แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อยากจะขอร้องให้คิดสักนิดหนึ่งค่ะว่า ทำไมเราถึงหยุดจิตของเราไม่ได้ จิตที่มันขึ้นลงด้วยเวทนา เวทนาที่เกิดขึ้นในจิตนั้นมันมีอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้หยุดไม่ได้ มันมีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องจึงทำให้หยุดไม่ได้ เมื่อกี้นี้จากรายการกตัญญู บางท่านอาจจะรู้สึกว่าไม่สามารถจะหยุดจิตให้นิ่ง ให้สงบ ให้มั่นคง ไม่หวั่นไหวได้ คงมีบางท่าน ทำไมจึงหยุดไม่ได้ เพราะอะไร ถ้านึกไม่ออก
ดิฉันก็จะขอบอกว่า เพราะ “ของฉัน” ใช่ไหมคะ ใช่หรือเปล่าคะ
ที่หยุดไม่ได้นี่ เพราะของฉัน นี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้จิตของมนุษย์วิ่งอยู่ตลอดเวลา วิ่งทิศเหนือ ทิศใต้ วิ่งร่อนเร่พเนจรไปทั่วโลก
เพราะของฉัน ได้เคยลองเขียนบ้างไหมคะว่าของฉันนี่มีจำนวนสักเท่าไร ไม่เคยใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นก็อยากจะขออนุญาตเรียนทุกท่านว่า ถ้ามีเวลาว่าง ลองเขียนดูสิว่าของฉันที่เป็นภาระหนัก ที่เราต้องแบก ต้องลากมันไป มันมีสักเท่าไร มันจึงทำให้จิตนี้หนัก มันจึงทำให้จิตนี้หยุดไม่ได้เลย
การที่เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เชื่อว่าทุกท่านต้องการความเป็นอิสระ เราต้องการอิสรภาพ และหลายคนก็จะบอกว่า เราเกิดมาอย่างเป็นไท ไท คือ ท-ทหาร สระ ไอ เราเกิดมาอย่างเป็นไท อย่างฝรั่งเขาก็บอกว่า Be are born free แต่จริงๆ แล้ว เราฟรีหรือเปล่า เราอิสระหรือเปล่า มันเป็นเพราะอะไร ลองนึกดูสิคะ เจ้าสิ่งนี้ที่ทำให้จิตวิ่ง ทำให้จิตหนัก ทำให้จิตเหนื่อย เพราะสิ่งที่เป็นของฉัน
เพราะฉะนั้นการที่เราจะเป็นอิสระได้อย่างแท้จริง นั่นก็คือ เราจะต้องพยายามฝึกจิตให้มีกำลัง และกำลังนั้นก็คือ อยู่เหนือความเป็นของฉันในทุกอย่าง ทุกประการ
การที่พูดอย่างนี้ดิฉันไม่ได้หมายความว่าจะมาชักชวนให้คนทั้งหลายเป็นคนใจดำ เป็นคนเห็นแก่ตัว เป็นคนเอาตัวรอดแต่เพียงคนเดียว มิได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่ในขณะที่เราจะต้องเกี่ยวข้องกันกับบุคคลทั้งหลาย ทั้งที่เป็นที่รัก เช่น คุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ที่เป็นลูก ผู้ที่เป็นหลาน ผู้ที่เป็นญาติสนิท เป็นเพื่อนรัก เราจำเป็นจะต้องเกี่ยวข้อง เพราะเราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ และเราจะอยู่อย่างไร เราถึงจะอยู่ได้อย่างเป็นอิสระจากของฉัน
นี่คือสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้พยายามที่จะบอกแก่มนุษย์ทั้งหลายว่า เกิดมาแล้วสิ่งที่จะควรที่ควรประพฤติควรปฏิบัติอย่างยิ่งก็คือ จงหาวิธีที่จะอยู่อย่างเป็นผู้อิสระแม้แต่จากความรัก ไม่ว่าจะเป็นความรักของพ่อแม่ ความรักของลูก ความรักของผู้ที่เกี่ยวข้องในประการใดๆ ก็ตาม ทำอย่างไรล่ะจึงจะเป็นอิสระ สิ่งที่ผูกมัดมนุษย์มากที่สุด ก็คือสิ่งที่เรียกว่า “ความรัก” ในทุกกรณี ทำอย่างไรเราถึงจะอยู่ด้วยกันโดยไม่เกลียดชัง โดยช่วยเหลือเกื้อกูล เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อุ้มชู อุปการะซึ่งกันและกัน พร้อมๆ กับที่มีใจเป็นอิสระด้วย นี่เป็นสิ่งที่เราจะต้องช่วยกันคิด ช่วยกันฝึกฝนอบรมให้เกิดขึ้นในจิต
ฉะนั้นจิตที่หยุดไม่ได้เพราะของฉัน เรามีหน้าที่ในฐานะที่เป็นมนุษย์ แล้วก็รับผิดชอบในกรณีต่างๆ กัน ตามกาลเทศะ โอกาส บ้างก็เหมือนกัน บ้างก็ต่างกัน แต่ในกาลต่างๆ ที่เรารับหน้าที่นั้น เราจะทำหน้าที่อย่างไรจึงจะเป็นอิสระ นี่เป็นสิ่งที่จะต้องคิดอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าเราสามารถหยุดจิตของเราให้นิ่ง และให้เป็นอิสระได้ ก็แน่นอนที่สุดที่เราจะสามารถนำเอาความสุขความสงบ พร้อมๆ กับความรักในเพื่อนมนุษย์เข้าไปสู่ผู้ที่เราเกี่ยวข้อง โดยจิตใจไม่ต้องเป็นทุกข์ นั่นก็คือการทำหน้าที่ดังที่เราได้พูดแล้ว ทำอย่างไรจึงจะสามารถฝึกทำหน้าที่อันนี้ให้ถูกต้อง โดยที่เราจะไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องคร่ำครวญ ไม่ต้องละอาย ไม่ต้องสำนึกบาป ไม่ว่ากับผู้ใดทั้งสิ้น
ถ้าเมื่อใดเราสามารถทำหน้าที่ของเราอย่างถูกต้องด้วยความไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอาตัวเองมาเป็นที่ตั้ง เมื่อนั้นไม่ว่าความเกี่ยวข้องนี้ จะเกี่ยวข้องกับผู้ที่ใกล้ชิดที่สุด เช่น คุณพ่อ คุณแม่ สามี ภรรยา หรือลูกรักของเรา เราก็จะสามารถทำหน้าที่ได้อย่างถูกต้องด้วยความเมตตา ด้วยความรักอย่างเป็นอิสระ
ถ้าเมื่อใดที่สามารถหยุดจิตให้นิ่งได้พร้อมกับรำลึกถึงการทำหน้าที่อย่างถูกต้องด้วยความเป็นอิสระ แต่เกิดประโยชน์ที่จะไม่ทำให้เสียใจทีหลัง เมื่อนั้นจิตจะหยุดวิ่ง และมันจะนิ่งได้
สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงย้ำกับมนุษย์ทั้งหลาย นั่นก็คือ “จงพยายามอยู่กับปัจจุบันขณะ” ปัจจุบันขณะนี้ คือจุด หรือช่วงชีวิตที่สำคัญที่สุด และปัจจุบันขณะนี้มันเคลื่อนตัวเร็วเหลือเกิน มันเคลื่อนไหวตัวเร็วเหลือเกินที่จะเข้าไปสู่อนาคตพร้อมกับทิ้งอดีตไว้เบื้องหลัง เพราะฉะนั้นบัดนี้ การทำหน้าที่อย่างเป็นอิสระจะเกิดขึ้นได้ ก็คือการสลัดความรู้สึกใดใดที่เป็นสัญญา สัญญาขันธ์ ที่มันจะนำความเป็นธาตุให้เกิดขึ้นในใจ สลัดทิ้งมันเสีย แม้แต่เป็นการกระทำที่รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง น่าอาย น่าเสียใจ เป็นบาป แต่สิ่งที่เรียกว่า เป็นบาป มันก็สามารถจะแก้ไขได้ แก้ไขได้ด้วยปัจจุบันขณะนี้
แทนที่จะเสียเวลาไปพร่ำรำพัน ครวญคร่ำ เสียใจ ในสิ่งที่ล่วงไปแล้วซึ่งแก้ไขไม่ได้ แต่เราจะแก้ไขได้ในปัจจุบันนี้ นั่นคือ เริ่มทำสิ่งที่ถูกต้องตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ของเป็นของความเป็นพ่อ ของความเป็นแม่ ของความเป็นลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็คือหน้าที่ที่ท่านกำลังบริหารอยู่ในขณะนี้
ถ้าเราเริ่มปัจจุบันขณะนี้ด้วยความถูกต้อง นั่นคือ ก้าว ก้าวที่ก้าวไปสู่ความเป็นอิสระ หรือความเป็นไทที่แท้จริง
ซึ่งดิฉันเชื่อว่าทุกท่านสามารถจะทำได้ โดยการเริ่มรวบรวมจิตที่กระจัดกระจาย กระจัดกระจายไปเพราะความรู้สึก ในความรัก ในความกลัว ในความเศร้าหมอง ในความขมขื่นเจ็บปวด หรือความชอกช้ำ หรือความสูญเสียที่ผ่านมา สลัดทิ้ง ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปคร่ำครวญนึกถึง แต่เราตั้งต้นเดี๋ยวนี้ นาทีนี้ เพื่อกระทำสิ่งที่ถูกต้อง ในหน้าที่ที่รับผิดชอบ และการกระทำที่ถูกต้องเดี๋ยวนี้นั่นแหละ คือกุศลอันยิ่งใหญ่ ความมงคลอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้น ที่เราพูดถึงมงคล 38 ประการ แล้วก็ให้เด็กนักเรียนเรียนในโรงเรียน เรื่องมงคล 38 ประการ ต่อให้มงคลร้อยประการ แต่ไม่สามารถจะรู้จักทำหน้าที่ที่ถูกต้องเพื่อเกิดประโยชน์ อย่างไม่เห็นแก่ตัว ความเป็นมงคลก็หาเกิดขึ้นได้ไม่
การที่เราจะฝึกจิตให้หยุดนิ่ง และทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นตามความรับผิดชอบในทุกหน้าที่เดี๋ยวนี้ นี่คือมงคลอันประเสริฐ น้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนสามารถจะพรมน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์นี้ให้แก่ชีวิตของเราเอง แล้วก็สามารถที่จะสร้างสรรค์ความเป็นมงคลอันงดงาม และประเสริฐให้เกิดขึ้นแก่ชีวิต ฉะนั้นสิ่งที่ดิฉันจะเรียนขอร้องในขณะนี้ก็คือ ขอทุกท่านจงรวบรวมใจให้อยู่กับปัจจุบันขณะ ปัจจุบันขณะที่เรากำลังหายใจอยู่เดี๋ยวนี้ คือ ช่วงชีวิตที่สำคัญที่สุด มีความหมายที่สุดต่อชีวิตของเรา อดีตหาสำคัญไม่ อนาคตก็ไม่มีความสำคัญ
ความสำคัญอยู่ที่เหตุปัจจัยที่เรากำลังกระทำในปัจจุบันนี้ จะเป็นดัชนีชี้เองว่าอนาคตนั้นจะเป็นฉันใด ไม่จำเป็นจะต้องกังวลวิตก ถ้าเราสามารถประกอบเหตุปัจจัยในปัจจุบันขณะนี้ให้ถูกต้องที่สุด เกิดประโยชน์ไม่เฉพาะตนเอง แต่กับเพื่อนมนุษย์โดยไม่เลือกว่าเป็นผู้ใด และนี่คือหน้าที่ของเราผู้เป็นปัญญาชนที่จะต้องรับภาระเป็นตัวอย่างแก่บุคคลที่อ่อนเยาว์กว่า แก่บุคคลที่เขลากว่า และแก่บุคคลที่ยังไม่มีโอกาสจะได้เรียนรู้ความถูกต้องแห่งการดำเนินชีวิต และเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการที่เราจะรวบรวมจิตที่กระจัดกระจายให้มันนิ่ง สงบอยู่กับที่ ก็คือ การปฏิบัติสมาธิภาวนา
เพราะฉะนั้นเวลาที่เหลืออยู่นี้ ขอให้เป็นเวลาที่เราจะปฏิบัติสมาธิภาวนา ด้วยการกำหนดจิตให้อยู่กับลมหายใจ เพื่อให้จิตนี้นิ่งโดยมีลมหายใจเป็นเชือกผูก ผูกจิตไม่ให้วิ่ง เมื่อมันจะวิ่งไปที่ใด ดึงมันกลับมาอยู่กับลมหายใจ เมื่อมันไม่ยอมอยู่ จงใช้ลมหายใจยาว แรง ลึก ขับไล่มันไป แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจที่ ยาว แรง ลึก นั้นให้ค่อยๆ ช้าลง เบาลงทีละน้อยละน้อย จนเป็นลมหายใจที่เป็นธรรมชาติเหมือนอย่างที่เราหายใจอยู่ในชีวิตประจำวัน แต่ในขณะเดียวกันจงกำหนดความรู้สึกทั้งหมดจดจ่ออยู่ที่แถวช่องจมูก เพื่อรอรับลมหายใจที่กำลังผ่านเข้า และก็ตามมันไปให้สุดสาย พอมันหยุด ก็หยุดทันที หยุดความรู้สึกที่จดจ่อนั้นทันที พร้อมกับตามออกอย่างรวดเร็วจนตลอดสาย และก็คอยรับมันอีก ผ่านเข้า และก็ตามส่งผ่านออก ด้วยลมหายใจที่เป็นธรรมชาติ
พร้อมหรือยังคะ ท่านผู้ใดที่สามารถจะนั่งขัดสมาธิได้ก็โปรดนั่ง ท่านบอกว่าการนั่งสมาธิในลักษณะขัดสมาธิ ขัดสมาธิอย่างนี้จะทำให้มีความสมดุล เลือดลมเดินได้สะดวกมากกว่าพับทางใดทางหนึ่ง ถ้าสามารถทำได้ และก็ยืดตัวตรง แต่ไม่ต้องเกร็ง ให้มีความผ่อนคลาย แล้วก็ให้มีความสบาย โอกาสอย่างนี้เราหาไม่ได้ง่ายๆ นะคะ ในชีวิตของการทำงาน ในชีวิตที่ต้องวิ่งวุ่นอยู่กับภาระ เราไม่มีโอกาสที่จะมาผ่อนพักให้ใจได้หยุด ได้มีแรง นี่เป็นโอกาส ต้องบอกว่าเป็นโอกาสทอง เป็นโอกาสวิเศษ ขอจงใช้มันให้คุ้มค่าเท่าที่เราจะทำได้ ถ้าท่านผู้ใดยังไม่สามารถจะรวบรวมจิตได้ ก็เริ่มต้นด้วยลมหายใจยาว แรง ลึก ท่านผู้ใดที่รวบรวมได้แล้ว ก็จงอยู่กับลมหายใจที่เป็นธรรมชาติ พร้อมกับตามเข้า ตามออก ดึงจิตมาอยู่กับลมหายใจแต่อย่างเดียว ขณะนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญยิ่งกว่าลมหายใจ เราจะต้องทำความรู้จักกับมัน ให้ถี่ถ้วน ให้ละเอียด ให้ลึกซึ้ง ให้รู้ลักษณะธรรมชาติของมัน ให้รู้ประโยชน์ของมัน ให้รู้อิทธิพลของมัน จะได้สามารถเรียกมันมาใช้ได้ทันท่วงทีในทุกโอกาส และทุกกรณี ท่านผู้ใดยังไม่พร้อมจะหลับตา ก็ไม่ต้องหลับตา ลืมตาได้ แต่ให้อยู่เพียงหน้าตัก เมื่อจิตสงบ ลมหายใจเป็นธรรมชาติ ร่างกายผ่อนคลาย จิตเยือกเย็น นัยน์ตานั้นจะค่อยๆ หลับเอง และก็จะเย็น จะสงบ จะนิ่ง ค่อยๆ เปลี่ยนท่านั่งได้ด้วยสติ คงรักษาจิตให้อยู่กับลมหายใจ ค่อยๆ เปลี่ยนท่าด้วยสติ
จิตเป็นสิ่งที่บังคับได้ด้วยกำลังของสมาธิ แม้มันจะดื้อด้าน ดิ้นรน เกเร แต่ด้วยกำลังสมาธิที่แน่วแน่จะสามารถบังคับจิตที่ดิ้นรนนั้นให้นิ่งได้ จงจดจ่อจิตอยู่ที่ลมหายใจอย่างเดียว อะไรอะไรก็ไม่สำคัญในปัจจุบันขณะ นอกจากลมหายใจ กวาดอดีตทิ้งให้หมด กวาดสัญญาทิ้งให้หมด ด้วยกำลังสมาธิที่ควบคุมจิตจะทำให้เรารู้สึกเป็นอิสระจากความวิตกกังวล ความว้าวุ่น ความสงสารตัวเอง ขณะนี้เรากำลังรวบรวมกำลังใจให้อยู่นิ่ง พร้อมๆ กับฝึกอบรมขันติให้เกิดขึ้นในใจด้วย ขณะนี้ไม่มีใครกำลังทำสมาธิ มีแต่การกระทำสมาธิตามลมหายใจด้วยวิธีที่ถูกต้องเท่านั้น เมื่อรู้สึกการตามลมหายใจขาดตอน จงใช้ลมหายใจยาว แรง ลึก แก้ไขทันที ยืนขึ้นช้าๆ ด้วยสติ และจิตคงอยู่กับลมหายใจ หายใจยาวช้าๆ ตามสบายให้เป็นธรรมชาติ ให้มีความผ่อนคลาย ทั้งภายนอก และภายใน เรากำลังพัฒนาสร้างสรรค์ความเป็นอิสระให้เกิดขึ้นภายในจิต เพื่อเป็นความมั่นคงของชีวิต เรากำลังสร้างสรรค์สิ่งที่มีค่ามีความหมายต่อชีวิต แต่สิ่งนี้มันยาก เราจึงต้องประคับประคอง ประคับประคองด้วยความเอาใจใส่ ด้วยความทะนุถนอม เมื่อมันรวมได้แล้วรักษามันไว้ ทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ค่อยๆ หยิบผ้าพลาสติกที่รองนั่ง รองยืนนั้น พับค่อยๆ ด้วยสติ ไม่ให้มีเสียง แต่จิตคงอยู่กับลมหายใจ คงอยู่กับลมหายใจ โปรดยืนอยู่ในท่ายืนสมาธิ คือกำหนดจิตรู้อยู่กับลมหายใจให้เกิดความรู้สึกมั่นคงขึ้นภายใน ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งกระทบ จากนี้เราจะเดินจงกรมกลับที่พักเรียงแถวอย่างสงบ กรุณารวบรวมความรู้สึกทั้งหมดจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจแต่อย่างเดียวจนถึงที่พักทำกิจส่วนตัว และก็พักผ่อนตามอัธยาศัยด้วยความสงบ ท่านผู้ใดทำได้นี่คือความสำเร็จ และนิมิตแห่งอิสรภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นแก่ชีวิตเรา ขอให้ท่านเขตเดินนำหน้านะคะ และก็เดินตามเป็นแถวไป ออกไปทีละแถวจากแถวแรกข้างประตูเดินตามท่านเขตไปก่อน เดินช้าๆ อย่างสงบ ให้มีความสวัสดีด้วยธรรมะทุกทุกท่าน