แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ธรรมสวัสดีค่ะ นักศึกษาทุกคน ไม่ทราบว่าเสียงนี่ดังไปถึงข้างหลังหรือเปล่า ได้ยินชัดเจนนะคะ เพราะว่ารู้สึกเหมือนกับเสียงไม่ค่อยออกนะ วันนี้ก็ตั้งใจว่าจะมาพูดคุยกันเหมือนอย่างที่ท่านรองอธิการบดีฝ่ายนักศึกษา ท่านได้พูดนั่นแหละค่ะ ไม่ได้ตั้งใจว่าจะเป็นการบรรยายหรือปาฐกถา เพราะฉะนั้นก็ขอให้นักศึกษาทุกคนพร้อมที่จะทำใจที่เราจะคุยกัน และในการที่จะคุยกันนี่ ก่อนอื่นก็ต้องทำใจให้สอดคล้องกัน พูดง่ายๆ ก็คือว่า เหมือนกับว่าเรามาเล่นดนตรีวงเดียวกัน เพราะฉะนั้นก็เมื่อคอนดักเตอร์บอกว่าจะต้องไปทางไหน ผู้เล่นดนตรีก็ต้องประสานตามให้ได้ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นอย่าพยายามแตกออกไปจากวงดนตรีเดียวกันนี้ ถ้าหากว่าเราเล่นอยู่ในวงดนตรีเดียวกัน ความเข้าใจ สื่อความหมายของความเข้าใจก็จะติดต่อกันได้เป็นอันดี ทีนี้ หัวข้อที่ว่า ก็คือเมื่อ อาจารย์สุรพงศ์ กับนักศึกษา ได้ไปปรึกษาว่าเราจะคุยกันเรื่องอะไร ก็เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ติดอยู่ในใจ ทั้งๆ ที่ ผู้ที่เขียนกลอนบทนี้คือ คุณวิทยากร เชียงกูล ตอนนั้นเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วก็ได้เขียนกลอนบทนี้มา เห็นจะร่วม 30 ปีแล้วละมั้ง ตั้งแต่นักศึกษาที่นั่งอยู่ ลอยอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น กลอนบทนี้ก็เกิดขึ้น ต้องบอกว่า ในยุคของคุณพ่อคุณแม่ของนักศึกษา แต่อย่างไรก็ตาม ก็พูดได้ว่าเป็นกลอนที่เกิดขึ้นจากบุคคลที่อยู่ในวัยเดียวกับนักศึกษานี่แหละ เพราะว่ากำลังเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เพราะฉะนั้นก็จึงอยากจะบอกว่า ให้นักศึกษาลองทำใจนะคะว่า ในขณะที่นักศึกษาเป็นนักศึกษา ในสถาบันการศึกษาที่เรียกว่าอุดมศึกษา ในใจของนักศึกษานั้นเคยมีความคิด มีความรู้สึก เหมือนอย่างผู้เขียนกลอนบทนี้ที่เขียนขึ้น ในขณะที่อยู่ในมหาวิทยาลัยเช่นเดียวกับนักศึกษาเดี๋ยวนี้ หรือเปล่า เพราะฉะนั้นการคุยกันวันนี้ เราจะเป็นการคุยด้วยการถามตอบ เราจะเริ่มด้วยคำถามคำตอบ เพราะฉะนั้นในขณะที่มีคำถามออกไปนะคะ ก็หวังว่าจะได้พยายามลองคิดใคร่ครวญ ดูอยู่ในใจว่า คำตอบนั้นควรจะเป็นอย่างไร กลอนบทนี้ก็มีว่า “ฉันเยาว์ฉันเขลาฉันทึ่ง” เหมือนเราเวลานี้ไหม นักศึกษาทุกคนรู้สึกว่านักศึกษายังเยาว์เป็นผู้เยาว์วัย และมีความเขลาไหม หรือว่าแหมฉลาดล้นเพียงพอเพียบพร้อมแล้ว เขลาหรือไม่เขลาคะ
ผู้ร่วมสนทนา: เขลา
อุบาสิกา คุณรัญจวน: แล้วฉันทึ่ง ทึ่งหรือเปล่า ทึ่งนี่คืออะไรล่ะคะทึ่ง สนใจใช่ไหมทึ่งก็คือสนใจมีความสนใจ มีความอยากรู้อยากเห็น เรียกว่ามีความใฝ่รู้ ไม่ใช่ทื่อๆ ทึ่งกับทื่อต่างกันใช่ไหมคะ เราทึ่งเราทึ่งดีแต่อย่าทื่อเป็นอันขาดเชียวนะ ถ้าทื่อแล้วก็หมดเหลี่ยมคมของนักศึกษาไม่เหลือเลย ทีนี้ผู้เขียนก็บอกว่า “ฉันเยาว์ฉันเขลาฉันทึ่ง” เพราะทึ่งนั่นแหละจึงได้มาเข้ามหาวิทยาลัยจริงหรือเปล่าถ้าไม่ทึ่งก็ไม่เห็นต้องมาเสียเวลาเข้ามาอยู่ในสถาบันการศึกษาเลย “ฉันจึงมาหาความหมาย” เข้ามาทำไม คำตอบมีไหม ในบรรทัดนี้ “ฉันหวังเก็บอะไรไปมากมาย” เข้ามาด้วยความหวังหรือเปล่าคะ “สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว” ทำความเข้าใจกับกลอนบทนี้เพียงพอหรือยังคะ ถ้าทำความเข้าใจเกี่ยวกับกลอนบทนี้เพียงพอแล้ว ต่อไปนี้ก็จะขอตั้งคำถามละ ขอให้นักศึกษาสังเกตว่าผู้เขียนเขียนกลอนบทนี้ด้วยความรู้สึกอย่างไร เขียนกลอนบทนี้ด้วยความรู้สึกอย่างไรคะ ผิดหวังหรือสมหวัง
ผู้ร่วมสนทนา: ผิดหวัง
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ผิดหวัง นี่ได้คำตอบหนึ่งแล้วนะคะ ทีนี้ ก่อนที่ผู้เขียนจะเข้ามาสู่สถาบันการศึกษานั้น มีจุดมุ่งหมายอะไรตั้งไว้ในใจก่อนหรือเปล่า
ผู้ร่วมสนทนา: มี
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ถ้ามีจุดมุ่งหมายอันนั้นคืออะไร จุดมุ่งหมายอันนั้นคืออะไร ตอบได้ไหมคะ มีอยู่ในกรอนนี้แล้ว จะมาทำไมล่ะ จะมาหาความหมาย คำว่าความหมายนี่กว้างมากเลย เชื่อว่านักศึกษาที่นั่งอยู่ในที่นี่ทุกคน หวังจะมาหาความหมาย หรือหวังมีความหมายกันทุกคน ความหมายของอะไรล่ะคะ ลองต่อซักนิดซิ ความหมายอันนี้ยังค้างอยู่ ยังไม่จบ ความหมายของอะไรคะได้ยินเสียงคำตอบเบาๆ ถูกต้อง ความหมายของชีวิต คนทุกคนที่มีชีวิตอยู่ มีความหวัง มีความอยาก มีความต้องการ และสิ่งที่ต้องการนั้นก็เพื่อชีวิตนั่นเอง เพราะฉะนั้น ผู้เขียนคือคุณวิทยากร เชียงกูล ก็ตั้งใจว่า อยากจะมาหาความหมาย ความหมายของชีวิต เพราะคิดว่า สถาบันการศึกษาอุดมศึกษานั้น เป็นสถาบันการศึกษาสูงสุด คือในระดับสูงสุดของการศึกษา เพราะฉะนั้น ก็จึงหวังว่า เมื่อเข้ามาสู่สถาบันนี้แล้ว คงจะต้องมีอะไรต่ออะไร ให้ทึ่ง คือให้น่าสนใจ ให้ไฝ่รู้มากมายก่ายกองเลยเชียว ตั้งความหวังอย่างเต็มเปี่ยม ว่าพอเข้ามาแล้วคงจะได้รับอะไรที่ใหม่ๆ แปลกๆ น่าอัศจรรย์ แต่นี้ตัวโตนะคะ แต่ความใหม่ ความแปลก ความรู้ ความน่าอัศจรรย์นั้น เป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ ส่งเสริม ให้ความมีชีวิตของมนุษย์นั้น เป็นชีวิตที่เจริญงอกงาม ต่อไปในอนาคต นี่ผู้เขียนก็มีจุดมุ่งหมาย ทีนี้ถ้าเรามองดูจากกลอนบทนี้ ทำไมผู้เขียนถึงได้กล่าว เหมือนกับเป็นการต่อว่า บรรทัดไหนคะ ที่เหมือนกับเป็นการต่อว่า
ผู้ร่วมสนทนา: บรรทัดสุดท้าย
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ต่อว่าว่าไงคะ
ผู้ร่วมสนทนา: สุดท้าย ให้กระดาษฉันแผ่นเดียว
อุบาสิกา คุณรัญจวน: กระดาษแผ่นเดียวนั่น คืออะไรปริญญาบัตร อันที่จริงก็เป็นสิ่งที่ต้องการกันใช่ไหมคะ นี่ที่เข้ามา ต้องการให้กระดาษแผ่นเดียวกันทั้งนั้นเลยใช่เปล่า จะเอาไปทำอะไร เคยถามตัวเองไหมคะ จะเอากระดาษแผ่นเดียวนี่ไปทำอะไร เคยถามตัวเองไหม เอาล่ะไม่ต้องตอบดังๆ หรอก บางคนอาจจะอายไม่กล้าตอบดังๆ ก็เก็บไว้ตอบในใจของตัวเองก็แล้วกัน ทีนี้ทำไมผู้เขียนถึงต้องต่อว่า ทำไมถึงต้องต่อว่าสุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว ก็มานี่เพื่อจะขอกระดาษแผ่นเดียวใช่เปล่า ก็เป็นส่วนหนึ่ง สำหรับผู้เขียนนะคะ สำหรับผู้เขียนนั้นเป็นส่วนหนึ่ง คือเป็นส่วนหนึ่งของความต้องการ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ไม่ใช่ทั้งหมด ทำไมถึงตอบว่า ก็เพราะสิ่งที่เขาต้องการนั้นคืออะไร ที่ผู้เขียนมีความรู้สึกเอาไว้ในใจก่อนเข้ามาน่ะ สิ่งนั้นคืออะไรคะ เธอจะมาหาอะไร จะมาหาความหมายในชีวิตที่เกิดมา มีความหมายว่าอย่างไร เราพูดคำว่าชีวิตกันมาตั้งแต่พูดได้ ก็ได้ตั้งแต่โตมานี่ เราก็ใช้คำว่าชีวิตแต่เราไม่เคยใส่ใจ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผู้เขียนอยากจะรู้ให้ลึกซึ้งก็คืออยากจะรู้ว่า ความหมายของชีวิตนี้มันคืออะไร เป็นยังไงอยากจะรู้ให้แน่นอน เพราะฉะนั้นที่ต่อว่านี้ก็คงจะหมายความว่า กระดาษแผ่นเดียวนั่นน่ะได้อธิบายถึงความหมายของชีวิตอย่างเพียงพอไหมคะ ไม่เพียงพอ อธิบายความหมายของชีวิตอย่างรอบด้านไหมคะ ไม่รอบด้าน พอได้กระดาษแผ่นเดียวมากระดาษแผ่นนั้นจะบอกว่าอะไร บุคคลผู้นี้จบปริญญาตรีสาขาอะไรวิชาเอกอะไรคณะอะไรเท่านั้นใช่ไหม อธิบายอะไรไหมคะ ไม่อธิบายอะไร ที่จริงกระดาษปริญญาบัตรน่ะมันก็ต้องเหมือนกันทั้งนั้นน่ะ จะเขียนอะไรให้มากกว่านี้ไม่ได้ แต่คำอธิบายที่กว้างขวางนั้นน่ะมันต้องอยู่ที่ไหนคะ ต้องอยู่ที่ไหน อยู่ที่ไหนคะ อยู่ในใจใช่ไหมคะ อยู่ในใจ อยู่ในมันสมอง ในความรู้ ความรู้สึกของนิสิตนักศึกษาคนนั้นเอง เพราะฉะนั้น ตัวปริญญาบัตรจะเป็นสิ่งแสดงได้เพียงแค่นั้น ส่วนที่เป็นเนื้อเป็นน้ำทั้งหมดที่เป็นแก่นสารนั้นจะอยู่ที่ไหน ซ้ำอีกทีสิคะ
ผู้ร่วมสนทนา: อยู่ในใจ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: อยู่ในใจของเราที่ใฝ่เรียนใฝ่รู้ในขณะที่เราได้ใช้เวลาอยู่ในสถาบันอันนี้แหละ แต่ถ้าหากว่าผู้ใดได้ปล่อยเวลาที่อยู่ในสถาบันนี้ให้หมดไป อย่างปราศจากความมุ่งหมาย ปราศจากความสนใจใฝ่รู้จริงๆ ก็จะได้แต่กระดาษแผ่นเดียวนั่นไปนั่นแหละ พอไปถึงที่ทำงานเอากระดาษไปวาง กระดาษนั้นทำงานแทนเราได้ไหมคะ แสดงความสามารถอะไรได้ไหม ไม่ได้เลยเห็นไหมคะ เพราะฉะนั้นผู้เขียนถึงได้ต่อว่าถ้าสุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียวนี่ถ้าความหมายกว้างไปกว่านั้นอีกก็คืออะไร ก็คือว่าสิ่งที่ประสงค์ต้องการสิ่งที่ประสงค์จะได้รับไม่ได้รับเหมือนความมุ่งหมาย แต่ข้อนี้หรือประเด็นนี้จะไปต่อว่าสถาบันการศึกษาหรือครูอาจารย์ฝ่ายเดียวได้ไหมคะ ไม่ได้ มันอยู่ที่ตัวนักศึกษาด้วยว่านักศึกษาได้ตั้งใจเป็นภาชนะคือภาชนะที่สะอาดที่เกลี้ยงเกลาที่หมดจด ว่างพร้อมที่จะรับสิ่งที่ดีๆ เข้าไปสู่ชีวิตเข้าไปสู่จิตใจเข้าไปสู่ความคิดความรู้สึกของตนหรือเปล่า มันสำคัญตรงนี้ด้วยและก็สำคัญมากที่สุดด้วยเชื่อว่าครูอาจารย์ก็พยายามจะต้องการให้ให้มากที่สุด ทีนี้ข้อสำคัญก็คือว่าผู้รับตั้งใจรับหรือเปล่า อย่างไรก็ตามเราก็จะบอกได้แต่เพียงว่าปริญญาบัตรนั้นเป็นเพียงใบรับรองความรู้เฉพาะสาขาหนึ่งสาขาหนึ่งแล้วก็ในระดับหนึ่งเท่านั้นเอง แต่เรื่องของชีวิตนั้นแคบหรือกว้างคะ กว้าง กว้างมาก กว้างขวาง ลึกซึ้ง ประณีต ละเอียดอ่อนด้วย ฉะนั้น สำหรับผู้เขียน คือ คุณวิทยากรนี้ ในความรู้สึกของเขา มีความเห็นว่า ความหมายของชีวิต กับปริญญาบัตร ผู้เขียนให้ความสำคัญอย่างไรมากกว่ากัน ผู้เขียนให้ความหมายของชีวิตมากกว่ากัน นั่นก็คือหมายความว่าอะไร ถ้าอธิบายรายละเอียดลงไปอีกนิดนึงว่า ผู้เขียนให้ความสำคัญกับความหมายของชีวิตมากกว่า ตัวปริญญาบัตรแผ่นเดียว นั่นหมายความว่าอะไรคะ หมายความว่าผู้เขียนมองเห็นว่า แก่นสารของความรู้ สาระทั้งหลายที่ได้รับนั้น มันอยู่ที่ไหน หรือมันคืออะไร คะ อยู่ที่ไหน หรือคืออะไรคะ มันคือความรู้ใช่ไหม คือความรู้ที่เราได้รับที่อยู่ในใจ ความรู้ความสามารถ อย่างพร้อมที่จะใช้มันอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเราเขาไปอยู่ถึงจุดของการทำงาน นั่นหมายถึงสิ่งที่เป็นความหมายของชีวิตที่สำคัญในแง่มุมหนึ่ง และอีกแง่มุมอื่นก็คือ สามารถที่จะรู้ว่าการที่จะออกไปเผชิญชีวิตนั้นจะต้องพบและจะต้อง พบ ผจญ เผชิญกับสิ่งใดบ้าง ฉะนั้นปริญญาบัตรหรือกระดาษแผ่นเดียวนั้นถ้าใครจะถือว่าปริญญาบัตรหรือกระดาษแผ่นเดียวนั้นมีความสำคัญมากก็ต้องนึกว่า ปริญญาบัตรนั้นแสดงว่าผู้ได้รับมีความรอบรู้ในความหมายของชีวิตอย่างทั่วถึงแล้วหรือยัง ยัง จนกว่าจะศึกษาหาความรู้เอาจริงๆ แสดงว่าการศึกษาจบสมบูรณ์แล้วหรือยังคะ ในวันที่รับปริญญาบัตร ยังไม่จบเลยการศึกษายังอยู่ข้างหน้า อีกกว้างไกลคอยที่จะให้เราศึกษาต่อไป เพราะฉะนั้นในความรู้สึกส่วนตัวก็อยากจะบอกว่า แท้ที่จริงแล้วปริญญาบัตรเป็นเพียงสะพาน หรือเป็นขอนรองเหยียบ รู้จักขอนรองเหยียบไหมคะ เขาเรียกในภาษาอังกฤษว่า stepping stone stepping stone นั่นคือขอนรองเหยียบ ที่เราจะต้องก้าวไปที่สูงๆ แล้วมันสูงมากเราไม่สามารถจะก้าวจากพื้นดินขึ้นไปได้ทันที ก็ต้องมีขอนรองเหยียบใช่ไหมคะเพื่อจะได้ก้าวขึ้นไป ปริญญาบัตรนี้นะคะ อันที่จริงแล้วเป็นเพียงขอนรองเหยียบเป็น stepping stone สำหรับที่จะก้าวไปสู่การศึกษาที่กว้างขวางที่ลึกซึ้งและก็ที่รอบด้านยิ่งขึ้นโดยเฉพาะก็คือการศึกษาเกี่ยวกับชีวิตนั่นเอง ซึ่งในลักษณะนี้จะต้องเป็นการกระทำการศึกษาที่ต่อเนื่องจนตลอดชีวิต จนตลอดชีวิตด้วยอะไรด้วยจิต ด้วยจิตใจที่ใฝ่รู้ ใฝ่รัก แล้วก็ใฝ่เรียน มีพร้อมหรือยังคะ ใฝ่รูป ใฝ่รัก แล้วก็ใฝ่เรียน ไม่ใช่ใฝ่รักใคร่ ใฝ่รักเท่านั้น หมายความว่าอย่างไร ก็หมายความว่า จะต้องเป็นการศึกษาที่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ ไม่ใช่การศึกษาที่ส่งเสริมเพียงการท่องจำ หรือการทำตามแบบ ที่ส่งให้ นี่ไม่ใช่การศึกษาที่แท้จริง ไม่ใช่การศึกษาที่มีคุณค่าแก่ชีวิต เพราะฉะนั้น จะต้องเป็นการศึกษาที่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ แล้วก็ให้เห็นแนวทางของวิธีการเรียนรู้ที่จะนำไปสู่ทั้งความรู้รอบ และความรอบรู้ สังเกตให้ดีๆนะคะ ที่ใช้คำว่ารู้รอบ และรอบรู้ ไม่ได้เล่นสำนวน ไม่ได้เล่นภาษาแต่มันมีความหมายต่างกันความรู้รอบคืออะไรคะหมายความว่ายังไงใครนึกได้ ความรอบรู้หมายความว่ายังไง ก็จะขออธิบาย ความรู้รอบ ก็คือรู้ให้ชัดเจนให้แจ่มแจ้งในปริญญาบัตรที่เขียนเอาไว้ว่าจบในสาขาอะไร คณะไหน วิชาเอกคืออะไร รู้รอบแล้วหรือยัง ควรแก่การรับปริญญาบัตรแผ่นนั้นหรือไม่ แม้จะเรียกว่าเป็นกระดาษแผ่นเดียวก็เถอะ เมื่อยื่นมือไปรับนะคะมีความรู้สึกในใจว่า เรารู้จริง เราจบวิชาเอกคอมพิวเตอร์ เรารู้จริงคือรู้จริงอย่างรู้รอบลึกซึ้ง กว้างขวางเพราะเรารับปริญญา ที่เขียนปรากฏอย่างนี้ นี่คือรู้รอบ คือลึกซึ้งในสิ่งหนึ่ง ที่เราได้รับเกียรติ ว่าเป็นผู้รู้แล้ว แต่ถ้ารอบรู้นั้น มันกว้างขวางกว่านั้นมันหมายถึง สิ่งอื่นๆ เรื่องอื่นๆ ที่แวดล้อมเราอยู่ ในฐานะเป็นมนุษย์คนหนึ่งในสถาบันแคบ ๆ ก็เช่น ครอบครัว มหาวิทยาลัย ที่กว้างออกไป ก็ในสังคม ในโลก นั่นคือรอบรู้ แล้วก็รอบรู้อย่างชนิดที่ว่า รู้เรื่อง พูดได้ คุยได้ จัดได้ ทำได้ นี่คือความหมายของคำว่ารอบรู้ เมื่ออยู่ในสถาบันการศึกษานี้ ขอให้นักศึกษาพยายาม ที่จะเรียน อย่างให้เกิดการเรียนรู้ แล้วก็มองเห็นแนวทาง ของวิธีการเรียนรู้ ที่จะนำไปสู่ความรู้รอบ และความรอบรู้ต่อไปข้างหน้าด้วยนะคะ ควรที่จะรอบรู้ ในเรื่องอะไรบ้าง สิ่งที่สำคัญที่สุดประการแรกก็คือ รู้ในเรื่องของตัวเองอย่างรอบด้าน ถ้าจะถามว่า นักศึกษารู้จักตัวเองแล้วหรือยังคะตอบได้ไหม รู้จักตัวเองแล้วหรือยัง
ผู้ร่วมสนทนา: ยัง
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ก็บอกว่าตัวฉันอยู่ทุกวัน ไม่ใช่เหรอคะ พอเราเถียงอะไรกัน ก็บอก ตัวฉัน ฉันรู้ดีกว่าใครๆ นี่มันตัวฉัน ใช่ไหม เคยพูดไหม แล้วทีนี้พอถามว่า รู้จักตัวเองหรือยัง กลับไม่แน่ใจ นี่เพราะอะไร เพราะอะไร เพราะอะไรก็ช่างเถอะ แต่เป็นอันว่ารู้แล้วว่า บัดนี้ เราจะต้องทำไมคะ บัดนี้เราจะต้องทำไมคะ ต้องศึกษา ทำความรู้จักกับใคร กับตัวเอง ไม่ต้องไปเที่ยวรู้จักคนอื่นเขาหรอก พอจะพูดถึงคนนั้นคนนี้ อธิบายได้เยอะเลย คนนั้นอย่างนั้น คนนี้อย่างนี้ ดีอย่างโน้น ใช้ไม่ได้อย่างนี้ แต่พอมาถึงตัวเองไม่รู้จัก โง่หรือฉลาด เห็นไหมสมป็นนักศึกษาสถาบันไหมคะอุดมศึกษาไหม ไม่สมแต่ก็ยังมีโอกาส มีโอกาสอะไรที่จะทำให้สมได้ใช่ไหมคะ มีโอกาสที่จะเรียนรู้ที่จะทำให้เหมาะสมคุ้มแก่การเป็นนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาได้ เพราะฉะนั้นจะต้องมีความรอบรู้ในเรื่องของตัวเองอย่างรอบด้านเพื่ออะไร ประโยชน์อะไรที่จะรู้เรื่องตัวเองนักศึกษาคิดไหมคะ ประโยชน์อะไรที่จะรู้เรื่องของตัวเอง เราจะรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองง่ายๆรู้จุดอ่อนรู้จุดแข็ง รู้จุดดีรู้จุดด้อยรู้จุดเด่น นี่เอาง่ายๆของตัวเองรู้อย่างชนิดจริงๆตรงไปตรงมาด้วย เพียงแค่นี้ รู้ไหมคะถ้ายังไม่รู้ก็ ศึกษาค้นคว้า สอบสวน ทบทวนลงไปที่ตัวเอง ให้ได้นะคะ แล้วเราก็จะได้รู้ว่า จุดอ่อนต้องแก้ไข จุดด้อยก็ต้องแก้ไขปรับปรุง จุดดี จุดเด่น ดีแล้ว รักษาไว้ เพิ่มพูนให้มากขึ้น นี่ก็คือการที่จะฝึกฝนอบรมเพื่อกล่อมเกลาตัวของตนเองนั้น ให้เป็นผู้ที่รอบรู้ ให้ยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น และก็จะมีความรู้สึกเป็นสุขและภาคภูมิใจ สิ่งใดควรศึกษา ให้รู้ สิ่งใดควรเห็น ศึกษาให้เห็น เห็นอะไร เห็นสวรรค์ เห็นนรก ใช่ไหม ศึกษาให้เห็นสวรรค์ ให้เห็นนรก ใช่ไหมคะ ไหนตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ ไม่ใช่ก็ดี จะได้ไม่ต้องไปดูว่าสวรรค์บนฟ้าอยู่ที่ไหนมองมากๆ เขาเป็นยังไงบนฟ้า หาสวรรค์ มองมากๆ แล้วเป็นไง เปลี่ยนที่อยู่ ไปอยู่ไหนคะ ไปอยู่โรงพยาบาล ถ้ามองมากๆ บนฟ้า หรือมองลึกลงไปที่ข้างล่างหานรก ก็อีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะไม่ใช่เรื่องสวรรค์นรกในแง่นั้นก็ถูก แต่มันก็ใช่ในอีกแง่หนึ่ง คือใช่อย่างไรเคยได้ยินผู้ใหญ่ท่านพูดไหมคะที่บอกว่าสวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจเคยได้ยินไหม แล้วเคยเห็นหรือยังล่ะคะ นี่แหละต้องให้เห็นนี่เป็นสิ่งที่ต้องศึกษาให้เห็นสวรรค์ในอกเป็นยังไงนรกในใจเป็นยังไงเคยพบหรือยังบางคนอาจจะพบเวลาที่โกรธมากๆ น่ะจนร้อนไปหมดเลยตัวสั่น เสียงก็สั่นหน้าก็แดงเคยสวยๆเคยหล่อๆดูไม่ได้เลย นั่นแหละนรกหรือสวรรค์ นรกแล้ว นั่นแหละนรกแล้ว จะเล่านิทานเซนให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง บางคนอาจจะเคยได้ฟังแล้วก็ได้ ไม่ได้ตั้งใจเล่า นี่นึกขึ้นมาเฉยๆ ว่าควรจะเล่า จะได้เห็นสวรรค์เห็นนรกขึ้นมา ก็พูดถึงซามูไรของญี่ปุ่นคนหนึ่งนะคะ ซามูไรก็คือนักรบญี่ปุ่นใช่ไหมคะ แล้วเขาก็อยากจะเรียนวิชารบให้มากยิ่งขึ้นนะคะ อยากจะเรียนวิชารบให้มากยิ่งขึ้น เขาก็ถามเพื่อนว่ามีครูที่ไหน ที่จะสอนเก่งๆ อธิบายเก่งๆ เพื่อนก็แนะนำให้ไปหาอาจารย์เซนท่านหนึ่ง บอกท่านนี้สอนเก่งมากเลย เขาอยากจะรู้เรื่องของสวรรค์เรื่องของนรกอธิบายให้ชัดเจนหน่อย พอไปถึงอาจารย์เซนท่านนั้น อาจารย์เซนก็ถามว่า นี้เหรอซามูไร หน้าตาไม่เห็นบอกเลยว่าจะเป็นซามูไร ถ้าหากว่านักศึกษาเป็นซามูไร ได้ยินคำพูดอย่างนี้จะรู้สึกยังไงคะ คนนี้เป็นใคร เป็นใครมาจากไหน จู่ๆ พบกันครั้งแรกก็มาสบประมาทเอาอย่างนี้ ไม่มีเหตุผลเลย แล้วขณะที่เกิดความโกรธจนกระทั่งอยากจะฟันอาจารย์เซนคนนั้นน่ะ จะฟันคอฟันปากหรืออะไรก็แล้วแต่ นี่แหละนรกแล้ว ถ้าเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท การที่จะต้องทำร้ายให้ได้สมใจของตัว พออาจารย์เซนบอกอย่างนั้นก็ได้สติ ปล่อยมือจากดาบ แล้วก็ก้มลงกราบอาจารย์เซน อาจารย์เซนก็บอกว่า นี่แหละสวรรค์ เข้าใจไหมคะนี่แหละสวรรค์ เพราะในขณะที่ก้มลงกราบนั้นเป็นไงคะ ในใจเป็นยังไง ขณะที่เราก้มลงกราบผู้ใดสักคนหนึ่งนี่ใจเป็นยังไง ลองนึกสิคะ ใจเป็นยังไง เคารพ เคารพด้วยความยินดีหรือยินร้าย ด้วยความยินดี ด้วยความชื่นชม ด้วยความเบิกบาน นี่คือสวรรค์ เพราะฉะนั้นนักศึกษาควรจะรู้จักและควรจะได้เห็นสวรรค์หรือนรกในลักษณะนี้เพื่ออะไรคะ เพื่อที่จะได้ขึ้นสวรรค์บ่อยๆ ได้มีสวรรค์บ่อยๆเกิดขึ้นในใจ ไม่ต้องตกนรกบ่อยๆ เพราะไม่มีใครอยากไปนรก อยากอยู่บนสวรรค์กันทุกคน ทำได้ไหม ทำได้ไหมคะ ทำได้ ทำได้ด้วยการมีสติ ระงับเสียซึ่งอารมณ์ร้ายที่มันจะเกิดขึ้น ให้มีแต่อารมณ์ที่ผ่องใสงดงามก็จะมีประโยชน์นะคะนี่ก็นอกเรื่องไปนิดหนึ่ง ทีนี้จะต้องรอบรู้รอบรู้สิ่งที่ควรรู้สิ่งที่ควรเห็นแล้วก็สิ่งที่ควรละ สิ่งที่ควรละก็เช่นสิ่งที่จะบั่นทอนความใฝ่รู้ใฝ่รักใฝ่เรียนให้ลดไปนั่นแหละคือสิ่งที่ควรละ เล่าเรียนไปศึกษาไปหมั่นภาคเพียรไปจนกระทั่งสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องที่ไม่น่าพึงปรารถนาไปสู่พฤติกรรมใหม่ที่ถูกต้องและน่าพึงปรารถนาได้ นี่จึงจะหมายความว่าเป็นการศึกษาที่หาความหมายของชีวิต เพื่อประโยชน์อะไร เพื่อประโยชน์อะไรคะก็เหมือนอย่างประโยชน์ที่เขาประชาสัมพันธ์ไว้ ว่าไงคะ เพื่ออะไรคะ เพื่อได้รับความสำเร็จในชีวิต ได้รับความเจริญรุ่งเรืองอย่างที่ต้องการ ได้รับความสุขสดใสของชีวิตที่มนุษย์ทุกคนปรารถนา ถ้าในขณะที่อยู่ในสถาบันการศึกษา ประคับประคองชีวิตของตนในการเรียน ในลักษณะอย่างนี้ แน่นอนที่สุดจะเกิดทั้งความรู้รอบและความรอบรู้ขึ้นทีละน้อยละน้อยตามลำดับ เป็นขอนรองเหยียบสำหรับที่จะไปศึกษาต่อไปในโลกกว้าง ให้พร้อมมูลบริบูรณ์และสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ฉะนั้นในระหว่างศึกษาจึงจะต้องเรียนอย่างจริงจัง อย่างมอบกายถวายชีวิต ใครเข้ามาในสถาบันราชภัฏสกลนคร แล้วก็บอกตัวเองว่าฉันจะมอบกายถวายชีวิตในการเรียนของฉันร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ยกมือหน่อยสิคะ ยกมือหน่อยค่ะ ไม่มีเลย มือเดียวก็ไม่มี ท่านอาจารย์ทั้งหลายท่านคงเศร้าใจมากเลย แล้วเข้ามาในลักษณะไหนกันคะ เข้ามาเพื่ออะไรคะฉันจะมาเล่นๆ ฉันจะมาไม่รู้จะไปไหน ฉันก็ใช้เวลามาอยู่ในสถาบันยังจะดีกว่า อย่างน้อยก็มีตรา มีสัญลักษณ์ชื่อว่าเป็นนักศึกษาสถาบัน หวังว่านักศึกษาที่นั่งอยู่ในที่นี้จะไม่มีความคิดแบบนี้นะคะ ถ้ามีขึ้นไม่เป็นมงคลเลย ไม่เป็นมงคลแก่ผู้ที่คิดอย่างนี้เลย ขอจงได้เปลี่ยนความคิดเสียใหม่แต่เดี๋ยวนี้นะคะ ว่าเราจะเข้ามาสู่สถาบันการศึกษา เราจะเรียนจะศึกษาอย่างจริงจังอย่างมอบกายถวายชีวิตเพื่อการศึกษา ถ้าเราไม่ตั้งใจมอบกายถวายชีวิตแล้ว ความรู้รอบก็ดี ความรอบรู้ก็ดี จะไม่มีวันเกิดขึ้นเลย ความสำเร็จ ความเจริญรุ่งเรือง ความสุขความสดใสทั้งหลายในอนาคตที่ปรารถนา จะไม่ได้พบ นี่พูดด้วยความจริง จะไม่ได้พบ แล้วพอถึงเมื่อวัน ที่เราไม่ได้พบ จะเสียใจ จะเศร้าใจ จะร้องห่มร้องไห้คร่ำครวญ แช่งด่าใครก็ตาม ก็ยังไม่ได้พบอยู่นั่นเอง แต่โอกาสที่จะพบนั้นมีไหมคะ มี คือเมื่อไหร่ เดี๋ยวนี้แหละ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ที่นักศึกษาอยู่ในสภาพของนักศึกษา แล้วเปลี่ยนใจ เปลี่ยนความคิด เหมือนกับเปิด เปลี่ยนสวิตช์ เปิดปุ่มใหม่ของโทรทัศน์ เอาช่องที่ดูแล้วชีวิตมันสดใส ไม่ใช่ช่องที่ดูแล้วชีวิตมันหดหู่ นั่นแหละ นักศึกษามีโอกาส เปลี่ยนปณิธานในชีวิตเสียใหม่เดี๋ยวนี้ มีโอกาสที่จะเจริญรุ่งเรือง ที่จะสำเร็จ ที่จะเป็นสุขสดใส ต่อไปข้างหน้าอย่างแน่นอนนะคะ เพราะฉะนั้น ขอร้อง ขอร้องนักศึกษาที่รักเหมือนลูกหลานทุกคนค่ะ จงอย่าเรียนอย่างเล่นๆ เพื่อให้สอบได้อย่างหลวมๆ รู้ไหมคะ ที่ว่าสอบได้อย่างหลวมๆนี่เป็นไง ที่คุณยายใช้คำว่าหลวมๆ นี่ นักศึกษาเข้าใจไหม ว่าหมายความว่าไง ที่สอบได้อย่างหลวมๆ ใครเคยผ่านการสอบอย่างหลวมๆ มาแล้วบ้าง ใครเคยผ่านการสอบอย่างหลวมๆ มาแล้วบ้าง ยกมือหน่อยสิคะ ถ้างั้นก็รู้รสชาตินะ รู้รสชาติของการสอบได้อย่างหลวมๆไหมคะ ว่ามันเป็นไง หมายความว่าไง อธิบายหน่อยสิคะ ที่หนูบอกว่ารู้น่ะ เป็นไง ก็หมายความว่า ความรู้ที่ได้จากการสอบนั้นเป็นยังไง มีไหม ใช้คำนี้ดีกว่า มีไหม ไม่มีหรอก ไม่มีในใจใช่ไหมไม่มีในสมอง ความรู้นั้นไม่มี เพราะอะไรที่สอบได้อย่างหลวมๆ ก็คงจะเป็นแบบนี้ละมั้ง อาจารย์จะสอบแล้ว จะออกข้อสอบตรงไหนนะ เธอว่าตรงไหน เรามาหลับตาเปิดกันเถอะ เปิดสมุดน่ะ เปิดหนังสือ ตรงไหนก็ท่องตรงนั้นแหละ ข้อสอบต้องออกมาแน่ๆ เสี่ยงทาย เผอิญ เผอิญ เรียกว่าตีตั๋วถูก ก็เลยออกมา แต่ถ้าหากมีความรู้ในวิชาที่สอบได้ไหม หรือจะไปเทียบคอยตามหาอาจารย์ ช่วยบอกหน่อยเถอะ อาจารย์จะออกข้อสอบอะไร ให้คะแนนหนูดีๆ หน่อยนะคะ นี่แหละมันหลวมๆ สอบได้อย่างหลวมๆ ภูมิใจไหมคะ ภูมิใจไหม ไม่น่าภูมิใจเลย สักนิดเดียวเพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าเรียนเล่นๆ มันก็จะสอบได้อย่างหลวมๆ แล้วทีนี้ ขอนรองเหยียบ อันนั้น ข้างในมันจะกลวงหรือจะตัน กลวงแน่ๆ เลย พอเหยียบขึ้นไปมันก็เป็นไงคะ พัง แล้วใครถลาล้มล่ะ คนเหยียบนั่นแหละ อายหรือไม่อายคะ รู้จักอายนะคะ อายจริงไหมคะ อายจริง ก็จงอย่าทำอย่างนั้นอีก ถ้าคนรู้จักอายและอายจริง จงอย่าทำอย่างนั้นอีก เพราะคนที่ได้อายน่ะไม่ใช่อาจารย์ แต่ตัวเราเอง แล้วก็ยังตลอดไปถึงใครด้วย คุณพ่อคุณแม่พี่น้องเพื่อนฝูงที่สนิทสนมด้วยเห็นไหม พากันล้มระเนระนาดไปด้วยกันหมดเลย ขอจงอย่าทำอย่างนั้นอีก ไม่ใช่เกียรติศักดิ์ของนักเรียนเลย ไม่ใช่เกียรติศักดิ์ของนักศึกษาเลย ธรรมดาท่านผู้รู้นะคะ ท่านบอกว่า ชีวิตของมนุษย์แบ่งออกได้เป็นสี่ช่วง ช่วงแรก ก็อย่างเราๆที่นั่งอยู่ที่นี่นะคะ นักศึกษาที่นั่งอยู่ที่นี่ เรียกว่า อยู่ในชีวิตช่วงแรก หรือช่วงแรกของชีวิต ช่วงแรกของชีวิตนี้เป็นช่วงของการศึกษา เป็นช่วงชีวิตของการศึกษา ก็จะกะว่าจะให้อายุอยู่ในระหว่างประมาณสัก ตั้งแต่เกิดจนถึงประมาณสัก 25 ปี คือว่าให้เรียนจบสูงสุดถึงขั้นปริญญาเอกไปเลยนะคะ ก็ประมาณสัก 25 ปี นี่เป็นช่วงชีวิตของการศึกษาช่วงที่สอง ต่อจากนั้น ท่านเรียกว่าเป็นช่วงของการเผชิญชีวิต พอว่าจบการศึกษาแล้วนี่ ก็ออกไปเผชิญชีวิต ไปทำงานทำการ ช่วงนี้แหละเป็นช่วงที่สาหัสสากรรจ์มาก ใช่ไหม เคยได้ยินคุณพ่อคุณแม่พี่ป้าน้าอาผู้ใหญ่พูดไหม คร่ำลำบากรำพันถึงความหนักความเหน็ดเหนื่อยปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในที่ทำงาน หรือปัญหาต่างๆ ที่พบขึ้นใน ที่พบอยู่ในสังคม คราวนี้ ช่วงที่สองของชีวิต เป็นช่วงที่เผชิญ หนักมาก เรียกว่าสาหัสสากรรจ์ ผู้ที่จะผ่านช่วงการเผชิญชีวิตไปได้อย่างราบรื่น สะดวกสบาย ปลอดภัย ย่อมต้องอาศัยอะไรล่ะคะ ต้องอาศัยช่วงไหนเป็นพื้นฐานช่วงการศึกษา คือช่วงที่หนึ่ง ต้องอาศัยช่วงที่หนึ่ง ช่วงการศึกษานี้เป็นพื้นฐาน เพราะฉะนั้นช่วงชีวิตของการศึกษานี้จึงเป็นช่วงที่สำคัญที่สุด จริงไหมคะ จริง เพราะมันเหมือนกับการลงรากฐาน ลงรากฐานของชีวิต อย่างผู้ที่เขาจะปลูกบ้าน หรือจะปลูกอาคารหลายๆ ชั้น ต้องลงรากฐานไหมคะ ลง เขาลงรากฐานลงคอนกรีต ถ้าหากว่าพื้นคอนกรีตที่ลงไปนั้นแน่นหนามั่นคง เราจะไม่ได้ยินอาคารพังทลายใช่ไหมคะ แต่เราก็ได้ยินอยู่หลายครั้งในข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ การสร้างบ้านก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นช่วงการศึกษานี้เป็นช่วงที่สำคัญที่สุด เป็นช่วงของการลงรากฐานของชีวิต เพื่อที่จะนำไปสู่การดำเนินชีวิตข้างหน้าที่ถูกต้องที่เป็นประโยชน์ ทั้งแก่ตนเอง และผู้อื่น เพื่อที่จะออกไปเผชิญชีวิตในช่วงที่สอง พอถึงช่วงที่สาม เป็นช่วงของการบริโภคผลของชีวิตลงทุนหนักเหน็ดเหนื่อยศึกษาเล่าเรียนมา ออกไปเผชิญชีวิตอย่างหนักเหน็ดเหนื่อยสาหัสสากรรจ์ กะว่าช่วงที่สองนี้ประมาณสัก อายุสัก 45 คือทำงานทำการไปได้แล้วในระยะหนึ่งสักยี่สิบปีก็เรียกว่าพอเห็นหน้าเห็นหลังเพราะฉะนั้นช่วงที่สามช่วงการบริโภคผลของชีวิต ก็จะได้บริโภคผลของชีวิตอย่างชนิดที่ว่า พออร่อย พออิ่มอิ่มเป็นต้นว่าจะพูดถึงฐานะล่ะก็มีเงินทองก็พอมีพอใช้ถึงจะไม่เป็นเศรษฐีหลายสิบล้านก็พอมีพอใช้ บ้านช่องก็พอมี มีพออยู่ถึงจะไม่เหมือนปราสาทราชวังเกียรติยศชื่อเสียงก็พอมีอยู่พอตัว ได้รับความนับหน้าถือตาจากเพื่อนฝูงคนในวงสังคมเดียวกันพอเนื้อพอตัว นี่แหละเรียกว่าเป็นการบริโภคผลของชีวิตที่สมควรหรือไม่สมควรก็เกี่ยวกับจากพื้นฐานของช่วงชีวิตที่หนึ่ง แล้วก็การเผชิญชีวิตอย่างเต็มฝีมือความสามารถด้วยความอุตสาหะพากเพียรพยายามอย่างเต็มที่ก็จะได้บริโภคผลของชีวิตในช่วงที่สาม ทีนี้ช่วงที่สี่ก็นับจากประมาณอายุสักหกสิบปีไปแล้วก็เท่ากับอายุเกษียณแล้วนะคะก็จะเป็นช่วงชีวิตของของชีวิตที่สงบเย็นและเป็นประโยชน์ วางภาระจากการงานแต่ไม่ได้วางภาระจากหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ในโลกเพราะยังสามารถให้ความสงบเย็นมีความสงบเย็นและเป็นประโยชน์เป็นประโยชน์ต่อลูกต่อหลานเป็นที่พึ่งเป็นที่ปรึกษาเป็นแบบอย่างให้ลูกหลานได้มีความอบอุ่นใจอย่างนี้เป็นต้น นี่ก็เป็นช่วงชีวิตของมนุษย์ที่ท่านแบ่งเอาไว้ ทีนี้ท่านนักศึกษาจะลองเชื่อว่าช่วงชีวิตของมนุษย์มันก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละแบ่งออกเป็นสี่ช่วงนักศึกษาก็จงพยายามใช้ช่วงที่หนึ่งซึ่งเรากำลังอยู่ในช่วงนี้ให้เต็มสติกำลังสุดฝีมือความสามารถนะคะ แล้วนักศึกษาจะรู้สึกว่าคุ้มแก่เวลา คือการศึกษาแบบมอบการถวายชีวิต เหนื่อยหรือยังคะ ยังไม่เหนื่อยก็ต่อไปอีกหน่อยแล้วก็ เดี๋ยวนักศึกษาจะได้ซักถามอย่างเต็มที่เลยนะคะก็ขออธิบายขยายความว่าที่พูดว่าศึกษาอย่างมอบกายถวายชีวิตจะต้องทำอย่างไรตอนนี้ขอให้จำหน่อยนะคะขอให้จำก็คือจะต้องศึกษาอย่าง หนึ่งมีสัจจะมีสัจจะรู้จักคำว่าสัจจะไหมคะ สัจจะคืออะไรคะ คะสัจจะคืออะไรคะดังๆ สิ ความจริงสัจจะคือความจริง เพราะฉะนั้นศึกษาอย่างมีสัจจะก็คือมีปณิธานในใจว่าเราเข้ามาศึกษาเราจะต้องมอบกายถวายชีวิตเพื่อการศึกษาในช่วงชีวิตนี้ไม่มีอะไรสำคัญกว่าการศึกษาการศึกษาต้องมาก่อน รักใคร่ตามหลังมาการเที่ยวการกินการเล่นตามหลังมาไม่มีอะไรสำคัญกว่ายกเว้นถ้าคุณพ่อคุณแม่ท่านเจ็บป่วยก็ต้องถือว่าสำคัญกว่าเพื่อแสดงความเป็นลูกกตัญญู ฉะนั้นศึกษาอย่างมีสัจจะตั้งปณิธานต้องทำจริงทำให้ได้จริงๆตามปณิธานที่ตั้งไว้ ข้อที่สอง ศึกษาอย่างมี ทมะ ท ทหาร ม ม้า สระอะธรรมะ แปลว่า ความข่มขี่ บังคับใจ คำว่า ทมะนะคะ แปลว่าความข่มขี่บังคับใจ ทำไมถึงต้องข่มขี่บังคับใจ เพราะการตั้งสัจจะอย่างนี้หนักหรือเบาคะ หนักหรือเบา หนักเอาการเชียวแหละ หนักจนไม่มีเสียงตอบ ข้างหลังไม่ได้ยินเสียงเลย นี่เห็นไหม หนักจนไม่มีเสียงตอบจริงๆ มันหนักเหลือเกิน เรียนอย่างมอบการถวายชีวิต เพราะฉะนั้นง่ายไหมคะ ไม่ง่าย ใครได้ทดลองแล้วบ้าง ขอถามสักนิดสิคะ ใครได้ทดลองแล้วบ้าง ยังไม่มี ก็ขอได้เริ่มทดลองแต่วันนี้นะคะ มันหนักมันหนักเพราะอะไร เพราะเราชอบสบาย ใช่ไหมคะ ชีวิตของมนุษย์ทุกคนชอบสบาย ชอบเที่ยวชอบเล่นชอบกินชอบคุย ชอบทำอะไรอะไรตามใจที่อยากจะทำ อยากกินอยากนอนอยากเที่ยวอยากเล่นอยากคุย มากกว่าที่จะอยากศึกษาเล่าเรียนใฝ่รู้ ในสิ่งที่เกิดคุณประโยชน์ เพราะฉะนั้นจึงต้องควบคุมบังคับข่มขี่ใจ อย่างเต็มที่เลย เพื่ออะไร ก็เพื่อให้สามารถทำตามสัจจะได้ ใครเคยควบคุม บังคับ ข่มขี่ใจของตัวเราเองบ้าง เคยหรือยังคะ ดี แล้วเป็นไงสำเร็จไหมคะ แสดงความยินดีด้วยได้ไหม ใครให้แสดงความยินดีได้ด้วย ยกมือหน่อยซิ มีไหมคะ ยังไม่มีอีกแหละทำไมถึงหน้าเศร้าหมองอย่างนี้นะ ไม่น่าเลยนะคะ ควรที่จะต้องให้แสดงความยินดีด้วยได้ ขอให้ถ้าเผอิญมีคราวหน้ามาพบกัน ขอถามอย่างนี้ให้ชื่นใจหน่อยนะคะ ได้แล้วแสดงความยินดีได้ ได้สามารถควบคุมบังคับข่มขี่ ที่นี้นักศึกษาจะมีวิธีควบคุมบังคับข่มขี่ได้ยังไง ง่ายๆ ที่สุดนะคะ ก็จะขอแนะนำว่า ต้องการทำอะไร บอกตัวเองบ้างไหม คะ จะบอกตัวเองว่าไง อยากไปเที่ยว ไม่อยากเรียน จะตอบตัวเองบ้างไหม ไม่เอา จำไว้นะคะ ไม่เอา ไม่เที่ยว ไม่คุย ไม่เล่น จะต้องเรียนท่อง ซ้ำๆๆ เอาไว้ พอตอนเช้าตื่นขึ้น วันนี้ โปรแกรมหนังดี สนุก ต้องโดดหน่อย วิชาสำคัญก็ช่างเถอะต้องโดดหน่อยจะต้องข่มขี่บังคับตัวเองด้วยคำว่าไงคะ ไม่เอา ต้องไปเข้าห้องเรียน รู้ไหม นี่บอกตัวเอง จะตีตัวเองเข้าไปสักป้าบสองป้าบก็ยังได้ ในฐานะที่ดื้อ ไม่ยอมทำสิ่งที่จะเกิดประโยชน์กับชีวิตน่ะนะคะ นี่ต้องบังคับข่มขู่ด้วยมนต์สั้นๆ ไม่เอา คือ ถ้าอยากจะทำสิ่งที่ควรละ สิ่งที่มันจะมาถ่วง ต้องหันไปตรงกันข้ามเลย แต่ถ้าแหมวันนี้อยากเรียนจริง อาจารย์สอนดีสนุก ต้องรีบบอกตัวเองว่าไงไป ไปเลย รีบไปเร็วๆ ไปเข้าห้องเรียน ไปตั้งใจฟังอาจารย์ จำให้ได้ เห็นไหมคะ ต้องยั่วยุ กระตุ้น ให้รีบไป ในทางที่ควร ส่งเสริม ต้องห้าม ต้องกด ต้องตัดให้มันสะบั้นไปเลยในสิ่งที่เราเห็นแล้วว่ามันไม่เกิดประโยชน์มันจะถ่วงทำให้ชีวิตนี้ตกต่ำเนี่ยความตกต่ำของชีวิต พระเจ้าพระพรหมบงการอยู่บนสวรรค์หรือเปล่า ไม่เลยใครบงการชีวิตเราคะ ตัวเอง ตอบจริงหรือเปล่าหรือพูดตามสูตร หวังว่าจะตอบจริงนะคะ อย่าตอบตามสูตรสูตรอันนี้ใช้ไม่ได้ต้องทำจริงนะคะ ตัวเราเองนี่แหละที่ลิขิตชีวิตตัวเราเองขอให้เชื่อเถอะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่าผลอย่างใดเกิดจากเหตุอย่างนั้น ทำเหตุอย่างใดหรือเหตุปัจจัยอย่างใดผลก็จะออกมาอย่างนั้น ถ้าตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอย่างมอบกายถวายชีวิตจะผิดหวังต่อการศึกษาไหมคะ ไม่ผิดหวังแน่นอนเลย จะต้องมีแต่ความสุขความสำเร็จ ประกอบตามมา ทีนี้ข้อที่สามสำหรับผู้ที่จะเรียนอย่างมอบกายถวายชีวิตนั้นก็ต้องมีขันติ ขันติเคยได้ยินแล้วใช่ไหมคะขันติก็คือความอดทนความอดกลั้นอดทนต่องานหนัก การเรียนในสถาบันอุดมศึกษาหนักหรือเบา หนักมากเลยเพราะฉะนั้นต้องอดทนอดทนต่องานหนักงานหนักของการศึกษาในทุกแง่มุม แล้วก็อดกลั้นด้วย อดกลั้นต่ออารมณ์ที่จะมายั่วยุยั่วยวนให้ไปเที่ยวให้ไปสนุกให้ไปทำอะไรอะไรที่ไม่ใช่การเรียนนั่นแหละค่ะ ที่ไม่ส่งเสริมการเรียนต้องอดทนทั้งอดทนทั้งอดกลั้นต่อสิ่งยั่วยุเพื่อให้สามารถรักษาสัจจะที่ตั้งปณิธานนั้นเอาไว้ได้ ทีนี้ข้อสุดท้ายข้อที่สี่ก็คือต้องศึกษาอย่างมีจาคะ จาคะก็ จ จาน สระ อา คอ ควาย สระ อะ จาคะ จาคะธรรมดาก็แปลว่าให้บริจาคในที่นี้ก็หมายความว่าศึกษาอย่างจาคะก็คือต้องศึกษาอย่างมีการสละออกสละออกสลัดออก ระบายออก ไม่ใช่ระบายอารมณ์พลุ่งพล่าน แล้วก็ไปตะโกนกันที่ไหนๆ ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ แต่ระบายให้สิ่งที่จะเป็นอุปสรรคต่อการศึกษาเล่าเรียนสิ่งที่จะเป็นอุปสรรคทำให้รักษาสัจจะไว้ไม่ได้นักศึกษาทราบไหมคะ ว่าอะไรที่เป็นอุปสรรคไม่สามารถทำให้เราทำดีอย่างที่เราตั้งใจจะทำได้เคยสังเกตไหมคะ อะไรคะ อะไร ถ้าพอพูดเข้าก็จะต้องอ๋อกันทุกคนน่ะ ความอยากใช่เปล่า พออยากจะไปเรียนเพื่อนมายั่วยุ ทดลองขันติ ว่าจะมั่นคงแค่ไหน ฟังไปฟังมา อยากไปกับเขาเสียแล้ว
เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะเป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดคือความอยาก ที่ในทางธรรมท่านเรียกว่าตัณหา ตัณหาคือความอยาก ความอยากที่จะทำนู่นทำนี่ตามใจของเราที่เคยนี่สำคัญมากเลย เพราะฉะนั้นต้องจาคะมันออกไป จนกระทั่งมันอยากจะโลภ อยากจะเอาอยากจะเอา อยากจะโกรธ อยากจะหลง ล้วนแล้วแต่จะดึงใจของเราที่กำลังผ่องใสเบาสบายนี่ ให้อึดอัดขัดเคืองเศร้าหมองขุ่นข้อง แล้วก็ตกต่ำตกต่ำตกต่ำ กำลังลงนรกไปตามลำดับ เราจะต้องพยายามสละสิ่งเหล่านี้ออกไปที่จะมาบั่นทอน เพราะฉะนั้น ถ้าจะศึกษาอย่างมอบกายถวายชีวิต นักศึกษาจะต้องมี 4 อย่างนี้ประจำใจ ข้อที่ 1 ตั้งสัจจะ ข้อที่ 2 ทมะ ข้อที่ 3 ขันติ ข้อที่ 4 จาคะ ดีมากนะคะจำได้เร็ว ก็หวังว่าจะนำไปปฏิบัติให้เกิดผลได้เร็วด้วย ถ้าหากว่าตั้งปณิธานอย่างนี้ แล้วทำได้สำเร็จ ตามปณิธานที่ตั้งไว้ ความสำเร็จไม่ไปไหนเสีย ใช่ไหมคะ ทีนี้ก็ที่เราพูด กันมาแล้ว ก็รู้สึกว่ามีคำที่ยังค้างอยู่อีกคำหนึ่งที่ควรจะพูดถึง คือคำว่าอะไรนึกออกไหมคะ เราแตะนิดเดียวแต่ยังไม่ได้พูดให้ชัด คำอะไร ความหมายทั้งหมดยังไม่ชัดเหรอคะ ความหมายก็คือสิ่งที่เป็นความหมายของชีวิต ถ้าเดี๋ยวจบแล้วแล้วก็ยังไม่ชัดถามได้นะคะถามต่อได้ คือคำว่าชีวิตคำนี้เป็นคำที่ค้างอยู่ ชีวิตคืออะไรถามนักศึกษาตอบสิคะชีวิตคืออะไร นี่มีชีวิตหรือเปล่าคะที่นั่งอยู่นี่คะ มีชีวิตหรือเปล่าทำไมถึงว่ามีล่ะคะ ทำไมถึงว่ามีชีวิตเพราะอะไรเพราะยังหายใจอยู่ใช่ไหมยังหายใจอยู่ใช่ไหมคะ ยังเคลื่อนไหวได้ใช่ไหมคะ ยังทำอะไรๆ ได้ กินได้ เล่นได้ เที่ยวได้ คุยได้ พูดได้ ก็เรียกว่ายังมีชีวิตอยู่ นี่มองจากอะไร องค์ประกอบของชีวิตมีอะไรบ้าง ประกอบด้วยอะไร องค์ประกอบของชีวิต คืออะไร ร่างกายกับจิตใจ ร่างกายจิตใจ นี่เรามองจากทางกาย ทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้นะคะ ยังมีชีวิตอยู่ พูดง่ายง่ายก็คือ เมื่อมีชีวิต ชีวิตก็คือสิ่งที่ยังไม่ตาย ใช่ไหม ชีวิตก็คือสิ่งที่ยังไม่ตาย นี่มองทางวัตถุ คือทางร่างกาย ยังเคลื่อนไหวได้ยังทำอะไรอะไรได้ แต่ถ้าว่า ที่บอกว่าชีวิตคือสิ่งที่ยังไม่ตาย นักศึกษาคิดว่า จริง สำหรับทุกชีวิตหรือเปล่า จริงสำหรับทุกชีวิตหรือเปล่า ถามอย่างนี้หมายความว่าอะไร จริงสำหรับทุกชีวิตหรือเปล่า นักศึกษาเคยเห็นไหมคะ บางชีวิต ก็ยังหายใจอยู่ เคลื่อนไหวได้ ทำอะไรได้ทุกอย่าง แล้วเราก็บอก นี่มองดูตาคนนั้นสิ ยังกับคนที่ตายแล้ว เคยพูดไหม ทำไมถึงพูดอย่างงั้นล่ะคะ ก็เขายังไม่ตายใช่ไหม แล้วทำไมถึงบอกว่า มองดูสิ ยังกับคนตายแล้ว หมายความว่าอะไร อะไรที่มันแสดงว่ายังกับคนตายแล้ว อะไร มันมีอะไรปรากฏถึงได้ไปพูดอย่างนั้นค่ะ เอาให้ชัดๆ สักหน่อยสิคะ คำตอบนี้ค่ะ ถ้ามองดูรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง สดใสหรือเหี่ยวแห้ง บางทีก็ยิ้ม ทำเป็นยิ้ม ยิ้มตรงไหน ยิ้มตรงปาก ปากอ้ากว้างออกไป แต่อะไรที่มันฟ้อง ว่าชีวิตนี้ไม่ได้ยิ้ม ในตา แววตามันฟ้อง ใช่ไหมคะ มันฟ้องวันนี้ไม่ได้ยิ้ม มันยิ้มแต่ปาก แล้วก็แยกเขี้ยวออกมาเท่านั้นเอง แต่ว่าในตาไม่ได้ยิ้ม เพราะในตานี้มันไร้แสงของชีวิต มันแห้งแล้ง มันไม่มีแววของชีวิตปรากฏอยู่ ทำไมล่ะ ในตานี่เขาบอกว่าเป็นกระจกของอะไรนะเป็นหน้าต่างของหัวใจ เป็นกระจกของหัวใจ เพราะฉะนั้นก็แสดงว่าภายในใจนั้นเป็นยังไง ภายในใจนั่นเป็นยังไงเหี่ยวแห้ง ใช่ไหมคะ เหี่ยวแห้ง ไม่รู้สึกสดใสเลย แล้วก็ผู้ที่มีชีวิตอย่างนี้คือที่มีความรู้สึกอย่างนี้ ในขณะนั้น เขารู้สึกภูมิใจในตัวเองไหม ทำไมถึงไม่ภูมิใจล่ะ นักศึกษาที่นั่งอยู่ที่นี่ค่ะ ภูมิใจในตัวเองไหมคะ ทุกคนหรือเปล่า ทำไมถึงภูมิใจในตัวเอง ถ้าจะถามว่า ยกมือไหว้ตัวเองได้ไหม ภูมิใจในตัวเองแล้วทำไมถึงยกมือไหว้ตัวเองไม่ได้ นี่ก็แสดงว่าภูมิใจจริงหรือเปล่า ไม่จริง ถ้าภูมิใจไม่จริงก็หมายความว่า แน่ใจในสิ่งที่ตนทำ ว่า ว่าเป็นไง ว่ามีประโยชน์จริงไหม มีคุณค่าจริงไหม ถูกต้องจริงไหม เราไม่แน่ใจใช่ไหมคะ เมื่อไม่มีความแน่ใจ ก็จึงรู้สึกว่า ตัวนี่ยังไหว้ตัวเองไม่ได้เลย แล้วจะไปให้คนอื่นเขาไหว้ได้ไง ใช่ไหมคะ นี่ทำไมเขาดูถูกฉันนี่ ถ้าใครจะไปว่าคนอื่นดูถูกฉัน ย้อนกลับมาถามตัวเองทันที แล้วเราล่ะ ดูถูกตัวเราเองหรือเปล่า เราล่ะ ดูถูกตัวเราเองหรือเปล่า ถ้าเราเองยังดูถูกตัวเราเอง แล้วจะไปหวังให้คนอื่นเขาเคารพตัวเราได้ไหมคะ ไม่ได้ คนเราจะเคารพกันได้ หรือเคารพตัวเองได้ ความเคารพนั้นอยู่ที่ตรงจุดไหน จุดของอะไร จุดของการกระทำใช่ไหมคะ การกระทำที่เห็นแล้วว่าเกิดประโยชน์ เกิดประโยชน์ต่อตนเองไม่เบียดเบียนใคร เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น ความภาคภูมิใจมันมีขึ้น นี่แหละ คือคุณค่าของมนุษย์และชีวิตอย่างนี้ เป็นชีวิตที่ ไม่ตาย จริงๆรึเปล่า ไม่ตายจริงจริงไหมคะที่พูดว่าจริงจริงก็คือหมายความว่าไม่ตาย มองเห็นไหมอันนี้ ข้อที่สองนัยยะที่สองมองเห็นได้ตาได้ไหมคะ มองเห็นได้ไหม มองเห็นไม่ได้เพราะมันจะเกิดจากอะไร จากการกระทำอันเป็นคุณธรรมความดีที่ยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ตนเองและเพื่อนมนุษย์คือผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ก็เกิดความภูมิใจภูมิใจมากขึ้นมากขึ้นในคุณค่าของการกระทำของตนจนรู้สึกว่าเรานี่เกิดมาคุ้มค่าแก่ความเป็นมนุษย์ไหม คุ้มไหมคะ คุ้มคุ้มค่าแก่ความเป็นมนุษย์หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นคนกับเขาชาติหนึ่ง อย่างที่ใครใครว่าใช่ไหมคะ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นคนกับเขาชาติหนึ่งมันคุ้มค่าแก่ความเป็นมนุษย์จริง ๆ เลยเพราะมันภูมิใจได้อย่างมีท่านผู้หนึ่งซึ่งคุณยายเคารพมากท่านบอกว่าโลงศพของอาตมาคือความดีที่ทำไว้ในโลก กล้าพูดไหม ที่นั่งอยู่ในห้องนี้กล้าพูดไหม กล้าพูดอย่างนี้ไหม โลงศพของอาตมาคือความดีที่ทำไว้ในโลก ป่าช้าของอาตมาก็คือคุณประโยชน์ที่ทำไว้ให้แก่เพื่อนมนุษย์ ใครกล้าพูดได้อย่างนี้บ้าง เรายังพูดไม่ได้ก็ไม่เป็นไรแต่เรารู้ว่าวันหนึ่งเราอาจจะพูดได้ไหมคะ เรามีโอกาสวันหนึ่งเราอาจจะพูดอย่างนี้ได้และถ้าพูดอย่างนี้ได้ ชีวิตนี้ตายไหม ไม่ตายแม้ร่างกายจะสิ้นลมไปแล้วตายไหม ก็ยังไม่ตายอยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้นขอให้จำไว้เถอะว่าชีวิตคืออะไรชีวิตนี้ไม่ใช่สิ่งล่องลอย ถ้าใครถือว่าเกิดมาแล้วได้มีโอกาสใช้ชีวิตนี้ก็ใช้มันให้เต็มที่เลยไม่ต้องคำนึงว่ามันจะไปไหนจะดีจะชั่ว นั่นไม่ใช่ความคิดของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์นะคะเพราะมนุษย์นี่มาจากคำว่าอะไร มนะ มอม้านอหนู มนะแปลว่าใจ แล้วก็บวกกับคำว่าอุษย์ อออ่างสระอุ สอบอ ยอยักษ์ การันต์ อุษย์ แปลว่าประเสริฐเพราะฉะนั้นมนะ ใจ บวกกับอุษย์ ประเสริฐ รวมกันเป็นคำว่ามนุษย์ก็หมายความว่ามนุษย์คือผู้มีใจสูงมีใจประเสริฐ พูดง่ายง่ายก็คือต้องประเสริฐกว่าสัตว์ต้องประเสริฐกว่าคนเกิดมาเป็นคนกันทุกคนออกจากท้องคุณแม่ก็เป็นคนแต่เป็นมนุษย์กันทุกคนไหม ต่อไปข้างหน้าป็นมนุษย์กันทุกคนหรือเปล่านี่นึกดูให้ดีนะคะ เกิดมาทีแรกเป็นคนระดับหนึ่ง รูปร่างหน้าตาอย่างนี้ เขาเรียกว่าเป็นคน แต่ถ้าต้องการจะมีชีวิตที่มีคุณค่าอยู่ในโลกนี้ต้องพัฒนาจากความเป็นคนสู่ความเป็นมนุษย์ อย่าให้ต่ำกว่าเป็นคนนะ ถ้าต่ำกว่าเป็นคนนี่ พูดไม่ถูกแล้ว ลงไปเป็นอะไรรู้เองไม่ต้องพูด เพราะฉะนั้นต้องพัฒนาจากความเป็นคนขึ้นสู่ความเป็นมนุษย์ ให้เป็นผู้มีใจสูงมีใจประเสริฐ คนที่มีใจสูงมีใจประเสริฐเห็นแก่ตัวได้ไหมคะ เห็นแก่ตัวน้อย แล้วก็เห็นแก่เห็นแก่ผู้อื่นให้มากขึ้น เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ให้มากขึ้น เห็นแก่ผู้อื่นให้มากขึ้น ซึ่งนักศึกษาก็เห็นตัวอย่างจากผู้ที่ได้รับการจารึกชื่อในทางที่งดงามที่เราสามารถไหว้กราบได้อย่างเต็มใจ ทั้งกายวาจาใจนั่นแหละคือมนุษย์ที่เห็นแก่ผู้อื่น ก็จารึกไว้ แล้วก็มนุษย์ที่ทำตัวให้ต่ำกว่าความเป็นคนเขาก็จารึกไว้เหมือนกัน อย่างที่เคยฟังผู้ใหญ่ ปู่ย่าตายายท่านบอกไหม ถ้าเผอิญไปลงนรกเข้า ยมบาลจะจารึกเอาไว้ในอะไร เคยได้ยินบ้างหรือเปล่า ไม่ได้ยินก็ไปถามเอาเอง อย่าให้ไปถูกจารึกอย่างนั้น เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเรานี่แหละ ก็คือเราจะต้องพัฒนาอบรมจากความเป็นคนขึ้นสู่ความเป็นมนุษย์นะคะ เพราะฉะนั้นในความหมายของข้อที่ 2 ของความหมายของชีวิตที่บอกว่า คือความยังไม่สูญสิ้นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ก็คือผู้ใดที่มีชีวิตเปี่ยมอยู่ด้วยคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ผู้นั้นอยากจะเรียกว่ามีชีวิตที่เต็มมีชีวิตที่เต็ม คำว่าเต็มก็คือหมายความว่าเป็นชีวิตที่มีดุลยภาพ ครบทั้งสองฝ่ายทั้งฝ่ายกายและฝ่ายใจ เป็นชีวิตที่สมบูรณ์ แต่ถ้าผู้ใดมีชีวิตที่ยังไม่ตายแต่เพียงกายแต่อย่างเดียว แต่ว่าคุณค่าของความเป็นมนุษย์ไม่ปรากฏ ก็อยากจะบอกว่าชีวิตนั้นยังเป็นชีวิตที่พร่อง ชีวิตที่พร่องนี่เป็นยังไงอย่างที่เขาบอกว่า ถ้าหม้อเต็มนี่ยกหม้อเต็มไปเสียงดังไหม เสียงฝากระทบหม้อไหม ไม่ ไม่กระทบ เต็ม นิ่ง เช่นเดียวกับแม่น้ำสายใหญ่ๆ น้ำจะไหลเอื่อยๆ รินๆ ได้ยินเสียงไหม แต่ถ้าหากว่าเล็กๆ มีเกาะมีแก่ง มันก็จะมีเสียงดังเพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าชีวิตที่มีแต่ร่างกาย ไม่ตายอย่างเดียว แต่คุณค่าของความเป็นมนุษย์ไม่ปรากฏ ก็น่าสงสารนะ เพราะเป็นชีวิตที่พร่อง ปราศจากความอิ่มเอิบ ความภาคภูมิ ความแช่มชื่น ความเบิกบาน พูดสั้นๆ ก็คือ เป็นชีวิตที่ตายทั้งเป็น นั่นแหละ เราจึงไปออกอุทานว่า ดูสิ เหมือนกับตายแล้วอย่างงั้นแหละใช่ไหมคะ นี่แหละคือชีวิตที่ตายทั้งเป็น ก็เชื่อว่า นักศึกษาทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ไม่ต้องการจะเป็นอย่างนั้นใช่ไหมคะ ทีนี้อะไรคือคุณค่าของความเป็นมนุษย์อะไรคือคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ตอนนี้คงต้องคิดนานหน่อยใช่ไหมคะ ง่วงหรือยังคะ ถ้าคิดตามแล้วไม่ง่วงหรอก ถ้าลอยไปล่ะก็ง่วง ฉะนั้นอย่าลอยออกนอกห้องนะคะขอให้อยู่ในนี้ด้วยกันก่อน อะไรคือคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ความดีความดีนี่ก็ถูกแต่กว้างมาก กว้างมากเอาให้เจาะจงลงมาอีกหน่อยซิ ถ้าพูดตามทางธรรมนะคะท่านบอกว่าความสามารถในการทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ได้อย่างบริสุทธิ์ใจเบิกบานใจโดยไม่หวังการตอบแทนเลยนั่นแหละคือคุณค่าของมนุษย์ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นจะอยู่ในหน้าที่อะไรหน้าที่ของนักศึกษาคืออะไรคะเล่าเรียนศึกษาเล่าเรียนก็เอาให้เต็มที่เลย โดยไม่ต้องหวังตอบแทนว่าอาจารย์จะชมเพื่อนฝูงจะยกยอแต่เราก้มหน้าก้มตาเรียนเป็นหน้าที่ของลูกหรือจะเป็นหน้าที่อะไรก็ตามทำให้เต็มที่โดยไม่หวังความตอบแทน ทีนี้การทำหน้าที่อย่างเต็มที่โดยไม่หวังความตอบแทนนี่คืออย่างไร ก็จะยกตัวอย่าง เมื่อตอนที่ออกเป็นครูใหม่ๆนะคะก็ไปอยู่หัวเมืองหลายสิบปีมาแล้ว ก็มีหมาตัวหนึ่งนี่เพิ่งนึกขึ้นมาคืนนี้ที่จะมาๆคุยกับนักศึกษา ว่าจะเอาเรื่องอะไรมาเล่าดี ก็ไปนึกขึ้นได้ว่าหลายสิบปีมาแล้วตอนที่เราเป็นครูไปอยู่ต่างจังหวัด เราก็มีหมาตัวหนึ่งมันมาจากไหนก็จำไม่ได้แล้วเรียกว่าเจ้ามงคลตัวไม่โตหรอกค่ะมีผู้คนเขาบอกว่ามันมีเชื้อสายอาร์เซเชี่ยน มันคงเป็นเศษอาร์เซเชี่ยนเพราะอะไรเพราะว่ามันสูงสักศอกหนึ่งจากพื้นไปถึงหลังนะคะ สูงสักศอกหนึ่งแล้วขนหยาบๆสีน้ำตาลอ่อนๆแล้วก็มีเคราด้วย ตัวไม่โตแต่ว่าเป็นหมาที่มีความสง่าทั้ง ๆที่ตัวมันเล็กแต่มันสง่ามันภาคภูมิ มองดูแล้วมันเป็นหมาที่มีเกียรติในตัวของมันเองทำนองนั้นน่ะนะคะ แล้วมันก็ติดมากเลย ถ้าหากว่าเห็นมงคลที่ไหนไปเดี๋ยวต้องเห็นครูรัญจวน ถ้าเห็นครูรัญจวนจะต้องเห็นเจ้ามงคลมันชอบติดตามไปเรื่อยๆ ตอนนั้นอยู่หัวเมือง แล้วก็มีแมวมาอีกตัวหนึ่งชื่อแมวสามสีเพราะว่ามันสีขาวแล้วก็สีน้ำตาลออกใกล้ๆดำแล้วก็สีเหลือง เขาเรียกแมวสามสีก็อยู่ด้วยกันแล้วก็เจ้ามงคลกะแม่สามสีไม่ถูกกันเลยนะคะ เรียกว่าไม่กินเส้นด้วยกันเลยตามประสาหมาแมวแต่ว่าก็ไม่ถึงกับขม้ำกันเป็นแต่เขาไม่สุงสิงไม่เข้าใกล้ ทีนี้วันหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงสามสีร้องเสียงดังมากเลยแสดงความเจ็บปวด ก็วิ่งออกไปดู แล้วก็ได้ยินเสียงมงคลขู่คำรามใหญ่พอออกไปดูก็พบภาพที่ประทับใจมากเลยจนเดี๋ยวนี้ก็ยังจำได้คือเป็นภาพของสามสีซึ่งนอนเจ็บ มีเจ้าหมาใหญ่ตรงหน้าของมงคล มีเจ้าหมาใหญ่ตัวหนึ่งซึ่งตัวใหญ่กว่ามงคลมากเลยแล้วกำลังทำท่าจะขย้ำเจ้ามงคลด้วยหลังจากที่มันขย้ำสามสีแล้ว จนกระทั่งเข้าใจว่าตะโพกจะหักเพราะว่าสามสีจะใช้ขาข้างหลังสองขานี่ไม่ได้เลยต้องลากตัวอย่างนั้นไปจนตลอดชีวิต แต่ในขณะนั้นขณะที่สามสีถูกเจ้าหมาใหญ่เข้าขย้ำ มงคลคงจะไปจากไหนก็ไม่ทราบแต่มันวิ่งไปแล้วมันก็ยืนคร่อมสามสีเอาไว้ลองนึกถึงภาพในขณะที่อยู่ด้วยกันนี่มันไม่ได้ถูกกันนะไม่กินเส้นกันเลยแต่เมื่อมันเห็นสามสีถูกเจ้าหมาใหญ่ขย้ำ มงคลคงจะทนไม่ได้มันก็ตรงเข้าไปเรียกว่ากระโจนเข้าขัดเจ้าหมาใหญ่อย่างชนิดไม่กลัวตัวเองจะถูกขย้ำด้วยแล้วก็ยืนคร่อมเจ้าแมวสามสีนั้นไว้ก็ เคราะห์ดีของมงคลที่เราได้ยินเสียงเราก็รีบวิ่งออกไปก็ไล่เจ้าหมาใหญ่นั้นออกไปสามสีก็รอดชีวิตแต่ก็เป็นแมวพิการตลอดไป จบแล้ว แล้วก็ได้พบได้คติอะไรไหมว่านี่คือการทำหน้าที่เพื่อหน้าที่อย่างบริสุทธิ์ใจไม่ได้หวังอะไรตอบแทน จริงไหมคะ มงคลหวังอะไรตอบแทนรึเปล่า ไม่ได้หวังอะไรตอบแทนนี่เป็นเรื่องจริงนะไม่ได้หวังอะไรตอบแทน แต่ทำไมล่ะ ทำไมมงคลถึงได้ถลาพรวดออกไปสละชีวิตของตัวไปยืนคร่อมสามสีไว้ อะไร มันมีอะไรในใจลองนึกซิคะ แม้แต่มงคลจะเป็นเพียงหมาตัวหนึ่ง เพราะอะไร มีอะไรในใจ ถ้าหากว่ามงคลเป็นคนเราก็จะพูดว่าอะไรคะเราก็จะพูดว่าอะไรที่ผลักดันให้ออกไป เราก็จะพูดว่ามนุษยธรรมใช่ไหมคะ ถ้ามงคลเป็นคน เราก็จะบอกว่าเพราะมนุษยธรรมในใจทำให้เขาทนอยู่ไม่ได้ที่จะเห็นเจ้าแมวเล็กๆ ตัวหนึ่งที่ไม่สามารถจะช่วยตัวเองได้แล้วก็ถูกหมาใหญ่อันธพาลจากไหนตรงเข้ามาขย้ำ เขาทนไม่ได้เขาต้องออกไปช่วยป้องกันช่วยต่อสู้เอาไว้ป้องกันชีวิตเอาไว้ เราก็จะใช้คำว่ามนุษยธรรม ทีนี้คำว่ามนุษยธรรมก็คือธรรมะหรือคุณธรรมของมนุษย์มนุษย์คืออะไร ที่เราพูดเมื่อกี้นี้มนุษย์แปลว่าอะไรผู้มีใจสูง มนุษย์คือผู้มีใจสูง ผู้มีใจประเสริฐเพราะฉะนั้นก็คือคุณธรรมของผู้มีใจสูง ผู้มีใจประเสริฐผู้พร้อมที่จะเสียสละเพื่อผู้อื่นเพราะฉะนั้นถ้าหากว่ามงคลเป็นคนก็จะบอกมนุษยธรรมในใจเขาที่ผลักเขาให้ออกไปทั้ง ๆที่ไม่มีใครเรียกร้องไม่มีใครบอก แล้วมงคลก็คงตายไปนานแล้วนะคะ ถ้าหากว่าตามที่เขาเชื่อกันว่าตายแล้วเกิดตายแล้วเกิดมงคลก็อาจจะไปเกิดเป็นอะไรที่ไหนอีกกี่ชาติมาแล้วเราก็ไม่รู้แต่จนเดี๋ยวนี้นะค่ะ ก็ยังไม่ลืม ยังไม่ลืมชื่อมงคลยังไม่ลืมภาพที่มงคลไปยืนค่อมเจ้าสามศรีอยู่ในขณะนั้น นี่คือภาพที่จะอธิบายว่าคุณค่าของมนุษย์อยู่ที่การทำหน้าที่เพื่อหน้าที่อย่างบริสุทธิ์ใจโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ใครจะตอบแทนใครจะขอบใจหรือไม่ขอบใจไม่สำคัญแต่ในใจของผู้กระทำเองเป็นยังไง ภูมิใจไหมคะ ภูมิใจที่สุดนี่เป็นเกียรติที่สุดถ้ามงคลเป็นคนนะคะเขาคงอดจะอดพูดไม่ได้และถ้าเขาพูดเขาก็มีสิทธิ์ที่จะพูด ว่าเขาภูมิใจครั้งหนึ่งในชีวิตของเราที่เราภูมิใจที่สุดก็คือเราได้ไปช่วยชีวิตของเจ้าแมวสามสีเอาไว้อย่างเสี่ยงชีวิตเราเข้าไปเลยเขาก็มีสิทธิ์ที่จะพูดแล้วเขาก็ไม่ได้หวังการตอบแทนเลย เพราะฉะนั้นอันนี้ค่ะก็คือความหมายว่าความสามารถในการทำหน้าที่เพื่อหน้าที่และอันที่จริงแล้วการทำหน้าที่เพื่อหน้าที่อย่างเอื้ออารีกันนั้นน่ะเป็นวัฒนธรรมไทยหรือเป็นวิถีชีวิตของคนไทยมาแต่โบราณ ก็น่าเสียดายที่เดี๋ยวนี้มันค่อยๆจางหายไปก็ยังมีปรากฏอยู่ในชนบทมากกว่าในเมืองกรุง
เพราะฉะนั้นการมาหาความหมายจึงคืออะไร การมาหาความหมายนี้จึงคืออะไรคะ ใครจะลองให้คำจำกัดความถ้าหากว่าจะให้สรุปด้วยถ้อยคำของตัวเองก็อยากจะบอกว่า การมาหาความหมายของชีวิตก็คือการค้นหาหรือแสวงหาสิ่งที่เป็นคุณค่าที่แท้จริงของความเป็นมนุษย์ ใช่ไหมคะ หรือใครจะมี คำอธิบายอย่างอื่น การมาหาความหมายก็คือการค้นหาหรือแสวงหาคุณค่าที่แท้จริงของความเป็นมนุษย์ เพื่ออะไร เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในโลกได้ ด้วยความภาคภูมิใจอย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์นั่นเอง และสิ่งนี้ เป็นความสุขหรือเป็นความทุกข์ เป็นความสุขทุกคนแสวงหาความสุข มาถึงจุดนี้มองเห็นหรือยังคะว่าความสุขของคนเรานั้นอยู่ที่ไหน อยู่ที่ไหนอยู่ที่ความสามารถในการทำ ทำอะไรคะทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ได้อย่างบริสุทธิ์ใจโดยไม่หวังการตอบแทน อันนี้สำคัญมาก ก็คือทำอย่างผู้สละ ผู้อุทิศ เพื่อประโยชน์ที่จะเกิด ที่จะเกิดขึ้นนี่แหละ คือความหมายของชีวิต ชีวิตนี้เกิดมาทำไม หลายคนที่ตอบ ที่ถาม แล้วพอหาคำตอบไม่ได้ เขาทำไง ฆ่าตัวตาย ฆ่าตัวตายแล้วจะได้คำตอบไหมคะ ไม่ได้หรอก ยิ่งมืดใหญ่เลย ยิ่งหาไม่ได้เลยเพราะฉะนั้นนี่คือคำตอบ เกิดมาทำไม เกิดมาเพื่อทำหน้าที่ของมนุษย์ ให้คุ้มค่าแก่ความเป็นมนุษย์แล้วมันก็มีแต่ความภูมิใจ ความอิ่มใจ ความสุขใจ เมื่อมีความสุข ความอิ่มใจพอใจอยากตายไหม ไม่อยากตาย แต่กลับยิ่งอยากจะทำอะไร ยิ่งอยากจะทำอะไรคะ ถ้าใครในห้องนี้ที่นั่งอยู่ได้เคยทำแล้วจะสัมผัสกับสิ่งที่กำลังพูดอยู่นี้ได้ แต่ถ้ายังไม่เคยทำก็ขอให้ฟังไว้ก่อน ฟังแล้วก็ลองไปใคร่ครวญคิดดูอย่าทิ้งไว้ในห้องนี้นะคะ ใคร่ครวญคิดดู สนทนากัน แล้วจะรู้เองว่าจริงหรือเปล่า ชีวิตของเราที่เกิดมาชีวิตนี้เกิดมาทำไม เกิดมาเพื่อทำหน้าที่ของมนุษย์ ให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเองและผู้อื่นแล้วเราก็ไหว้ตัวเองได้ไหม อย่างมงคลนี่ ถ้ามันพูดได้ก็จะถาม มงคล มงคลไหว้อยากไหว้ตัวเองได้ไหม ก็จะต้องบอกเลยมงคลไหว้ตัวเองได้ แล้วก็หลายหลายคนอาจจะอยากไหว้มงคลด้วย ใช่ไหมคะ เพราะไม่สามารถทำอย่างเขาได้นี่น่ะ เพราะฉะนั้นนี่สิ มันถึงจะสมไหมกับการเกิดมาเป็นมนุษย์ สมไหมคะ นี่สิถึงจะสมกับการเกิดมาเป็นมนุษย์และการที่จะทำได้อย่างนี้ก็จงใช้ช่วงชีวิตของอะไร ของการศึกษาคือช่วงชีวิตที่หนึ่งที่นักศึกษาเป็นผู้ที่มีโอกาสอันประเสริฐโอกาสพิเศษทีเดียวจงทำหน้าที่อันนี้ของการเป็นนักศึกษาให้ครบถ้วนสมบูรณ์ด้วยการศึกษาอย่างมอบกายถวายชีวิต ถ้าสามารถทำได้ก็จะมองเห็นแนวทางของการดำเนินชีวิตเพื่อความรู้รอบและความรอบรู้ต่อไปในอนาคตจนสามารถเป็นผู้ที่สามารถทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ได้โดยไม่หวังการตอบแทนอย่างเต็มหัวใจด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพราะฉะนั้นก็ขอให้นักศึกษาได้ลองใช้สิ่งที่เราคุยกันวันนี้นะคะไปใคร่ครวญดูต่อไป มองดูหนทางว่าจะทำได้มากน้อยเพียงใด อย่าทิ้งเอาไว้ในห้องนี้ อย่าให้การพูดคุยกันวันนี้จบเพียงในห้องนี้หรือในชั่วโมงนี้เพราะเรื่องที่เราพูดกันนี้จบไหมคะ ไม่จบ นี่เป็นแต่เพียงมาพูดเปิดทิ้งไว้เท่านั้นเอง ทิ้งไว้ให้คิด เราจะใช้ชีวิตของเราที่ยังจะมีอยู่ในโลกอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คุ้มค่ากับการที่เกิดมาเป็นมนุษย์ได้อย่างไร ด้วยวิธีใด ก็คือ จงกระทำช่วงชีวิตหนึ่งของชีวิต คือ ชีวิตแห่งการศึกษานี้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีคำถามไหมคะ ขณะนี้ก็อีกสิบนาทีจะสิบเอ็ดโมง แต่ว่าเต็มใจที่จะให้เวลาไปถึงสิบเอ็ดครึ่งก็ได้ ถ้าใครต้องการจะซักถาม พูดคุย หรือถ้าเหน็ดเหนื่อย ไม่อยากพูดแล้วก็จบได้อีกเหมือนกัน มีไหมคะคำถาม เชิญได้ค่ะ จะเขียนมาถามหรือจะถามที่ไมโครโฟนก็ได้ค่ะ ตัวเล็กจริง เขาบอกว่า ถ้าใครเขียนลายมือตัวเล็กๆ นะคะ อายุแค่นี้ เขียนตัวเล็กๆ แค่นี้ พออายุแก่เข้าจะเหลือแต่จุดๆ เท่านั้นน่ะ จะบอกให้ เพราะฉะนั้นพยายามหัดเขียนไว้ให้ตัวโต ๆ หน่อยนึกว่าสงสารสงสารกับสายตาคนแก่น่ะ นี่เอาคำถามที่พบแผ่นแรกก่อนเลยนะคะไม่ใช่เรื่องที่รักมักที่ชัง
ผู้ร่วมสนทนา:ความยังไม่สูญสิ้น ความเป็นคนดูได้จากอะไร
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ดูได้จากที่เราพูดกันมาแล้วถ้าหากว่าผู้ใด เป็นคนที่สามารถทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ได้ตลอดเวลาเป็นนักศึกษานี่ค่ะทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ได้ไหมคะเยอะเลยหน้าที่ของลูกศิษย์ต่อครูอาจารย์ หน้าที่ของเพื่อนต่อเพื่อน หน้าที่ของพลเมืองในสังคม หน้าที่ของประธานกิจกรรมหน้าที่ของหัวหน้าห้อง หน้าที่ของลูกน้องในห้อง หน้าที่ในการเป็นผู้ตามหน้าที่ในการเป็นผู้นำ สมัยนี้มีแต่ผู้นำผู้ตามไม่ค่อยมีมันก็เลยบู้กันเรื่อย เพราะอยากนำด้วยกันทั้งนั้นเพราะฉะนั้นนี่ เพราะไม่สามารถจะทำหน้าที่ได้ใช่ไหมคะ ฉะนั้นคำถามนี้ก็ตอบสั้นสั้นจากที่เราอธิบายมาแล้วว่าความยังไม่สูญสิ้นนั้นจะดูที่ไหนก็ดูที่คนคนนั้นสามารถทำหน้าที่เพื่อหน้าที่โดยไม่หวังอะไรได้บ้างไหม อย่างที่เขาเรียกว่าทำให้ไม่ใช่ทำเอา เคยได้ยินไหมคะจำเอาไว้ง่ายง่ายทำให้ไม่ใช่ทำเอา คนโดยมากพอทำอะไรแล้วมักจะทำเอาใช่ไหมคะ ทำเอาทำอะไรแล้วเราต้องได้ด้วยสิ เช่น เราจะมีสิทธิอะไรบ้างล่ะ ใช่ไหม ถ้าถามมาชวนมาเป็นสมาชิกคอมพิวเตอร์ ชมรมคอมพิวเตอร์ แล้วเราจะได้อะไรล่ะ ที่เรามาเป็นสมาชิก นี่เป็นคำถามที่เราจะเห็นเสมอเลย ที่เขาประท้วงกันน่ะ ใช่ไหมคะ ที่เขาประท้วงกัน เดินขบวนกันนั่นน่ะ ก็เรียกร้องอะไรล่ะคะ ค่ะ เรียกร้องอะไร สิทธิหรือหน้าที่ เรียกร้องสิทธิ เห็นไหม ทำเอา เรียกร้องจะเอา แต่หน้าที่นี่คือการทำให้ หายากเหลือเกิน ถ้าหากว่าเรามีจิตใจเพื่อการทำให้ จะมีการเดินขบวนประท้วงกันไหม มีไหมคะ มีการเดินขบวนประท้วงไหม ไม่ต้องมีให้ลำบากเลย นี่แหละ เราก็ดูอย่างนี้ ทีนี้ จะรักษาไว้ได้อย่างไร ก็หมั่นทำเสมอเสมอ จนเกิดความเป็นความเคยชิน เป็นนิสัย อยู่ในเนื้อในตัว อดไม่ได้จะต้องทำเรื่อยๆ ก็จะรักษาไว้ได้จนเกิด จนกลาย กลายเป็นนิสัย ชีวิตจะเต็ม ต้องประกอบด้วยอะไรจึงจะทำให้ชีวิตเต็มได้ ถ้ามีความภาคภูมิใจ ความอิ่มใจอยู่เสมอ เราก็รู้สึกว่าชีวิตของเราไม่มีอะไรพร่อง เรามีแต่ความสุข มีความสุขทุกวันทั้งแก่ตัวเองและเพื่อแจกจ่ายให้แก่เพื่อนฝูงและเพื่อนมนุษย์
ความสำเร็จอย่างไรถือว่าเป็นความสำเร็จในชีวิตอย่างแท้จริง ก็คือความสำเร็จในการสามารถทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ได้อย่างบริสุทธิ์ใจ นี่แหละเป็นความสำเร็จที่แท้จริงของชีวิต การที่เรียนจนกระทั่งสำเร็จได้ปริญญาบัตรมา ก็ยังไม่ใช่ความสำเร็จที่แท้จริง เป็นความสำเร็จเพียงได้ขอนรองเหยียบมาเท่านั้นเอง ขอนรองเหยียบเป็น stepping stone สำหรับที่จะก้าวต่อไปเท่านั้นเอง ใหญ่ยิ่งไหม ไม่ใหญ่ยิ่งเลย ถ้าเปรียบกับการ ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ที่จะช่วยเหลือบุคคลอื่นแล้ว อย่างไหนมากกว่ากันก็ลองคิดดูก็แล้วกันนะคะเราควรจะหาความหมายให้กับชีวิตได้อย่างไร ด้วยการใฝ่รู้ใฝ่เรียน ใฝ่รู้ใฝ่เรียนก็จากการฟัง การฟังผู้ที่สมควรฟังคือหมายความว่าฟังบัณฑิตพูด อย่าไปฟังอันธพาลพูด อ่านหนังสือที่นักปราชญ์เขียน อย่าไปอ่านหนังสือที่คนเกเรเขียน คนเกเรเขียนเป็นยังไงเขียนเพื่อเอาตัวออกมาตามความต้องการของตนสาระแก่นสารที่จะสร้างสรรค์ให้แก่ผู้อ่านไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นวิธีที่จะหาความหมายให้กับชีวิตได้อย่างหนึ่งก็คือหาความรู้จากการอ่านจากการฟังจากการดูแล้วก็ใช้วิจารณญาณเปรียบเทียบแล้วก็เลือกรับเลือกทิ้งเลือกรับสิ่งที่จะเกิดคุณประโยชน์เป็นแบบอย่างของการดำเนินชีวิตต่อไป สิ่งใดที่เราเห็นแล้วว่าจะนำไปสู่ทางหายนะทิ้งเสีย อย่าไปทำตามจำไว้แต่เพียงว่าเป็นตัวอย่างเท่านั้นเอง ทำอย่างไรจึงจะรู้จักตัวเองเข้าใจตัวเองยิ่งขึ้น นี่แหละต้องสู้กันนะ การที่จะรู้จักตัวเองได้นั้น ต้องมีใจสงบ ในขณะที่ใจวุ่นวายรู้จักตัวเองไหมคะ ไม่รู้จักหรอก เหมือนอย่างกับว่าเราไปนั่งข้างบ่อน้ำ เราอยากจะดูว่าในบ่อนี้มีอะไรนะที่อยู่ก้นบ่อ แล้วน้ำนั้นก็กำลังกระเพื่อม กระเพื่อมเป็นระลอกจ้ะ จะมองเห็นไหมคะไม่เห็น จนกระทั่งต้องคอยจนกระทั่งน้ำนั้นนิ่ง สงบ ไม่มีลมพัด ไม่มีใครโยนก้อนกรวดก้อนหินมา แล้วเราค่อยๆ มองลงไปในบ่อน้ำ เราถึงจะสามารถมองไปได้ถึงก้น ก้นบ่อ ว่ามีอะไรอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นอันนี้ค่ะ ต้องอาศัยความสงบ ความสงบของใจ ขณะนี้สงบหรือยังคะ นั่งตัวตรง นั่งตัวตรง แต่ไม่ต้องเกร็ง สบาย สบายหายใจยาว ยาว หายใจเข้า ยาว หายใจออก ยาว หายใจพร้อมกันนะคะ จะนับหนึ่ง สอง สาม หายใจยาวเข้า ยาวออก ยาวเข้า ยาวออก หายใจอย่างสบายสบาย ไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องฝืน หายใจอย่างธรรมชาติ ขณะนี้ให้เวลาหายใจอย่างธรรมชาติหนึ่งนาที หายใจตามสบายหนึ่งนาที ไม่ต้องเกร็งสบายสบาย ผู้ใดหายใจได้สบายอย่างธรรมชาติจะรู้สึกโล่งโปร่ง ตั้งแต่สมองลงไปถึงข้างในใจ ไม่อึดอัด ต่ออีกหนึ่งนาที มองเข้าไปข้างใน ข้างในความรู้สึก หมายความว่า เอาความรู้สึก สัมผัสกับความรู้สึกที่ปรากฏอยู่ภายใน แล้วลองตอบซิว่า ขณะนี้ภายในนั้น รู้สึกอย่างไร รู้สึกอย่างไร เมื่อเทียบกับ 3 นาทีก่อนนี้ กับนาทีนี้ เหมือนกันทีเดียวไหมคะ จะเห็นความแตกต่างกัน เมื่อ 3 นาทีก่อนนั้น วุ่นวายด้วยความชอบบ้างไม่ชอบบ้าง เหนื่อยบ้างอึดอัดบ้าง แต่ขณะนี้หายใจยาวๆ เป็นธรรมชาติ รู้อยู่ก็ลมหายใจยาวๆ มีความเบาสบายข้างในขึ้นไหมคะ มีไหม รู้สึกเบาสบายขึ้นไหม ถ้ายังไม่เบาสบายคนใดยังไม่เบาสบายหายใจอีกยาวๆยาวเข้ารู้ว่าเข้า ยาวออกรู้ว่าออก ตามลมหายใจให้ได้ทั้งเข้าและทั้งออกตามด้วยอะไรตามด้วยความรู้สึก ความรู้สึกของเรา เอาความรู้สึกสัมผัสกับลมหายใจที่มากระทบที่ตรงช่องจมูกเวลามันผ่านเข้าแล้วก็กระทบที่ช่องจมูกเวลาผ่านออกเอาความรู้สึกจดจ่ออยู่ตรงช่องจมูก รับลมหายใจผ่านเข้าตามเข้าไปตามลมหายใจออกมามันกระทบช่องจมูกนี่คือการ รักษาสติ อบรมสติให้เกิดขึ้น แล้วก็ทำใจที่วุ่นวาย ให้สงบลง เย็นลง เบาลง โปร่งลงทีละน้อยละน้อยละน้อยนี่คือวิธีการที่เราจะหัดทำความรู้จักกับตัวเอง คือต้องเริ่มด้วยการทำความสงบให้เกิดขึ้นภายในก่อน เพราะเมื่อใจสงบนักศึกษาก็รู้แล้วว่าเราสามารถคิดอะไรได้กว้างขวางใช่ไหมคะ พอใจสงบเราจะคิดอะไรได้กว้างขวางมองอะไรได้ไกล แล้วก็จะคิดอะไรได้ลึกซึ้งอีกด้วย
เพราะฉะนั้นการจะรู้จักตัวเองเริ่มต้นด้วยการฝึกทำใจให้สงบ จากนั้นสังเกต เฝ้าสังเกตตัวเอง ดูจากความคิดทีละอย่างนะคะดูจากความคิด เราชอบคิดอะไร นักศึกษาลองดูเราสามารถตอบตัวเองได้ไหมว่าเรา มีนิสัยชอบคิดอะไร ชอบคิดอะไร คิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง หรือเปล่า ชอบคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องหรือเปล่า เรื่องไม่เป็นเรื่องนี่หมายความว่าอะไร ก็คือเรื่องที่เป็นสาระหรือไม่เป็นสาระ ไม่เป็นสาระ เพื่อนคนนั้นน่ะชอบมองเราด้วยหางตา ก็เกลียดที่หนึ่งเลย แล้วก็เอามาคิดอยู่นั่นแหละ ทำไมเขามองเราด้วยหางตาอย่างงั้นนะ ก็เห็นเราเป็นไง วันหนึ่งแล้วนะ นี่วันหนึ่งแล้ว วันที่สอง แน่มองอีกแล้วมองด้วยหางตาอีกแล้ว มันต้องไปถามเสียหน่อย ทำไมถึงมองอย่างนี้นี่วันที่สอง วันที่สามแน่ไม่หยุด ยังมองอีก ก็ต่อไปเรื่อย ๆ มีประโยชน์ไหมคะ ส่งเสริมการศึกษาไหมคะ ไม่ส่งเสริม มีแต่บั่นทอน ในขณะที่เราไปนึกว่าทำไมเขาถึงมองเราอย่างนั้นทำไมทำอย่างนี้ ถ้าเราใช้เวลาที่เราคิดอย่างนั้น มาทบทวนบทเรียน ที่อาจารย์พูด คิดหาความรู้เพิ่มเติม ทำความเข้าใจเพิ่มเติมนี่เราได้แล้วหรือยัง ได้ ประโยชน์ไหมคะ ได้ เพราะฉะนั้นอันที่จะสังเกตตัวเองต่อไปหลังจากที่ทำใจสงบแล้วนะคะ ดูความคิด ว่าเราชอบใช้ความคิดไปในทางไหน คิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง เสียเวลา บันทอนความเจริญก้าวหน้าในการศึกษา เล่าเรียนหรือทุกอย่าง ชอบคิด ระแวงสงสัย คือชอบระแวง ชอบคิดว่าคนนั้นเขาจะว่าอย่างนี้ คนนี้เขาจะว่าอย่างนั้น คนนั้นเขาจะชอบไม่ชอบคนนู้นเขาจะอย่างนี้อย่างนั้นเรียกว่าเอาชีวิตของตัวเองนี่ ไปอยู่กับความรู้สึกของคนอื่น ความคิดการกระทำของคนอื่น มีความสุขไหม ไม่มีความสุข แล้วคนนั้นคนนั้นคนนั้นน่ะเขาทำให้เราไม่มีความสุขหรือเปล่าคะ เปล่า ใครทำเอง เราทำเองทำเพราะอะไร ทำด้วยอะไรทำด้วยความคิดใช่ไหมคะ คิดไปเรื่อย คิดระแวงระวังไปต่างๆคิดสงสัยไปต่างๆ เดี๋ยวก็คิดแสนงอนคิดใจน้อย บอกให้คอยหน่อยแค่นี้ คอยไม่ได้ที่แล้วเราคอยตัวเป็นชั่วโมงชั่วโมงไม่เห็นเป็นไรเลยแสนงอน ใจน้อยโกรธกันไปเสียแล้ว ผู้ชายก็เป็นนะอย่าคิดว่าเป็นแต่ผู้หญิงโดยเฉพาะกับคู่รักนะที่แตกกันไปนักหนาก็เพราะอย่างนี้ เพราะฉะนั้นนี่มีประโยชน์ไหมความคิดอย่างนี้ไม่มีเลย ทำไมไม่นึกว่าเขาอาจจะมีธุระจำเป็นนะที่เผอิญคอยเราไม่ได้ อาจจะมีธุระจำเป็นเขาก็ไม่ได้ตั้งใจพอเราคิดอย่างนี้ความรู้สึกเราเป็นไงดีขึ้นคะดีไหม ดีขึ้นเลยเกิดความเห็นอกเห็นใจรู้จักให้อภัย เห็นไหมคะว่าการที่คนเราจะอยู่ร่วมกันได้เป็นสุข การเห็นใจกันด้วยความเข้าใจรู้จักให้อภัยกันนี่เป็นสิ่งจรรโลงโลกให้อยู่ด้วยกันด้วยความสุขขอให้จำไว้เถอะ รู้จักให้อภัยเข้าใจกัน ชอบคิดสร้างวิมานในอากาศ รู้ไหมคะเข้าใจไหมคะ สร้างวิมานในอากาศก็กำลังเป็นนักศึกษาในสถาบันราชภัฏนี่แหละจะปีหนึ่งปีสองปีสามอะไรก็แล้วแต่ โน่นทำงานแล้ว ตำแหน่งหัวหน้ากอง ตำแหน่งผู้อำนวยการ เราจะทำยังไงถ้าเราไปอยู่ในตำแหน่งนั้น เราจะทำยังไงบ้างเราจะให้ความดีความชอบกับคนนั้นยังไงอะไรต่างๆคิดไปแล้ว ถึงหรือยัง ยัง นึกถึงวันรับปริญญา นี่แม่เขาจะมาได้เปล่าก็ไม่รู้ เขาไม่ค่อยมาเลย ถึงเวลาที่เราจะทำอะไรแม่เขาไม่ค่อยมาเลยถึงหรือยังวันรับปริญญา ยังไม่ถึงเห็นไหม คิดไปโน่น การข้างหน้า การข้างหน้าที่ยังมาไม่ถึงเลย เสียเวลาหรือเปล่านี่แหละ จะรู้จักตัวเอง ว่าตัวเองเป็นคนยังไง รู้จักหรือยัง ตามตัวอย่างที่ยกมา รู้จักหรือยังคะ เป็นคนยังไง เป็นคนชอบคิดปรุงแต่ง ในภาษาทางธรรม ท่านเรียกว่า คิดปรุงแต่งได้เรื่องไหมไม่ได้เรื่อง ไม่ได้สาระ ไม่มีประโยชน์ ไม่มีอะไรเลยสักอย่างเดียว นี่แหละ เรียนอย่างมอบกายถวายชีวิตหรือเปล่า มอบกายถวายชีวิตไหมคะ มอบกับอะไรนี่ มอบจริง แต่มอบกับอะไร ความคิดที่เหลวไหล ไร้สาระ ไม่มีแก่นสาร บั่นทอนตัวเอง นี่เห็นไหม สิ่งนี้ควรละ หรือควรรักษาไว้ ควรละ ที่บอกว่าในชีวิตนี้ เราจะต้องเรียนรู้อะไรให้รู้รอบ รู้สิ่งที่ควรรู้ สิ่งที่ควรเห็น รู้สิ่งที่ควรจะได้รู้ที่เกิดประโยชน์สร้างสรรค์เห็นไหมคะ พอเราดูแล้วจากที่เราพูดกันวันนี้นะคะขอร้องอย่าให้มาพูดเพื่อเพราะเหนื่อยเปล่าๆ ไม่ได้มาง่ายๆ หรอกนะจะมาทีหนึ่งนี่เหนื่อยนะ งั้นเมื่อมาแล้วอย่าให้เหนื่อยเปล่าๆขอให้นักศึกษาเอาไปคิดคิดดูแล้วก็หยิบสิ่งที่จะเป็นประโยชน์กรองหากระชอนมากรองตะแกรงมากรองแล้วก็เอาสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ที่จะใช้ได้ในชีวิตของนักศึกษาแล้วก็เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่พูดมานี้ ก็เพื่อจะแนะนำให้รู้จักตัวเองรู้จักความคิดของเราทีนี้นอกจากความคิด นี่ยกตัวอย่างเท่านั้นนะคะยังมีอีกเยอะแยะไปขยายเอาเองก็รู้จักการกระทำของเรา การกระทำของเราเป็นยังไง ทำอะไรแล้วได้รับการรับรองยกย่องเพื่อนฝูงชอบด้วยความจริงใจนะ ไม่ใช่ว่าเขาแกล้งยอ เขารู้ยายนี่มันบ้ายอยอไปเหอะ ยอไปจะได้ลอยไปตกทะเลเสียทีรำคาญนักอยู่ใกล้ๆพูดมากจริงๆอย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ด้วยต้องฉลาดพอที่จะรู้ว่าสิ่งที่เขาบอกเป็นยังไงเขาบอกด้วยความจริงใจด้วยความบริสุทธิ์ใจด้วยความหวังดีเพื่อเกิดประโยชน์หรือเปล่า ก็ดูจากการกระทำ การกระทำที่ทำนั้นเกิดประโยชน์ไหม ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่หรือเปล่า เป็นการทำให้หรือเป็นการทำเอา ศึกษาตัวเองอย่างตรงต่อตัวเองคือซื่อตรงไม่ใช่เข้าข้างตัวเองก็จะค่อยๆรู้จักจุดอ่อนที่ควรแก้ไขจุดด้อยที่ควรแก้ไขแล้วก็รักษาจุดดีจุดเด่นจุดแข็งเอาไว้เพิ่มพูนมากขึ้นก็ดูอย่างนี้ค่ะ แล้วก็อาจจะดูปฏิกิริยาจากเพื่อนฝูงจากครูอาจารย์จากสิ่งแวดล้อมประกอบด้วยก็จะทำให้รู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้น คำถามอีกเยอะเลย ยังไงยังไงก็ตอบไม่หมด ไหนลองผู้ที่ส่งคำถามมานะคะ ผู้ใดรู้สึกว่าคำถามที่ต้องตอบแน่ๆ เชิญ เชิญ เชิญถามที่ไมโครโฟนเลย จะตอบตอบให้เลย คำถามที่ต้องตอบผมแน่ๆ ยังไงผมต้องได้คำตอบวันนี้ หรือหนูต้องได้คำตอบวันนี้ เอาค่ะลุกมาถามที่ไมโครโฟนเลย ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องอายเพื่อนหรือไม่ต้องไมโครโฟนก็ได้ ยืนตรงไหน อยู่ตรงไหนก็ยืนถามตรงนั้น จะได้เห็นหน้า มีไหมคะ ถ้าไม่มี ก็หมายความว่า ไม่เป็นไรหรอก คำถามนี้ตอบก็ได้ ไม่ตอบก็ได้ใช่ไหม นี่อย่างหนึ่งล่ะ แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ที่พูดไป มีอะไรที่สงสัย ที่ไม่ชัดเจน ที่เห็นว่าจำเป็นต้องขยายความมีไหมคะ มีก็ไม่ต้องเกรงใจอีกเหมือนกัน เพราะมาวันนี้เพื่อจะคุยกันให้ชัดเจน ให้รู้เรื่องไม่ต้องเกรงใจ ถ้าไม่มี ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่อะไรนะ เกรงใจนักศึกษาน่ะ เห็นนั่งอยู่ในห้องนี้ตั้งสองชั่วโมงกว่าแล้ว แล้วเดี๋ยวก็จะเบื่อ จะรำคาญ แล้วทีหลังก็จะบอกคุณยายรัญจวนอย่ามาอีกเลยครั้งเดียวพอแล้ว เพราะฉะนั้นก็ เลยอยากว่ายกให้นักศึกษาคิดเอง ว่าต้องการไม่ต้องการอะไรไหมที่จะขยายความอีกสักจุดหนึ่ง มีไหมคะ ถ้ามีก็ถามได้ ถ้าไม่มีก็หมายความว่า ที่เราพูดคุยกันนี่ชัดเจนพอสมควรใช่ไหม เราพูดคุยกันเรื่องอะไรสรุปหน่อยซิ เราพูดคุยกันเรื่องอะไร ก็ดูอย่างนี้ หนึ่ง เรื่องกระดาษแผ่นเดียว กระดาษแผ่นเดียว ฝากไว้ให้คิดต่อ มีคุณค่าสูงสุดต่อชีวิตเลยหรือเปล่า กระดาษแผ่นเดียวนี่ ไม่เอาอีกแล้ว มีกระดาษแผ่นเดียวฉันไปได้ทั่วทุกแห่งในโลก จริงไหม ไม่จริง ฉันจะไปไหนได้ด้วยทุกแห่งในโลก ด้วยอะไร ข้อที่สอง ด้วยฉันรู้ รู้อะไรคะ รู้ความหมายของชีวิต อันนี้นะคะ จำไว้ ที่เราคุยกัน คือฉันรู้ความหมายของชีวิต ว่าชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้เกิดมาทำไม เกียรติศักดิ์ของชีวิตอยู่ที่ตรงไหน และฉันทำแล้ว สิ่งนี้ฉันทำแล้วอย่างนี้ล่ะ ก็ไปไหนไหนได้ทั่วโลกเลย ไปด้วยความภาคภูมิ แม้แต่พูดไม่รู้ภาษากัน คือเป็นคนละภาษาก็สามารถไปได้ ไม่มีความกลัว ข้อที่ 3 ที่เราคุยกันวันนี้คือเรื่องอะไรเห็นไหม ตอบไม่ได้ คุณค่าของความเป็นมนุษย์ใช่ไหมคะ นี่คือเรื่องสำคัญที่เราคุยกัน 3 เรื่องวันนี้ 1 กระดาษแผ่นเดียวมันคืออะไร มันสำคัญแค่ไหน เราควรจะไปยึดมั่นถือมั่นกับมันสักเท่าไหร่ และวิธีที่เราจะได้กระดาษแผ่นเดียวอย่างสมเกียรติศักดิ์ศรีของความเป็นนักศึกษานั้น เราควรจะทำอย่างไร ควรเรียนอย่างเล่นๆ แล้วก็สอบได้อย่างหลวมๆ อย่างนั้นหรือ หรือเราควรจะต้องตั้งปณิธานจะต้องเรียนอย่างมอบกายถวายชีวิตด้วยคุณธรรม 4 อย่าง สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ แล้วก็ไปย่อยความหมายของแต่ละอย่างนี่นะคะ ให้ชัดเจนในใจ แล้วก็ความหมายของชีวิตคืออะไร แสวงหาได้อย่างไร รู้รอบกับรอบรู้เหมือนกันไหม คุณค่าของความเป็นมนุษย์นั้นคืออะไร เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรจะรักษาไว้ใช่ไหม ถ้าหากว่าทุกคนเข้าใจอย่างนี้ได้นะคะ ก็เป็นที่น่าพอใจกับตัวเอง คือตัวของนักศึกษาเอง ว่าไม่เสียทีที่เรามาคุยกันถ้าไม่มีอะไรมากกว่านี้ก็ขอให้นักศึกษาทุกคนมีแต่ความสุขสวัสดีอยู่ด้วยความอิ่มใจ ความพอใจ ในความที่สามารถมีชีวิตอยู่อย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ขอให้ทำได้ทุกคน ธรรมสวัสดีค่ะ