แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ผู้ดำเนินรายการ: ปัญหาที่จะถามท่านอาจารย์ในช่วงนี้ก็คงจะเป็นเรื่องของเด็กๆ นักเรียนกันเป็นส่วนใหญ่นะครับ ปัญหาหนึ่งที่อยากจะเรียนถามท่านอาจารย์ก็คือว่า ทำอย่างไรจึงจะเรียนหนังสือเก่งครับ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ทำอย่างไรถึงจะเรียนหนังสือเก่ง เข้าใจว่าที่มานี่คงจะเรียนหนังสือเก่งทั้งนั้นใช่ไหมคะ คำว่าเรียนเก่งนี่คือยังไง คำว่าเก่งนี่นะคะ หรือพูดถึงคนเก่งเสียก่อน ว่าคนเก่งนี่จะต้องเป็นคนที่เก่งทั้งวิชาความรู้ แล้วก็เก่งทั้งกิริยามารยาท วาจาที่น่ารัก คำว่าน่ารักก็คือ มีวาจาเพราะ มีกิริยาท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู อ่อนน้อมสุภาพ ถ้าหากว่าใครมีทั้งสองอย่างก็เรียกว่าคนเก่ง ทีนี้ลองนึกสิว่า เรามีสองอย่างหรือยัง เรียนหนังสือก็เก่ง แล้วก็มีกิริยามารยาทน่ารักก็เก่ง ใครๆ เห็นก็ชม ถ้ามีแล้วก็ดีแล้ว ทีนี้ถ้าสมมติว่ายังไม่มี เราจะทำอย่างไรเราถึงจะเป็นคนเก่งในการเรียนหนังสือ
เอาเรื่องเรียนหนังสือก่อนนะคะ ข้อแรกทีเดียวก็อยากจะให้นักเรียนลองถามตัวเองว่าเรียนหนังสือนี่ รักหรือเปล่า หนูรักเรียนหนังสือหรือเปล่าคะ รักการเรียนไหม พอตื่นเช้าขึ้นอยากวิ่งมาโรงเรียนหรือเปล่า พอตื่นเช้าอยากวิ่งมาโรงเรียนหรือเปล่าคะ ไหนใครอยากวิ่งมาโรงเรียนยกมือ พอตื่นเช้าอยากมาโรงเรียนก่อนอื่นเลย พอลืมตา ไม่มี นั่นแหละ ถ้าหากว่าอันแรกที่สุดต้องเริ่มด้วยความรักโรงเรียน แล้วก็รักที่จะมาโรงเรียน ทำไมถึงรักที่จะมาโรงเรียนก็เพราะรู้สึกว่าโรงเรียนนี้เข้ามาแล้วอบอุ่นใช่ไหมคะ เห็นคุณครูอาจารย์ยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วก็โรงเรียนก็มีต้นหมากรากไม้เขียวชอุ่มดี บรรยากาศสงบสบาย นอกจากนี้พอเข้ามาแล้ว ก็ยังได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ทุกวันๆ เลยจริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ก็เลยทำให้รู้สึกอยากจะมาโรงเรียน ก็อยากจะบอกหนูว่า คุณสมบัติสำคัญข้อแรกของผู้ที่จะเรียนหนังสือเก่งนะคะ ต้องมี ฉันทะ ฉันทะแปลว่าความรัก คือมีความรักในเรื่องของหนังสือ มีความรักในโรงเรียน มีความรักในครูบาอาจารย์ ก็จะเกิดความอยากเรียนหนังสือ
หนูเล็กๆ นี่ก็เหมือนกันนะคะ ต้องมีความรักเสียก่อน เพราะถ้าไม่มีความรัก มันไม่มีกำลังใจใช่ไหม ไม่มีกำลังใจอยากจะเรียน ไม่มีกำลังใจอยากจะทำ เพราะฉะนั้น ใครที่ไม่รัก พอตื่นขึ้นอยากวิ่งหนีไปอื่น ไม่มาโรงเรียน ขอให้ลองเปลี่ยนความคิดเสียนะคะ ว่าเราต้องเริ่มต้นด้วยความรัก พอรักแล้วนี่ พอมาถึงโรงเรียนก็อยากที่จะตั้งใจเรียน พอเข้ามาในโรงเรียนมีอะไรที่รกอยู่บ้าง เช่น มีกระดาษ มีขี้ผงอะไรเกะกะ ก็อยากจะทำให้สะอาด พอทำในขณะที่ทำบริเวณโรงเรียนให้สะอาดนี่ ใจเราเป็นยังไงคะ ใจเราเป็นยังไง สบายไหม สบายในขณะที่เราทำอย่างนั้นน่ะ ใจเราก็สบายไปด้วย พอถึงเวลาเข้าโรงเรียนนะคะ คือหมายความพอถึงเวลาเข้าห้องเรียน ใจสบายไหมที่จะเรียนหนังสือ เพราะเรารู้สึกว่าพอเราเข้าโรงเรียน เราได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับโรงเรียน เพราะเรารักโรงเรียน
เพราะฉะนั้น พอเข้าห้องเรียนเท่านั้นแหละ ฟังคุณครูพูด ฟังคุณครูสอนจะรู้สึกมีความตั้งใจ แล้วคุณครูเข้ามาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส คุณครูเตรียมบทเรียนมาอย่างดี เพื่อที่จะมาเล่าให้นักเรียนฟัง ว่าวิชาวิทยาศาสตร์มีอะไรน่าสนใจ คณิตศาสตร์มีอะไรน่าสนใจ ภาษาไทยมีอะไรน่าสนใจ ทุกวิชามันน่าสนใจหมด นักเรียนก็สนุก ไม่ง่วงนอนเพราะฉะนั้นต้องมี วิริยะ ตั้งใจฟัง แล้วก็ตั้งใจจดจำ แล้วก็อะไรที่มันยากต้องจดเอาไว้ เพื่อจะได้มาดูทีหลังนะคะ นี่คือจะต้องมีวิริยะ คือความพากเพียร จากนั้นก็พอออกจากห้องเรียนนี่ ถ้าอยากจะเป็นคนเก่งจริงๆ ควรจะคุยกันเรื่องอะไรคะ ควรจะคุยกันเรื่องอะไร เรื่องการเรียนวิชาที่เราเรียนเสร็จมาเดี๋ยวนี้ เราจะเรียนวิทยาศาสตร์จบมา เราจะเรียนภาษาอังกฤษจบมา เรียนภาษาไทยหรือว่าสังคมศาสตร์จบมา คุยกันเลย คุยกันเรื่องเมืองอังกฤษบ้าง คุยกันเรื่องชนบทของเมืองไทยบ้าง คุยกันเรื่องสังคมบ้าง นี่หมายถึงถ้าเราจะเรียนเรื่องของสังคม สังคมที่เราเรียนจบในโรงเรียนในวิชานั้นมา คุยกันเรื่องนั้นอย่างเดียว
ไม่ไปคุยว่าเราจะไปเล่นอะไรที่ไหนดี เราจะดูโทรทัศน์รายการอะไรดี เราเห็นคนเขาไปดิ้นไปเต้นกัน เราจะไปอย่างเขาบ้างดีไหม คุยอย่างนี้มีประโยชน์ไหมคะ ไม่ช่วยการเรียนเลยใช่ไหมคะ นั่นน่ะ เพราะฉะนั้น ก็คุยกันแต่เรื่องที่จะทำให้เราสนใจเข้าใจในเรื่องของวิชาที่เรียนยิ่งขึ้น ถ้าทำอย่างนี้ท่านเรียกว่ามี จิตตะ จิตตะคือใจจดจ่ออยู่แต่เรื่องของการเรียน จะคุยก็คุยเรื่องการเรียน จะลองทำกิจกรรมอะไรร่วมกันก็ลองทำทดลอง เพื่อดูว่าที่เราเรียนมานี่ เรามาทดลองทำแล้วมันเป็นอย่างไร
เพราะฉะนั้นอันนี้นี่นะคะ ก็หนึ่งมีฉันทะ สองมีวิริยะคือมีความพากเพียร สามมีจิตตะคือจิตใจจดจ่ออยู่แต่เรื่องการเรียนอย่างเดียว แล้วสี่ ท่านเรียกว่ามี วิมังสา ก็คือความใฝ่ใจที่จะคิดค้นว่าเราก็ตั้งใจเรียนแล้วแต่ทำไมมันยังไม่เก่งเต็มที่ คือยังไม่ได้ดีเต็มที่ ค้นหาว่ามีอะไรเป็นอุปสรรค บางทีเป็นเพราะคืนก่อนเรานอนดึกเกินไป ดูหนังสือมากเกินไปจนเกินกำลัง ตื่นขึ้นมามันเลยงัวเงีย นี่ก็เป็นอุปสรรค เพราะฉะนั้น คืนต่อไปเราจะนอนแต่พอดีให้พอเหมาะ เพื่อที่ตื่นขึ้นมาจะได้สดใส ค้นดูว่ามีอะไรเป็นอุปสรรคของการเรียน แล้วก็ค้นดูว่า ทำอย่างไรถึงจะทำให้การเรียนดีขึ้น นี่เรียกว่าใฝ่ใจที่จะคิดค้นเพื่อหาอุปสรรคของการเรียน แก้ไขเสีย ไม่ทำอย่างนั้นอีก แล้วก็ใฝ่ใจที่จะคิดค้นดูว่าอะไรจะช่วยให้การเรียนดีขึ้นแล้วก็หมั่นเพิ่มพูนทำ อย่างนี้วันนี้หนูได้รู้เรื่องของธรรมะข้อหนึ่งแล้วนะคะ ชื่อว่าอิทธิบาท 4 ท่านบอกว่าเป็นบาทฐานของความสำเร็จ ถ้าใครมีอิทธิบาทสี่ มีฉันทะความรัก มีวิริยะความพากเพียร มีจิตตะใจจดจ่ออยู่กับเรื่องของการเล่าเรียน มีวิมังสาใคร่ครวญคิดค้นอยู่เสมอ ถ้าใครมีสี่อย่าง อย่างนี้ละก็ คนนั้นต้องเรียนเก่งแน่นอน ไม่ต้องสงสัย
ผู้ดำเนินรายการ: นักเรียนเขาบอกว่า อาจารย์บางคนสอนไม่รู้เรื่องทำอย่างไรดี ก็ทำให้พลอยเรียนไม่เก่งไปด้วย
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ไปโทษอาจารย์หรือเปล่า เพราะว่าผู้ที่เป็นอาจารย์เป็นครูนี่ต้องตั้งใจแล้ว เสียสละเลยนะคะ ที่อาจารย์อุตส่าห์ คือใครก็ตามที่อุตส่าห์มาเป็นครูเป็นอาจารย์นี่เสียสละอย่างยิ่งเลย เสียสละความเหนื่อยยากเพราะว่าไปทำงานอาชีพอื่นนี่ บางทีเบากว่า งานเบากว่าแล้วรายได้ก็ดีกว่าอีกด้วย แต่อุตส่าห์มาเป็นครูอาจารย์นี่ก็หมายความว่า ครูอาจารย์เสียสละเต็มที่แล้ว แต่ว่าถ้าเผอิญฟังแล้วไม่เข้าใจ มันต้องดูเหตุปัจจัย คือต้องมาดูว่ามันเป็นเพราะอะไรบ้างที่เราไม่เข้าใจ หันมาดูตัวเราเองก่อนเสมอนะคะ อันนี้อยากจะฝากหนูๆ ทุกคนไว้ว่า การที่เราจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ พอมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องที่สุดก็คือหันมาดูตัวเราเองก่อน ศึกษาแล้วก็วิเคราะห์ตัวเราเองว่า เราเองนี้มีข้อบกพร่องอะไรบ้างในการที่เรียน เรามีอิทธิบาทสี่ครบไหมอย่างที่ว่านี่ หนูถามตัวเองไปทีละข้อเลย เรารักการเรียนหรือเปล่า เวลาที่เรานั่งอยู่ในห้องเรียนนี่ เราก็ฟังที่ครูบรรยายด้วยความรักในวิชา ด้วยความเคารพในตัวครูที่เป็นผู้บรรยายมีไหม
ถึงสมมตินะคะสมมติว่า นักเรียนรู้สึกว่าคุณครูอาจารย์คนนี้ไม่ถูกใจคือไม่ถูกชะตากัน เรียกว่ามันคนละธาตุ ไม่กินกันเลยเชียว แต่ว่าเรามานี่เพื่อเราจะมาเรียนวิชา เพราะฉะนั้นเราก็ให้ความเคารพ ให้ความเห็นใจคุณครู แล้วบางทีนักเรียนจะมีความรู้สึกรักในการเรียน รักที่จะฟังคุณครูโดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นอย่าไปถือเอาความรู้สึกชอบไม่ชอบคุณครูเป็นส่วนตัวให้มาเป็นอุปสรรคในเรื่องของการเรียน ฉะนั้นพอเรามีฉันทะมีความรัก เราจะนั่งฟังตาแป๋วสนุกสนาน แล้วก็เป็นการให้กำลังใจคุณครูด้วยใช่ไหม คุณครูที่มาถึง แหม พอมาเห็นหน้านักเรียน โอ้โห ล้วนแต่บึ้งๆ หน้านิ่วคิ้วขมวดกันทั้งนั้นเลย คุณครูตั้งใจมาดีบางทีคุณครูก็หมดกำลังใจ แหม พอจะพูดจะอะไร คุณครูก็ไม่รู้จะพูดยังไงถึงให้นักเรียนยิ้มได้ เพราะฉะนั้นนักเรียนต้องยิ้มให้คุณครูก่อน แล้วคุณครูจะมีกำลังใจสอน ก็จะทุ่มเท ตระเตรียมการเรียนดียิ่งขึ้น
ก็ถามตัวเองมีฉันทะหรือเปล่า พอมีฉันทะแล้วนี่ แล้วเรามีวิริยะความพากเพียรอย่างเต็มที่จริงๆ หรือเปล่า หรือว่าวันหนึ่งๆ พอกลับไปถึงบ้าน เราไปเล่นกับเพื่อนเสีย เราไปดูโทรทัศน์ เราไปเตะฟุตบอล เราไปคุยเสียจนสามทุ่มสี่ทุ่ม ถึงเวลา เอ้า นึกขึ้นได้ การบ้านบทเรียนจะต้องท่อง พอหยิบสมุดมาประเดี๋ยวเดียวก็ง่วง หาวหวอดๆ แล้ว ถ้าอย่างนี้ก็ไม่มีวิริยะ ไม่มีความพากเพียรที่จะใส่ลงไปในการเรียนนั้น แล้วก็นอกจากนี้ ต้องสำคัญอีกว่า แล้วก็นักเรียนมีใจจดจ่อกับเวลาที่คุณครูพูดหรือเปล่า ทุกคำพูดที่คุณครูพูด ถ้านักเรียนดูอย่างนี้ ดูตัวเองว่าแหม เรามีพร้อมทุกอย่าง แล้วเสร็จแล้วก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยจะเข้าใจดี ตอนนี้ก็ควรที่จะไปหาคุณครู ตรงเข้าไปหาคุณครู เขียนคำถามเป็นข้อๆ ที่เรารู้สึกไม่เข้าใจ แต่เวลาที่ไปหาคุณครูก็ไปหาด้วยความเคารพนะคะ เพราะว่าอย่างไรๆ ก็เป็นคุณครูของเรา
ผู้ดำเนินรายการ: ครูดุครับ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ครูดุ
ผู้ดำเนินรายการ: นักเรียนไม่กล้าเข้า
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ครูดุ นักเรียนไม่กล้าเข้า แล้วนักเรียนทำอะไรคุณครูถึงต้องดุ ต้องหันมาดู นักเรียนทำอะไรคุณครูถึงต้องดุ เวลาที่คุณครูเข้ามานักเรียนตั้งใจฟังอยู่ในระเบียบเรียบร้อยดีหรือเปล่า ถ้านักเรียนอยากจะคอยคุยกันจุ๊กจิ๊กๆ คุณครูก็คงจำเป็นที่จะต้องดุบ้าง เพราะว่าถ้าหากนักเรียนคุยกันแซดอย่างนี้ คุณครูพูดอะไรรู้เรื่องไหมคะ ก็ไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นเราก็มาแก้ที่ตัวเรา การเรียนนี่แม้ว่าครูจะเป็นผู้สอน เราเป็นผู้รับ แต่ผลประโยชน์ของการเรียนจะเกิดขึ้นต้องร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายคุณครู แล้วก็ทั้งฝ่ายนักเรียนด้วย เพราะฉะนั้น เราก็เขียนคำถามของเรา เราสงสัยในข้อไหน แล้วก็พากันไปหาคุณครูด้วยความเคารพ แล้วก็ขอความกรุณาคุณครูช่วยอธิบาย อธิบายให้เป็นพิเศษ โดยไม่ต้องไปหาคุณครูที่บ้าน ขอนัดเวลาที่โรงเรียนนั่นแหละ และคุณครูก็ไม่ได้คิดรายได้เป็นพิเศษอะไรจากการที่จะสอนพิเศษให้แก่นักเรียน คุณครูก็เต็มใจที่นักเรียนไปหาคุณครูด้วยความเคารพด้วยความอ่อนน้อม ตรงไหนที่ยังสงสัยยังไม่เข้าใจก็ไต่ถามต่อ
ก็เชื่อว่าคุณครูที่ดีที่มีความเสียสละมีน้ำใจก็พร้อมที่จะอธิบาย หรือไม่ยอมเชื่อว่าคุณครูนี่จะมีน้ำใจกับลูกศิษย์ คุณครูนี่ต้องมีน้ำใจอยู่แล้ว ถ้าไม่มีน้ำใจคุณครูจะไม่กล้ามา ใครจะถามอะไรก็ได้ ถามไหมคะ ไม่ต้องให้พี่จเลิศถามแทน มีไหมคะ ถามเองได้เลย ถ้ายังไม่มีก็นึกไปก่อน ว่าวิธีเรียนเก่งก็คือเราต้องช่วยตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันต้องเก่งทั้งสองอย่าง เก่งทั้งสมองในการเล่าเรียนวิชา แล้วก็เก่งทั้งการที่จะอบรมตัวเองให้มีกิริยามารยาทวาจาน่ารักน่าชม เพราะนี่เป็นคุณสมบัติของคนที่จะเป็นคนมีเสน่ห์ต่อไป อยากเป็นคนมีเสน่ห์ไหมคะ เสน่ห์อยู่ตรงนี้ ไม่ต้องไปทาปาก ทาแก้ม ทาคิ้ว เสน่ห์อยู่ที่วาจาน่ารัก หน้าตายิ้มแย้ม กิริยาท่าทางนุ่มนวลอ่อนโยน นี่แหละเป็นเสน่ห์ที่ไม่ต้องลงทุนเสียสตางค์เลยจริงไหม
ผู้ดำเนินรายการ: ท่านผู้ชมครับ ปัญหาของนักเรียนชนะวิทยา อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช คงจะแตกต่างไปจากปัญหาของ พวกเราผู้ใหญ่นะครับ อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่จะต้องให้ความเอาใจใส่นะครับ และช่วยกันตอบปัญหาของเด็กๆ เพื่อให้เขามีความมั่นใจในการดำเนินชีวิตต่อไป