แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ธรรมสวัสดีค่ะ ดิฉันคิดว่า ในตอนนี้อยากจะขอเชิญชวนท่านผู้ฟังทุกท่าน ลองทำจิตใจให้สงบ ว่างจากภาระทั้งปวงเป็นเวลาสัก ๒๐ นาทีเท่านั้นเองนะคะ ลองให้เวลาแก่จิตของตนเองให้ได้มีโอกาสพักบ้าง ชีวิตของคนเราประกอบด้วยกายและจิต ตามที่เราทราบกันแล้วทุกท่าน แต่ก็ตลอดเวลาอีกเหมือนกันที่เราให้โอกาสแก่กายเท่านั้นได้พัก ได้นั่งพักได้นอนพัก ได้นอนหลับ แต่ว่าส่วนจิตนี้ทั้ง ๆ ที่เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งของทางกาย เป็นสิ่งที่บงการชีวิตของมนุษย์อยู่ตลอดเวลา
จิตสำคัญต่อกายเพราะอะไร เพราะมันจะบงการกายให้กระทำผิดก็ได้ ให้กระทำถูกก็ได้ เราไม่ได้ให้เวลา ไม่ได้ให้โอกาสแก่จิต ในขณะที่กายมีโอกาสพัก จิตไม่มีโอกาสพักผ่อนเลย จิตต้องทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา ทำงานหนักตลอดเวลาอย่างไร เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจิตนี้ทำงานหนัก ก็เพราะว่า แม้แต่เวลาที่จะนั่งอยู่คนเดียวเฉยๆ จิตนี้ก็ยังไม่สงบนิ่งมันจะคิดวุ่นวายไปกับสิ่งนู้น วุ่นวายไปกับสิ่งนี้โดยตลอด เรียกว่านั่งอยู่ตรงนี้ แต่จิตนั้นไปเที่ยวรอบโลก แต่ในการที่ไปเที่ยวนั้น ประเดี๋ยวก็เที่ยวด้วยความร้อน ประเดี๋ยวก็เที่ยวด้วยความตื่นเต้นลิงโลด ประเดี๋ยวก็เที่ยวด้วยความห่อเหี่ยวเศร้าหมองแห้งแล้ง สารพัดจะเปลี่ยนไป นี่เรียกว่า จิตทำงานตลอดเวลาไม่ได้พักผ่อน น่าสงสาร น่าสงสารจิตใช่ไหมคะ
ทั้ง ๆ ที่เราเรียกร้อง เราบ่นหาความสุข อยากจะได้มีความสุขให้เกิดขึ้นข้างใน แต่เมื่อเราไม่ได้ให้โอกาสจิตพัก แล้วจิตจะเกิดพลังที่จะนำความสงบ สร้างสรรค์ความสงบให้เกิดขึ้นในจิตได้อย่างไร เพราะฉะนั้น โอกาสที่เราควรจะให้แก่จิตก็คือ สักวันนึง คือสักเวลาในวันหนึ่ง จะเป็นเวลา ๑๐ นาที ๑๕ นาที ๒๐ นาที ตามแต่จะสละได้ ลองกำหนดจิตให้อยู่กับลมหายใจ เริ่มแรก เราอาจจะไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ลมหายใจเข้า เมื่อไหร่ลมหายใจออก ก็ไม่เป็นไร หายใจให้ยาวลึก ช้าๆ อย่างนี้นะคะ ลมหายใจเข้า ออก ลึก ช้าๆ ทั้งเข้าและออก เราก็จะต้องรู้สึกเองเมื่อลมหายใจเข้า ทำความรู้สึก กำหนดความรู้สึกลงไปที่ลมหายใจนั้น ตามลมหายใจนั้นตลอดสาย ลมหายใจเมื่อเข้าสู่กายจะไปถึงไหน กำหนดความรู้สึก คือกำหนดจิตลงไปที่ความรู้สึก ตามลงไปให้ตลอดสาย พอถึงเวลาจะออก กำหนดจิตให้รู้ว่าลมหายใจจะออก แล้วก็ตามลมหายใจที่ออกนั้นตลอดสาย แล้วก็ต้อนรับลมหายใจที่เข้า แล้วก็ตามไปอีกตลอดสาย เรียกว่าลมหายใจไปไหนให้จิตไปด้วย ผูกจิตไว้กับลมหายใจ เป็นการผูกที่มีประโยชน์ ทำไมจึงว่าเป็นการผูกที่มีประโยชน์ ก็เพราะเหตุว่า เมื่อจิตอยู่กับลมหายใจ จิตก็ไม่สามารถจะฟุ้งซ่านไปที่ไหนได้ มันจะตัดความวิตกกังวล ความยุ่งเหยิง ความหนักอกหนักใจ ความยึดมั่นถือมั่น ความเศร้าหมองเสียใจในขณะนั้นจะไม่สามารถเข้ามาในจิตได้ เพราะจิตมันอยู่กับลมหายใจเสียแล้ว มันก็ไม่มีโอกาสไม่มีที่ว่างสำหรับสิ่งที่จะก่อเกิดปัญหาให้เกิดขึ้นในจิตสอดแทรกเข้ามาได้
เพราะฉะนั้น จงกำหนดจิตให้อยู่กับลมหายใจทุกขณะ กำหนดจิตให้อยู่กับลมหายใจทุกขณะ รู้ทุกขณะที่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก แล้วเราจะรู้สึกว่า จิตนี้มีโอกาสได้พัก จิตนี้มีโอกาสได้พักมากยิ่งขึ้นตามลำดับ แม้ว่าบางท่านอาจจะบอกว่า ไม่มีเวลาจริงๆ ทั้งที่บ้านทั้งที่ทำงานที่จะมานั่งกำหนดจิตให้อยู่กับลมหายใจ ไม่มีเวลาจริงๆ เพราะอะไร ก็เพราะ เหตุว่ามันมีกิจจำเป็นที่จะต้องทำอยู่ทุกขณะ ถ้าเช่นนั้นนะคะ ไม่ว่าจะทำอะไร จะนั่ง เดิน ยืน นอน จะทำกับข้าวอยู่ที่บ้าน จะถูบ้านจะกวาดบ้าน จะเข้าห้องน้ำ หรือจะรับประทานอาหาร หรือว่าไปที่ทำงานจะต้องกำลังทำงานอยู่ จะต้องทำงานอยู่กับสิ่งใดก็ตาม แต่เราก็ยังหายใจอยู่ เพราะฉะนั้น ก็จงกำหนดจิตให้รู้ลมหายใจอยู่ทุกขณะ ทุกอิริยาบถของการ เดิน ยืน นั่ง นอน เพราะอิริยาบถของมนุษย์ก็มีอยู่ ๔ อย่างเท่านี้เอง คือ ยืนบ้าง เดินบ้าง นั่งบ้าง นอนบ้าง ฉะนั้นจะอยู่ในอิริยาบทใดไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือ จงรู้สึกอยู่ในอิริยาบทนั้น กำหนดจิตอยู่ที่ลมหายใจ เอาลมหายใจเป็นอารมณ์ให้จงได้ทุกขณะจิต นี่ก็เรียกได้ว่า จิตจะมีสติเกิดขึ้น จะเป็นจิตที่มีความสงบ จะมีความรู้สึกยั้งคิด การทำงานก็จะเป็นการทำงานที่ราบรื่นด้วยจิตใจอันผ่องใส ปัญหาที่เคยพรั่งพรูเข้ามา ก็ดูเหมือนจะลดน้อยลง แล้วก็หน้าตาที่เคยยิ้มไม่ได้ บัดนี้ก็จะยิ้มออก เพราะข้างในมันสบายนะคะ หรือเมื่ออยู่ที่บ้าน จะเคยพบปัญหาจากเด็กๆ ที่บ้านบ้าง ปัญหาจากลูกหลานบ้าง ปัญหาจากเศรษฐกิจส่วนตัวบ้าง แต่เมื่อจิตกำหนดอยู่กับลมหายใจมันก็ช่วยผ่อนคลายปัญหานั้น เพราะอะไร ก็เพราะว่าจิตมันมีโอกาสที่ได้ว่าง ได้อยู่เฉยๆ ได้อยู่นิ่งๆ เมื่อมันมีโอกาสได้ว่างได้อยู่เฉยๆ ได้อยู่นิ่งๆ มันก็มีโอกาสที่จะได้ใคร่ครวญสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน ด้วยความรอบคอบและก็ด้วยจิตใจที่เป็นกลาง คือไม่นึกถึงแต่เพียงตัวเอง หรือเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ใคร่ครวญด้วยการเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่จะมองปัญหานั้นอย่างใจเป็นกลาง พอมองปัญหาอย่างใจเป็นกลาง มันจะช่วยให้ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นนั้นดูมันไม่ค่อยผูกมัด ไม่ผูกมัดจิตใจ ไม่ผูกมัดความรู้สึกของตัวบุคคลผู้เป็นเจ้าของปัญหามากจนเกินไป ก็จะค่อยๆ เห็นหนทางสว่างว่าเราจะแก้ปัญหานั้นอย่างไร มีความรู้ มีประสบการณ์ มีความสามารถก็จะนำเข้ามาใช้อย่างเต็มที่นะคะ ถ้าหากว่าผู้ใดสามารถกำหนดจิตให้อยู่กับลมหายใจได้ทุกขณะอย่างนี้ ก็บอกได้ว่า เป็นวิธีของการทำ จิตตภาวนา อยู่ทุกขณะจิตแม้จะเป็นขณะที่เรากำลังลืมตาอยู่เราก็สามารถทำจิตตภาวนาได้
ฉะนั้นถ้าท่านผู้ใดจะบอกว่า ไม่มีเวลาจะนั่งสมาธิโดยเฉพาะ ก็ไม่เป็นไร ขอแต่เพียงให้สามารถกำหนดจิตให้อยู่กับลมหายใจให้ได้ทุกขณะเถอะนะคะ แล้วเมื่อมีเวลาได้ที่พอจะเจียดได้สัก ๕ นาที ๑๐ นาที ก็ปล่อยจิตให้ว่างเต็มที่จากสิ่งที่รบกวน กำหนดจิตให้อยู่กับลมหายใจ ให้สงบเงียบให้เฉย ให้นิ่ง ให้หยุด และก็ตามลมหายใจทั้งเข้าและออก ทั้งเข้าและออกอยู่ตลอดเวลา กำหนดจิตให้รู้ลมหายใจทั้งเข้าและออก ทั้งเข้าและออกอยู่ตลอดเวลา อย่างเดียวเท่านั้นนะคะ ไม่ต้องทำอย่างอื่นเลย แล้วต่อจากนี้ก็จงรู้ว่า เมื่อใดหายใจยาวก็ให้รู้ว่าหายใจยาว ถ้าเรากำหนดจิตให้อยู่กับลมหายใจเอาลมหายใจเป็นอารมณ์ได้อยู่ตลอดเวลา เราจะค่อยๆ รู้ลักษณะของลมหายใจละเอียดถี่ถ้วนขึ้น เมื่อใดที่เรารู้จักลักษณะของลมหายใจอย่างถี่ถ้วนขึ้นว่า นี่กำลังหายใจยาวนะ นี่กำลังหายใจสั้นนะ นั่นก็แสดงว่าจิตนั้นเริ่มสงบ จิตนั้นเริ่มมีความว่าง เริ่มมีความเย็น สติเริ่มเกิดขึ้น จิตเริ่มเป็นสมาธิ เพราะฉะนั้นจึงสามารถที่จะแยกแยะลมหายใจที่ผ่านเข้าผ่านออกได้ว่าเมื่อใดเป็นลมหายใจยาว เมื่อใดเป็นลมหายใจสั้น เมื่อหายใจยาวก็ตามลมหายใจยาวอีก คือกำหนดจิตลงไปที่ลมหายใจยาว แล้วก็ตามลมหายใจยาวนั้นให้ตลอดสายตั้งแต่เข้าที่ช่องจมูก ผ่าน ช่องอกเข้าสู่ช่องท้อง ผ่านจากช่องท้องเข้าสู่ช่องอก ผ่านออกช่องจมูก
ก็ตามลมหายใจยาว ช้า ๆ ด้วยความเบิกบานผ่องใสยิ้มแย้ม ให้มีความชื่นบานอยู่กับลมหายใจที่กำลังผ่านเข้าผ่านออกอยู่ตลอดเวลานั้น แล้วก็จะสังเกตุได้เองอีกนะคะว่า ลมหายใจที่ยาวนั้นครั้งแรกอาจจะหยาบ แม้ว่ายาวแต่มันหยาบ มันดัง ลึก แต่พอต่อไปเมื่อจิตนั้นอยู่กับลมหายใจได้มากเข้า ๆ ลมหายใจที่ยาวนั้นจะค่อยๆ ละเอียดบางเบา แล้วจิตนี้ก็จะมีความเยือกเย็นผ่องใสมากยิ่งขึ้นตามลำดับ แล้วก็ผู้ปฏิบัติก็จะสังเกตได้อีกว่า ในขณะที่หายใจยาวนั้นจิตเป็นยังไง โดยสามารถเปรียบเทียบกับลมหายใจสั้นที่มันเปลี่ยนแปลงไปหรือว่าแทรกซ้อนเข้ามาในบางขณะ เมื่อลมหายใจสั้น ผู้ปฏิบัติจะสังเกตุได้ว่า เมื่อลมหายใจสั้นนั้นจิตมันไม่เบาสบายเหมือนอย่างเวลาลมหายใจยาว พอหายใจสั้นถี่ มันชักจะพาให้จิตนี้มีความเหนื่อย มันไม่เยือกเย็น มันไม่ผ่องใสเหมือนเดิม พอเรารู้เช่นนี้ แล้วเราก็รู้ว่า ลมหายใจยาวมีประโยชน์ทำให้จิตเยือกเย็นผ่องใส สงบ เราก็จะค่อยๆ ผ่อนลมหายใจที่สั้นนั้นให้ยาวออกไปทีละนิด ๆ อย่างธรรมชาตินะคะ ไม่ต้องพรวดพราด กำลังหายใจสั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เฮือกออกไปอย่างนี้ นั่นเรียกว่า ก็ดีเหมือนกันขับไล่มันออกไป
แต่ว่าบางทีมันมีอารมณ์ของการที่ไม่พอใจสอดแทรกเข้ามา ก็บังคับออกไปอย่างรุนแรง แต่ถ้าหากว่าเราหายใจรู้อยู่ด้วยสติ พอลมหายใจสั้นเกิดขึ้น ก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจสั้นทีละนิดนะคะ สมมติว่าลมหายใจสั้นอยู่แค่นี้ เราก็ผ่อนลมหายใจสั้นให้ยาวออกไปทีละน้อย ยาวออกไปทีละน้อยให้เป็นธรรมชาติ ยาวออกไปทีละน้อยให้เป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องบังคับ แล้วถ้าเราผ่อนออกไปทีละน้อย ๆ ๆ อย่างธรรมชาติจะไม่รู้สึกเหนื่อย แต่จะรู้สึกเบาสบายแล้วก็เยือกเย็นผ่องใสแล้วจิตนั้นก็มีความเป็นปกติมากยิ่งขึ้น ๆ ๆ ตามลำดับ
เพราะฉะนั้น แบบฝึกหัดที่อาจจะเรียกได้ว่า เป็นแบบฝึกหัดเบื้องต้นของการทำจิตตภาวนา หรือการทำจิต การพัฒนาจิต เพื่อให้เป็นจิตที่เจริญก็คือ ด้วยการเริ่มต้นการฝึกจิตนี้ให้มีความสงบ ให้มีความสงบเกิดขึ้นในจิตเสียก่อน เพราะถ้าหากว่าจิตขาดความสงบแล้ว มันจะไม่มีแรง ไม่มีแรงที่จะพิจารณาใคร่ครวญดูสิ่งที่เป็นสัจจะของธรรมชาติ
สิ่งที่เป็นสัจจะของธรรมชาติอันเป็นสิ่งที่ควรรู้ ที่ควรรู้อย่างยิ่ง เพื่อที่จะให้เกิดความรู้ที่ถูกต้อง มันจะไม่สามารถมองทะลุเข้าไปได้ เพราะฉะนั้นการที่เราจะฝึก จิตตภาวนา อย่างที่เรียกว่า กระทำ วิปัสสนา นั้น ต้องเริ่มต้นด้วยการทำจิตให้สงบเสียก่อน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือว่า ต้องฝึก สมถะ เสียก่อน ทำจิตให้สงบเยือกเย็นผ่องใส แล้วเราจึงจะสามารถใช้จิตที่สงบอันเป็นสมาธิ มีความหนักแน่น มั่นคง บริสุทธิ์ สะอาด ว่องไวพร้อมที่จะทำการงานนี้ ปฏิบัติทางด้านวิปัสสนา คือ “ใคร่ครวญธรรม” ใคร่ครวญธรรม อะไร ก็คือ ธรรมที่เป็นกฎของธรรมชาติ ธรรมที่เป็นกฎของธรรมชาตินี้ให้มากยิ่งขึ้นตามลำดับ แล้วเราก็จะเห็นลึกขึ้น ๆ ๆ ลึกขึ้นไปถึงสิ่งที่เป็นความจริงของธรรมชาตินั้น อย่างเช่นเป็นต้นว่า เราจะใช้อะไรเป็นเครื่องมือ เราจะใช้อะไรเป็นเครื่องมือในการที่จะลองฝึกวิปัสสนา ถ้านึกว่าเรานึกไม่ออกว่าใช้อะไรเป็นเครื่องมือนะคะ ก็ขอแนะนำว่า “ดูลมหายใจ” นี่แหละค่ะ
ลมหายใจที่เราหายใจเข้าและออกนี่แหละ เราสามารถที่จะฝึกเพื่อดูให้เห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ ความเป็นจริงของธรรมชาติในข้อนี้ ก็คือ สิ่งที่เราเรียกกันว่า “ อนิจจัง”
คือ ความเปลี่ยนแปลง ความเกิดดับ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ลองดูลมหายใจสิคะ เป็นยังไงคะ ลมหายใจของเรา เที่ยงไหม คงที่ไหม ดูเอาเอง มันไม่มีคงที่เลย มันไม่เคยอยู่เฉยเลย มันหายใจเข้าบ้าง ใช่ไหมคะ ลองดู หายใจเข้าบ้าง หายใจออกบ้าง ประเดี๋ยวก็เข้า ประเดี๋ยวก็ออก ประเดี๋ยวหายใจยาวบ้าง ประเดี๋ยวหายใจสั้นบ้าง ประเดี๋ยวลมหายใจหยาบบ้าง ประเดี๋ยวลมหายใจละเอียดบ้าง ประเดี๋ยวลมหายใจก็ติดต่อกันอย่างราบรื่น ประเดี๋ยวลมหายใจก็กระชั้นถี่ ขาดเป็นห้วง ๆ ก็มี ใช่ไหมคะเพียงแต่ลมหายใจนี่สารพัดจะเป็น เพราะฉะนั้นถ้าบางทีในขณะที่เราเริ่มฝึกปฎิบัติ จิตตภาวนาใหม่ๆ บางทีมันก็มีอุปสรรคหลายอย่าง เป็นต้นว่า ความง่วงเหงาหาวนอนอาจจะเกิดเข้ามาแทรกแซง หรือว่าเป็นอุปสรรคก็ได้ เป็นของธรรมดา เป็นของธรรมดานะคะ จงรู้ เมื่อเราเกิดง่วง เหงาหาวนอน ยืดตัวตรง ยืดตัวตรง นั่งให้ตัวตรงขึ้นหายใจให้ลึกยาวนะคะ หายใจให้ลึกยาว ให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ หายใจลึก ยาว ไล่ความง่วงเหงาหาวนอนนั้นออกไป ยิ้ม บังคับจิตให้ยิ้ม พอใบหน้ายิ้มกล้ามเนื้อมันจะผ่อนคลาย มันเป็นการบริหารกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อที่หน้า ที่แก้มมันจะผ่อนคลาย ความง่วงจะค่อยๆ หายไป ความเบิกบานจะเข้ามาแทนที่
จากนั้นก็หายใจ ยาว ยาวเข้า ยาวออก ยาวเข้ายาวออกตามลมหายใจยาวนั้นให้ได้มากยิ่งขึ้นทุกขณะ ทุกขณะที่มันผ่านเข้า ผ่านออก ผ่านเข้า ผ่านออกตามลมหายใจยาวให้ได้ทุกขณะ ถ้าลมหายใจเกิดเปลี่ยนเป็นสั้น ก็รู้ลมหายใจที่เข้าสั้นทุกขณะ สั้นเข้า สั้นออก โปรดอย่าลืมนะคะ “รู้ด้วยความรู้สึก อย่าคิด” อย่าคิดว่าขณะนี้กำลังหายใจเข้า ขณะนี้กำลังหายใจออก ถ้าคิดแล้วจะไม่มีวันเห็น จะไม่มีวันรู้สึกเข้าถึงความสงบของลมหายใจนั้นได้เลยจริงๆ เพราะฉะนั้นจงเอาแต่เพียงว่า ผ่านเข้า ผ่านออก ด้วยความรู้สึก
ถ้าเราสามารถจะรู้สึกในลมหายใจที่เข้าและออกได้ตลอดเวลา พอจิตสงบ จิตสงบ เรารู้สึกว่าจิตนี้สงบเป็นสมาธิ มีความเยือกเย็นผ่องใส ก็ใช้โอกาสนี้ ปฏิบัติวิปัสสนา ด้วยการกำหนดจิตดูลงไปให้เห็น อนิจจัง ของสิ่งที่เกิดขึ้น โดยดูที่ลมหายใจนี่แหล่ะก่อนสิ่งอื่น ดูความไม่เที่ยงของลมหายใจที่มันเปลี่ยน เกิดดับ เข้าออก เกิดดับ มาแล้วก็ไป ดูให้อย่างนี้ทุกขณะพร้อมกับกำหนดรู้ที่ลมหายใจเข้าและออก เข้าและออก ลองฝึกดูด้วยตัวเองนะคะ
ถ้าเราฝึกดู วันหนึ่ง ๕ นาที แล้วก็เมื่อรู้สึกว่าทำได้สบายผ่องใส ก็ขยายเวลาให้เป็น ๑๐ นาทีก็ยังทำได้สบายผ่องใสก็ลองขยายเวลา ๑๕ นาที แต่พอสิบห้านาทีชักจะรู้สึกไม่ค่อยได้เหมือนเดิม ก็ไม่แปลก เป็นของธรรมดา ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้กฎของความเปลี่ยนแปลง คือ กฎของอนิจจัง ก็จงทำเหมือนอย่างที่เพื่อนชาวต่างประเทศเราว่า
“จงมีความอดทน” พากเพียรพยายามทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ความสำเร็จจะต้องเป็นของเราแน่นอน แต่ความสำเร็จนี้มิใช่อื่น จิตนั้นจะยิ่งมีความสงบสบาย เยือกเย็นผ่องใส แล้วชีวิตนี้ก็จะเป็นชีวิตที่มีระบบ ระเบียบแบบแผน มีความกลมกลืน มีความเป็นอยู่อย่างถูกต้องอันจะนำมาซึ่งความสุขสงบที่แท้จริง ธรรมสวัสดีนะคะ