แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ธรรมสวัสดีค่ะ ธรรมสวัสดีทุกคนนะคะ วันนี้เรามาพบกันอีกในพื้นที่ที่เรียกว่าเป็นธรรมชาติที่นี่ที่เขาเรียกว่าโรงเรียนหิน เรามาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติแล้วเราก็จะพูดกันถึงเรื่องของชีวิต อย่างที่เราได้เคยพูดกันมาแล้ว เรื่องของชีวิตเป็นสิ่งที่เราเกี่ยวข้องอยู่ทุกวี่ทุกวัน ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่เราก็หนีไม่พ้นเรื่องของชีวิตเพราะฉะนั้นเมื่อเราหนีมันไม่พ้นเราจะต้องอยู่กับมันก็รู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของของเรา หรือของคนทุกคนของมนุษย์ทุกคนที่ควรจะต้องรู้ว่าถ้าเช่นนั้นเราควรจะ มีหน้าที่คือกำหนดลงไปว่ามนุษย์เราควรจะมีหน้าที่ต่อชีวิตอย่างไรเพื่อที่ชีวิตนั้นจะได้ดำเนินไปได้อย่างถูกต้อง ระบบของการดำเนินชีวิตจะได้ต่อเนื่องกันอย่างกลมกลืนทุกขั้นตอนและสรุปลงก็ชีวิตก็จะได้เป็นชีวิตที่สมปรารถนาในความสุขที่จะเยือกเย็น ผ่องใส อย่างที่เราพูดกันมาแล้วเราก็บอกว่า ชีวิตนี้มันจำเป็นที่จะต้องมีองค์ประกอบถ้าเราไม่รู้ว่าชีวิตนี้ต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง บางทีเราจับไม่ถูก จับไม่ถูกว่าทำไมระบบของชีวิตมันจึงไม่ดำเนินไปอย่างนี้เรามองหาปมหาเงื่อนไม่ครบเพราะฉะนั้นเราจึงต้องรู้จักว่าชีวิตนี้มันประกอบไปด้วยองค์ประกอบอะไรบ้าง พอจะยังจำได้ไหมคะ
ผู้ดำเนินรายการ: องค์ประกอบ 4
อุบาสิกา คุณรัญจวน: องค์ประกอบ 4 ข้อแรกอะไรนะคะ
ผู้ดำเนินรายการ: ปัจจัยสี่
อุบาสิกา คุณรัญจวน: จะต้องรู้ว่ามีปัจจัยของชีวิต ซึ่งเบื้องต้นพื้นฐานก็เป็นปัจจัย 4 แต่เดี๋ยวนี้ก็อาจจะมีเพิ่มมากขึ้นตามกรณีของความจำเป็นก็ได้นะคะและปัจจัย 4 นี้มันก็โยงไปถึงอะไร
ผู้ดำเนินรายการ: สิ่งแวดล้อม
อุบาสิกา คุณรัญจวน: สิ่งแวดล้อมของชีวิต ซึ่งบางทีมันกลายมาเป็นตัวกำหนดว่าปัจจัยของชีวิตที่มันควรจะต้องมีอะไรบ้างบางทีสิ่งแวดล้อมของชีวิตที่มันกำหนดค่านิยมขึ้นมามันก็มากำหนดปัจจัยของชีวิตต้องมีอย่างโน้นอย่างนี้ ฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่าปัจจัยของชีวิตแต่ละยุคแต่ละสมัยไม่เหมือนกันเพราะว่ามันจะเปลี่ยนไปตามความต้องการที่เรียกร้องจากสิ่งแวดล้อมที่กำหนดขึ้นมาเป็นค่านิยม
ทีนี้มนุษย์เราก็ ถือว่าตัวเองเป็นสัตว์สังคมคือยอมตนเป็นทาสโดยดุษฎีเพราะฉะนั้นก็เลยเรียกตัวเองว่าเป็นทาสของค่านิยม คือเราเป็นสัตว์สังคม เราก็เป็นทาสของค่านิยม ค่านิยมว่าอย่างไรเราก็ทำอย่างนั้นทั้งๆ ที่ส่วนมากแล้วเราไม่ได้มีความสุขใจในการทำ หลายๆ ครั้งต้องฝืนใจทำกล้ำกลืนทำก็ว่าได้แต่เสร็จแล้วก็ทำไป เพราะอะไรจึงเป็นอย่างนั้น ก็เพราะขาดความรู้ที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นความรู้ที่ถูกต้องจึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งเลยใน 4 องค์ประกอบนี่นะคะ ความรู้ที่ถูกต้องนี่สำคัญมาก เพราะถ้ามีความรู้ที่ถูกต้องมันก็จะช่วยให้ต่อเนื่องไปถึงองค์ประกอบที่ 4 คือการกระทำที่ถูกต้องเมื่อมันมี 4 องค์ประกอบนี่อย่างสัมพันธ์กันมันทำงานร่วมกันองค์ประกอบทั้ง 4 นี่นะคะมันทำงานร่วมกันพอมันทำงานร่วมกันเข้า มันก็จะทำให้ชีวิตสามารถที่จะดำเนินไปได้อย่างถูกต้อง ทีนี้ที่คนเราไม่สามารถที่จะดำเนินชีวิตไปได้อย่างถูกต้องทั้งๆ ที่บางทีก็รู้นั่นเพราะอะไร เพราะอะไร เพราะความที่เคยชินใช่ไหม เคยชินแก่การตามใจตัวเองเราเคยกินอย่างนี้ เราเคยนอนอย่างนี้เราเคยทำอย่างนี้เคยพูดอย่างนี้เคยเที่ยวอย่างนี้เคยเป็นอะไรๆ อย่างที่เราเคยเป็นอย่างนี้ เราไม่อยากเปลี่ยนแปลงเพราะเราเคยทำมาแล้วตลอดชีวิตทั้งๆ ที่การกระทำเช่นนั้นนี่มีหลายๆ ครั้งมันทำให้เราไม่สบายคือไม่สบายใจไม่สบายตัวแต่เราก็ยังทำ นี่ก็เพราะว่าเรามักจะเป็นคนที่ยอมตามใจตัวเอง ฉะนั้นการที่ตามใจตัวเองอย่างขาดสติ ขาดสติขาดปัญญา ขาดสัมปชัญญะ มันมักจะทำให้ชีวิตของมนุษย์นี้ดำเนินไปอย่างขรุขระเต็มที ก้อนหินขรุขระแต่มันเป็นธรรมชาติให้ความเย็นแต่พอชีวิตขรุขระนี่มันแสนร้อน แสนร้อนแสนไหม้แสนเกรียมแต่ก็ไม่ค่อยสำนึก ไม่ค่อยรู้ ก็เลยเป็นอย่างนี้
ผู้ดำเนินรายการ: รู้ครับ แต่ไม่รู้จะแก้ยังไง
อุบาสิกา คุณรัญจวน: แล้วก็เลยทำต่อไปอีก หวังจะพบทางแก้จากการทำซ้ำ และความจริงมันก็ไม่สามารถจะหลุดออกมาได้ ใช่ไหมคะ นี่เพราะการทำตามใจตัวเองโดยไม่มีสติที่จะมายับยั้งใจ ไม่มีปัญญาพอที่จะรู้ว่าสิ่งที่ทำนี้มันถูกต้องหรือไม่ ฉะนั้นสัมปชัญญะคือความรู้สึกตัวทั่วพร้อมมันเกิดไหมคะ มันเกิดไม่ทันใจที่คิดอย่างนั้นก็คำพูดก็ออกมา การกระทำก็ออกมาแล้วผลที่สุดมันก็เกิดผลเป็นเป็นไปในทางลบ นี่ก็เพราะความประมาทขาดสติมีชีวิตอยู่อย่างประมาทขาดสติ ไม่ได้อยู่อย่างผู้มีสติปัญญา ฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าใน 4 องค์ประกอบนี่องค์ประกอบใดน่าจะมีความสำคัญมากที่สุดที่เราควรจะใส่ใจ ใน 4 องค์ประกอบ
ความรู้ที่ถูกต้องแล้วก็แน่นอนที่สุดความรู้ที่ถูกต้องย่อมหมายถึงความรู้ที่ไหน ความรู้ที่ได้ปริญญากันมานี่ใช่ไหม ก็มีปริญญากันแล้ว มีกันแล้ว แล้วเป็นไงรู้สึกว่าก็ยังทุกข์ชีวิตก็ยังขรุขระอยู่นั่นเองใช่ไหม ยังไม่ได้เกลี้ยงเกลายังไม่ได้ราบรื่นใช่ไหมคะเพราะฉะนั้นความรู้ที่ว่านี้ก็คือความรู้ที่ถูกต้องที่จำเป็นจะต้องรู้ว่าสภาวะของความเป็นไปที่เป็นความจริงของชีวิตมันคืออะไร เรายังไม่เคยได้ศึกษามันอย่างแท้จริง นี่เราจะต้องรู้เรื่องของความจริงของชีวิตอย่างแท้จริง ถ้าเรารู้อย่างแท้จริงมนุษย์ก็จะต้องรู้ว่าเราจะสามารถดำเนินชีวิตนี่ให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติที่เป็นกฎของความจริงของชีวิตขึ้นมาได้ ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้แล้วว่าชีวิตนี้จะต้องดำเนินไปอย่างเป็นระบบอย่างต่อเนื่องกันมันจะขาดช่วงเลือกเอามาแต่ละตอนละตอนของชีวิตไม่ได้ เพราะชีวิตมันเป็นระบบทั้งหมดมันต้องไปด้วยกันทั้งหมดอย่างนี้แล้ว เราก็ควรที่จะต้องรู้จักกฎเกณฑ์ของชีวิต คือมีกำหนดกฎเกณฑ์ในการดำเนินชีวิตขึ้นมาบ้าง กฎเกณฑ์ของชีวิตที่ควรจะรู้เป็นข้อแรกก็อยากจะเสนอให้ลองคิดว่าชีวิตนี้คือตัวธรรมชาติ ใช่ไหม ชีวิตนี้เป็นตัวธรรมชาติ คือตัวธรรมชาติในตัวของมันเอง นี่เป็นก้อนหิน นี่มันเป็นก้อนหิน มันเป็นตัวก้อนหิน มันอยู่ในน้ำในเนื้ออันนี้ ทุกอย่างนี่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ก้อนหินก้อนนี้มันก็อยู่ในตัวธรรมชาติเป็นตัวธรรมชาติตัวหนึ่ง คือเป็นสิ่งสิ่งหนึ่งอยู่ในธรรมชาติ
ผู้ดำเนินรายการ: คนก็เป็นธรรมชาติ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ชีวิตนี้ก็เป็นสิ่งสิ่งหนึ่ง สิ่งสิ่งหนึ่งอันนี้มันก็อยู่ที่เป็นตัวธรรมชาติของมันเอง มันไม่ใช่สิ่งอื่นสิ่งใดที่เราจะมาสมมติว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ แท้จริงชีวิตนี่เป็นตัวธรรมชาติอยู่ในตัวของมันเอง
ผู้ดำเนินรายการ: เราชื่อไพเราะยังไงก็ตาม ก็เป็นตัวธรรมชาติ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ชื่อทั้งหลายนี่มันก็สมมติ วันนี้ชื่อจเลิศใครจะไปรู้ว่าอีก10ปี อาจจะเปลี่ยนเป็นดีเลิศก็ได้ ใช่ไหม หรืออาจเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นก็ไม่รู้อีกเหมือนกันใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นอันนี้ชื่อเสียงนี่ล้วนแต่สมมติขึ้นมา บางคนนี่เปลี่ยนชื่อตั้งสองครั้งสามครั้ง ถ้าเผอิญใครจะบอกว่ามาทักบอกชื่อนี้ไม่เป็นมงคลไม่รวยสักทีเพราะชื่อนี้ เปลี่ยนเถอะจะได้เป็นเศรษฐี เชื่อเขาเปลี่ยนชื่อเพื่อจะได้เป็นเศรษฐี เปลี่ยนไปสัก5ปีก็ยังไม่มีเงินสักที เปลี่ยนใหม่อีกตามที่เขาว่า เพราะฉะนั้นเอาแน่อะไรกับชื่อใช่ไหมคะ สิ่งเหล่านี้เป็นสมมติทั้งนั้นเพราะมันไม่ใช่ตัวธรรมชาติ มันไม่ใช่ตัวธรรมชาติในตัวของมันเอง มันเป็นสิ่งที่มนุษย์คิดขึ้นมา ว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้นควรจะเป็นอย่างนี้ และชีวิตของเราที่มันขรุขระมันไม่กลมกลืนก็เพราะฤทธิ์ที่คิดเอาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ คิดโดยขาดความรู้ที่ถูกต้อง
ฉะนั้นเราก็ควรจะต้องรู้ว่าแท้จริงชีวิตนี้เป็นตัวธรรมชาติ มันเป็นตัวธรรมชาติเพราะอะไร ธรรมชาติคืออะไร ธรรมชาติก็คือสภาวะที่มันเกิดขึ้นอยู่ตามธรรมดา สภาวะของสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตามธรรมดา เป็นอยู่ตามธรรมดา ต้นหมากรากไม้ก้อนหินดินทราย สัตว์มีชีวิตทั้งหลายรวมทั้งมนุษย์มันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นรวมแล้วเป็นธรรมชาติ ฉะนั้นตัวชีวิตนี้ก็คือตัวธรรมชาติอย่างหนึ่งเหมือนกัน มันก็อยู่ภายใต้กฎของความเป็นธรรมดาของธรรมชาติ ภายใต้กฎของความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปภายใต้กฎแห่งเหตุปัจจัยการเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปนั้นมันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน ซึ่งตอนนี้แม้จะยังไม่เข้าใจชัดเจนเราฟังไว้เพียงแค่นี้ก่อน แล้วเราจะพูดถึงเรื่องนี้ต่อไปอีกเรื่อยๆ จนเราจะมองเห็นว่าตัวกฎของธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ ถ้าเรายอมรับว่าชีวิตนี้เป็นตัวธรรมชาติ ดำเนินชีวิตตามกฎของธรรมชาติชีวิตก็จะค่อยๆ เข้าสู่ระบบของความถูกต้องที่มีความกลมกลืนประสานกันไปได้อย่างดีนะคะ ฉะนั้นตอนนี้ก็ลองฟังไว้ก่อนว่าชีวิตนี้คือตัวธรรมชาติ
ผู้ดำเนินรายการ: แล้วที่เขาบอกว่าคนเราสามารถชนะธรรมชาติได้ล่ะครับ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ก็ลองบอกนะคะใครที่สามารถเอาชนะธรรมชาติได้บ้าง ลองยกตัวอย่างมาให้ฟัง แล้วก็มองดูรอบๆ ตัวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ปีที่แล้วปีก่อนนี้ เป็นอย่างไร ภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นจนกระทั่งต้องวิ่งกันหัวหมุนนั้นเพราะอะไร แล้วเราเรียกว่าภัยนั้นคือภัยอะไร ภัยธรรมชาติ แต่อันที่จริงแล้วภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นนั้น มันก็เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยปัจจัย อยู่ดีๆ น้ำไหลมาท่วมบ้านท่วมเมืองจนบ้านเมืองของคนจมลงไปในน้ำก็ได้ อย่างที่เราไปเห็นมาแล้วในทางภาคใต้ที่เกิดน้ำวาตภัยครั้งใหญ่เมื่อปีสองปีที่ผ่านมา นั่นแหละทำไมเกิดขึ้นทำไม เมื่อผู้ใดฝ่าฝืนธรรมชาติ ทำร้ายธรรมชาติ ธรรมชาติก็ย่อมสามารถที่จะตอบแทนได้เหมือนกัน ตอบแทนตามกฎของธรรมชาติไม่ได้ตอบแทนด้วยความอาฆาตพยาบาทแต่ว่าตอบแทนตามกฎของธรรมชาติที่มันจะต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย นี่คือกฎที่เราเรียกว่ากฎอิทัปปัจจยตา เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้เกิดสิ่งนี้จึงเกิด เพราะฉะนั้นใครล่ะ ไหนลองยกตัวอย่างให้ฟังสิคะที่ว่า สามารถเอาชนะธรรมชาติได้
มนุษย์เราถ้าฉลาดก็ย่อมจะต้องรู้จักดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามกฎของธรรมชาติคือรู้จักว่านี่คือสภาวะความเป็นจริงของธรรมชาติ ตัวนี้ก็คือตัวธรรมชาติ แล้วตัวนี้ตัวชีวิตนี้ กฎเกณฑ์ที่เราจะต้องรู้ต่อไปก็คือว่าแม้ชีวิตนี้จะเป็นตัวธรรมชาติแต่เราจะปล่อยให้มันเป็นไปตามบุญตามกรรม ตามยถากรรมล่องลอยไปเหมือนจอกเหมือนแหนก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง มนุษย์ที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้มีปัญญาก็ย่อมจะต้องรู้ว่าชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา แล้วก็พัฒนาได้ ยุคนี้เป็นยุคพัฒนาใช่ไหมคะ ใครๆ ก็รู้ความหมายของคำว่าพัฒนา แต่พอพูดว่าพัฒนาเรามักจะมองไปยังไง วัตถุ คือหมายความว่าพัฒนาแล้วมันจะต้องเป็นไง เจริญขึ้น เจริญขึ้นต้องดีขึ้นว่างั้นเถอะ มันต้องดีขึ้นมันต้องสูงขึ้นมันต้องมีอะไรที่เป็นไปในทางขึ้น แต่แล้วจริงรึเปล่า จริงเช่นนั้นเสมอไปรึเปล่า ที่ว่าพัฒนาแล้วเลยต้องดีขึ้นเสมอ
ผู้ดำเนินรายการ: ส่วนใหญ่ก็จริงนะครับ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ถ้าบอกว่าส่วนใหญ่ก็จริงก็ยังมีส่วนน้อยที่ไม่จริง ใช่ไหมคะ
ผู้ดำเนินรายการ: อย่างรถติด สร้างถนนทางด่วนแล้วก็รถเขาไม่ติดเลย มันติดน้อยลง
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ก็ติดน้อยลงและก็อย่างอื่นพัฒนาอย่างอื่นๆ ถ้าเราจะมองคิดดูนะเผอิญที่เราจะมาคุยกันวันนี้นี่มันไม่ใช่หัวข้อสนทนาว่าเราจะมาวิเคราะห์สังคม หรือว่าเราวิเคราะห์การพัฒนาสังคม ถ้าเมื่อใดเรามีหัวข้อวิเคราะห์การพัฒนาสังคมเราจะสนุกเหมือนกัน แต่เผอิญวันนี้เราอยากจะพูดกันถึงว่าทำอย่างไรเราจึงจะรู้ว่าควรจะรู้ว่าชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาแล้วก็พัฒนาได้ แล้วเมื่อกี้ที่พูดคำว่าพัฒนานี่เพราะว่าพอพูดว่าพัฒนาเมื่อไหร่เรามักจะนึกว่าไปในทางดีใช่ไหมคะ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป ก็ดูเถอะที่เราพัฒนากันนี่มันก็มีดีไม่ใช่ว่าไม่มีดีแต่มันน่าจะดีให้มากกว่านี้หรือมันน่าจะดีทั้งหมดได้ ถ้าจะว่าอย่างงั้นถ้าจะพัฒนา มันไม่น่าจะมีส่วนสูญเสียหรือสูญเปล่าอยู่ในการพัฒนานั้น แต่เมื่อมันเกิดขึ้นมันกลายเป็นปัญหา ปัญหาอันนี้มันทำความรกรุงรังให้เราเกิดขึ้น ปัญหาที่รกรุงรังก็คือหมายความว่ามันเป็นปัญหาที่ก่อปัญหาให้ต่อเนื่องแล้วทำให้ต้องเสียเวลาเสียทรัพย์สินเสียเงินทองเสียสติปัญญาที่จะต้องมาแก้ไขปัญหานี้ต่อไปอีก เพราะฉะนั้นอันนี้พัฒนานั้น ความหมายของมันก็น่าจะเป็นไปในทางที่ดี แต่ในบางครั้งพัฒนานี่อาจจะหมายถึงว่ามันรกรุงรัง มันทำให้ก่อเกิดปัญหาให้มากขึ้นอีกก็ได้ด้วยเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นจึงต้องระมัดระวัง เมื่อรู้ว่าชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาเราก็ต้องมุ่งที่จะพัฒนาให้มันดีขึ้น เจริญขึ้น งอกงามขึ้น เมื่อเราพูดถึงในทางธรรมะ ดีขึ้นเจริญขึ้นงอกงามขึ้นในทางไหน ในทางด้านจิตใจ ก็คือหมายความว่าการที่เรามีการพัฒนา พัฒนาสังคมก็ดี พัฒนาชุมชนก็ดี พัฒนาส่วนบุคคลก็ดี เพื่อจะให้เราเป็นสุขขึ้นใช่หรือเปล่า ให้ชุมชนอยู่ร่วมกันเป็นสุข ให้บุคคลที่เป็นสมาชิกของชุมชนนั้นได้อยู่ร่วมกันเป็นสุข และตัวบุคคลนั้นก็เป็นสุขด้วย เพราะฉะนั้นจุดมุ่งหมายของการพัฒนานั้นจึงควรต้องพัฒนาแล้วเกิดความสุขเกิดความสบายเยือกเย็นผ่องใสกันถ้วนหน้ากัน อย่างนี้มันถึงจะดี นี่จึงจะเป็นพัฒนาที่ถูกต้อง อย่าไปพัฒนาแล้วทำให้เกิดความรกรุงรังให้เกิดปัญหาซ้อนปัญหาทั้งภายนอกและภายใน
ผู้ดำเนินรายการ: ยกตัวอย่างได้ไหมครับว่าที่พัฒนาจิตใจแล้วมันคือความรกกรุงรังขึ้นมานะครับ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: เคยไหมพัฒนาด้วยการที่จะให้เราเป็นผู้มีความรู้มาก เล่าเรียนมาก รู้สูงขึ้น รู้ศาสตร์หลายอย่าง ยิ่งรู้ยิ่งคิดมาก คิดแล้วไม่รู้จบ คิดแล้วคิดอีก คิดแล้วคิดอีก คิดจนกระทั่งเกิดความกังวล คิดจนกระทั่งตัดสินไม่ได้ คิดจนกระทั่งกลายเป็นคนรู้มากยากนาน จนกระทั่งกลายเป็นความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด นี่ก็คือหมายความว่าในจิตนั้นเต็มไปด้วยความวุ่น วุ่นวายวุ่นวายอยู่ตลอดเวลาวุ่นวายอยู่ตลอดเวลาไม่มีความที่จะสุขสงบได้เลย นั่นแหละเป็นการพัฒนาแล้วเกิดความรกรุงรังขึ้นข้างในซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่เป็นนามธรรมใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นก็คงต้องรู้ว่าชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา แล้วก็พัฒนาได้ จะได้ไม่งอมืองอเท้า แล้วก็ไปคอยหวังให้คนอื่นเขาช่วยพัฒนาฉันที ไม่มีใครพัฒนาใครให้ใครได้นอกจากแต่ละคนจะต้องพัฒนาจิตของตนเองให้เป็นจิตที่มีความรู้
ผู้ดำเนินรายการ: ให้อาจารย์ชี้ ให้อาจารย์สอน พัฒนาไม่ได้หรือครับ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ก็บอกได้แต่ทำให้ไม่ได้ เพราะว่าการที่จะพัฒนานี่มันอยู่ข้างในใช่ไหมคะ มันจึงทำให้ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องทำของตัวเองจึงจะสามารถสัมฤทธิ์ผลขึ้นมาได้ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นก็ต้องทำเอง ทีนี้นอกจากนี้แล้วกฎเกณฑ์ข้อที่ 3 ที่อยากจะบอกก็คือว่าควรจะต้องรู้อีกว่าชีวิตนี้ที่เราต้องพัฒนานี่นะ ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ขอยืมเขามา ตกใจไหม ยืมพ่อยืมแม่ พ่อแม่ก็ต้องยืมปู่ย่าตายาย ปู่ย่าตายายก็ยืมทวด ขอยืมกันต่อๆ ไป ก็ลองหาสิว่าใครคือเจ้าของที่แท้จริงที่เราขอยืมเขามา เพราะฉะนั้นอย่าหลงตู่ มนุษย์เรามักจะหลงตู่ ใช่ไหมคะ ตู่เอาว่าชีวิตนี้เป็นของฉัน และชีวิตนี้ก็เพ่งมาที่นี่ ตัวนี่ ทั้งหมดนี่ ใช่ไหมคะ ของฉันนะของฉันนะ ของฉันนะของฉันนะแล้วก็ยึดมั่นกอดของฉันไว้นี่ตลอดเวลาโดยไม่รู้ว่า นี่มันของฉันปลอมๆ ของฉันตู่เอาเขามา
ผู้ดำเนินรายการ: ฉันรวยฉันสวย ฉันเก่ง ฉันวิเศษ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ใช่ ฉันรวยฉันสวยฉันเก่งฉันดี ฉันจะต้องเอาอะไรมากกว่าใครๆ ฉันจะต้องมีอะไรมากกว่าใครๆ ที่สุด เฉพาะฉะนั้นเพราะไม่รู้ว่าสิ่งนี้ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ขอยืมเขามา ก็ลองดูสิว่ามีอะไรบ้างในชีวิตนี้ที่เป็นของเรา มองดูจากสิ่งที่เห็นง่ายๆ ผิวพรรณเนื้อหนังเป็นยังไง มันเหมือนเดิมไหมตั้งแต่สมัยที่เรายังเป็นเด็กเล็กๆ ยังจำได้ไหมว่าสมัยที่เรายังเป็นหนุ่มกว่านี้ สาวกว่านี้จำได้ไหม อย่างครูนี่มองเห็นชัด เป็นยังไงเหมือนกันไหม
ผู้ดำเนินรายการ: มือมันเหี่ยวย่นลง
อุบาสิกา คุณรัญจวน: อ้าวแน่นอน ลูกนัยน์ตาเป็นยังไง นัยน์ตาเมื่อสมัยเด็กๆ หนุ่มๆ สาวๆ กว่านี้ใสแจ๋วใช่ไหม เดี๋ยวนี้เป็นไงอย่างตาของครูอย่างนี้เป็นต้น มันก็มองไม่เห็นเหมือนเมื่อก่อน หูก็เหมือนกันที่เคยได้ยินอะไรชัดเจนพูดครั้งเดียวแจ่มแจ๋วได้ยินชัด เดี๋ยวนี้ก็อะไรนะอะไรนะ ไหนพูดใหม่สิดังๆ หน่อยเพราะหูนี้ก็ไม่ใช่ของเรา ฟันล่ะของเราไหม เมื่อก่อนนี้เคี้ยวอะไรกรอบ ร่วน อร่อย เดี๋ยวนี้เคี้ยวอะไรชักไม่ค่อยไหว ขอให้เปื่อยๆ หน่อยนะ ถึงจะเคี้ยวได้ดีๆ ดูสิในนี้มีอะไรบ้างเป็นของเรา ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ต้องขอยืมเขามาทั้งนั้น ความแก่นี่ก็คือความที่เป็นธรรมดา เผอิญเรายังพูดเรื่องสิ่งที่ขอยืมเขามายังไม่จบ เพราะไม่ค่อยมีใครอยากฟัง รับไม่ค่อยได้เวลามันก็เลยหมดเร็ว เราจะต้องพูดกันถึงเรื่องสิ่งที่เราขอยืมเขามากันอีกจะได้มองเห็นชัดๆ แล้วก็เลิกเป็นคนขี้ตู่เสียที จะได้อยู่กับความเป็นจริงของชีวิตและชีวิตนี้จะได้มีการเยือกเย็น ผ่องใสนะคะ ธรรมสวัสดีค่ะ