แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ธรรมสวัสดีค่ะ ธรรมสวัสดีทุกคนนะคะ เราก็คงเห็นจะต้องพูดกันเรื่องของชีวิต เพราะว่าเกิดมาเป็นคนก็หนีไม่พ้นที่จะต้องอยู่กับสิ่งที่เรียกว่า ชีวิต เราเคยพูดกันถึงว่า ชีวิตนี้จะต้องมีกฎเกณฑ์ใช่ไหมคะ ถ้าเราอยากให้ชีวิตนี้ดำเนินไปได้อย่างเป็นสุขตลอดทั้งระบบของมัน มันจะต้องมีกฎเกณฑ์ แล้วก็กฎเกณฑ์เราก็พูดกันหลายข้อ แต่ข้อหนึ่งที่อยากจะให้นึกเอาไว้เสมอก็คือว่า “ชีวิตนี้คือสิ่งที่จะต้องขอยืมเขามา” นี่อย่าลืม เป็นสิ่งที่ต้องขอยืมเขามา ขณะนี้เรามานั่งอยู่ในสถานที่ที่เรามีตัวอย่างบอกไว้แล้วว่า สิ่งที่ขอยืมเขามานั้นมีประจักษ์พยานเห็นชัด เชื่อว่าทุกคนคงมองเห็น ลองมองดูสิคะ เห็นไหมคะนี่ สิ่งที่ขอยืมเขามา นี่เป็นกฎเกณฑ์ของชีวิตที่ทุกคนควรจะได้สำนึกและก็รู้จัก ชีวิตคือสิ่งที่ขอยืมเขามา เขาเขียนไว้ว่ายังไงคะ
ผู้ดำเนินรายการ: ข้าพเจ้า เคยเป็นอย่างท่านมาแล้ว ท่านเองก็จะต้องเป็นอย่างข้าพเจ้า
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ข้าพเจ้าเคยเป็นอย่างท่านมาแล้ว อย่างท่านที่มีเลือดมีเนื้อ มีหน้าตาสวยงาม มีอะไรกันอยู่พร้อมพรั่งนี่แหละ ข้าพเจ้าเคยเป็นอย่างท่านมาแล้ว ท่านก็รู้เหมือนกัน ท่านก็รู้เหมือนกัน วันหนึ่งท่านจะต้องเป็นอย่างนั้น แต่ท่านไม่ค่อยยอมรับใช่ไหมคะ ไม่ค่อยยอมรับ แล้วก็มักจะลืมบ่อย ๆ ลืมบ่อย ๆ ว่าวันหนึ่งจะต้องเป็นอย่างนั้น เพราะเราไม่ยอมรับว่าชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ขอยืมเขามา นี่แหละที่เราเคยพูดคุยกันถึงเรื่อง “องค์ประกอบของชีวิต”
องค์ประกอบของชีวิตนั้น จะต้องประกอบไปด้วย ปัจจัยของชีวิต สิ่งแวดล้อมของชีวิต ความรู้ที่ถูกต้อง และก็การกระทำที่ถูกต้อง
ฉะนั้นการที่ยังยอมรับไม่ได้ หรือยังมองเห็นไม่ได้ว่า วันหนึ่งจะต้องเหมือนอย่างนั้น ก็เพราะขาดอะไร
ผู้ดำเนินรายการ: ขาดความรู้ที่ถูกต้อง
อุบาสิกา คุณรัญจวน: นี่เราก็ได้พูดกันถึงเรื่องของความรู้ที่ถูกต้องกันมาบ้างแล้ว ใช่ไหมคะ บัดนี้เราก็อยากจะพูดกันถึงเรื่องความรู้ที่ถูกต้องอีกอย่างหนึ่ง อย่างคราวก่อนเราพูดถึงความรู้ที่ถูกต้องที่ดูกันจากรูปของ เอ็มมานูเอล เชอร์แมน ในครั้งหนึ่ง ที่ว่าอยู่ให้เหมือนลิ้นอยู่ในปากงู คือการดำรงชีวิตในโลกนี้ ถ้าเราสามารถอยู่ในโลกนี้ได้เหมือนอย่างลิ้นที่อยู่ในปากงู ไม่เคยที่จะต้องพบพานกับพิษงูเลย นั่นก็คือการมีความรู้ที่ถูกต้อง นี่ก็อีกเหมือนกัน เป็นความรู้ที่ถูกต้องอีกนัยหนึ่ง ถ้าเราสามารถเข้าใจนัยนี้ได้ชัดเจนแล้วล่ะก็ เราก็จะยอมรับได้เอง ยอมรับโดยไม่ต้องบังคับว่า ชีวิตนี้คือสิ่งที่ยืมเขามา
คำแรกเขาบอกว่าอะไรนะ “งามอยู่ที่ซากผี ดีอยู่ที่ละ พระอยู่ที่จริง นิพพานอยู่ที่ตายก่อนตาย” นิพพานอยู่ที่ ตายก่อนตาย วันนี้เราลองพูดกันถึงว่า งามอยู่ที่ซากผี
ผู้ดำเนินรายการ: ไม่เห็นงามเลย น่ากลัว
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ใช่ อย่าว่าแต่จะงามเลย ค่อนข้างจะกลัวด้วยซ้ำ นี่ยังหัวร่อได้เพราะอะไร เพราะว่านั่งกันอยู่หลายคนและก็เป็นกลางวันก็ยังยิ้มย่องผ่องใส ถ้าสมมติเดินมาคนเดียวตอนกลางคืนดึก ๆ หลายคนไม่ยอมมา หรือว่าคืนนี้กลับไปอาจจะไปฝันร้ายก็ได้ เพราะฉะนั้นที่บอกว่างามอยู่ที่ซากผีมีความหมายว่ายังไงบ้าง ลองใคร่ครวญดูให้ดี ๆ สิคะ เขาบอกว่างามอยู่ที่ซากผี เพราะฉะนั้นถ้าให้ดูความงามในแง่ไหน มุมไหน ที่บอกว่างามอยู่ที่ซากผี
ความงามในแง่มุมไหน งามอยู่ที่ซากผี ยังไม่เคยมีการประกวดนางงามใช่ไหม แต่ว่าภาพของโครงกระดูกที่เรามองเห็นอยู่นี้ ภาพหนึ่งเป็นภาพของหญิง อีกภาพหนึ่งเป็นภาพของชาย และก็อีกภาพหนึ่งก็เป็นภาพของเด็ก นี่ก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่า อย่างที่เราเคยพูดว่า ทุกอย่างบนพื้นจักรวาลอยู่ภายใต้ กฎของธรรมชาติ คือกฎของความเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรที่จะคงที่ ไม่มีสิ่งใดที่เราจะหวังเอาอย่างใจว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แม้แต่การตาย ที่เราจะต้องบอกต้องเป็นไปตามคิว นี่ก็แสดงแล้วเห็นไหมคะ มันเป็นไปตามคิวไม่ได้ เด็กเล็กซึ่งควรจะอยู่ก่อนใช่ไหม ก็ยังไปแล้วเลย
แล้วก็โครงกระดูกของทางฝ่ายหญิงนั่น ก็เคยอย่างที่บางคนได้ยินมาแล้ว ที่เขาบอกว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นนางงาม โครงกระดูกของหญิงที่แขวนอยู่นี่ ครั้งหนึ่งเคยเป็นนางงาม ซึ่งเวลาที่ประกวดนางงามกันนี่ เราประกวดกันที่ไหน ความงาม ที่เรียกว่าเนื้อหนังมังสา ปากคอ คิ้วจมูก ผิวพรรณ รูปร่าง เปล่งปลั่งงดงามน่าดูตามค่านิยมของชาวโลกที่ถือกันว่าอย่างนี้งาม และก็นี่แหละบัดนี้ ความงามอย่างที่ชาวโลกนิยมกันนั้นหายไปไหน อยู่ที่ไหน แล้วกลับมีคำเขียนว่า งามอยู่ที่ซากผี มันงามตรงไหน เพราะไม่มีการประกวด นางงามโครงกระดูก หรือว่าพ่องามโครงกระดูก หรือว่าเด็กงามโครงกระดูก ยังไม่เคยมีการประกวดกัน แต่นี่เขาบอกว่า “งามอยู่ที่ซากผี” ถ้าใครสามารถมองเห็นซากผีนี้งามได้ บรรลุค่ะ บรรลุถึงความรู้ที่ถูกต้อง ที่เราพูดถึงกันอยู่ ถ้าใครเห็นจุดนี้ได้นั่นแหละ บรรลุ บรรลุถึงความรู้ที่ถูกต้อง
ผู้ดำเนินรายการ: สุดท้ายก็เป็นเช่นนี้เอง
อุบาสิกา คุณรัญจวน: อย่าเพิ่งถามไปถึงสุดท้ายเลย เอาตั้งต้นและก็ตรงกลางให้มันทะลุเสียก่อน ก่อนที่จะไปถึงสุดท้าย แต่เอาเถอะเห็นว่าสุดท้ายมันจะเป็นอย่างนี้ ทีนี้ครูถามว่าเห็นหรือยังล่ะ งามที่อยู่ที่ซากผี งามตรงไหน ก็เพราะเราไม่เห็นงามใช่ไหมคะ งามอยู่ที่ซากผีนี่ เพราะฉะนั้นทุกขณะทุกเวลานี่ เราจึงทำไม เราจึงยึดมั่นถือมั่นในตัวเองจึงยึดมั่นถือมั่นในตัวฉัน ฉันจะต้องเอาอย่างนั้นให้ได้ ฉันจะต้องเอาอย่างนี้ให้ได้ตาม ฉันอยาก ใช่ไหม ถึงแม้จะทำความดีก็ตาม ทำดีอย่างที่ “ฉัน” อยากทำ และที่ “ฉัน” เห็นว่าดีด้วย และถ้าคนอื่นบอกว่าไม่ดี ก็ฉันเห็นว่าฉันดี ทำอย่างนี้มันดี ฉันก็จะทำ ก็ฉันจะทำ
เพราะฉะนั้น เราจึงมองไม่เห็น ถ้าเรายึดในรูปร่างเนื้อหนังที่มองเห็นนี่ว่าเป็นของจริง และเมื่อเราเห็นว่ามันเป็นของจริงแล้ว ความงามความดี มันก็อยู่ที่รูปร่างที่มองเห็น เรามองไม่เห็นทะลุออกไปว่า เมื่อนี่มันหมดไปแล้ว มันจะเหลืออะไร มันเหลือแต่อย่างนี้ ซึ่งอันที่จริงแล้ว ที่อย่างนี้ที่ยังเหลืออยู่นี่เพราะเขาสงวนเก็บรักษาไว้ เพื่อว่าจะได้ให้ใครมาดูเป็นประจักษ์พยาน เป็นเครื่องเตือนใจ เป็นเครื่องเตือนสติ อย่าประมาทไปเลย
จำได้ไหม ชีวิตที่มันดำเนินไปอย่างถูกต้องเป็นระบบไม่ได้ หรือว่าทุกขั้นตอนของชีวิต มันดำเนินอย่างถูกต้องไม่ได้ก็เพราะเราขาดความรู้ที่แท้จริง เราขาดความรู้ที่แท้จริงเพราะว่าเรามัวเมาอยู่กับความประมาท อยู่กับความประมาทที่นี่มันยังมองเห็นอยู่ มันยังดีอยู่ มันยังจับต้องอยู่ มันยังใช้ได้อยู่ เอาล่ะ อยู่กันอย่างนี้ จะต้องไปดูทะลุอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เห็น เราก็เลยอยู่กับความงามที่เป็นมายา แต่นี่แหละความงามของจริง นี่แหละความงามที่แท้จริงเป็นอย่างนี้ เห็นบ้างหรือยังว่า ความงามที่แท้จริงมันเป็นอย่างนี้ได้ยังไง
ผู้ดำเนินรายการ: มันไม่แน่นอน
อุบาสิกา คุณรัญจวน: มันไม่แน่นอน ความงามที่แท้ไม่แน่นอน ก็นั่นแหละ ถ้าเรามองเห็นความไม่แน่นอนได้อย่างจริง ๆ เมื่อไหร่ ก็จะเรียกได้ว่า ความรู้ที่ถูกต้องเกิดขึ้นแล้ว นี่ก็เท่ากับท่านจะบอกให้เรารู้ว่า อย่าไปยึดถือเลยในเรื่องของความงาม ความงามข้างนอก ความงามของรูปกาย ความงามของวัตถุข้างนอก อย่าไปยึดถือเลย ให้รู้ซึ้งเข้าไปเถอะว่า จริง ๆ แล้วมันมีอะไรให้เรายึดถือไหม
ผู้ดำเนินรายการ: ไม่มี
อุบาสิกา คุณรัญจวน: นางงามคนนั้นบัดนี้ไปอยู่ไหนแล้ว เวลาที่สวมมงกุฏนางงาม เราก็ลองวาดภาพได้ คาดคะเนได้จากที่เราเคยไปดูนางงาม หรือเราเคยเห็นภาพจากหนังสือพิมพ์ จากโทรทัศน์ เราคาดคะเนอนุมานเอาได้เลยว่าจะต้องเป็นยังไง ตอนนั้นนี่แหมใคร ๆ ก็พากันรุมกันแสดงความยินดี ตัวเองก็ยิ้มแย้มแจ่มใสแก้มแทบปริได้ชื่อว่าเป็นนางงาม แต่ผลที่สุด ก็หลีกหนีไม่พ้น ที่จะพ้นไปจากสภาพอย่างนี้ ก็เหลือแต่สิ่งนี้ ที่ให้เราดูที่ให้เราเห็น
เพราะฉะนั้น งามอยู่ที่ซากผี ก็คือว่าเมื่อมองสิ่งใดอย่ามองแต่เพียงผิวเผิน อย่ามองแต่เพียงข้างนอก มองทะลุไปให้ถึง “สิ่งที่เป็นสัจจะของธรรมชาติ” สิ่งที่เป็นสภาวะอยู่ตามธรรมดา ที่มันจะไม่มีวันคงที่อยู่ได้เลย
ถ้าเรามองเห็นอย่างนี้อยู่ แล้วก็สำนึกอยู่ในใจว่าวันหนึ่งเราก็ต้องเป็นอย่างนี้ พอถึงเวลาที่เราโกรธมาก ๆ เราจะโกรธได้อย่างรุนแรงไหม ด้วยวาจา หรือการกระทำเราจะโกรธได้รุนแรงไหม
ผู้ดำเนินรายการ: ลดลง
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ก็ลดลง มันลดลงโดยอัตโนมัติ เพราะอะไร
ผู้ดำเนินรายการ: วันหนึ่งเราก็ตาย
อุบาสิกา คุณรัญจวน: เพราะมันไม่รู้ว่าจะไปโกรธกับใคร เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นี่ นี่คือสิ่งสมมติ ว่านี่เป็นจเลิศ นี่เป็นจิราพร นี่เป็นสมมติทั้งนั้น แต่วันหนึ่ง ถึงวันหนึ่งอยู่ไหนล่ะ จิราพรที่มีรูปร่างหน้าตาอย่างนี้ ที่นั่งอยู่ตรงนี้อยู่ไหน มันจะเหลืออย่างนั้น เหมือนกันไหม เหมือนกันหมดทุกคน ไม่มีใครต่างกันเลย มีแต่โครงกระดูกที่เป็นแขนขาเหมือนกัน ถ้าจะนึกเอาง่าย ๆ ตอนที่จะไปถึงนี่นะ นี่ที่มีรูปร่างหน้าตาต่างกันและก็มองดูสวยดูงามเพราะอะไร เพราะมันยังมีผิวหุ้มอยู่ มีผิวพรรณ มีผิวหนัง มีผิวหนังนี่หุ้มอยู่ ถ้าวันหนึ่งเกิดลอกผิวหนัง หรือว่าน้ำร้อนลวกก็ได้ ลอกผิวหนังนี้ออกตั้งแต่หัวลงไปจรดเท้า เหลืออะไร เหลือแต่ก้อนแดง ๆ ตั้งอยู่ ก้อนแดง ๆ ตั้งอยู่ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หกก้อนตั้งอยู่ ต่างกันไหมก้อนแดง ๆ ที่ตั้งอยู่ ไม่ต่างกันเลย มันก็มีแต่แดง ๆ ตั้งอยู่ เคยผิวขาว ก็ไม่รู้ความขาวอยู่ที่ไหน ผิวคล้ำก็ไม่รู้ความคล้ำอยู่ที่ไหน ผิวเหลืองก็ไม่รู้ว่าความเหลืองอยู่ที่ไหน ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย
เดี๋ยวนี้คนเรามายึดว่า นี่เป็นจีน นี่เป็นไทย นี่เป็นแขก นี่เป็นฝรั่งโดยถือเอาผิวพรรณที่ปรากฏข้างนอก แต่จริง ๆ แล้วธรรมชาติจริง ๆ แล้วไม่มี ไม่มีอะไรที่จะให้เรายึดมั่นถือมั่นได้สักอย่างเดียว มันล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสมมติที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
แล้ววันหนึ่งเนื้อแดง ๆ นี่มันก็เน่าเปื่อย มันก็สลายไป มันก็หลุดไป เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนไม่เหลือ สิ่งที่ยังคงเหลืออยู่ก็คือสิ่งที่เราเห็น โครงกระดูก กระดูกที่เราเห็น แต่ถ้าหากว่าเราปล่อยให้ พวกกระดูกนี้ไปกองอยู่ตามดินตามทราย มันก็ผุพังไป ผลที่สุดมันก็สลายกลายไปเป็นปุ๋ยไปเป็นส่วนหนึ่งของดินทราย แล้วก็อาจจะไปเป็นปุ๋ยของต้นหมากรากไม้พืชพรรณธัญญาหาร แล้วเราก็ไปกินต้นหมากรากไม้นั้น หมากคือหมายความว่าเป็นอาหารนั่นแหละ ก็หมุนเวียนไป นี่คือความหมุนเวียนของชีวิตที่มันจะเป็นไปตามธรรมชาติ ก็จะเป็น วัฏฏะของชีวิต ตามธรรมชาติที่มันจะต้องเป็นไปอย่างนั้น มันไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ มันเป็นอยู่เพียงแค่นี้เอง ถ้าหากเรามองเห็นอยู่อย่างนี้เรื่อย ๆ ดูเข้าไป เราก็จะค่อย ๆ รู้สึกว่า อ๋อ..สัจจะของชีวิตอยู่อย่างนี้
ความรู้สึกที่มองครั้งแรก เราจะเกิดความกลัวใช่ไหมคะ เกิดความรังเกียจ เกิดความเกลียด เกิดความกลัว เกิดความรังเกียจไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่ค่อยเคยเห็นเป็นธรรมดา แล้วถ้าหากว่า มีความฉลาดมากขึ้น จะค่อย ๆ สำนึกขึ้นมาเองว่า สิ่งที่ควรกลัว ควรสังวรที่สุดคืออะไร ก็คือตัวนี้ ตัวนี้ ที่ควรกลัวควรเกลียดนี่ คือที่งาม ๆ สวย ๆ หล่อ ๆ ใช่ไหมคะ อะไรที่งาม ๆ สวย ๆ น่ารักน่าชม ไม่ต้องไปเชื้อเชิญหรอก รุมกันรัก รุมกันเข้ามาหา แต่อะไรที่มองดูน่าเกลียดน่าชัง ใคร ๆ ก็หนีไม่อยากเข้าใกล้ สุนัขขี้เรื้อน ใคร ๆ เดินหนี สุนัขปุกปุยอ้วนน่ารัก ใคร ๆ ก็อยากอุ้ม เห็นไหมคะ ความน่ารักน่าชมไม่ต้องเข้าไปหา เราจึงต้องควรระมัดระวัง เพราะมันหลงง่าย มันหลงง่ายเพราะเห็นว่างามเห็นว่าน่ารัก
ฉะนั้นสิ่งที่ควรกลัว ควรระมัดระวัง ควรสังวร คือ ความน่ารักน่าชมของรูปกายที่มองเห็นนี่ แล้วยึดมั่นถือมั่นเอาเป็นฉัน ว่าเป็นอัตตา เป็นตัวตน เป็นความจริง
นี่สิที่ควรระวัง เพราะถ้าหากว่าเราขืนมาหลงมายึดอยู่ในมัน เราจะไม่เห็นของจริง ไม่เห็นของจริง ของจริงคืออย่างนี้ ถ้าเราเห็นของจริง ๆ เราจะมีสติยับยั้ง อาการกระทำ วาจา ความคิดให้มันอยู่ในแนวทางถูกต้อง แต่ถ้าหากว่าเราไม่เห็นของจริงอันนี้ เราก็มีแต่ความประมาท ประมาทอยู่ตลอดเวลา ประมาทอยู่เรื่อย และก็ใช้ชีวิตด้วยความประมาทพลั้งพลาด แล้วชีวิตนี้ก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ขรุขระ เดี๋ยวรู้สึกว่าได้ เดี๋ยวรู้สึกว่าเสีย เดี๋ยวรู้สึกว่าขาดทุน เดี๋ยวรู้สึกว่ากำไร จิตก็วุ่นวายอยู่ตลอด
ผู้ดำเนินรายการ: ฟังแล้วเข่าอ่อน
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ดี อ่อนไว้ก่อน อ่อนไว้ก่อนเพื่ออะไร เพื่อจะได้ลงนั่งคิด เพราะทุกวันนี้มันวิ่งกันอยู่เรื่อย ใช่หรือเปล่า แล้วที่ครูพูดว่าวิ่งนี่ อะไรมันวิ่ง
ผู้ดำเนินรายการ: จิต
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ที่มันเดือดร้อนมากคือ มันวิ่งอยู่ข้างใน กายก็วิ่ง คือหยุดวิ่งไม่ได้เลย ที่เขาเรียกว่าชีวิตเดี๋ยวนี้มันเป็นชีวิตที่รีบเร่ง จนจะเป็นประสาทกันไปหมดทุกคน เพราะความรีบเร่งไม่มีเวลาพัก และก็ข้างในนี่มันวิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราเข่าอ่อนแล้วเรารู้จักนั่ง มีโอกาสได้นั่ง เราจะได้ใคร่ครวญ พักผ่อน แล้วก็คิดให้ลึกซึ้ง ให้รอบคอบ จะได้เห็นลงไปที่ความเป็นจริงว่ามันเป็นยังไง อ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง แท้จริงมันคือแค่นี้ ๆ แล้วมีอะไรให้เรายึดถือ ที่เราหลงยึดถือจะเอาเป็นจริงเป็นจังต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันมีอยู่ที่ไหน แล้วเราจะได้มองเห็นและก็ยอมรับว่านี่คือ กฎเกณฑ์ของชีวิตที่เราควรจะเข้าใจว่า ชีวิตนี้คือสิ่งที่ขอยืมเขามา ขอยืมมาจากธรรมชาติแล้วก็จะต้องส่งคืนให้ธรรมชาติ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทรงสั่งสอน นั่นก็คือท่านสอนให้รู้ว่า ทุกสิ่งในโลกนี้เป็น “อนัตตา” ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันก็มีตัวตน มีตัวตนอย่างที่เราเป็น เราจับได้ เรารู้สึกได้ ก็มีตัวมีตน แต่อันที่จริงแล้วมัน “ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน” มันมีตัวตนแต่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เข้าใจไหมคะ ทำไมถึงไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน เพราะผลที่สุดต้องเป็นอย่างนี้ มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
ฉะนั้นเมื่อมันมีตัวขึ้นมา ก็จงใช้มัน มีแล้วก็ใช้มัน ใช้ไปชีวิตนี้ ใช้ให้มันถูกต้อง ใช้ให้มันเกิดประโยชน์ เกิดประโยชน์แก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง เกิดประโยชน์แก่การงานที่ทำ และเกิดประโยชน์กับตัวเอง เกิดประโยชน์กับตัวเองยังไง คือตัวเองจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์ในการกระทำ ใช้ไป ถ้าเรารู้จักใช้อย่างนี้ จะไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาก จะไม่เบื่องาน ไม่ขี้เกียจทำ ไม่ต้องมาบ่นว่าเมื่อไหร่จะได้ออกเสียที แล้วก็อยู่ไป เมื่อไหร่จะได้ออกสักที แล้วก็อยู่ไปเรื่อยและก็บ่นไปเรื่อย ไม่มีความสุขในการทำงาน บ่นไปทำไป บ่นไปทำไป มันก็บั่นทอนกำลังใจของตัวเอง หมดไปทุกที ๆ
เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้ รู้จักใช้ชีวิตอย่างที่มีสติ การใช้ชีวิตอย่างที่มีสติ นั่นก็คือ จะมองเห็นความจริง สภาวะความจริงของชีวิตอยู่เสมอว่า แท้ที่จริงแล้ว ชีวิตมันเป็นอย่างนี้เอง มันเป็นสิ่งที่เป็นตัวธรรมชาติ มันเป็นสิ่งที่จะต้องพัฒนาและพัฒนาได้ด้วย พัฒนาให้มันถูกต้อง มันเป็นสิ่งที่ขอยืมเขามา ชีวิตนี้มันต้องต่อสู้ ก็สู้ล่ะ แต่ว่าจะต้องสู้เอาชนะ เอาชนะศัตรูตัวตัวฉกาจคืออะไร
ผู้ดำเนินรายการ: กิเลส
อุบาสิกา คุณรัญจวน: กิเลส บริจาคมันออกไป บริจาคทำทาน โลภะ โทสะ โมหะ ทำทานมันออกไปสิ อย่าเอามันเข้ามา เพื่อที่จะทำชีวิตนี้ให้ถึงที่สุดของการเดินทางของชีวิต นั่นแหละคือสิ้นสุดของการดิ้นรน
เพราะฉะนั้น งามอยู่ที่ซากผี ก็หมั่นดู หมั่นดูซากผี อย่าดูด้วยความกลัว อย่าดูด้วยความรังเกียจ แต่หมั่นดู ดูเพื่อให้เข้าใจ ดูให้รู้สึก รู้สึกมองจนกระทั่งเห็นความจริงจนวันหนึ่งเกิดความรู้สึกขึ้นมาในใจว่า ที่ไหน ที่ไหนเขาจะให้เรายึดถือ ยึดถือเอาเป็นจริงเป็นจัง มันอยู่ที่ไหน
ผู้ดำเนินรายการ: ซากของเราก็ยึดไม่ได้
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ที่ไหนล่ะซาก ที่นี่ที่มันเหลือแขวนอยู่เพราะเขาเก็บระวังรักษาไว้ แต่วันหนึ่ง มันก็จะต้องสูญสลายไปแน่นอนตามเหตุตามปัจจัย มันคงไม่อยู่อย่างนี้จนชั่วฟ้าดินสลาย แต่นี่มันยังอยู่ตามเหตุตามปัจจัย มันก็ไม่มีอะไรจะให้เราดู ถ้าเรามองเห็นว่า มันเป็นความหมุนเวียนตามธรรมชาติ เกิดจากธรรมชาติ มาจากธรรมชาติ แล้วก็จะกลับคืนสู่ธรรมชาติ คนเราก็จะอยู่ด้วยกันด้วยความรักใคร่กัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เมตตากรุณาต่อกัน ไม่เบียดเบียนกัน แล้วชีวิตนี้ก็จะเป็นชีวิตที่มีความสุข สงบร่มเย็นสมกับความปรารถนาของมนุษย์ทุกคน
ธรรมสวัสดีค่ะ