา ที่จริงดิฉันรู้สึกนิยมนักวิชาการแต่ ตัวโตนะคะ ต้องเป็นนักวิชาการอย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นนักวิทยาศาสตร์ ที่มุ่งส่งเสริมคุณธรรมตลอดเวลา ถ้าท่านผู้ใดลองไปอ่านหนังสือ ที่มีผู้แปลมาว่าไม้ใกล้ฝั่ง คือเขียนไว้เมื่อเวลาเป็นไม้ใกล้ฝั่ง เขาแปลมาจาก Out of My Later Years ไอน์สไตน์จะมองสังคม มองการศึกษา มองเสรีภาพ มองวิทยาศาสตร์ มุมมองต่างๆ มากมาย และมุมมองของเขานั้น ทั้งๆ ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่ไม่ได้หวังจะเอาวิทยาศาสตร์มาทำลาย แต่หวังจะสร้างสรรค์ เพราะฉะนั้นเขาได้ให้แง่ดีๆ เกี่ยวกับการศึกษาเยอะ เราอยากได้นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ ที่ประกอบด้วย วิชชา ช 2 ตัว อย่างนี้ ที่จริงไอน์สไตน์ไม่ใช่ชาวพุทธ แต่คำพูดพูดที่เขาพูดนะคะ เป็นคำพูดที่ต่างกัน คือภาษาต่างกัน แต่ความหมายเหมือนกันก็อยากจะยกตัวอย่างให้ฟังสักนิดหนึ่งที่ไอสไตน์พูดนะเขาบอกว่า คนที่รู้แจ้งเห็นจริงในทางศาสนาก็คือคนที่ได้ปลดเปลื้องตัวเองออกจากโซ่ตรวนแห่งความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน คนที่รู้แจ้งเห็นจริงในทางศาสนาก็คือคนที่ได้ปลดเปลื้องตัวเองออกจากโซ่ตรวนแห่งความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ปลดเปลื้องตัวเองออกจากโซ่ตรวนของความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนคืออะไร ก็ปลดเปลื้องตัวเองออกจากความยึดมั่นถือมั่นในความเห็นแก่ตัวอัตตานี่ เราพูดเป็นชาวพุทธนะคะก็คืออันนี้เขาพูดอีกอย่างหนึ่งด้วยภาษาอีกอย่างหนึ่งเพราะเขาไม่ใช่ชาวพุทธแต่ความหมายเหมือนกันดิฉันจึงเชื่อว่าถ้าหากว่าไอสไตน์ได้ศึกษาพุทธศาสนาปฏิบัติธรรมอย่างชาวพุทธที่แท้จริงเขาคงจะสามารถก้าวจนถึงจุดสุดท้ายที่เป็นความมุ่งหมายสูงสุดของชีวิตได้อย่างแน่นอน ดิฉันก็จะจบในเวลาที่สมควรจบอีกหนึ่งนาทีจะครึ่ง สิบเอ็ดครึ่งตามนาฬิกาของดิฉันนะคะ ก็ขอจบด้วยธรรมสวัสดีจงมีแก่ท่านผู้มีเกียรติทุกๆ ท่านที่มีน้ำใจกรุณาต่อดิฉันให้โอกาสกับดิฉันในวันนี้ มาเพื่อที่จะในโอกาสของการที่เรามาสนทนากันเรื่องสันติภาพของโลก แล้วก็ในโอกาสที่อุตส่าห์มาร่วมงานในวันนี้ ก็ขอความสุขสวัสดีด้วยพระบารมีของพระธรรมจงมีแด่ทุกๆ ท่านค่ะ

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service