แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ธรรมสวัสดีค่ะ ธรรมสวัสดีทุกคนนะคะ เป็นยังไงคะวันนี้ อาการดีขึ้นไหม เมื่อหันไปมองดูสิ่งที่แขวนอยู่ข้างหน้า เปรียบเทียบกับวันก่อน
ผู้ดำเนินรายการ: ก็ไม่ได้กลัว รู้สึกว่าคุ้นกับมัน
อุบาสิกา คุณรัญจวน: คุ้นยังไง คุ้นในจุดไหนในประเด็นไหน
ผู้ดำเนินรายการ: ต่อไปต้องเป็นอย่างนี้
อุบาสิกา คุณรัญจวน: พูดเล่นหรือพูดจริง
ผู้ดำเนินรายการ: จริง
อุบาสิกา คุณรัญจวน: จริงที่ตรงไหน
ผู้ดำเนินรายการ: เราก็หนีไม่พ้น กฎเกณฑ์
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ที่ว่าพูดจริงนี่จริงที่ไหน จริงที่ปากหรือจริงที่ใจ
ผู้ดำเนินรายการ: ใจรู้สึกว่า ก็ปลงได้แล้วล่ะ ถ้าจะปลงได้
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ขอให้ปลงให้ได้จริงๆ ปลงให้มันมองเห็น แต่ปลงนี่ไม่ได้หมายความว่า ปลงแล้วมืออ่อนเท้าอ่อนไม่ใช่อย่างนั้น แต่ยิ่งปลงยิ่งเข้มแข็ง ยิ่งปลงยิ่งมีความหนักแน่นมั่นคงในจิตขึ้นทุกที เพราะมันสามารถอยู่กับความจริงได้ มันไม่ได้อยู่กับความหลอกลวงเหมือนเมื่อก่อน ถ้าเราอยู่กับความหลอกลวงนี่จิตใจมันวับๆ หวำๆ มันไม่แน่ใจ ว่าอะไรเป็นของจริง แต่ถ้าเราเห็นจริงได้เมื่อไหร่ นั่นแหละ เราจะพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ ปัญญาเกิดขึ้น แล้วก็จะดำเนินชีวิตด้วยวิธีใด มันก็จะเป็นไปด้วยความไม่ประมาท จะมีแต่ความรอบคอบในการที่จัดการชีวิตของตนให้เกิดประโยชน์ยิ่งขึ้น ทีนี้ในนี้นี่ ก็จะมองเห็นว่า นอกจากงามอยู่ที่ซากผี ก็ยังมีต่อไปว่า “ดีอยู่ที่ละ พระอยู่ที่จริง นิพพานอยู่ที่ตายก่อนตาย”
“ดีอยู่ที่ละ” อยู่ที่ตรงไหน ดีอยู่ที่ละ มีความหมายว่าอย่างไร ก็เพราะเราไม่ได้บอกว่าดีอยู่ที่ละ เราไม่เข้าใจ ดีอยู่ที่ละ หมายความว่าอย่างไร ละแล้วมันจะดีได้ไง ความหมายที่ท่านบอกว่าดีอยู่ที่ละ คือยังไง ลองนึกดูสิคะ ละกิเลส บริจาคทาน อย่างที่ว่าแล้ว ใครที่สามารถบริจาคทาน ให้ทานโลภะ ให้ทานโทสะ ให้ทานโมหะออกไปให้มากที่สุด เมื่อเราโลภอยากจะได้ ลองฝืนใจ บังคับใจ แทนที่จะดึงเอามาเป็นของเรา ยอมยกให้เขาไปเสีย เอาง่ายๆ แต่ได้ของที่เป็นวัตถุที่เป็นของกิน นี่อร่อย ลิ้นจี่ ฉันชอบมากเลย เขาเพิ่งส่งมาให้ แหมสดๆ ลูกงามๆ แหมมันอยากกินจริงๆ เขาส่งมาให้ เรียกว่าพวงใหญ่ช่อใหญ่เชียว เอาเถอะ อยากก็ลูกเดียว อีกนั่นน่ะ ลองบริจาคให้คนที่เขาไม่เคยกิน ไหวไหม
ผู้ดำเนินรายการ: ของอร่อย ราคาก็แพง
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ดียังไม่เกิดเพราะยังละไม่ได้ ยังละความโลภไม่ได้ ในขณะที่เรากำลังยื้อแย่งยื้อแย่งกันนั่นนะคะ ถ้าใครเป็นนักวิเคราะห์นักสังเกต จะเห็นความยื้อแย่งในใจ สนุก ในขณะที่ใจมันชักกะเย่อ ถ้าเราดูด้วยสติเราจะรู้สึกสนุกมากเลย สนุกทีเดียวที่มันยื้อแย่งกัน มันจะเอาหรือไม่เอา มันจะเอาหรือไม่เอา มันจะให้ได้หรือให้ไม่ได้ จะชนะหรือไม่ชนะนี่ เราจะต้องดู แล้วมันจะสนุกมาก ถ้าเราสามารถที่จะดูอย่างนั้นได้ เพราะฉะนั้นการบริจาค ถ้าเราฝึกบริจาค บริจาคการให้ ให้โลภะออกไป ให้โทสะออกไป ให้โมหะออกไป ให้มากที่สุดที่จะมากได้นี่ พอโกรธหน้ามันชักจะแดง ตัวมันชักจะสั่น เสียงมันชักจะดัง ก็ลองวาดภาพงามไหม ไม่งามเลย คิ้วอย่างไรก็อย่างนั้น น่ากลัว ถ้าหากว่าเราละมันเสียได้ เราละความโกรธที่กำลังพุ่งแรงขึ้นมาเสียได้ ปล่อยให้มันออกไปทีละน้อยๆๆๆ แน่นอนที่สุด
ผู้ดำเนินรายการ: เขาบอกให้นับ 1-10
อุบาสิกา คุณรัญจวน: นับ 1-10 แล้วยังไม่อยู่ก็ไปถึงร้อย ร้อยไม่อยู่ก็ไปถึงพัน พันไม่อยู่ก็ถึงหมื่น มันต้องหยุดแน่ๆ เพราะมันเหนื่อย นับไปมันเหนื่อย เหนื่อยเข้าเหนื่อยเข้าความโกรธมันก็ค่อยจางไปๆๆ ดีเกิดขึ้นแล้วใช่ไหมคะ แทนที่เราจะต้องไปทะเลาะเบาะแว้งกับเขา บางคนถึงกับตีกันหัวร้างข้างแตก เสียเงินเสียทอง หรืออย่างข่าวในหนังสือพิมพ์ ผู้อำนวยการที่ไหนจำไม่ได้ ขับรถมา ตำรวจจราจรเข้าไปต่อว่าห้ามในเรื่องการขับรถ ว่ากันไปคนละคำสองคำชักปืนมายิงกันคนละเปรี้ยง เสร็จด้วยกันทั้งคู่ เห็นไหม ผลที่สุดก็กลับไปสู่ความจริง แต่ว่าในขณะที่กลับไปสู่ความจริงนั้นหาได้ไปด้วยความรู้สึกความจริงไม่ เพราะยังไม่รู้จักความจริง ฉะนั้นอันนี้ ถ้าหากว่าเราดูและก็เราหมั่นละ ความดีหรือดีจริงๆ นี่จะเกิดขึ้นแน่ๆ คือดีอันนี้ดีอยู่ที่ไหน หมายความว่าอย่างไร ดีอยู่ที่ใจ คือใจนี่จะเป็นยังไง
ผู้ดำเนินรายการ: ไม่ต้องวุ่นวายสับสนเหมือนเมื่อก่อน
อุบาสิกา คุณรัญจวน: เยือกเย็นผ่องใสยิ่งขึ้น คือดีอยู่ตรงนี้ ถ้าหากว่าสามารถจะละได้ ดีอันนี้ก็จะเกิดขึ้นด้วยความผ่องใส จิตใจจะผ่องใสยิ่งขึ้น มันดีตรงที่ใจ ไม่ได้ดีเป็นเงินเป็นทอง ทีนี้บอกว่า “พระอยู่ที่จริง” ก็อยากจะขยายความตามความเข้าใจว่า พระอยู่ที่จริงก็คืออยู่ที่การปฏิบัติจริง ปฏิบัติอะไร ปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติด้วยการละ ปฏิบัติด้วยการลด ลดละความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลายทั้งปวงให้ลดน้อยลง ฉะนั้นความเป็นจริง จริงของพระไม่ได้อยู่ที่อย่างอื่น ไม่ได้อยู่ที่เครื่องครองที่เรามองเห็น แต่อยู่ที่การปฏิบัติจริง ปฏิบัติจริงคือปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง ปฏิบัติดำเนินตามรอยขององค์สมเด็จพระบรมศาสดา สามารถเป็นตัวอย่างให้แก่พุทธบริษัททั้งหลาย โดยให้แก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายได้มองเห็นว่า เกิดมาเป็นคนควรจะพัฒนาจิตอย่างไรจึงจะสามารถเข้าสู่ความเป็นมนุษย์และเป็นมนุษย์ที่มีความสุข มีความสุขอย่างแท้จริงเกิดขึ้นในชีวิตได้
ทีนี้ข้อสุดท้าย “นิพพานอยู่ที่ตายก่อนตาย” ส่ายหน้า ส่ายหน้าหมายความว่าอะไร ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจความหมายของคำว่า นิพพาน เสียก่อน โดยมากพอพูดถึงคำว่านิพพานเรามักจะกลัว กลัวนิพพาน ที่กลัวนิพพานนี่ เห็นจะเกิดจากที่เราไม่รู้ว่านิพพานอยู่ที่ไหนใช่ไหมคะ ตั้งแต่สมัยเรายังเล็กๆ ได้ยินคุณปู่ย่าตายายบอกเราพูดถึงนิพพาน เรานึกว่ามันเหมือนกับสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งก็ไม่รู้ ไกลโพ้น ไกลจนกระทั่งไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แล้วก็บอกว่านั่นแหละคือนิพพาน เหมือนกับเป็นสถานที่อันใดอันหนึ่ง แล้วก็ถ้าหากว่าพูดถึงนิพพานน่ะต้องเดินทางเพื่อไปสู่สถานที่นั้น นี่ถ้าจะว่าไปแล้วมันก็เป็นความเข้าใจผิดเหมือนกัน เพราะความรู้สึกของความเป็นนิพพานนี่ มันเกิดขึ้นที่ไหนทราบไหมคะ มันเกิดขึ้นที่ไหน ความรู้สึกของความเป็นนิพพานมันเกิดขึ้นที่ไหน มันเกิดขึ้นที่ใจ มันอยู่ที่ใจ ฉะนั้นความหมายของนิพพานโดยความหมายของมันก็แปลว่า เย็น
อะไรที่เย็นนี่ก็สิ่งนั้นโดยทางความหมายของคำศัพท์ก็จะบอกว่านิพพานได้ เหมือนอย่างที่เจ้าประคุณท่านอาจารย์ท่านก็จะอธิบายให้ฟังง่ายๆ ว่า เหมือนอย่างข้าวที่ยกลงจากเตาใหม่ๆ แล้วก็ยังร้อนอยู่ เราใส่ปากได้ไหม ไม่ได้ มันจะลวกปากใช่ไหม เราก็ต้องวางคอยไว้ ให้มันเย็นลงขนาดพอเหมาะที่เรากินได้ ถ้าหากว่าเราจะใช้คำว่านิพพานนะ อ๋อ...ข้าวนิพพานแล้ว คือข้าวเย็นแล้ว มารับประทานกันเถอะอย่างนี้ เพราะงั้นความหมายของนิพพานนี่มันแปลว่าเย็น เมื่อเรามาใช้กับภาวะของจิตก็หมายถึง ขณะใดที่จิตที่มันเคยร้อนรน ดิ้นรน กระเสือกกระสน กระวนกระวายอยู่ตลอดเวลา มันเกิดความเย็น เกิดความเย็นขึ้นมาในจิต แต่ความเย็นอันนี้มันเกิดเพราะมีความรู้ที่ถูกต้อง นี่เพราะเห็นแล้วว่างามอยู่ที่ซากผี พองามอยู่ที่ซากผีนี่ ความดิ้นรนที่จะเอาด้วยความอยากให้ได้ๆๆ มันหยุดลง มันรู้สึกไม่รู้จะเอาไปทำไม มีก็เท่านั้น เป็นมาแล้วก็เท่านั้น ได้มาแล้วก็เท่านั้น ไม่เห็นมีอะไรที่จะรักษาไว้ได้ มันมีแต่เกิด ดับ ได้มาแล้วก็เปลี่ยนไป มาแล้วก็ไป มาแล้วก็ไป พอเราดูลงไปอย่างนี้ชัดเข้าๆๆ ในขณะนั้นจิตมันก็เย็นลงเย็นลงเย็นลง ใช่ไหมคะ เพราะมันไม่มีไฟจุด นั่นแหละ ท่านเรียกว่า สภาวะของจิตในขณะนั้นเป็นสภาวะแห่งความเป็นนิพพาน คือมีความหมายว่าความเย็นเกิดขึ้น
แต่อย่างเราๆ ที่เป็นปุถุชนนี่มันก็อาจจะเย็นได้สักนิดหนึ่ง ใช่ไหมคะ สักประเดี๋ยว 1นาที 2 นาที ประเดี๋ยวก็กลับมาร้อน แต่อย่างน้อยที่สุดก็ยังดีใช่ไหม เรายังมีโอกาสได้ลิ้มชิมรส อ๋อที่เย็น มันเป็นความเย็นอย่างนี้ เป็นความเย็นที่ต่างจากความเย็นที่เกิดจากการกินน้ำแข็ง ต่างจากความเย็นที่อยู่ในห้องแอร์คอนดิชัน แอร์คอนดิชันความเย็นของมันบางทีต้องใส่เสื้อหนาว ใส่เสื้อสเวตเตอร์อยู่ในห้องแอร์ แล้วมีประโยชน์อะไรความเย็นอย่างนั้น มันเกินความจำเป็นเพราะมันไม่ได้อยู่ในความพอเหมาะพอดี หรือกินน้ำแข็ง พอใส่เข้าไปคือดื่มเข้าไปนี่ มันก็รู้สึกว่าเย็น แล้วประเดี๋ยวมันก็มีความร้อนวาบตามมา ประเดี๋ยวก็ไปหาน้ำแข็งมาดื่มใหม่อีก นี่เรียกว่า ไม่รู้แล้ว แต่ความเย็นอันนั้นมันเกิดขึ้นเพราะมันสมใจอยาก เหมือนรู้สึกร้อน ไปทำงานมาร้อนๆ หรือว่าเดินกลางแดดมาร้อนๆ ได้กินน้ำแข็งสักแก้วชื่นใจ ประเดี๋ยวก็เอาอีกแล้ว นี่แหละมันเย็นสมใจอยาก ฉะนั้นความเย็นอย่างนี้มันมีความร้อนปนอยู่ แต่ที่เย็นอย่างชนิดที่ว่านิพพานเพราะมันเย็นเนื่องจากความหยุด มันเย็นที่มันเกิดจากความหยุด หยุดอะไร หยุดอะไร หยุดอยาก ถูกแล้ว หยุดอยาก หยุดเอา มีความเย็นที่เกิดจากความหยุด หยุดอยาก หยุดเอา หยุดยื้อแย่ง หยุด แต่คำว่าหยุดในที่นี้ไม่ใช่นั่งเฉยๆ ยังมีหน้าที่การงานอะไรที่สมควรทำก็ทำต่อไป ทำให้ดีที่สุดเต็มฝีมือความสามารถเพื่อให้มันเกิดประโยชน์แก่งาน
ยังคงทำอยู่เสมอ แต่ว่าใจนี้มันหยุดที่จะยื้อแย่ง หยุดที่จะเบียดเบียน
เพราะฉะนั้นความเย็นอย่างนี้เป็นความเย็นที่ท่านเรียกได้ว่าเป็นสภาวะของนิพพาน แม้ว่าจะชั่วขนาดไหน แม้ว่าจะชั่วขนาดไหนก็ยังดี เรายังได้ลิ้มชิมรส เพราะครูชอบนึกบอกตัวเองว่าเราสะสมความเย็นอย่างนี้เอาไว้เถอะ เหมือนกับเราสะสมเงินฝากธนาคาร ฝากออมสิน จะมีร้อยฝากร้อย มีพันฝากพัน แล้วก็มีหลายพันก็ฝากหลายพัน มีหมื่นฝากหมื่น มีแสนฝากแสน ลืมๆ ก็วันหนึ่งกลายเป็นมหาเศรษฐีโดยไม่รู้ตัว ถ้าเราทำอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ผลบุญนะ ผลของความละ การที่เราละความอยาก เราหยุดความอยาก เปรียบกับวัตถุเราก็ฝากเอาไว้ ความเย็นทีแรกเราก็ได้นิดเดียว สมมติว่าสัก 1 นาทีแล้วต่อไปมันอาจจะขยายเป็น 2 นาที ต่อไปอีกคราวอาจจะเป็น 3 นาที 5 นาที 10 นาที เป็นชั่วโมง บางทีก็อาจจะเย็นได้ตลอดวัน เย็นได้เป็นอาทิตย์ เย็นได้เป็นเดือน นี่ สภาวะของนิพพานมันก็เกิดขึ้น แล้วถ้าเกิดขึ้นแล้วเรามีความรู้อยู่แล้วเราก็ใคร่ครวญอยู่ เราก็ย่อมจะติดใจ นั่นแหละค่ะ เราลิ้มรสของนิพพาน ความเย็นอย่างนี้หาไม่ได้ง่ายๆ และไม่มีใครทำให้ได้ด้วย มันก็เกิดความอิ่มใจ พอใจ อยากจะเย็นอย่างนี้อีกมากๆ ใช่ไหม
คนที่เข้าป่า ไปเที่ยวเขาเที่ยวทะเลก็เพราะอยากเย็น แต่นั่นเป็นความเย็นข้างนอก แล้วพอออกจากป่าเข้าสู่เมือง ร้อนอีกแล้ว เพราะอะไร เพราะความเย็นที่เราเอาเข้ามานี่มันเป็นความเย็นข้างนอก แต่ถ้าความเย็นข้างในนี่แล้วล่ะก็ แม้จะอยู่ในที่ร้อน มันก็รักษาอุณหภูมิความเย็นข้างในมันจะแผ่ซ่าน แผ่ซ่านออกไปทั่วหมด ไม่เฉพาะแต่เพียงทั่วในกายนี้เท่านั้น แต่มันจะแผ่ซ่านออกไปถึงคนอื่นด้วย เพราะฉะนั้น ใครที่มีความเย็นถึงมีคนที่อยากอยู่ใกล้ เหมือนอย่างเวลาที่เราบอกว่า อุ๊ย..ฉันไม่อยากอยู่ใกล้คนนั้น เพราะว่าเข้าไปใกล้แล้วมันร้อน ความร้อนในใจของเขานี่มันแผ่ซ่านถึงคนอื่น มันสะท้อนไปถึงคนอื่นทำให้คนอื่นร้อนด้วย แต่ถ้าหากว่าคนนั้นมีความเย็นในใจ มันก็แผ่ซ่านไปถึงคนอื่น ช่วยให้คนอยู่ใกล้เกิดความเย็นด้วย เพราะฉะนั้นก็อยากจะให้เข้าใจความหมายของนิพพานให้ถูกต้อง เพราะ นิพพานแปลว่าเย็น
ถ้าหากว่าเรารู้สึกอย่างนี้ คือถ้าหากว่าเรารู้จักนิพพานอย่างนี้ เราจะกลัวนิพพานไหม ไม่ต้องกลัว เพราะคนบางคนที่กลัวนิพพานกลัวว่านิพพานแล้วนี่มันจะไปจากใครๆ ไปจากอะไรเสียหมด มันคล้ายๆ กับมันจะอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่ เพราะความเย็นอย่างนี้ที่มันเกิดขึ้นในจิต ถ้าสามารถทำได้แล้วมันยังความเย็นให้เกิดขึ้นแก่ผู้อื่นได้ แล้วเราก็ยังอยู่อย่างนี้ อยู่บ้านอย่างไร ก็อยู่อย่างนั้น เคยทำงานอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ไม่ต้องแยกแยะใครที่ไหน แต่ว่าข้างในมันเย็นอยู่ตลอดไป ทีนี้ถ้าจะบอกว่า นิพพานอยู่ที่ตายก่อนตาย จะนิพพานได้ต้องอยู่ที่ตายก่อนตาย กลัวอีกแล้วใช่ไหม นิพพานนี่ต้องอยู่ที่ตายก่อนตาย ไม่มีใครอยากตาย อุตส่าห์กระเสือกกระสนดิ้นรนทำอะไรต่ออะไรนี่ก็อยากให้อายุยืน ใช่ไหมคะ ไปสะเดาะเคราะห์ ไปหาพระ เวลาใครบอกกำลังเคราะห์ร้าย ทำบุญ กรวดน้ำ รดน้ำมนต์ต่างๆ สารพัด เพื่อให้อายุยืน มีการต่ออายุเพื่อให้อายุยืน เรายังไม่อยากตาย อันที่จริงที่เราไปต่ออายุนี่ อายุของอะไร
ผู้ดำเนินรายการ: ตัวเลข
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ชีวิตประกอบด้วยอะไร กายกับจิต นั้นที่เราต่ออายุนี่ต่ออายุของอะไร ของกาย ของร่างกายนี้มันอยู่ต่ออย่าเพิ่งหยุดหายใจ ใช่ไหม กลัวจะหยุดหายใจเดี๋ยวจะไม่ได้กิน ไม่ได้เล่น ไม่ได้เที่ยว เดี๋ยวจะต่ออายุเสีย ต่ออายุไว้ก่อน ให้กายนี้มันอยู่ก่อนมันจะได้กินได้เล่นได้เที่ยวต่อไป แต่หารู้ไม่ว่ากายนี้ที่มันกินเล่นเที่ยวต่อไปนี่มันเที่ยวด้วยความร้อน มันอยู่ด้วยความร้อนตลอดเวลาใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นที่ท่านบอกว่า นิพพานอยู่ที่ตายก่อนตาย ก็แน่นอนที่สุดไม่ได้หมายความว่าเป็นความตายของกาย กายนี้ยังอยู่ ยังมีลมหายใจอยู่ ยังเคลื่อนไหวได้ ยังไปไหนทำอะไรต่ออะไรได้ แต่ให้ตายก่อนตาย ตายอะไร ตายจากอะไร ตายจากความอยาก มันมีความอยากเพราะอะไร ใครอยาก จิตของใคร ของเรา ของฉัน ของตัวฉัน เพราะฉะนั้น ตายจากอะไร จากความอยาก อยากของใคร อยากของฉัน ฉันนี่มาจากไหน มีไหม
ก็เราบอกแล้วว่างามอยู่ที่ซากผี มันไม่มี ใช่ไหมคะ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ทรงสอนถึงเรื่องของ อนัตตา เรามีตัวตนจริงแต่มันหาใช่ตัวตนไม่ มันเป็นเพียงสิ่งสักว่าเท่านั้นเอง ฉะนั้นเราก็ต้องดูว่า หยุดอยาก ก็คือหยุดความยึดมั่นถือมั่น หยุดความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน ว่ามีตัวมีตนว่าเป็นฉัน นี่ก็อาจจะว่าทำยังไงจะไปเห็น ก็นี่จับก็ได้ จับก็รู้สึก หยิกก็เจ็บ ทำอะไรกันเขาพูดกันก็ได้ยินก็รู้เรื่องกันอยู่อย่างนี้ แล้วจะบอกไม่ใช่ฉันได้ยังไง ก็เอาเถอะ ท่องไปก่อนก็แล้วกัน เริ่มต้นด้วยการท่องก็ยังดีกว่าท่องอย่างอื่นใช่ไหมคะ ยังดีกว่าท่องอย่างอื่น ยังดีกว่าท่องเรียงเบอร์ว่างั้นเถอะ ท่องไปก่อน ท่องนี่ไปก่อน นี่ ท่องไปแล้วก็ดูไป ท่องไปแล้วก็ดูไป ไม่ช้า "งามอยู่ที่ซากผี งามอยู่ที่ซากผี งามอยู่ที่ซากผี" เอานี่เป็นคำบริกรรม เชื่อไหมพอจะโกรธ พอบอกงามอยู่ที่ซากผีไม่รู้จะไปโกรธผีที่ไหน ผีนี่ก็ผีกำลังพูด แล้วจะไปพูดกับผีที่ไหน มันไม่รู้จะไปพูดกับใคร ถ้าเราบอก เออ..งามอยู่ที่ซากผี งามอยู่ที่ซากผี ถ้าหากว่าใครสามารถเอามันเป็นคำบริกรรมได้ นี่แหละ ฝึกนิพพาน ตายก่อนตาย
ตายก่อนตาย มันเย็นไปในตัวโดยไม่ต้องสงสัย
มันต้องเย็นไปในตัวแน่ๆ ฉะนั้น ตายก่อนตายในที่นี้ ก็หมายถึง การตายของจิต คือความตายของจิตที่ดิ้นรน จิตที่ร้อนรนกระวนกระวายกระเสือกกระสนจะเอาโน่นเอานี่อยู่ตลอดเวลา นี่ตายเสียจากความอยาก ตายเสียจากความยึดมั่นถือมั่น หากว่าจิตนี้มีแต่ความอิ่มความพอใจในการกระทำที่แน่ใจแล้วว่า ได้กระทำอย่างถูกต้อง สิ่งที่กระทำนั้นเป็นสิ่งที่กระทำอย่างถูกต้อง แล้วอย่าลืมว่าถูกต้องนี้ ถูกต้องโดยธรรม โดยธรรมะ บนพื้นฐานของธรรมะ ไม่ใช่โดยไม้บรรทัดของใครเอามาวัดนี่นะคะ ไม่ใช่โดยมาตรฐานของใครแต่มาตรฐานของธรรมะ นั่นคือความถูกต้องที่จะเกิดประโยชน์แก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง ถ้าสมมติว่าเรากระทำได้อย่างนี้ สุดฝีมือความสามารถเสมอเพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่จะเกี่ยวข้องและตัวเราก็ไม่ทุกข์ เรามีสิทธิที่จะภาคภูมิใจ อิ่มใจ พอใจ ในการกระทำนั้น มันก็มีแต่ความเย็น ใช่ไหมคะ
ผู้ดำเนินรายการ: อย่างนี้คนที่เขาโลภก็กอบโกยได้สบายสิครับ เราก็ละหมด เขาก็เอาสบาย
อุบาสิกา คุณรัญจวน: เปล่า นี่เข้าใจผิดแล้ว เมื่อกี๊นี้ยังบอกเลยบอกว่า เรามีหน้าที่อะไรเราก็ทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด ใช่ไหมคะ ให้ดีที่สุดเต็มฝีมือความสามารถ ถ้ามีหน้าที่ป้องกัน รักษา สิ่งที่ควรจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม แก่สังคม แก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง ก็ทำ ทำอย่างดีที่สุดอยู่เสมอ แต่ภายในใจนั้น ไม่ทำด้วยโทสะ ไม่ทำด้วยโมหะ ไม่ทำด้วยโลภะที่จะเอาชนะ เพื่อว่าให้ฉันเป็นคนเก่ง ฉันเป็นคนดีเป็นคนสามารถ เพราะฉะนั้น ยังคงทำอยู่ ก็เชื่อว่า ใครจะมาคิดเบียดเบียนก็ย่อมจะต้องระมัดระวัง จะทำไม่ได้ง่ายๆ เพราะว่าผู้ที่ฝึกใจให้นิพพานให้ตายก่อนตายนี้เป็นการนิพพานด้วยสติและปัญญา ด้วยการหยุดความอยาก ด้วยการหยุด ลด ละอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น จิตมันก็มีความเย็น มีความเย็นอันมีพลัง มีพลังมีกำลังพร้อมทั้งสติและปัญญา เพราะฉะนั้น มันว่องไวมากในการที่จะทำการงาน จะได้ประโยชน์อย่างยิ่ง ก็ขอฝากให้ลองไปใคร่ครวญดูนะคะ นิพพานอยู่ที่ตายก่อนตาย หมายความว่าอะไร ใคร่ครวญแล้วจะเห็น แล้วชีวิตนี้ก็จะเป็นสุขสมปรารถนา
ธรรมสวัสดีค่ะ