PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • อุบาสิกา คุณรัญจวน อินทรกำแหง
  • ตามรอยเท้าพุทธทาส (ตอน 4)
ตามรอยเท้าพุทธทาส (ตอน 4) รูปภาพ 1
  • Title
    ตามรอยเท้าพุทธทาส (ตอน 4)
  • เสียง
  • 12371 ตามรอยเท้าพุทธทาส (ตอน 4) /upasakas-ranjuan/2023-11-14-03-16-49.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
อุบาสิกา คุณรัญจวน อินทรกำแหง
ชุด
ตามรอยเท้าพุทธทาส
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • ธรรมสวัสดีค่ะ

    วันนี้ก็จะยังคงพูดเรื่องของตามรอยเท้าท่านอาจารย์ต่อไปนะคะ คราวที่แล้วเราก็พูดว่าถ้าเราจะดูจะสังเกตว่า ท่านอาจารย์คิดอย่างไร พูดอย่างไร ทำอย่างไร เราจะดูที่ตรงไหน ก็ดูจากหนังสืองานนิพนธ์ของท่าน เช่น ๑๐ ปีในสวนโมกข์ เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา เป็นต้น นอกจากนั้นก็ดูว่าสภาพแวดล้อมทั่วไปของสวนโมกข์ท่านอาจารย์ได้สร้างสวนโมกข์ขึ้นมาอย่างไร มีอะไรบ้างในสวนโมกข์ที่ท่านสร้างขึ้น คราวที่แล้วที่กล่าวถึงก็มี เช่น ท่านทำหินโค้งให้เห็นว่าในสมัยพุทธกาลนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระพุทธสาวก ตลอดจนกระทั่งอุบาสกอุบาสิกาก็ล้วนแล้วแต่ศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติธรรมกันที่พื้นดินทั้งนั้น เพราะฉะนั้นท่านก็สร้างหินโค้งขึ้นมาให้เป็นสิ่งที่สามารถดูได้เป็นตัวอย่างว่า ในสมัยพุทธกาลนั้นท่านได้ใช้กิจวัตรประจำวันของท่านที่พื้นดินนั้นด้วยวิธีไหนและอย่างไร นอกจากนี้ก็พูดถึงโรงมหรสพ พูดถึงสระนาฬิเกร์ หรือพูดถึงโรงปั้น ตลอดจนกระทั่งการสร้างธรรมชาติให้มันเกิดขึ้นในสวนโมกข์ อย่างไรก็ดี สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เราพูดมานี้นะคะ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่แสดงเพื่อให้ทราบว่า ท่านอาจารย์พุทธทาสนั้นมุ่งส่งเสริมการพัฒนาปัญญาให้เกิดขึ้น แก่พุทธบริษัทที่สนใจจะศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรม แล้วเท่ากับเป็นการเน้นให้มองเห็นอีกว่า เรื่องของพุทธศาสนานั้นเป็นพุทธศาสตร์ เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นพุทธศาสตร์การจะศึกษาธรรมปฏิบัติธรรมจะละเลยการใช้ปัญญาเพื่อสอดส่อง แล้วก็มองตรวจค้นพบเพื่อให้พบว่า สิ่งที่พระองค์ทรงสอนนั้นนะจริงๆ นะคืออะไร อย่างไร แล้วจะค้นพบได้ด้วยวิธีใด

    ฉะนั้น ก็เท่ากับว่าท่านอาจารย์นั้นได้พยายามที่จะชี้ให้เห็นว่า ถ้าศึกษาธรรมะปฏิบัติธรรมะแล้วไม่ใช้สติปัญญาที่จะขบคิด เพื่อให้แหลมคมให้ยิ่งขึ้น ก็ยากที่จะเข้าถึงสัจธรรม ที่พระองค์ได้ทรงตรัสเอาไว้นะคะ ทีนี้นอกจากว่าจะดูว่าท่านอาจารย์ได้สร้างสวนโมกข์ขึ้นมาอย่างไร ในลักษณะใดแล้ว อีกอย่างหนึ่งที่จะชี้ไปถึงหรือเป็นดัชนีชี้ให้เห็นถึงความคิดของท่านอาจารย์ว่า ท่านได้คิดอะไรและอย่างไร ก็จะดูได้ที่ปณิธาน ๓ ประการของท่านอาจารย์ ซึ่งทุกท่านทราบแล้วใช่ไหมคะ ว่าปณิธาน ๓ ประการที่ท่านอาจารย์ได้ตั้งเอาไว้นี่เพื่ออะไร อย่างเช่น .. จะดึงพุทธศาสนิกชนหรือศาสนิกของศาสนาใดก็ตามให้เข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตน .. อันที่ ๒ .. ก็จะสร้างความสัมพันธ์ความเข้าใจอันดีต่อกันในระหว่างศาสนาต่างๆ ทุกศาสนา พูดง่ายๆ ก็ว่าชวนกันมาเป็นเพื่อนกัน แทนที่จะมาแข่งขันกันว่าศาสนาไหนศาสนานั้น ดีกว่าศาสนานี้หรือศาสนาโน้น จริงกว่าศาสนานั้น ไม่มีประโยชน์อะไร สู้มาทำความเข้าใจกัน แล้วก็ดูว่าแต่ละศาสนานั้นมีสิ่งดีที่เป็นแก่นธรรมในการสอนแก่สาวกของตนอย่างไร แล้วก็นำมาแลกเปลี่ยนกันแล้วก็มาร่วมมือกันจรรโลงให้เป็นสิ่งที่เป็นแก่นสาร เป็นการส่งเสริมการพัฒนาชีวิต นำพุทธบริษัทหรือศาสนิกในศาสนาอื่นให้เข้าถึงความสงบ ความเย็นยิ่งขึ้นจะมิดีกว่าหรือ ท่านอาจารย์เน้นในการที่จะสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน และ .. ประการที่ ๓ .. ก็คือการดึงเพื่อนมนุษย์ไม่ว่าชาติใดศาสนาใดให้ออกมาจากการเป็นทาสของวัตถุนิยม ก็เชื่อว่าทุกคนทราบแล้วนะคะว่า โทษภัยอันร้ายกาจของวัตถุนิยมนั้นคืออะไรและก็อย่างไร แล้วก็มันประหัตประหารความสุข มันประหัตประหารความสงบเย็น หรือสันติสุขของมนุษย์นี่ได้อย่างรุนแรงเพียงใด เราเห็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมทุกวันนี้ หรือชีวิตของคนเราทุกวันนี้ ที่ร้อนรนเพราะการที่จะติดตามให้ทันความก้าวหน้าของวัตถุนิยม หรือทางเทคโนโลยีอย่างชนิดที่ว่าไม่คำนึงถึงหรอกว่า สามารถจะติดตามได้มากน้อยแค่ไหน ก้มหน้าก้มตาตะบึงที่จะติดตาม ที่จะเข้าถึง จะให้เป็นคนที่หนึ่ง ที่เข้าถึงเทคโนโลยีที่ใหม่ที่สุดให้จงได้

    เพราะฉะนั้น ท่านอาจารย์ก็ได้มองเห็นแล้วว่าปณิธาน ๓ ประการ ควรที่จะยิ่งย้ำให้เกิดขึ้นให้ได้ เพื่ออะไรละ ก็เพื่อว่าถ้าสามารถทำได้สำเร็จทั้ง ๓ ประการ ผลที่เกิดขึ้นคืออะไร ผลที่เกิดขึ้นก็คือสันติสุขที่จะเกิดขึ้นแก่บุคคล และก็สันติภาพที่จะเกิดขึ้นแก่สังคมและก็แก่โลกโดยส่วนรวม ทีนี้ใน ๓ ข้อนี่นะคะ ถ้ามาพิจารณาดูแล้วอะไรสำคัญกว่าอะไร พูดไม่ได้ว่าอะไรสำคัญกว่าอะไร เพราะมีความสำคัญเหมือนกันทั้ง ๓ ข้อ แต่ข้อไหนละจะเป็นข้อที่เป็นข้อต้น ในที่เป็นข้อต้นนี่ถ้าจะนึกดู สำหรับในทางพุทธศาสนาก็มีความรู้สึกว่า ข้อที่ ๑ การที่จะต้องเข้าถึงหัวใจของพุทธศาสนานี้ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ทำไมถึงสำคัญ ก็เพราะเหตุว่าหัวใจของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนสูงสุดของพระพุทธศาสนา เพื่อให้พุทธสาวกหรือพุทธบริษัทสามารถเข้าถึงความสุขสงบเย็นที่แท้จริง เข้าถึงความอยู่เหนือความทุกข์ได้ มันอยู่ที่ตรงไหน ก็อยู่ตรงที่สามารถมองเห็นธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา คือทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นอนัตตาทั้งสิ้น ถ้าหากว่ามองไม่เห็นว่าเป็นอนัตตา มองเห็นเป็นอัตตาคือตัวตนไปเสียทุกอย่าง อะไรตามมา สิ่งที่ตามมาก็คือความยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นนั่นเป็นพี่นั่นเป็นน้อง นั่นเป็นของฉันบ้านของฉัน ที่ทำงานของฉัน ทรัพย์สมบัติของฉัน อะไรๆ ของฉัน แล้วผลที่ตามมาอีกคืออะไร ความห่วงความหวง ความกีดกัน ความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในสิ่งเหล่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดอาการอย่างนี้ขึ้นมานะคะ เกิดอาการความเป็นเจ้าของขึ้นมา สิ่งที่ตามมาก็คือว่าต้องต่อสู้กันแล้วละ ต้องต่อสู้ต้องชิงชัยกัน เพื่อจะเอาชนะ แล้วก็รักษาสิ่งที่เป็นของฉันนั้นให้คงอยู่ ไม่ให้ขาดหายไปไหนได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน จะต้องศึกษา จะต้องต่อตีเพื่อจะเอาไว้ให้ได้

    เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าพุทธบริษัทสามารถเข้าถึงความเป็นอนัตตา มองเห็นชัดจากการศึกษาและปฏิบัติ ศึกษาโดยปริยัติแล้วก็นำมาปฏิบัติ แล้วก็มองเห็นจนเข้าถึง จริงๆ แล้วไม่มีอะไร..ไม่มีอะไรที่จะเป็นตัวตนให้ยึดมั่นถือมั่นเป็นของเราจริงๆ ได้เลยสักอย่างเดียว ถ้าเห็นชัดประจักษ์ใจเข้าถึงหัวใจของพุทธศาสนาได้ในลักษณะเช่นนี้นะคะ ผลที่ตามมาคืออะไร ทุกคนก็คงทราบ เมื่อมองเห็นแล้วว่าธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา แล้วตัวเราละ..ตัวที่เรียกว่าเป็นตัวฉัน หรือเป็นคนเป็นมนุษย์นี่มันก็เป็นสิ่งๆ หนึ่งเหมือนกัน และสิ่งๆ หนึ่งนี้อยู่ในขอบเขตหรืออยู่ในขอบข่ายของการที่จะเรียกว่าเป็นธรรม..ธรรมะ เพราะธรรมะนี่แปลว่า “สิ่ง” เพราะฉะนั้นว่าคนนี่ก็คือสิ่งๆ หนึ่ง แล้วก็ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา สิ่งๆ นี้ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งสิ้น จะเป็นก้อนหินก้อนกรวด หรือภูเขา หรือแม่น้ำ หรือว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่ หรือสิ่งที่เล็กๆ จะเป็นคนเป็นสัตว์ เป็นอะไรก็ตามที ก็ล้วนแล้วแต่เป็นอนัตตาเช่นเดียวกัน นี่ไม่ใช่เพียงพูดนะคะ..ไม่ใช่เพียงพูด ไม่ใช่เพียงคำพูด ไม่ใช่เพียงความรู้จากการศึกษาหรือจากทฤษฎี แต่ได้นำมาฝึกฝนแล้วก็ลองปฏิบัติ จนกระทั่งเห็นชัดจริงๆ แล้วไม่มีอะไรเลยนะที่จะเป็นตัวตนให้ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีอะไรเลยเป็นเราแล้วก็เป็นของเรา หรือเป็นเขาเป็นของเขา..ไม่มี นอกจากความเข้าใจผิดที่เกิดจากความหลงผิดด้วยอวิชชาเท่านั้นเอง ถ้ามองเห็นตรงนี้ก็จะเห็นทีเดียวว่า ความคุ้มค่ามหาศาลของการที่เห็นตรงนี้ก็คืออะไร ก็คือที่จะสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง มันล้วนแล้วแต่ว่างจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน ไม่มีอะไรจริงมันเป็นแต่เพียงสิ่งสมมุติ สมมุติขึ้นตามภาษาของทางโลก ตามความเข้าใจของทางโลกแค่นั้นเอง ไม่มีอะไรมากกว่านี้อีก

    เพราะฉะนั้น เมื่อไม่มีอะไร..แล้วจะมีตัวตนที่ไหนละคะ ไปต่อล้อต่อเถียง ไปต่อตีไปขัดแย้ง ไปต่อต้านหรือไปทะเลาะกับศาสนาโน้นศาสนานี้ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาอะไรทั้งนั้น เพราะมองเห็นแล้วว่าไม่มีอะไรที่จะมาต่อสู้กัน แล้วก็จะเอาตัวอะไรละไปเป็นทาสของวัตถุนิยม ไปยึดมั่นถือมั่นอยู่กับวัตถุนิยม ว่าฉันจะต้องได้สิ่งนั้นฉันจะต้องได้สิ่งนี้ ที่มันเกิดขึ้นใหม่ มิฉะนั้นฉันจะเป็นคนคร่ำครึล้าสมัย ก็พูดได้ว่าถ้าเข้าถึงหัวใจของศาสนาของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธศาสนาแล้วก็จะช่วยทำให้การปฏิบัติในปณิธานข้อที่ ๒ คือการทำความกลมเกลียวสนิทสนม ทำความเข้าใจอันถูกต้องต่อกันในระหว่างศาสนาต่างๆ เป็นไปได้โดยง่ายดายใช่ไหมคะ เมื่อเป็นไปได้โดยง่ายดายก็มีแต่จะเกิดขึ้น ก็ความร่วมมือซึ่งกันและกันที่จะช่วยกันพัฒนาชีวิตคน พัฒนาโลก พัฒนาสังคม ให้เกิดสันติสุข ให้มีสันติภาพโดยทั่วกัน และการที่จะไปหลงติดในวัตถุนิยมต่างๆ หรือความทันสมัยของเทคโนโลยีทั้งหลายก็ตาม ก็ไม่จำเป็น เทคโนโลยีก็ดี วัตถุที่เกิดขึ้นใหม่เพื่อประโยชน์ในการใช้ หรือเพื่อความสะดวกสบายแก่การดำรงชีวิตของมนุษย์ก็ดี เมื่อมันก็ดีเราก็มีหน้าที่เพียงใช้มันเท่านั้นเอง ใช้ตามความจำเป็น ใช้ตามความสมควรแก่เหตุปัจจัย โดยไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นแบบเป็นของเรา เมื่อถึงเวลาที่ต้องปล่อยมันก็จะปล่อยได้โดยไม่ต้องหวงแหวน ไม่ต้องยื้อยุดไม่ต้องติดตาม

    เพราะฉะนั้น ปณิธาน ๓ ประการของท่านอาจารย์นี้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ท่านมุ่งเพื่อส่งเสริมให้เกิดสันติสุขในหมู่มนุษย์ แล้วก็เกิดสันติภาพในส่วนรวม นี่เป็นจุดสำคัญทีเดียว แต่ทีนี้การที่จะเข้าถึงหัวใจของศาสนาของตนนั้น ก็ไม่ใช่ของง่ายใช่ไหมคะ..มันเป็นของยาก ท่านจึงพูดถึงทั้ง ๓ ประการ มาพร้อมๆ กัน พูดง่ายๆ ก็คือว่า ฝึกฝนอบรม ประพฤติปฏิบัติทั้ง ๓ อย่างนี่ไปพร้อมๆ กัน โดยให้มองเห็นว่าวัตถุนิยมที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ตามความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ก้าวไปไกลนี่ เพื่อประโยชน์สุขแห่งความสะดวก ตามความจำเป็นของมนุษย์ที่ต้องการใช้ ให้มองเพียงเท่านั้น ฉะนั้นอะไรที่มันเกินความจำเป็นที่จะต้องใช้ ก็แน่นอนละไม่จำเป็นที่จะต้องไปเดือดร้อนแสวงหา หรือว่ากระเสือกกระสนที่จะแสวงหาเพื่อเอาให้ได้ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องไปทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนลำบากถึงขนาดนั้น ให้เป็นหนี้เป็นสิน ไม่พอใช้ไม่พอกิน ไม่ว่าจะอยู่ในอาชีพไหนทุกๆ วันนี้ ถ้าจะดูแล้วอะไรเป็นต้นเหตุละ ก็เพราะความที่ดิ้นรนที่ตะเกียกตะกาย อยากจะได้วัตถุใหม่อย่างโน้นอย่างนี้ที่เกิดขึ้น และผู้ผลิตเขาก็ยิ่งผลิตมากขึ้น คิดหาวิธีต่างๆ ทำไมจึงทำมากขึ้น ก็แน่ละเป็นอาชีพของเขา เขาก็ต้องคิดทำอะไรต่างๆ ใหม่ๆ ถ้ามิฉะนั้นอาชีพของเขาก็ไม่ก้าวหน้า ความเจริญในทางทรัพย์สิน มันก็จะไม่เป็นไปอย่างที่ต้องการ นั่นหน้าที่ของเขาทำ..ก็ช่างเขา แต่ในหน้าที่ของผู้ใช้นะ ทำไมถึงต้องไปใช้อย่างหน้ามืดตามัว อย่างชนิดที่ตกเป็นทาสของมัน ก็เท่ากับว่าใช้อย่างชนิดไม่ได้ใช้สติปัญญา ไม่ดูเหตุปัจจัยของตนเอง ไม่มีก็ยังกู้หนี้ยืมสินมาใช้ นี่เพราะอะไร ตัณหาความอยากใช่ไหมคะ ผลักดันที่จะให้เกิดขึ้น ให้วิ่งตาม ให้เอาให้ได้ นี่เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง

    ฉะนั้น ปณิธาน ๓ ข้อนี่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อวัตถุนิยมที่มองเห็นได้ง่ายๆ รู้สึกว่าท่านอาจารย์ก็ได้ลงทุนลงแรงในเรื่องนี้ไม่ใช่น้อยเลย ที่จะพูดให้เห็นถึงโทษทุกข์ของการตกเป็นทาสของวัตถุนิยม ตั้งแต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไปจนกระทั่งถึงสิ่งใหญ่ ว่ามันจะนำมาซึ่งความแตกแยก ความบาดหมาง ความเบียดเบียนแย่งชิงซึ่งกันและกัน และผลที่สุดก็คือการทำให้ชีวิตของผู้นั้นถึงแก่การล้มละลาย ล้มละลายตรงไหน ล้มละลายในทางทรัพย์สินก็เห็นง่าย แต่ล้มละลายในทางเป้าหมายของชีวิต เพราะไม่รู้ว่าชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้เกิดมาเพื่อที่จะกระเสือกระสนให้ได้สิ่งของใหม่ๆ ทันสมัย ที่เรียกว่าเป็น Brand Name มาใช้ของตัวเองเท่านั้นหรือ? คุณค่าอยู่ตรงนั้นเท่านั้นหรือ? นี่มานั่งพิจารณาเงียบๆ คนเดียวเวลาสงบๆ ไม่ต้องไปแข่งขันที่จะต้องใช้คู่กับใครหรือในวงการไหน บางคนอาจจะรู้สึกสลดใจ สลดอย่างยิ่งเลยในสิ่งที่ได้กระทำมาที่ผ่านมาแล้ว ด้วยความหลงใหลในวัตถุนิยมถึงขนาดนั้น นี่ถ้าเราหมั่นพิจารณาเราก็จะมองเห็น ฉะนั้นปณิธานข้อที่ ๓ เป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์ก็เน้นมาก และในขณะเดียวกันท่านก็มองเห็นว่า ถ้าหากว่าพุทธบริษัทสามารถเข้าถึงหัวใจของพุทธศาสนาว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา หรือว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่พึงยึดมั่นถือมั่น ที่ว่า..สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ.. เป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ เพื่อจะบอกให้พุทธบริษัททั้งหลายได้รู้ว่า ไม่มีสิ่งใดที่มีค่าควรแก่การยึดมั่นถือมั่นเลยสักอย่าง เพราะยึดมั่นถือมั่นเท่าใดก็ตาม ไม่สามารถจะรักษาไว้ได้ เหนื่อยเปล่า เสียแรงเปล่า เสียความพยายามเปล่า ถ้ารู้ว่ามันไม่มีอะไรตั้งอยู่ได้ตามกฎของไตรลักษณ์ ปล่อยมันออกไป ถ้าสามารถทำได้อย่างนี้ ชีวิตก็จะเกิดความเบาสบาย เป็นชีวิตที่เป็นอิสระ เป็นชีวิตที่เป็นไทแก่ตัวอย่างแท้จริง และความสงบความเย็นก็เกิดขึ้นภายใน โดยไม่ต้องให้ใครมาบอก

    แล้วก็ ถ้าหากว่าเข้าถึงปณิธานข้อที่ ๑ คือ เข้าถึงแก่นหัวใจของพุทธศาสนา และศาสนาของตนได้ ปณิธานข้อที่ ๒ หรือข้อที่ ๓ สามารถจะดำเนินตามหรือเป็นไปได้โดยไม่ยากเลย ทีนี้ท่านอาจารย์ท่านได้ตั้งปณิธานทั้ง ๓ ประการนี้ไว้ เพื่ออะไร ก็อย่างที่ได้กล่าวแล้ว เพื่อมุ่งให้เกิดความสามารถที่จะเข้าใจถึงเรื่องของความทุกข์ จนกระทั่งเห็นเหตุของความทุกข์ แล้วก็ดับความทุกข์นั้นได้ ตราบใดที่ยังไม่เห็นว่าธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ตราบนั้นก็ยังรู้สึกว่าจะต้องยึดมั่นถือมั่น จะต้องมี เอา จะต้องได้ แล้วก็ยอมไม่ได้อยู่นั่นเอง การที่ท่านอาจารย์ได้พูดในสิ่งเหล่านี้ จุดมุ่งหมายก็เพื่อส่งเสริมในเรื่องของความทุกข์และการดับทุกข์ ท่านใช้วิธีหลายอย่างที่จะเจริญรอยตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการบรรยายเรื่องความทุกข์และการดับทุกข์ ด้วยการสร้างสิ่งต่างๆ ที่จะเป็นอุปกรณ์ในการศึกษาธรรมขึ้นในสวนโมกข์ดังกล่าวแล้ว ด้วยการบรรยายธรรมให้เห็นที่มาที่ไปของความทุกข์ แล้วก็เห็นวิธีการที่จะดับความทุกข์ ดังที่ท่านได้อธิบายให้ฟัง แล้วท่านก็มีปณิธาน ๓ ประการ ประกาศก้องไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ให้รู้ว่าเราจะต้องช่วยกัน..ช่วยกันทำให้ปณิธาน ๓ ประการนี้ สัมฤทธิ์ผล เกิดผลในทางปฏิบัติ แล้วเราทั้งหลายนี้ก็จะค่อยๆ ห่างไกลจากความทุกข์ แล้วก็อยู่เหนือความทุกข์ได้ในวันหนึ่ง นี่ท่านพยายามที่จะบอก ให้รู้ในอย่างนี้นะคะ

    ฉะนั้น การตามรอยเท้าท่านอาจารย์ เราก็ดูในสิ่งเหล่านี้ เราเห็นแล้วว่าท่านคิดอย่างไร ท่านพูดอย่างไร ท่านทำอย่างไร จนกระทั่งองค์ท่านเองเมื่อท่านพูดอย่างใด ธรรมะในข้อใดที่ท่านนำมาพูด บัดนี้ก็เป็นที่ที่เรียกว่าได้รับการยอมรับเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็ได้รับการนำมาใคร่ครวญคิดพิจารณา เหมือนอย่างเช่นคำพูดว่าทำหน้าที่ให้ถูกต้อง เกิดมาเป็นคนนี่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหน้าที่ และท่านก็ให้คำสรุปย่อๆ ของธรรมะว่า .. ธรรมะคือหน้าที่ .. ถ้าหากว่าผู้ใดปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเต็มฝีมือความสามารถอยู่เสมอ เพื่อประโยชน์สุขที่จะเกิดขึ้น เพื่อความสำเร็จแก่การงาน ประโยชน์สุขแก่ผู้ที่ร่วมงานและผู้ที่เกี่ยวข้อง .. ผู้นั้นคือผู้มีธรรม .. ไม่ใช่หมายความว่าจะต้องมาบวชเสมอไป หรือไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้ที่เข้าวัดรับศีลฟังเทศน์ทำบุญทำทานเสมอไป แต่ว่าสามารถที่จะทำหน้าที่ที่รับผิดชอบอยู่นั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด จนสุดความสามารถของตน นี่คือผู้มีธรรม ท่านก็พยายามที่จะพูดให้เข้าใจอย่างง่ายๆ สั้นๆ .. ธรรมะคือหน้าที่ .. รวมความก็คือว่าสิ่งใดที่จะทำให้พุทธศาสนิกชนนั้น ประพฤติปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างบริบูรณ์ ได้อย่างครบถ้วน ท่านก็พยายามคิดศิลปะต่างๆ ที่จะนำมาสอน แล้วก็มาบอกเหมือนดังตัวอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว ทีนี้ก็ควรจะดูต่อไปว่า แล้วท่านอาจารย์ทำได้อย่างไรนะ ท่านก็ไม่ใช่ผู้ที่เรียนรู้หรือจบปริญญาชั้นสูงอะไรมาเลย ท่านทำได้อย่างไร ท่านคิดได้อย่างไร ท่านจึงได้กระทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ได้อย่างกว้างขวาง ถึงแม้จะไม่สัมฤทธิ์ผล ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ก็เท่ากับว่าท่านเป็นผู้ที่ปลุก..ปลุกให้พุทธบริษัทตื่นขึ้น แล้วก็มองศึกษาพุทธศาสนา

    ในอีก จุดหนึ่งหรือประเด็นหนึ่ง ที่จะตรงเข้าไปสู่การพัฒนาปัญญาโดยตรงเลย ก็น่าจะมาดูว่า จากความรู้พื้นเดิมในทางการศึกษาวิชาการของท่านอาจารย์ เพียงชั้นมัธยมปีที่ ๓ เท่านั้นเอง ท่านไม่ได้จบปริญญาที่ไหน แต่ทีนี้ถ้าหากผู้ใดไปสนทนากับท่าน ก็อยากจะกล่าวว่าท่านสนทนาด้วยได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศิลปะ เรื่องประวัติศาสตร์ เรื่องโบราณคดี เรื่องวิทยาศาสตร์ เรื่องอื่นๆ ท่านสนทนาได้ทุกเรื่อง ท่านทำอย่างนี้ได้อย่างไร ก็ลองย้อนไปศึกษาวิธีดำเนินชีวิตของท่าน ก็จะเห็นได้ว่าที่เด่นมากอย่างหนึ่งก็คือว่า ท่านอาจารย์นี่เป็นนักอ่านอย่างหาตัวอย่างจับได้ยากเลย ท่านเป็นนักอ่านจริงๆ ไปดูห้องสมุดที่ท่านสะสมเอาไว้ตั้งแต่ท่านยังหนุ่ม คือยังอายุน้อยนะจนกระทั่งถึงท่านเข้าสู่วัยผู้ใหญ่..มัชฌิมวัย ห้องสมุดของท่านสะสมหนังสือ รวบรวมหนังสือวิทยาการในสาขาต่างๆ อย่างชนิดที่เราๆ สมัยนี้ก็เรียนจบมหาวิทยาลัยกัน แล้วก็ปริญญาโน้นปริญญานี้ แต่เราก็มักจะอยู่เฉพาะปริญญาที่เราเรียน คือเข้าใจสนใจ แล้วก็ถ้าจะค้นคว้าต่อก็เฉพาะปริญญาที่เราเรียน คืออยู่ในวงแคบ แต่สำหรับท่านอาจารย์นั้นท่านมองกว้างขวางหมด ท่านมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี่ต้องมีความสัมพันธ์กัน มันไม่มีอะไรโดดเดี่ยวเฉพาะตัวมันหรอก มันมีความสัมพันธ์กันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นท่านจึงเป็นทั้งนักอ่าน..นักอ่านอย่างยอดเยี่ยม แล้วในการอ่านของท่านอาจารย์นั้นท่านไม่ได้อ่านลวกๆ อย่างที่นักอ่านสมัยนี้ส่วนใหญ่ทำกัน ถามว่าอ่านหนังสือเรื่องนั้นหรือยัง อ่านแล้ว แล้วถ้าไปถามว่าแล้วมันเป็นอย่างไรเรื่องนั้นนะ ก็มันก็ดีนะ ดีอย่างไร มันก็ดีนะ จะตอบซ้ำอยู่แค่นั้นส่วนมาก แต่ถ้าจะให้วิเคราะห์วิจารณ์ว่า ดีนะดีอย่างไร แล้วมองให้เห็นสิ ชี้ให้เห็นประเด็นจุดอย่างที่เรียกว่าใช้วิจารณญาณ ยากมากเลยสำหรับนักอ่านทั่วๆ ไปในปัจจุบันนี้นะคะ มักจะอ่านอย่างลวกๆ อ่านไว้เพียงนับหัวหนังสือ เพราะสมัยนี้นี่เป็นสมัยที่น่าเสียดาย แล้วก็ใจหาย ตรงไหนที่รู้สึกใจหาย ก็คือเป็นสมัยของปริมาณ เอาปริมาณเข้าว่าไว้ก่อนไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งนั้น ส่วนคุณภาพนะทิ้งเอาไว้ทีหลังไม่สนใจ แต่ท่านอาจารย์เป็นนักอ่านที่มีคุณภาพ เหมือนดังที่ท่านได้กล่าวเอาไว้ในหนังสือ คือในจดหมายที่ท่านเขียนถึงอาจารย์กรุณา กุศลาศัย ตั้งแต่ตอนที่เป็นสามเณรอยู่ที่ประเทศอินเดียนะคะ

    แล้วท่านก็มีการติดต่อกัน มีการสนทนาถึงเรื่องปัญหาส่วนตัว คืออาจารย์กรุณาจะเขียนมาเรียนถามท่าน แล้วท่านอาจารย์ก็จะขอความร่วมมือจากอาจารย์กรุณาให้ไปช่วยซื้อหาหนังสือต่างๆ ที่มีขายในอินเดีย ก็เป็นหนังสือภาษาอังกฤษซึ่งจะหาซื้อได้ง่ายกว่าที่ท่านจะหาซื้อเองที่ในเมืองไทย แล้วท่านก็บอกอาจารย์กรุณาว่าการเป็นนักอ่านนี่มันต้องอ่านให้..อย่างชนิดตีให้แตกเลย ตีหนังสือนั้นนะให้แตกให้ทะลุ อ่านให้รู้ว่าผู้เขียนที่เขาเขียนหนังสือเรื่องนี้ขึ้นนะ เขามีจุดมุ่งหมายอย่างไร เขาเขียนเพื่ออะไร ต้องจับให้ได้ จับทิศทางของการเขียนให้รู้จัก เพราะฉะนั้นท่านจึงบอกว่าตีให้แหลกอ่านให้ทะลุ ไม่ใช่ทะลุหนังสือขาด แต่ทะลุความหมายที่ผู้เขียนได้เขียนกล่าวเอาไว้ในหนังสือนั้น เพราะฉะนั้นด้วยการอ่านอย่างชนิดเป็นนักอ่านอย่างจะเรียกว่าอะไร..อ่านอย่างถึงที่นะคะ อ่านจนถึงที่สุด อ่านแล้วสรุปได้ทีเดียวว่า หนังสือเรื่องนี้จะมีคุณค่ามากน้อยเพียงใดและอย่างไร นี่อันหนึ่งที่เห็นชัดก็คือ เป็นนักอ่าน แล้วก็อ่านทุกอย่างไม่ใช่อ่านอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะเท่านั้น ท่านก็มักจะพูดว่าความรู้น้อย ท่านมักจะพูดเป็นเชิงถ่อมองค์ท่าน ท่านมีความรู้น้อย เพราะฉะนั้นในความสำนึกว่าท่านรู้น้อยนี่ท่านจึงต้องเรียนให้มาก และการเรียนนอกโรงเรียนนี่หรือนอกสถาบัน หลังจากที่จบแล้วนี่เป็นการเรียนที่สำคัญและมีความหมายมากทีเดียว เพราะเป็นการเรียนด้วยความสมัครใจ..ใช่ไหมคะ ไม่ใช่เป็นการเรียนที่ถูกบังคับเหมือนตอนที่เราเรียนในสถาบันเพื่อปริญญาใดปริญญาหนึ่ง ในตอนนั้นนะ..ก็จริงนะเราสนุกที่จะเรียนหรือเราชอบวิชานี้เราอยากได้ปริญญานั้น แต่มันก็มีอะไรบังคับอยู่ในตัว แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรบังคับ แต่ท่านคิดว่าท่านต้องเรียน ต้องเรียนเพื่อรู้ เพื่อรู้แล้วก็เพื่อทำให้ชีวิตในทางการศึกษาเต็มบริบูรณ์ ไม่ใช่พร่องๆ ขาดๆ เกินๆ ไม่ใช่อย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น ก็เรียกว่าท่านเป็นนักศึกษาอย่างหาตัวจับได้ยาก เป็นนักศึกษาที่เรียนอะไรต้องเรียนให้รู้จริง ตีอะไรแล้วต้องตีให้แตก จับอะไรแล้วต้องจับให้มั่นคั้นให้ตาย อย่างที่เขาพูดกันในสมัยก่อนนั้น แต่มั่นคั้นให้ตายของท่านนี้ก็คือให้ได้ประโยชน์ ได้ประโยชน์จริงๆ จากการอ่านนั้น แล้วท่านก็นำมาใช้ประโยชน์จริงๆ เหมือนอย่างเวลาที่ท่านไปที่ประเทศอินเดีย รู้สึกท่านก็อยู่หลายเดือนเลย แล้วเวลาที่ท่านไปนี่ ท่านไม่ได้ไปเฉยๆ แล้วก็ไปหาไกด์พาไป เป็นผู้นำพาไป แต่ท่านเตรียมตัวก่อนที่จะไป ศึกษาเรื่องของประเทศอินเดียอย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุม ในเรื่องทั้งศาสนา ทั้งวัฒนธรรม ทั้งอื่นๆ และนอกจากนั้นท่านยังเรียกว่า เหมือนกับมีแผนที่ คิดค้นจนกระทั่งเหมือนกับท่านมีแผนที่ของประเทศอินเดียอยู่ในใจท่าน ท่านรู้ไปตรงนี้จะไปที่ไหน จะไปดูอะไรที่ไหนอย่างไร เพราะฉะนั้นไปถึงประเทศอินเดีย ท่านเป็นไกด์ของตัวท่านเองได้ ไม่ต้องมีผู้ใดมาเป็นไกด์หรือเป็นผู้นำ บางทีท่านกลับจะไปแนะนำกับผู้อื่นเสียอีกด้วยซ้ำไป นอกจากนั้นแล้ว นอกจากไม่ต้องมีไกด์นำทางยังไม่ต้องมีล่ามมาเป็นผู้พูด คือมาเป็นผู้แปลในระหว่างที่ท่านสนทนากับคนอินเดีย เพราะท่านสามารถใช้ภาษาบาลีได้ พูดได้กับผู้ที่อยู่ในที่เป็นเจ้าของภาษา ทั้งๆ ที่ท่านอาจารย์เป็นเปรียญแต่เปรียญแค่ ๓ ประโยคเท่านั้นเอง ท่านไม่สอบไปถึง ๔ ถึง ๙ ประโยค เพราะท่านมองเห็นว่าการที่จะแปลภาษาบาลีออกเป็นภาษาไทย ท่านมีความประสงค์ว่า เมื่อจะแปลอะไรออกมาสักอย่างต้องแปลให้เขาอ่านแล้วรู้เรื่อง คือ คนอ่านที่ไม่รู้ภาษาบาลีเลยนี่ต้องอ่านแล้วรู้เรื่อง อ่านแล้วเข้าใจ อ่านแล้วก็เข้าถึงความหมายของเรื่องนั้นได้เป็นอย่างดี

    ฉะนั้น ท่านก็ไม่ติดที่จะต้องแปลตามศัพท์หรือว่าตามตัว ศัพท์ว่าอย่างนี้จะต้องแปลว่าอย่างนี้ เพะๆๆๆ แต่ท่านรู้ศัพท์ รู้ความหมาย รู้คำแปล แต่แล้วก็มาแปลเพื่อให้อ่านเข้าใจ ให้คนอ่านนี่อ่านเข้าใจ อ่านรู้เรื่อง แต่ทีนี้เมื่อความพอใจในการแปลของท่านเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อ่าน กับการที่จะสอบ วิธีการสอบ วิธีการตีความหมาย หรือประเมินให้คะแนน ไม่ค่อยจะเหมือนกัน ท่านก็เลยรู้สึกมันก็ไม่จำเป็นอีกนั่นแหละ ที่จะต้องไปสอบ จนกระทั่งได้ใบประกาศมาว่า ท่านนี่เป็นเปรียญชั้นนั้นชั้นนี้ เพราะว่าหลังจากที่ท่านจบแค่เปรียญ ๓ ประโยค ท่านหยุดหรือเปล่า ท่านไม่ได้หยุด ท่านคงเรียนต่อไป ศึกษาต่อไปด้วยองค์ท่านเอง แล้วก็ศึกษาพิเศษกับท่านผู้รู้คนอื่น โดยไม่ต้องเป็นการศึกษาอย่างเป็นรูปแบบ อาจจะเรียกว่านอกรูปแบบ แต่นอกรูปแบบนี่ศึกษาด้วยความรัก ด้วยความสนใจใส่ใจจริง และท่านก็ได้ผลจริง เพราะฉะนั้นคำแปลจากภาษาบาลีเป็นภาษาไทย ที่ว่าได้ผลจริงไหม แล้วก็ผู้อ่านรู้เรื่องจริงไหม ก็ขอเชิญทุกท่านนี่ไปพิสูจน์ได้จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ ชุดจากพระโอษฐ์ ที่เรียกว่าชุดจากพระโอษฐ์ คือธรรมโฆษณ์ของท่านอาจารย์ตอนนี้ที่ได้จัดทำออกมา ก็มี ๗๐ กว่าเล่มแล้ว และก็ยังจะมีอีกต่อไป แม้ท่านอาจารย์ไม่อยู่แล้ว เพราะว่าธรรมะที่ท่านได้บรรยายไว้ได้บอกว่ายังเหลืออีกเยอะ แต่ทีนี้ในชุดธรรมโฆษณ์ทั้งหมดนี่ ก็มีอยู่ชุดหนึ่งที่เรียกว่าชุดจากพระโอษฐ์ คำว่าจากพระโอษฐ์นี่ คือพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ก็คงทราบกันแล้วนะคะ

    ท่านอาจารย์ก็ได้เลือกเอาคือได้อ่านนะ สมมุติว่าท่านตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าให้คนทั้งหลายฟัง แต่ทีนี้แทนที่ท่านจะอ่านพระไตรปิฎกทั้งหมด แล้วท่านก็จับความเอา แล้วก็มาเรียบเรียงตามคำพูดของท่าน ท่านไม่ทำอย่างนั้น ซึ่งง่ายกว่านะคะถ้าท่านจะทำอย่างนั้น..ง่ายกว่า แต่ท่านได้ใช้ความอุตสาหะพยายามที่จะค้นจากพระไตรปิฎกฉบับบาลีตั้งแต่ต้นจนจบ ท่านคงค้นทบทวนไปมาหลายครั้งทีเดียว แล้วก็ดูให้เห็นว่าตรงไหนที่พระพุทธเจ้าได้ตรัส หรืออีกนัยหนึ่งก็คือได้พูด อาจจะพูดกับพระสาวกบ้าง หรือพูดกับบุคคลในศาสนาอื่นที่เข้ามาหาท่าน เข้ามากราบท่านแล้วก็มาสนทนาธรรมกัน ท่านก็อุตส่าห์เก็บมาจากที่ตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้าง ซึ่งไม่ใช่ของง่าย เพราะกระจัดกระจายอยู่ตลอดพระชนม์ชีพของพระพุทธเจ้า ท่านก็เก็บมาแล้วท่านก็..ถ้าหากว่านั่นเป็นอันดับหนึ่งนะคะ ที่ว่าจากพระโอษฐ์อันดับหนึ่งคือ จากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าโดยตรง ทีนี้อันดับสองก็คือ จากพระอานนท์ ซึ่งเราก็ทราบแล้วว่าพระอานนท์เป็นพระพุทธอุปัฏฐาก แล้วก็เป็นพระอุปัฏฐากที่มีความทรงจำแม่นยำมาก แล้วก็ส่วนใหญ่เมื่อใครมาเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าจะตรัสกันในเรื่องอะไร พระอานนท์ท่านก็จะอยู่ด้วย..ท่านก็ฟัง

    แล้วก็อาจจะมีผู้มาเรียนถามท่านพระอานนท์ ท่านก็จะเล่าให้ฟัง..ซึ่งก็เชื่อได้ว่าเป็นคำเล่าที่ถูกต้อง อย่างนี้ท่านอาจารย์ก็รวบรวมมาเป็นชุดจากพระโอษฐ์ หรือขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นหนังสือธรรมโฆษณ์ที่มีคุณประโยชน์อย่างมากเลยต่อผู้ที่สนใจในการที่จะประพฤติปฏิบัติ รักษาชีวิตพรหมจรรย์ให้งดงามอยู่เสมอ ให้พ้นจากความด่างพร้อยด้วยประการทั้งปวง น่าจะอ่านขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์นี่ ให้..ก็บอกว่าให้ทุกวันนะคะ ต้องอ่านทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่งนี่..บรรลุถึงจุดที่ไม่ต้องอ่าน แต่เมื่อยังไม่บรรลุถึงจุดนั้น ควรจะอ่านทุกวันเลย เพราะในขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์นี่ ก็เท่ากับว่าท่านตรัสสิ่งใดมา คำตรัสนั้นเป็นขุมทรัพย์ของผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์ หรือเป็นอุบาสกเป็นอุบาสิกา หรือในสมัยพุทธกาลมีภิกษุณี ก็จะมีคำตรัสอยู่ ๒ อย่าง ที่เสมือนกับท่านบอกขุมทรัพย์ให้ ถ้าประพฤติอย่างนี้นะก็เหมือนกับว่าเรานี่ได้ขุมทรัพย์ลายแทงที่มีคุณค่าอย่างยิ่งในชีวิต ถ้าไม่ประพฤติอย่างนี้นะ เราก็จะไม่ตกออกไปในหล่ม แต่เรายังคงจะอยู่กับขุมทรัพย์อย่างนี้อยู่ตลอดไปอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงแบ่งออกเป็น ๒ ตอน ตอนหนึ่งก็เรียกว่าเป็นคำตรัสจากพระโอษฐ์ในลักษณะของการขนาบ ขนาบก็คือดุว่านั่นแหละค่ะ เมื่อเห็นพุทธสาวกได้ประพฤติตนในทางที่ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ด้วยความพลั้งเผลอหรือด้วยความตั้งใจอะไรก็ตามที ก็ตรัสแบบขนาบ คือดุเอาๆ อย่างแรงๆ เลย อย่างชนิดที่ไม่เชื่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสถึงขนาดนั้นนะคะ

    ส่วนอีกตอนหนึ่งก็จะเป็นว่า พระองค์ได้ตรัสในลักษณะชี้ชวนแล้วก็วิงวอน คือพูดง่ายๆ ว่า ชวนกล่อมเกลาใจ ชักชวนให้อ่อนโยนให้เข้ามาอยู่ในหนทางธรรม อย่างไพเราะอย่างน่าฟัง นี่ท่านอาจารย์ก็รวบรวมมา ตรงไหนที่เป็นคำที่ท่านอาจารย์อ่านแล้วรู้สึกว่า โอ..นี่เป็นคำขนาบเพื่อจะตะล่อม ตะล่อมผู้ที่กำลังออกนอกทาง เฉไฉออกไปให้กลับเข้ามาสู่ทางตรง อยู่ในร่องในรอยของการประพฤติปฏิบัติ แล้วก็ถ้าเห็นว่าผู้ใดคงจะมีแววนะคะ พระองค์คงจะมองแล้วคงจะมีแวว แล้วก็ไม่น่าที่จะพลั้งพลาด หรือไม่น่าจะย่อท้อถอยหลัง ก็จะชี้ชวนให้เห็นคุณประโยชน์ของการประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์ ว่ามีคุณค่าอย่างไร ก็จัดว่าเป็นหนังสือที่ไพเราะมากเลย น่าอ่านมาก นี่ก็คือจากพระโอษฐ์ เพราะฉะนั้นนี่ก็ท่านอาจารย์ทำได้อย่างไรนะคะ งานของท่านมหาศาล ที่ท่านทำงานอยู่นะ ก่อสร้างอาคารสถานที่ต่างๆ ในสวนโมกข์ ด้วยกำลังของพระของญาติโยมที่มาช่วยงาน โดยไม่มีใคร ไม่มีสถาบันใดมาอุดหนุนหรือมาช่วยเหลือด้วยกำลังทรัพย์ หรือด้วยกำลังแรง หรือด้วยอะไรทั้งหลาย ทำไปเองนั่นอย่างหนึ่ง เมื่อมีเงินท่านก็ทำไปพอเงินหมดท่านก็หยุด ไม่เคยขอร้อง ไม่เคยเรี่ยไร ไม่เคยบอกกล่าวมาช่วยทำบุญเถอะจะได้อย่างนั้นอย่างนี้..ไม่เคยมี ที่สวนโมกข์ก็ไม่มีตู้เรี่ยไร ไม่มีการบอกบุญ นี่ก็ท่านก็ทำในด้านการปรับปรุงอาคารสถานที่ จนกระทั่งสวนโมกข์นี่ก็เป็นวัดที่จะจัดว่ามีบริเวณสง่างาม ร่มรื่น เยือกเย็นผ่องใสด้วยธรรมชาติ ที่ท่านยังคงรักษาไว้เพราะท่านเคยพูดว่าถ้าจะตัดต้นไม้สักต้นหนึ่งนี่ แหม..รู้สึกเหมือนกับเรานี่กำลังฆ่าลูกสักคน นี่คือความรักธรรมชาติ ท่านถึงได้มีธรรมบรรยายที่เชิญชวนใครๆ ว่าให้เรามาเป็นเกลอของธรรมชาติ มาเป็นเพื่อนกับธรรมชาติเถอะ

    ถ้าเราเป็นเพื่อนกับธรรมชาติแล้วละก็..อยากจะใช้คำพูดของตัวเองว่า ชีวิตจะปลอดภัย จะอยู่กับความเย็น ไม่ต้องอยู่กับความร้อนเลย เพราะธรรมชาติไม่เคยทำร้ายใคร ก็อาจจะมีคนบอก..ไม่ทำร้ายอย่างไร โอ้ย..ฝนตกน้ำท่วม ภัยแล้ง ลำบากออกจะตาย ก็ย้อนหลังว่าใครทำใครก่อนนะ ขอถามว่าใครทำใครก่อน คนเรานี่แหละทำร้ายธรรมชาติกันใช่ไหม ตัดป่าต้นไม้ ต้นน้ำลำธารต่างๆ นานานี่เยอะแยะมากมายใช่ไหม ธรรมชาติก็สุดที่จะทนทานแล้วตอนนี้ มันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นท่านอาจารย์ก็สร้างคือรักษาธรรมชาติของป่าเอาไว้ และก็สร้างอาคารสถานที่เพื่อที่จะให้เป็นที่พักที่อาศัย ทั้งของฝ่ายพระภิกษุและก็ของฝ่ายญาติโยมที่จะไปพักปฏิบัติธรรม นอกจากนั้นก็ยังเป็นอาคารสถานที่เพื่อเป็นอุปกรณ์ หรือเป็นเครื่องมือในการศึกษาธรรมดังที่กล่าวแล้ว นอกจากนั้นก็ยังมีการอบรมพระภิกษุที่บวชอยู่ในนั้นตลอดพรรษาทุกพรรษา ก็จะมีการให้การศึกษาในเรื่องของพระธรรมวินัยในสิ่งที่พระภิกษุใหม่ควรจะต้องรู้ และก็มีการอบรมตลอดทุกวันทุกคืนที่ท่านอาจารย์จะลงมือเอง นอกจากนั้นก็ยังเขียนหนังสือ จัดเวลาเขียนหนังสืออีก แล้วก็แสดงธรรมบรรยายอีก เอ..ท่านทำได้อย่างไรนะ..น่าแปลก เรานี่พอทำอะไรสักสองอย่างในวันเดียวกัน อุทธรณ์แล้ว โอ้..ไม่ไหวเหนื่อยเกินกำลัง ท่านอาจารย์ไม่เคยอุทธรณ์ในสิ่งเหล่านี้ เห็นจะเป็นเพราะอย่างนี้แหละกระมัง ท่านจึงได้รุดไปข้างหน้าเรื่อย ด้วยความเจริญก้าวหน้า ทั้งในทางความรู้ทั้งวิชาการ วิชาการทางโลกนะคะ แล้วก็ทั้งในเรื่องของทางธรรม..ท่านก็ไม่ทอดทิ้ง ท่านก็ศึกษาจนกระทั่งท่านก็คงต้องทะลุแหละ ท่านถึงได้นำมาสอนเราได้ แล้วก็มาบอกกล่าวเราได้

    นี่เกิดจากอะไร? ถ้าพูดง่ายๆ ก็จากการเป็นนักอ่าน นักอ่านที่อ่านจริง อ่านจนทะลุ อ่านจนกระทั่งตีแตกแหลกละเอียดอย่างที่ท่านว่านั่นแหละ ก็น่าเสียดายนะคะที่นักเรียนนักศึกษา หรือแม้แต่ครูอาจารย์ในสมัยนี้ไม่ค่อยสนใจการอ่าน คืออ่านหนังสือที่ต้องสอบ แต่หนังสืออะไรที่ไม่ต้องสอบไม่ค่อยจะสนใจอ่าน ทีนี้ถ้าอ่านแต่ที่ต้องสอบเพื่อเอาปริญญาอย่างเดียว ชีวิตแคบชีวิตอับไหม..ลองนึกดู แต่ถ้าเราอ่านวิชาอื่นๆ เรื่องราวอื่นๆ หรือแม้แต่สารคดีที่ชวนรู้ ที่ควรจะรู้ ไม่ใช่เฉพาะแต่ของเมืองไทย..แต่ของโลก เราจะเป็นคนกว้างขวางขึ้นไหม ไม่ใช่อวดว่า..ฉันอยากจะกว้างขวาง แต่สนุกนะถ้าใครเป็นนักอ่านจะรู้มันสนุก มันสนุกมันเพลิดเพลิน อาจจะบอกว่ามันอิ่ม บางทีมันอิ่มเสียยิ่งกว่ากินข้าว อิ่มเสียยิ่งกว่ากินอะไรที่เราชอบ การที่ได้อ่านนี่เป็นอาหาร เป็นอาหารใจอย่างหนึ่งทีเดียว เป็นอาหารใจ เป็นอาหารสมอง เป็นอาหารที่จะพัฒนาชีวิตของมนุษย์ แล้วก็ท่านอาจารย์นี่แหละเป็นตัวอย่างแหละที่มองเห็นได้ว่า จากการอ่านนี่แหละ ที่ท่านอ่านแล้วท่านก็สามารถนำสิ่งที่ท่านได้อ่านนี่ มาพัฒนาให้เป็นประโยชน์กับใครๆ รวมทั้งเราด้วย..ถ้าเราสนใจจะรับจากท่านนะคะ แต่ถ้าเราไม่สนใจจะรับนั้นอีกอย่างหนึ่ง ก็จะไม่เห็นประโยชน์ แต่ถ้าหากว่าสนใจจะรับนี่เราก็จะมองเห็นเลย เพราะฉะนั้นอย่างที่คนโบร่ำโบราณเขาพูดกันมานานแล้ว หลายๆ สิบปีมาแล้วว่า หนังสือหรือเขาเรียกว่าห้องสมุดนี่เป็นมหาวิทยาลัย แต่จะเรียกว่าห้องสมุดไม่ได้หรอก ห้องสมุดก็ที่เก็บหนังสือ ก็หนังสือนั่นแหละถ้าเราสะสมแล้วเราก็อ่าน..ก็เป็นมหาวิทยาลัยของเรา เป็นการศึกษาตลอดชีวิต

    ถ้าจะว่าไปก็คือผู้ที่เป็นนักอ่านจะไม่มีวันโง่ จะไม่มีวันล้าสมัย จะมีแต่ความล้ำหน้า ล้ำหน้ากว่าคนอื่นเขา เขาจะพูดคุยอะไรกันที่ไหนมันสนุกทุกที เราไปสนุกกับเขาด้วยได้ สนุกได้เพราะอะไร เพราะมันคุยกับเขารู้เรื่อง ไม่ได้อวด ไม่ได้อยากจะอวด แต่ว่ามันทำให้ชีวิตมีรสชาติ..ใช่ไหมคะ ชีวิตไม่จืดชืด นี่แหละไม่ต้องไปกินเหล้านะ กินเหล้าแล้วมันไม่ได้มีรสชาตินะ โอ..กินเหล้านี่มันมัวเมา มันมืดมนนะ ต้องใช้คำว่ามัวเมามืดมนในสิ่งเสพติดทั้งหลาย มันไม่ได้ทำให้ชีวิตมีรสชาติขึ้นเลย เพราะฉะนั้นที่พูดเรื่องการเป็นนักอ่านนี่นะคะ เพราะเห็นคุณค่าจริงๆ ไม่ใช่พูดตาม อะไรละ..ที่เขาเรียก ตามขี้ปากคนอื่นนะ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ แต่เป็นเพราะว่าเรามองเห็นคุณค่าจริงๆ แล้วมองเห็นว่าความเหงาจะไม่เกิดขึ้นด้วย นี่ใครที่เป็นคนขี้เหงานะคะ..ขอแนะนำ ขอเสนอวิธีแก้เหงาที่มีคุณค่ากับชีวิตอย่างยิ่งเลย หาหนังสือมาอ่านเถอะ แต่รู้จักเลือกหน่อยเท่านั้นแหละ เลือกคนอ่านที่เขาใช้สติปัญญาในการเขียน อย่าไปใช้ความอยากได้เงินจากการขายหนังสือมาเขียน อันนั้นก็ไม่ช่วยอะไร ไม่เกิดประโยชน์ ผ่านไปได้ไม่ต้องอ่าน เราก็เลือกหนังสือที่จะอ่านให้เป็นหนังสือที่อ่านแล้วมันช่วยประเทืองปัญญา มันช่วยพัฒนาชีวิต มันทำให้วิสัยทัศน์กว้างขวาง ที่จะเข้าใจอะไรต่ออะไรต่างๆ ได้มากขึ้น ทำให้โลกนี้มีความหมาย

    และที่สำคัญก็คือ สามารถจะทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้ด้วย นอกจากจะเป็นที่พึ่งแก่ตัวเองแล้วก็อาจจะเป็นที่พึ่งแก่คนอื่น ไม่อาจละ..เป็นได้ สามารถจะเป็นที่พึ่งแก่ผู้อื่นได้ คุณค่าของการอ่านนี่ แหม..มหาศาลจริงๆ พูดแล้วก็ไม่จบ เดี๋ยวจะออกนอกเรื่องไป แต่ก็ยังอยู่ในเรื่องนะคะ ไม่ได้ออกนอกเรื่อง ก็แสดงถึงว่าท่านอาจารย์ท่านเป็นนักอ่านอย่างนี้แหละ ท่านจึงได้นำความรู้ที่ท่านได้รับจากการอ่านทั้งหลายนี่มาใช้ประโยชน์ได้ เกิดประโยชน์กว้างขวาง แล้วก็ตกทอดไปต่อผู้อื่นๆ ได้อีกด้วย ฉะนั้นแม้ความรู้ในทางวิชาการทางโลกของท่านแค่มัธยม ๓ การสอบเปรียญก็แค่ประโยค ๓ ซึ่งถือว่าเบื้องต้นเต็มที เอ..แต่ว่าสิ่งที่ท่านทำมันเกิน..เกินระดับของความรู้ในทางรูปแบบที่ท่านได้รับ อย่างเทียบกันไม่ได้เลยทีเดียว นี่คือคุณค่าของการอ่าน เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมาเข้าโครงการฝึกอบรมตนเพื่อความมีชีวิตพรหมจรรย์ที่หมดจดงดงามนะคะ ขอย้ำให้ฟัง..ที่เข้ามาแล้วก็คิดว่าฉันจะขอนั่งหลับตาภาวนาอย่างเดียว..ไม่เอาอย่างอื่น เพราะว่าฉันต้องการจะปฏิบัติให้สูงสุด ไปไม่ถึงหรอก ก่อนที่จะไปถึงปฏิบัติสูงสุด จะต้องมีปริยัติสูงสุดเสียก่อน ซึ่งปริยัติสูงสุดนี่เราก็อาจจะได้รับฟังจากการบรรยายของท่านครูอาจารย์ หรือจากเทป หรือจากหนังสือที่อ่าน แต่ถ้าหากว่าเราไม่อ่านหนังสือเพิ่มเติม หาความรู้ที่ถูกต้องด้วยการใช้วิจารณญาณในการเลือกเสียก่อน เราก็จะไปไม่ไกล เราต้องมีทั้งสองอย่างพร้อมกัน

    เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะตามรอยเท้าท่านอาจารย์ ขอเสนอนะคะ..เริ่มตามรอยเท้าด้วยสิ่งนี้ บางคนบอกว่าอ่านแล้วเสียเวลา ทำให้ปฏิบัติธรรมไม่ได้ ก็เลือกอ่านสิ..เลือกอ่านให้มันเหมาะ เหมาะกับจังหวะและโอกาส และความต้องการในขณะนี้ เราปฏิบัติมาถึงไหน เราอ่าน..อย่างเช่น อ่านพุทธประวัติจากพระโอษฐ์นี่ โอ..นำความรักความศรัทธาความเทิดทูนในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างบอกไม่ถูกเลย ถ้าเราจะตามรอยเท้าท่านผู้ใด..เราต้องรักเสียก่อนใช่ไหมคะ ต้องมีความรัก และความรักที่เรียกว่า..ฉันทะ..นี่ ก็จะทำให้เกิดความเคารพ เกิดความเทิดทูนบูชา แล้วก็เชื่อถือ อยากจะทำตาม แต่ถ้าไม่มีความรัก..เอาละเข้ามาเพราะเขาบอกว่ามันดี ก็น่าจะมาลองดู แต่ว่าเราไม่เอาใจนี่เข้าไปสัมผัสกับชีวิตของท่านจริงๆ เลย เราก็จะเข้าไม่ถึง เพราะฉะนั้นสิ่งนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องบอกว่า ถ้าเราจะประพฤติตามพระพุทธเจ้าเราก็ต้องศึกษาประวัติชีวิตของพระองค์ การเสาะแสวงหาธรรมของพระองค์ พระองค์ได้ทรงทำอย่างไร เราจะตามรอยเท้าท่านอาจารย์ ก็ต้องศึกษาท่านอาจารย์เพื่อให้รู้จักว่าท่านคิดอย่างไร ท่านพูดอย่างไร ท่านทำอย่างไร ถ้าเราไม่ศึกษาจนกระทั่งเรารู้จักท่านจริงๆ เราก็ตามไม่ถูกหรอก ตามผิดตามถูก ออกนอกทิศทาง แต่ก็อ้างถึงอยู่เรื่อยๆ มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นการที่เราจะตามรอยเท้าท่านผู้ใด ตามรอยเท้าพระพุทธเจ้าก็ดี ตามรอยเท้าของท่านอาจารย์พุทธทาสก็ดี ต้องศึกษาให้รู้จัก เหมือนอย่างที่ท่านเขียนตามรอยพระอรหันต์ ท่านก็บอกต้องศึกษาให้รู้จักว่า พระอรหันต์เป็นอย่างไร ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะตามรอยผิดบ้างถูกบ้าง

    อันนี้นะคะ แล้วท่านอาจารย์ทำได้อย่างไร นั่นก็คือการเตรียมตนเองหลายอย่างหลายประการ เริ่มต้นด้วยการฝึกจากการเป็นนักอ่าน นอกจากการเป็นนักอ่านแล้ว สิ่งที่น่าสังเกตก็คือการเป็นผู้ใฝ่รู้ ใฝ่รู้ใฝ่เรียน มีมากเหลือเกิน ถ้าหากว่าบางคนนะเคยได้ยินบางคนเอาความสันโดษมาใช้ในทางที่ผิด โอ..ฉันสันโดษ ฉันตั้งใจจะมาปฏิบัติธรรม ฉันไม่อ่านหรอก อย่างนั้นมันทำให้ฉันออกนอกทาง นี่มันสันโดษผิดทาง สันโดษของพระพุทธเจ้านั่นนะท่านตรัสว่า ทำให้ดีที่สุดให้เต็มที่ที่สุดในเรื่องที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามทีให้เต็มที่ที่สุด แล้วก็พอใจตรงนั้น คำว่าเต็มที่ที่สุดนั่นก็คือต้องใช้อิทธิบาท ๔ นะคะ อิทธิบาท ๔ มาเป็นบาทฐาน เริ่มต้นมี ฉันทะ..มีความรักมีความพอใจ แล้วก็มี วิริยะ..ที่จะต้องพากเพียรไม่ใช่พากเพียรอย่างเบาะๆ พากเพียรอย่างเอาเป็นเอาตาย ทุ่มเทเวลา ทุ่มเทความอดทน ความอุตสาหะ ที่จะเอาให้ถึงที่ จิตตะ..จิตใจจดจ่ออยู่กับเรื่องนี้ อย่างที่ชอบพูดเสมอว่า ทำอะไรต้องหายใจเป็นสิ่งนั้น โดยเฉพาะเมื่อจะทำอะไรที่เป็นสิ่งใหม่ ถ้าเราไม่หายใจเป็นสิ่งนั้นมันไม่พัฒนา มันไม่เจริญไปถึงที่สุด ไม่ถึงความสัมฤทธิ์ผลที่สมบูรณ์ ขอให้จำไว้เถอะ เพราะฉะนั้นถ้าจะทำอะไรต้องหายใจเป็นสิ่งนั้น ถ้าหายใจเป็นสิ่งนั้นได้หมายความว่าอย่างไร ก็หมายความว่าเราไม่ทอดทิ้งละค่ะ จะอยู่ในอิริยาบถใด ยืน เดิน นั่ง นอน หรือแม้แต่ทำอะไรอย่างอื่น เราก็ทำไปละ แล้วต้องหวนกลับมา พอมีเวลาว่างสักหน่อยต้องหวนกลับมานึกถึงสิ่งนี้เสมอ จะทำอย่างไรต่อไป จะคิดแก้ไขอย่างไร จะพัฒนาอย่างไร มีปัญหาอันนี้มาจะทำอย่างไร มันคิดอยู่เรื่อยๆ คือทุกลมหายใจ เรียกว่าหายใจเป็นสิ่งนั้น ทุกลมหายใจเช่นอย่างการจะเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ที่หมดจดงดงามเป็นอย่างไรนะ นี่เป็นอย่างไร การประพฤติพรหมจรรย์เป็นอย่างไร แล้วก็พระพุทธพรหมจรรย์เฉยๆ ไม่พออีกเหรอ ต้องให้หมดจดงดงามด้วย..เป็นอย่างไร นี่ต้องเอามาใคร่ครวญตรึกอยู่ตลอดเวลา

    นี่แหละเรียกว่า..หายใจเป็นสิ่งนั้น ถ้าผู้ใดทำอะไรแล้วก็หายใจเป็นสิ่งนั้น รับรองว่าความสำเร็จไม่อยู่ไกล ความสำเร็จอยู่ตรงนี้เอง จะต้องเกิดขึ้นได้จะต้องทำได้เป็นแน่นอน ไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้นท่านก็เป็นผู้ที่ใฝ่รู้ใฝ่ศึกษาใฝ่เรียน เรียกว่าท่านไม่เคยตามัว ตาของท่านใสอยู่เสมอ หูของท่านก็เปิดฟังอยู่เสมอ กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นนอกจากการเป็นนักอ่าน การเป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียน เป็นคุณสมบัติที่ควรสร้างขึ้น แม้จะไม่เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ก็ตาม เราไม่ได้ตั้งใจจะประพฤติพรหมจรรย์สำหรับตัวเราเองคนเดียว แต่เราหวังว่าเราอยากที่จะนำความรู้อะไรของเรานี่ เผื่อแผ่แก่ผู้อื่นด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีความสันโดษโดยใช้อิทธิบาท ๔ เป็นพื้นฐานแล้ว เราเริ่มต้นด้วย..ฉันทะ แล้วเราก็มี..วิริยะ พากเพียร แล้วเราก็มี..จิตตะ ที่บอกเราต้องหายใจจดจ่ออยู่กับเรื่องนั้น หายใจอยู่เป็นเรื่องนั้นตลอดเวลา มันก็จะค่อยๆ มองเห็นทางสว่าง แล้วก็ วิมังสา ข้อสุดท้าย ก็คือใคร่ครวญหาทางที่จะพัฒนาแก้ไข ข้อบกพร่องมีอะไร ปัญหามีอะไร คิดแก้ไข แล้วถ้าไม่มีปัญหา แก้ไขลุล่วงไปได้จะพัฒนาต่อไป จะก้าวต่อไป ควรจะทำอย่างไรต่อไป เรียกว่าหาข้อดีข้อเสีย หาเหตุหาผล วิจัยวิเคราะห์อะไรต่ออะไรต่างๆ เพื่อให้สิ่งนั้นเกิดความเรียบร้อย เกิดความสำเร็จ บรรลุผลเหมือนดั่งที่ต้องการได้ ฉะนั้นนอกจากการเป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียน อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นชัดทีเดียวในคุณสมบัติของท่านอาจารย์ก็คือ ความเป็นนักช่างสังเกต ท่านช่างสังเกตที่เรียกว่าหูไวตาไวเป็นอันมากเลย เหมือนไม่มีอะไรจะเล็ดลอดหูตาท่านไปได้ ท่านนั่งอยู่บนธรรมาสน์ก็ไกลๆ แต่ท่านก็จะมองเห็นผู้ที่นั่งฟัง ใครทำอะไรต่ออะไร แล้วบางทีท่านก็ดุออกมานอกธรรมาสน์เข้าเรื่องเข้าราวด้วย คือหมายความว่าถูกจังหวะเหมาะเจาะที่เกิดขึ้น

    นอกจากช่างสังเกตอย่างนี้ ท่านก็ช่างสังเกตในสิ่งที่ลึกซึ้งต่อไปอีก สังเกตในข้อธรรมในการประพฤติปฏิบัติ ในความเป็นไปที่มันเกิดความแปลกแยก หรือมันกำลังจะเกิดอะไรที่ออกนอกลู่นอกทาง ท่านเกิดจากการสังเกตจากอันโน้นอันนี้ ท่านไม่ปล่อยอะไรให้ผ่านหูผ่านตาไปเปล่าๆ นอกจากนี้ก็เป็นนักทดลอง คิดอะไรได้ใหม่ท่านก็ชอบทดลอง ไม่ว่าจะเป็นนามธรรมหรือจะเป็นรูปธรรม เพื่อที่จะรู้ว่าจริงๆ แล้วนี่มันจะเกิดผลอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ อย่างที่คิดไว้ไหม หรืออย่างที่คาดหมายไว้ไหม เพราะฉะนั้นอันนี้นะที่ว่าท่านทำได้อย่างไรนี่ ก็เริ่มต้นด้วยวิธีอย่างที่ว่านี่แหละ แล้วเราละจะตั้งคำถามกับตัวเราไหมว่า เออ..แล้วเราจะทำได้อย่างไร เราจะเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ที่หมดจดงดงามได้อย่างไร ก็อยากจะฝากคำถามนี้นะคะให้ไว้ถามตัวเองอยู่เรื่อยๆ ว่า เออ..แล้วเราจะเป็นได้อย่างไร ถ้าเราหมั่นถามตัวเองอยู่ ก็นั่นก็คือเราจะหมั่นขัดเกลาสิ่งที่ยังขรุขระ ที่ยังครืดคราด ที่ยังเป็นสนิมอยู่ข้างใน ให้มันเกลี้ยงเกลามากขึ้นๆ แล้วก็เพิ่มพูนสิ่งที่ยังขาดให้มันเต็มขึ้นๆ ทุกทีๆ แล้ววันหนึ่งนะคะ ก็ไม่ต้องเสียใจ เราคงถึงนะ ไม่ต้องย่อท้อ วันหนึ่งเราต้องถึงแน่ๆ เลย ถึงความเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ที่หมดจดงดงามได้จริงๆ

    วันนี้ขอจบเพียงเท่านี้ก่อนนะคะ ฝากคำถามไว้ให้คิดแล้วก็หายใจเป็นสิ่งนี้ แล้วก็จะถึงซึ่งความสัมฤทธิ์ผล สมความปรารถนา ธรรมสวัสดีค่ะ

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service