แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ธรรมสวัสดีค่ะ เราได้พูดถึงการสร้างจิตสำนึกเพื่อให้เป็นสัมมาทิฏฐิ แล้วก็จะเริ่มต้นที่ครอบครัวคือที่บ้านแล้วก็ที่โรงเรียนนะคะ ทีนี้มันก็มาถึงว่าในชีวิตของเรานี่ เราไม่ได้อยู่แค่เฉพาะที่บ้านและที่โรงเรียน เราต้องอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าสังคมเป็นเวลาไม่น้อยทีเดียวของชีวิต หรือเกือบจะพูดได้ว่าในวันหนึ่งของชีวิตนี้ เราหลีกหนีสังคมไม่พ้น เราจำจะต้องอยู่กับสังคม เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะมีอิทธิพลต่อชีวิตของคนนอกจากที่บ้านและที่โรงเรียนแล้วก็คือที่สังคม แล้วถ้าหากว่าที่บ้านและที่โรงเรียนขาดประสิทธิภาพหรือไม่มีประสิทธิภาพในการสอนและการอบรมที่จะให้เด็กๆ และเยาวชนมีจิตสำนึกที่เป็นสัมมาทิฏฐิ สังคมก็ยิ่งมีอิทธิพลมากยิ่งขึ้น คือมีอิทธิพลที่จะครอบงำจิตของเด็กนะคะ ให้เป็นไปในลักษณะใดก็ได้แล้วไม่ใช่จะเฉพาะแต่เด็ก แม้แต่ผู้ใหญ่ก็อยู่ภายใต้อิทธิพลต่อสังคมได้เช่นเดียวกัน
ถ้าหากว่าสังคมมีจิตสำนึกที่เป็นสัมมาทิฏฐิอยู่แล้วจะไม่มีปัญหาเลยจะช่วยส่งเสริมให้ที่บ้านและที่โรงเรียนสามารถอบรมเด็กให้มีจิตที่เป็นสัมมาทิฏฐิได้ง่ายขึ้น แต่หากว่าสังคมไม่เป็นสังคมที่มีสัมมาทิฏฐิ คือเป็นมิจฉาทิฏฐิแทนก็จะยิ่งเป็นอุปสรรค เป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงเลยทีเดียว ที่จะทำให้การอบรมที่บ้านและที่โรงเรียนเป็นไปได้โดยยากนะคะ เพราะฉะนั้นสังคมจึงมีอิทธิพลและเป็นสิ่งที่เราควรจะได้ศึกษาด้วยว่า สิ่งที่สังคมมีอิทธิพลต่อชีวิตของคนนั้นมีอิทธิพลในทางใดบ้าง พอมองเห็นไหมคะว่าสิ่งที่คนเราตกเป็นทาสของสังคมหรือสังคมมีอิทธิพลต่อชีวิตของคนเราเป็นไปในทางใดบ้าง
ที่เราจะเห็นกันง่ายๆ นั่นก็คือว่า จะสร้างค่านิยมที่เป็นมิจฉาทิฏฐิให้เกิดขึ้นในจิตของมนุษย์อย่างที่เราเป็นกันอยู่ทุกวันนี้มิจฉาทิฏฐิในทางไหนบ้าง อันแรกที่เห็นง่ายๆ ก็คือ อย่างเวลานี้มีเรื่องของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่อยากจะบอกว่าหลอกกันนี่เยอะเลย เหมือนอย่างพอได้ยินใครเกษียณแล้วไม่มีงานทำแล้ว แต่ยังมีกำลังวังชาสติปัญญา หรือว่ามีชื่อมีหน้าพอสมควร วันดีคืนดีก็อาจจะได้รับโทรศัพท์แจ้งมาว่า “เธอมาทำงานที่นี่เงินเดือนเป็นแสนเลยนะ แล้วก็มีรถตำแหน่งให้ใช้ด้วย มีโทรศัพท์มือถือให้ด้วย” ถ้าได้ยินเข้าอย่างนี้เป็นอย่างไร
ผู้ร่วมสนทนา: รีบวิ่งไปเลย
อุบาสิกา คุณรัญจวน: รีบรับไปเลยใช่ไหม “อยู่ดีๆ มีคนโทรศัพท์มาบอก” นี่เป็นเรื่องจริงนะคะ ไม่ใช่เรื่องสมมติเล่า เป็นเรื่องที่ดิฉันได้อ่านจากในหนังสือพิมพ์นะคะ ก็รีบไปหาพอรีบไปหาเข้าก็ปรากฎว่าคุยกันไปคุยกันมา แม้ท่าทางน่าเชื่อถือ เพราะคนที่เชิญมานี่เขารู้จักประวัติของผู้ที่เชิญมาทุกอย่างทุกประการอย่างละเอียดเลยละเอียดกว่าที่เจ้าตัวจะจำได้อีกว่าเราได้เคยเป็นอย่างนั้นหรือรู้อะไรอย่างนั้น พอพูดกันเสร็จแล้วก็กินข้าวกินปลาเสร็จแล้ว ก็จะจากกันไปแต่ยังไม่ทันออกรถคนที่เชิญไปก็เดินมา บอกว่าตายจริงเมื่อกี้นี้ให้คนรถไปส่งลูกก็ได้ภรรยาก็ได้ แล้วเผอิญกระเป๋าเงินก็ติดไปกับคนรถนั่นไม่อยู่เสียแล้ว แล้วนี่จำเป็นต้องไปเดินทางไปติดต่อธุระมีเงินติดกระเป๋ามาบ้างไหม ห้าพันบ้าง หมื่นนึงบ้าง หรือว่าจะสามหมื่นก็ได้แล้วแต่ แล้วถ้าใครคิดว่า พรุ่งนี้เราไปทำงานก็ได้เงินเดือนแสน แล้วยังมีรถตำแหน่งอีกด้วย แล้วยังมีโทรศัพท์มือถือด้วยก็ให้เงินไปก็จ้อยหายไปได้เลย เพราะฉะนั้นอย่างนี้ทำไมคนเราถึงไป ไปเพราะอะไร
ผู้ร่วมสนทนา: ความโลภ ความอยาก
อุบาสิกา คุณรัญจวน: เพราะความโลภ ความอยากเพราะจิตที่ตกเป็นทาสของวัตถุนิยมใช่ไหม นี่คือสิ่งที่สังคมมีอิทธิพลแล้วก็ครอบงำจิตใจของมนุษย์ ทำให้มนุษย์ตกเป็นทาสของวัตถุนิยม เพราะฉะนั้นพอเขาเอาวัตถุเข้ามาล่อก็เลยรับโดยง่าย โดยไม่คิดและไม่พิจารณาเลยว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้หรือไม่อย่างใดเพียงใด แล้วก็เกิดขึ้นในสังคมทุกวันนี้แล้วคนที่ถูกหลอกให้ไปอย่างนี้ก็ไม่ใช่คนไม่มีความรู้เป็นคนที่เคยมีความรู้ มีตำแหน่ง แล้วก็ตำแหน่งใหญ่ๆ ตำแหน่งดีๆ ด้วย แต่พอวัตถุเข้ามาล่อมันไปโดยไม่รู้ตัวแล้วทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ทำไมถึงเป็นไปได้อย่างนี้ สังคมถึงมีอิทธิพลอย่างนี้ เพราะอะไร เขาไม่เคยบอกนะว่า เราเกษียณมาพร้อมกันอยู่กระทรวงเดียวกันเกษียณมาพร้อมกันตั้งสี่สิบห้าสิบคน ทำไมเขาเลือกเรามีอะไรออกมา
ผู้ร่วมสนทนา: มีอัตตา
อุบาสิกา คุณรัญจวน: อัตตาตัวตน อีโก้ออกมา เขาเลือกเราแสดงว่าเราต้องมีอะไรดีกว่าเขาเพราะงั้นเราจึงรับโดยง่าย นอกจากว่าการเป็นทาสของวัตถุนิยมคืออัตตาแล้ว เพราะฉะนั้นนอกจากนี้ที่สังคมมีอิทธิพลมากที่สุดก็คือว่าการครอบงำให้ตกเป็นทาสของวัตถุนิยม แล้วเสร็จแล้ววัตถุนี้ก็เลยกลายเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดในชีวิต แล้วที่มนุษย์เราตะเกียกตะกายกระทำกันทุกวันก็เพื่อวัตถุสิ่งเดียว แล้วก็จากวัตถุนี้จึงทำให้เกิดความน่ามืดตามัวเต็มไปด้วยความโลภความโกรธความหลงที่จะเอาให้ได้อย่างใจของตัวเอง เพราะเรามองไปทางไหนในสังคมมันล้วนแล้วแต่คนที่มีเกียรติก็คือคนที่ๆเป็นอย่างไร คนที่มีเกียรติ
ผู้ร่วมสนทนา: มีสตางค์เยอะๆ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ค่ะ ก็คือคนที่มีเงินมาก มีบ้านใหญ่ มีรถยนต์ยาว มีบริวาร มีตำแหน่งอะไรอย่างนี้ เราไปมองดูสิ่งที่เป็นมายา ที่เรารู้แล้วว่ามันหาใช่สิ่งจริงไม่ คือตกเป็นทาสของสิ่งที่เป็นมายา เพราะฉะนั้นอันนี้จึงอยากจะขอเสนอว่า ถ้าหากว่าโรงเรียนสามารถให้การศึกษา คือโรงเรียนและสถาบันการศึกษาทุกระดับสามารถให้การศึกษาที่สร้างสรรค์จิตสำนึกให้เป็นสัมมาทิฏฐิได้ คนเหล่านี้ก็เป็นผลิตผลออกไปจากสถาบันการศึกษาไปเป็นหน่วยหนึ่งของสังคม แต่ละหน่วยๆ ที่ออกไปนี้ก็จะช่วยทำให้สังคมนั้นเกิดเป็นสังคมที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อสังคมเป็นสัมมาทิฏฐิก็จะมีแต่ความเอื้ออารี มีน้ำใจช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นความรู้สึกที่ตกเป็นทาสของสิ่งอันเป็นมายาก็จะไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นก็น้อยลงๆ แทนที่มันจะมากยิ่งขึ้น
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรนำมาสอนในโรงเรียนก็คือสิ่งที่เรียกว่าอนัตตาๆ และอัตตานี้ควรจะพูดให้เห็นคู่กันที่พูดให้เห็นคู่กันเพราะว่าเราพูดในเรื่องของอัตตามาโดยตลอด เรื่องของอัตตาเรื่องของตัวตน เราต้องพยายามพิสูจน์ว่าอัตตาตัวนี้มีความเก่ง มีความสามารถ มีความรู้ มีอะไรต่ออะไรที่จะทำอะไรได้มากกว่าคนอื่นมากมายเพียงใด แล้วเราก็เกิดความยึดมั่นถือมั่นในอัตตานี้จนกระทั่งเป็นอีโก้ขึ้นมา เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรสอนเพื่อให้จิตนี้เป็นสัมมาทิฏฐิขึ้นคือสอนในเรื่องของอนัตตา คือความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ซึ่งเป็นสิ่งสูงสุดในคำสอนของพระพุทธศาสนา คือเรื่องของอนัตตาความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน โดยให้รู้จักว่าชีวิตนี้เป็นเพียง
ผู้ร่วมสนทนา: สิ่งที่ขอยืมเขามา
อุบาสิกา คุณรัญจวน: สิ่งที่ยืมเขามาก็ได้ ขอยืมมาจากไหนคะ
ผู้ร่วมสนทนา: จากธรรมชาติครับ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ขอยืมมาจากธรรมชาติ พอบอกว่ายืมมาจากธรรมชาตินี้ แม้แต่ที่นั่งอยู่ด้วยกันก็ยังอาจจะมีบางท่านไม่เชื่อว่าขอยืมมาได้อย่างไรธรรมชาติอยู่ตรงไหนถึงจะมาให้เรายืม เขายืมมาได้อย่างไรจากธรรมชาติ
ผู้ร่วมสนทนา: จากธาตุทั้งสี่
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ขอยืมมาจากธรรมชาติ ที่พูดว่าจากธาตุก็ยังดีนะคะที่นึกออก ถ้าดูจริงๆ แล้วก็จะเห็นว่าขันธ์ 5 มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ถ้าจะเอาจนถึงที่สุดในทางธรรมแล้ว มันก็คือสิ่งที่เรียกว่า ธาตุ หรือธา-ตุ ในทางวิทยาศาสตร์ที่ท่านบอกว่าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะแยกได้อีกแล้วใช่ไหมคะ เป็นสิ่งที่มันเล็กที่สุดที่ไม่สามารถจะแยกเป็นอย่างอื่นได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นขันธ์ห้านี้มันถึงที่สุดคือธาตุเป็นสิ่งที่เรียกว่าธาตุเท่านั้นเอง แต่ในความเป็นธาตุนี้มันมีธาตุอะไรบ้าง ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาศธาตุ แล้วก็วิญญาณธาตุ ดินน้ำลมไฟ เรารู้จัก พอบอกว่าดินน้ำลมไฟคนก็มักจะเข้าใจว่า ถ้าดินหมายถึงอะไรในร่างกายนี้ที่เป็นเนื้อที่เป็นกระดูก ที่เป็นผม ที่เป็นขน ที่เป็นเล็บ เป็นฟันเป็นต้น พยายามจะบอกว่าเป็นธาตุดิน แล้วธาตุลมก็คือ ลมที่เข้าออก แล้วธาตุน้ำก็คือ สิ่งที่เหลวๆ เช่น น้ำมูก น้ำลาย น้ำเลือดเป็นต้น หรือไฟก็คือสิ่งที่เป็นอุณหภูมิเป็นความร้อนในร่างกาย แต่อันที่จริงท่านบอกว่าเมื่อบอกว่าชีวิตนี้คือขันธ์ห้า ขันธ์ห้านี้เป็นธาตุ ในร่างกายเป็นธาตุ ดินน้ำลมไฟ อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ แท้ที่จริงแล้วทุกอย่างในร่างกายนี้หยิบมาแต่ละส่วนไม่ว่าส่วนไหนทั้งนั้นมันจะประกอบไปด้วยดินน้ำลมไฟอย่างเห็นได้ชัดเลย อย่างเช่นเป็นต้นว่า เรายกตัวอย่างเลือด พอบอกว่าเลือดทุกคนจะต้องนึกว่าเป็นธาตุอะไรคะ
ผู้ร่วมสนทนา: ธาตุน้ำ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ธาตุน้ำเพราะเห็นว่าเลือดเป็นน้ำ แต่ว่าในทางธรรมก็ดี ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็จะบอกว่าในธาตุในสิ่งที่เรียกว่าเลือดจะมีทั้งธาตุดิน มันจะมีทั้งธาตุน้ำ มีทั้งธาตุลม มีทั้งธาตุไฟพร้อมอยู่ในนี้เลย เพราะอะไร ก็เพราะเหตุว่าธาตุดินในความหมายทางธรรมนั้นหมายถึงสิ่งที่เข้มแข็ง แล้วก็กินเนื้อที่ เลือดมันต้องการเนื้อที่ไหมคะ ต้องการเนื้อที่ในร่างกายไหมคะ
ผู้ร่วมสนทนา: ต้องการ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ต้องการเนื้อที่ในร่างกาย นี่แสดงลักษณะคุณสมบัติของธาตุดิน แล้วน้ำคือสิ่งที่มีคุณสมบัติที่จะเชื่อม ทำให้เกิดความรวมกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ เหมือนอย่างเช่นเวลาที่เขาจะผสมปูนซีเมนต์ เขาเอาทราย เขาเอาหิน เขาหรือเอาก้อนกรวดอะไรมารวมกัน ปูนซีเมนต์มารวมกัน แล้วเขาก็ต้องใส่น้ำ น้ำมีคุณสมบัติเชื่อมให้รวมกัน เพราะฉะนั้นในเลือดมันก็มีธาตุน้ำอยู่ด้วย เพราะถ้าหากไม่มีธาตุน้ำรวมอยู่ด้วยมันจะกระจัดกระจายอยู่ไม่ได้ และโดยลักษณะของมันเองก็มีลักษณะที่เป็นน้ำให้เห็นชัดอยู่ในตัวด้วย มีธาตุไฟคือมีอุณหภูมิอยู่ในนั้น ถ้าไม่มีอุณหภูมิมันก็จะคงคุณสมบัติของความเป็นเลือดไม่ได้ แล้วก็มีธาตุลมอยู่ในนั้นก็มีความเคลื่อนไหวอยู่ ฉะนั้นในสิ่งหนึ่ง เราเรียกหยิบมาอย่างเดียวมันจะมีพร้อม หรือแม้แต่เล็บนี่ เราหยิบเล็บมาบอกเล็บนี่เป็นธาตุอะไร
ผู้ร่วมสนทนา: ธาตุดิน
อุบาสิกา คุณรัญจวน: บอกเป็นธาตุดิน แต่เล็บนี่มีพร้อมทั้งธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ โดยเราจะต้องเข้าใจคุณสมบัติของธาตุแต่ละธาตุ ที่มันต้องการเนื้อที่ไหม
ผู้ร่วมสนทนา: ต้องการ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: มันต้องการเนื้อที่ แล้วถ้าหากว่ามันปราศจากเสียซึ่งลม ปราศจากเสียซึ่งไฟ ปราศจากเสียซึ่งน้ำ มันจะไม่รักษาสภาพของเล็บที่มีคุณภาพ มีความแข็งแรง มีความแรง มีความเรียบ มีความแน่นในตัวเองได้ เพราะฉะนั้นนี่คือคุณสมบัติของธาตุ ถ้าหากว่าเรารู้จักชีวิต ชัดลงไปจนถึงธาตุ ไม่เฉพาะเป็นแต่เพียงขันธ์ห้า เราจะมองเห็นความไม่มีอะไรชัดเจนเลย ทีนี้ก็มาถึงอากาศธาตุนะคะ ว่าอากาศธาตุคืออะไร อากาศธาตุในที่นี้หมายถึงธาตุว่าง คำว่าว่างก็คือว่า ถ้าหากว่าในตัวในร่างกายนี้ ไม่มีอากาศธาตุ มันจะไม่มีที่ให้สิ่งเหล่านี้อยู่
ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ ก็ลองนึกถึงภายในร่างกาย หัวใจ ตับ ไต ไส้พุง กระเพาะ ลำไส้ เหล่านี้นะคะ ถ้าภายในร่างกายนี้ไม่มีอากาศธาตุ สิ่งเหล่านี้จะไม่มีที่อยู่เลย เพราะฉะนั้นนี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ส่วนวิญญาณธาตุนั้นก็หมายถึงธาตุใจ คือใจที่รับรู้อย่างที่เราพูดกันแล้วว่า เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ นี่คือแสดงถึงอาการของใจ ว่าใจเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น ไม่มีรูป ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี แต่มันสามารถจะมีเวทนาคือรู้สึกได้ สัญญาคือจำได้ สังขารคือคิดนึกได้ วิญญาณคือรู้จักอะไรต่ออะไรก็ได้ นี่คือคุณสมบัติของมัน ฉะนั้นชีวิตคืออันนี้ถ้าเราสอนให้รู้ว่าชีวิตคือขันธ์ห้า ขันธ์ห้าที่แท้แล้วก็พิสูจน์หรือว่าศึกษาใคร่ครวญไปจนที่สุดแล้วมันคือธาตุ ซึ่งจะเห็นได้ชัดเมื่อเวลาที่ร่างกายนี้หยุดหายใจ คือหยุดหายใจเข้ามันก็ค่อยๆ แตกสลายไปตามลำดับ และผลท้ายที่สุดมันก็กลายเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ กลับคืนไปสู่ธรรมชาติ เพราะฉะนั้นที่บอกว่ามันมาจากธรรมชาติ มันก็มาอย่างนี้และมันก็จะกลับคืนสู่ธรรมชาติแล้วมันก็เป็นวัฏฏะหมุนเวียนไปอย่างนี้โดยตลอด
ถ้าหากว่าศึกษาในทางธรรมนะคะ ในทางพระพุทธศาสนาจนถึงที่สุดก็จะมองเห็นว่าแท้จริงแล้ว อัตตามีไหม
ผู้ร่วมสนทนา: ไม่มี
อุบาสิกา คุณรัญจวน: อัตตาไม่มีเลย ไม่มีอะไรให้เรายึดมั่นถือมั่นเลย มันมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นในชีวิตนี้คืออะไรๆ ในชีวิต มีอะไรอย่างเดียวเท่านั้นที่มนุษย์ที่ยังมีชีวิตคือมีลมหายใจอยู่
ผู้ร่วมสนทนา: การกระทำ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: การกระทำๆ ตามหน้าที่ที่เผอิญเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องรับผิดชอบ ทำหน้าที่ที่รับผิดชอบที่เกี่ยวข้องอยู่ให้ถูกต้องที่สุดๆ คือเกิดประโยชน์ที่สุด แล้วก็ทำไปเถอะ ทีนี้บางคนก็อาจจะบอกว่า ก็แย่สิให้ทำก็ทำตายอย่างที่เรียกว่าทำจนเหงือกแห้งไม่เห็นอะไรเลยไม่ได้มีความสดชื่นเบิกบานเลย ทำตายๆ ไหมคะ
ผู้ร่วมสนทนา: ไม่ตาย
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ทำไมไม่ตาย
ผู้ร่วมสนทนา: ไม่เห็นมีใครตายสักคน ตายก่อนตาย
อุบาสิกา คุณรัญจวน: คำว่า ตายก่อนตาย หมายความว่าอะไร เป็นคำที่ดีเป็นคำที่ควรศึกษา แปลว่าอะไร ตายก่อนตาย
ผู้ร่วมสนทนา: ในขณะที่ทำมีความสุขโดยปราศจากการเป็นตัวฉันของฉัน
อุบาสิกา คุณรัญจวน: อันนี้ก็ใช่ คือขณะที่การกระทำนั้นเป็นการกระทำที่ไม่มีตัวฉันอยู่ในการกระทำ แต่ว่าทำอย่างเต็มความรู้ เต็มฝีมือความสามารถ แล้วก็ทำด้วยความชื่นบาน ด้วยความเต็มใจ พอทำเสร็จแล้วก็มีความอิ่มใจ พอใจ ที่ได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ แล้วมันก็มีแต่ความชื่นใจๆ มันก็มีความสดชื่น มีความเบิกบานใช่ไหมคะ แล้วมันจะตายได้อย่างไร แต่ว่ามันตายๆ จากอะไร มันตายจากกิเลสๆ ที่ทำให้เกิดความโกรธ ความโลภ ความหลง ที่ทำให้มีตัณหาความอยากๆ จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ด้วยความเห็นแก่ตัว นี่มันตายแล้ว ตายจากความเห็นแก่ตัว ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เป็นอัตตา แต่รู้แต่ว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออะไร ก็ทำๆ ตามหน้าที่ กระทำสิ่งที่ถูกต้อง แล้วมันก็จะมีแต่ด้วยความชื่นใจ ความอิ่มใจ ความพอใจนี่มันเป็นน้ำอมฤต เป็นน้ำวิเศษๆ อย่างสูงสุดที่จะชะโลมใจให้มีความชุ่มชื่น เบิกบาน อิ่มเอิบ แล้วมันก็เลยมีความอิ่ม แล้วจะบอกว่ามีความสันโดษ มีสิ่งที่เป็นธรรมที่เรียกว่าความสันโดษเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้นสันโดษของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ คือหมายความว่า ทำเต็มที่แล้ว เต็มฝีมือความสามารถเลยนะ ทั้งกำลังกายกำลังใจ กำลังสติปัญญา ความรู้ทุกอย่างเลย ทำเต็มที่เลยเต็มที่แล้วก็สันโดษ พอใจแล้ว พอใจที่ได้กระทำแล้ว เพราะว่าหันมามองดูตัวเอง เราก็ตำหนิตัวเองไม่ได้เลยว่าเราขึ้เกียจ ว่าเราเอาเปรียบ ว่าเราหลีกเลี่ยง เราทำเต็มที่แล้ว อย่างนี้ถ้าทุกคนมีจิตที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ด้วยการมองเห็นชีวิตนี้มันคือขันธ์ห้า แท้สุดแล้วเป็นเพียงธาตุเท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นตัวตนให้ยึดมั่นถือมั่นจริงๆ ถ้าต่างก็มาช่วยกันกระทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วนึกดูเถอะให้โลกนี้เป็นโลกอะไร
ผู้ร่วมสนทนา: โลกพระศรีอาริย์
อุบาสิกา คุณรัญจวน: โลกพระศรีอาริย์เป็นโลกสวรรค์เป็นโลกพระศรีอาริย์ๆ ก็คือโลกที่เราว่านึกอะไรได้ก็ต้องได้อย่างนั้น เพราะมีต้นกัลปพฤกษ์อยู่ที่มุมเมืองใช่ไหมคะ ใครอยากได้อะไรก็ไปสอยเอาแล้วก็จะได้สิ่งนั้น แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่จะได้ลงมาเฉยๆ แต่มันได้จากการกระทำที่ถูกต้อง ต่างคนต่างทำแล้วมันจะมีอะไรขาดไหม
ผู้ร่วมสนทนา: ไม่มี
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ไม่มีอะไรขาด ไม่มีอะไรรู้สึกขาด ถ้าคนนั้นขาดคนนี้ก็เติมให้ เพราะเราต่างก็พร้อมที่จะทำกันอย่างเพื่อน อย่างเพื่อนมนุษย์ เพราะรู้แล้วว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่อเป็นเพื่อนกัน ธรรมชาติบอกเราแล้วเราเป็นเพื่อนกัน เป็นเพื่อนเพราะอะไร ลืมเหรอ
ผู้ร่วมสนทนา: ???
อุบาสิกา คุณรัญจวน: เป็นเพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย นี่มองเห็นชัด เพื่อนเกิดๆ อะไร เกิดความทุกข์ เกิดความเป็นตัวตน เราเป็นเพื่อนกัน เคยเกิดเป็นตัวเป็นตนอยู่เสมอแล้วก็ทุกข์เหลือเกิน เพราะฉะนั้นเราก็แก่เหมือนกันเราเจ็บเหมือนกันเราตายเหมือนกัน ไม่มีใครล่วงพ้นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไปได้เลย มันจะต้องพบไปด้วยกันทั้งนั้น
ถ้าเรานึกไปเราศึกษาอย่างนี้มีจิตที่เป็นสัมมาทิฏฐิอย่างนี้ นึกดูเถิดว่าเราจะช่วยกันสร้างโลก สร้างสังคม สร้างครอบครัว สร้างชีวิตของเราให้เป็นสุขสักแค่ไหนเราจะไม่ต้องมีการเบียดเบียนแย่งชิงซึ่งกันและกัน แล้วสิ่งนี้ก็เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ
เพราะเวลาที่เราอ่านข่าวคราวในหน้าหนังสือพิมพ์ มีแต่ความสลดสังเวช อย่างได้ไปพบข่าวที่บอกว่า มีแต่คนบ้ามันอยู่กับคนบ้าจริงๆ นะ พออ่านข่าวอย่างนี้แล้วเป็นไง เชื่อไหม ก็เชื่อถ้าหากเราดูข่าวที่ทำทารุณกันเกี่ยวกับอาชญากรรมต่างๆ ที่มีความโหดเหี้ยมมีความมอำมหิตอย่างเหลือเชื่ออย่างที่ไม่น่าเชื่อ ถ้าเราจะชี้ให้เยาวชนหรือเด็กๆ มองเห็น พูดกันว่าสวรรค์พูดกันว่านรกไม่ต้องไปคอยนึกหรอกว่าเคยขึ้นไปบนฟ้าสวรรค์จะเป็นอย่างไร หรือว่าผุดไปใต้ดินนรกจะเป็นอย่างไร บนพื้นโลกนี้มีทั้งนรกและมีทั้งสวรรค์อยู่พร้อมแล้ว จากหน้าหนังสือพิมพ์ที่เราอ่านมันมีทั้งโลกสวรรค์ทั้งโลกนรกอยู่พร้อมในตัวเลย อย่างที่เขาฆ่ากันธรรมดาไม่พอแทงคอไม่พอจะเอามีดปาดตั้งแต่ต้นคอลงไปจนกระทั้งถึงท้อง แล้วก็เอาข้างในออกมาจนหมดจนสิ้นแล้วก็ทำทารุณกรรมกับศพ นี่มันนรกแล้วเราพบนรกอย่างชนิดที่เรียกว่าตาต่อตาอยู่อย่างนี้ตลอดเวลานี่คือนรกหรือเปล่า
ผู้ร่วมสนทนา: นรก
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ขณะเดียวกันถ้าเราไปพบที่ไหนที่เขาอยู่เย็นเป็นสุขเขาอยู่กันด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน นั่นมันก็เป็นสวรรค์
เพราะฉะนั้นชี้ให้เด็กเห็นเขาสามารถเห็นได้ในปัจจุบันขณะนี้ เพราะชีวิตของคนเราอยู่ในปัจจุบันขณะนี้แทนที่จะให้เขาไปมุ่งพะวงกับอดีตหรือไปมุ่งกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ถ้าเราสามารถอบรมเด็กของเราให้มีจิตที่เป็นสัมมาทิฏฐิเห็นสิ่งที่เป็นสัจธรรม คือสิ่งที่เป็นจริงแท้ตามธรรมชาติจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น เขาก็จะสามารถใช้ชีวิตของเขาให้มีคุณค่า ซึ่งก็จะเห็นว่าในช่วงชีวิตที่เราพูดกันมามันแบ่งออกเป็นสี่ช่วง ช่วงที่สำคัญที่สุดนี้ที่เราเสียเวลาพูดกันมานานก็คือช่วงแห่งการศึกษาถูกไหมคะ เพราะถ้าหากว่าเราได้รับการศึกษาที่ถูกต้องมันก็จะเป็นพื้นฐานให้ช่วงชีวิตต่อไป คือช่วงของการเผชิญชีวิตไม่ว่าชีวิตจะมารูปไหนก็สามารถเผชิญชีวิตได้ด้วยสติและปัญญา ทำให้เราล่วงพ้นปัญหานั้นๆ ไปได้ด้วยความเรียบร้อย ต่อไปก็จะเป็นช่วงชีวิตของการบริโภคผลของชีวิตที่เรียกว่า เป็นช่วงชีวิตที่จะมีทุกอย่างๆ พอตัว คำว่า อย่างพอตัวนี่ไม่ได้หมายความว่ามีมหาศาลๆ มากกว่าคนอื่น แต่พอตัวตามสถานะแห่งตน สถานะแห่งตนเป็นคำที่สำคัญมากนะคะที่อยากจะขอให้ระลึกไว้เสมอ แล้วจะไม่เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิตว่า ทำไมเราถึงไม่เหมือนคนอื่นหรืออะไร เพราะสถานะแห่งตน สถานะทางสุขภาพ สถานะทางสติปัญญา ทางความถนัด อะไรเหล่านี้เป็นต้น ทุกอย่างก็จะมีอย่างพอเพียงและผลสุดท้ายช่วงสุดท้ายก็คือช่วงของการมีชีวิตเย็นและเป็นประโยชน์ มันก็จะมีแต่ความอิ่มใจ พอใจ แล้วโลกนี้นี่ก็คือโลกของสวรรค์ที่เราต้องการที่เราจะสามารถจะสร้างให้เกิดขึ้นได้ในช่วงชีวิตนี้
เพราะฉะนั้นก็หวังว่า เราจะได้รำลึกไว้เสมอว่า สิ่งที่เป็นทิศทางของการนำชีวิตไปสู่ความสุขสว่างรุ่งเรืองอันแท้จริง นั่นก็คือจิตที่เป็นสัมมาทิฏฐิ อันเป็นจิตที่เราสามารถจะสร้างสรรค์ได้ทั้งจากที่บ้านและโดยเฉพาะในสถาบันการศึกษาในทุกระดับแล้วโลกเหล่านี้ก็จะเป็นโลกของความมีน้ำใจและอยู่ร่วมกันอย่างเพื่อนมนุษย์ที่มีน้ำใจต่อกัน
ธรรมสวัสดีนะคะ