แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ก็อยากจะหยุดเรื่องอริยสัจไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะคะ เพราะจะพูดถึงอริยสัจข้อที่ ๔ ก็ไม่จบ เอาไว้ต่อพรุ่งนี้ แล้วถ้ามีเวลาเราก็จะต่อเรื่องของปฏิจจสมุปบาทไป ทีนี้เวลาที่ยังเหลืออยู่นี่ก็อยากจะตอบคำถามให้เกลี้ยงหน่อย พรุ่งนี้จะได้หมดหนี้สินกัน
ก่อนอื่นก็เห็นจะต้องขอบคุณใครก็ตามที่อุตส่าห์คัดความดีๆๆ มาให้ดูตั้งกี่คำนี่ ๒-๔-๖-๘ คำ ขอบคุณมาก ลายมือก็สวยด้วย เขียนเรียบร้อย แล้วก็หวังว่าจะไม่เป็นคนประหยัดจนเกินเหตุอีกต่อไปนะคะ รู้จักใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องก็จะช่วยให้คนอ่านเขามีความสบาย สบายใจในการอ่าน เพราะรู้เรื่องเร็ว และเขาก็จะขอบใจมากๆ ด้วยที่สามารถช่วยย่นเวลาประหยัดเวลา
คำถาม : การสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็นต่างกับการสวดชินบัญชรอย่างไร
คำตอบ : ที่จริงดิฉันก็อธิบายแล้วนะคะ ที่มีผู้ถามเรื่องคาถาน่ะ ก็คาถาชินบัญชรท่านก็บอกว่าผู้ใดสวดแล้วจะมั่นคงปลอดภัย คือมีความมั่นใจ เพราะท่านบอกเอาไว้ว่าอย่างนั้น แล้วก็เล่ากันต่อๆ มาว่าผู้ใดสวดก็จะพ้นจากความทุกข์ หรือพ้นจากอันตราย และขณะที่สวดนั้นจิตใจก็จดจ่อ ก็เป็นสมาธิ ก็มีสติ มีความมั่นคงเกิดขึ้นข้างในนะคะ ได้ตอบไปแล้วเมื่อเช้านี้
คำถาม : จิตใต้สำนึกกับอนุสัยเหมือนกันไหม
คำตอบ : จิตใต้สำนึกนั่นเป็นหลักของจิตวิทยา ซึ่งทุกท่านก็คงทราบแล้ว สิ่งที่เราสั่งสมกันเอาไว้ บางทีอนุสัยนี่ต้องเข้าใจก่อนว่า เกิดจากความเคยชินที่กระทำตามกิเลส ซ้ำเข้าๆๆ นับครั้งไม่ถ้วน ก็เลยเป็นอนุสัย ก็ดองอยู่ในสันดาน จะเรียกว่าอยู่ในจิตใต้สำนึกก็ได้เหมือนกัน แล้วก็โผล่ออกมา คือเป็นสิ่งหนึ่งที่มันอยู่ แล้ววันหนึ่งพอมีอะไรกระทบนิดหนึ่งก็ไหลออกมาทันที คือเป็นอาสวะ หรือพอพบอะไรที่คล้ายอย่างนั้นก็ไหลออกมาทันทีเป็นอาสวะ คือมีอาการกิริยาหรือการกระทำตามอนุสัย เช่น อนุสัยพูดมาก อยู่ที่ไหนต้องพูดมากเพราะว่าเคยพูด เพราะฉะนั้นพอเห็นใครอยู่ที่ไหนต้องขอเข้าไปพูดด้วย นั่นคืออาสวะที่ไหลออกถึงแม้เป็นคนแปลกหน้าไม่เคยรู้จักเลย นี่คืออาสวะที่ไหลมาจากอนุสัยของการที่เป็นคนหยุดพูดไม่ได้ นี่ดูง่ายๆ หรือการที่ช่างคิด ปล่อยให้จิตคิดเรื่อย เห็นอะไรก็คิด พออะไรเกิดขึ้นก็ปรุงแต่งคิดไป เพราะฉะนั้นพอเห็นอะไรสักนิดหนึ่งนี่ โดยไม่ต้องมากระทบไม่ต้องมาเกี่ยวข้อง คิดแล้ว นี่ก็อนุสัยของความช่างคิดจนกระทั่งเกิดเป็นผลแก่ตัวเองที่หยุดอยู่ไม่ได้ หรืออนุสัยของความโลภ เวลาไปซื้อของตามห้างสรรพสินค้าที่เขามี sale เขามีลดราคา ชอบ พอได้ยิน sale ที่ไหนต้องไป ชอบ ถึงจะมีเวลาหรือไม่มีเวลาก็ต้องหาเวลาไปให้ได้ ทีแรกก็ไปดู เออ มันดี มีของให้ซื้อมากดี ราคาก็ย่อมเยาดี ครั้งแรกก็ยังไม่ทันติดใจ ครั้งที่สองไปอีก มันดีมันเข้าท่า หาซื้ออะไรได้หลายอย่าง ราคาก็ถูกกว่าตั้งเยอะเลย เพียงแต่รู้จักเลือกหน่อยเท่านั้น แล้วก็เกิดความเคยชินอยากจะไป ฉะนั้นพอได้ยินเขา sale กันที่ไหนเราก็ต้องเป็นดาราในการที่จะซื้อของ sale แล้วก็อาสวะก็ออก เพราะเราจะไปซื้อของ sale ต้องการของดีเท่าที่สามารถจะเลือกได้ในราคาที่ย่อมเยา พอไปถึงอาสวะคือ กวาดมาก่อนๆ แสดงถึงความอยากความโลภ โดยไม่ต้องดูเลยว่ามีใครเขากำลังจะซื้อ หยิบๆๆ มาไว้ ๕ ตัว ๑๐ ตัว สมมติว่าเป็นเสื้อผ้ากางเกงก็แล้วแต่ ก็ไม่ได้ซื้อหมด คนอื่นก็ยืนมองตาปริบๆๆ ยายคนนี้มาถึงแกกวาดหมดๆ นี่คืออาสวะที่มันไหลออกมาตามความอยากที่จะได้มากกว่าคนอื่น แล้วก็ทำอย่างนี้พอไปที่ไหนก็ทำอย่างนี้ ถ้าคนนัก sale ด้วยกันมักซื้อของ sale ด้วยกันก็จำหน้าได้ เอาล่ะยายกวาดแกมาแล้ว เราหลีกทางแกดีกว่าอะไรทำนองนี้
เพราะฉะนั้นนี่ อนุสัยคือสิ่งที่เราสะสมเราทำตามกิเลส อย่างอยากซื้ออยากได้กิเลสตัวไหน โลภ แล้วถ้าสมมติว่าไม่ได้ คนอื่นเขาไวกว่าเขาก็เป็นนักกวาดเหมือนกัน เขากวาดเร็วกว่า โทสะตามมา โกรธขัดใจไม่ชอบ อะไรต่างๆ เหล่านี้ล่ะค่ะ อนุสัยคือการกระทำตามกิเลสที่สั่งสมไว้มากเข้าๆๆ แล้วทีนี้ก็ไหลออกมา แล้วแก้ยาก เหมือนอย่างอนุสัยของการรักความดี คนดีนี่มีอนุสัยมากนะคะ อนุสัยมากหลายอย่างแล้วก็โดยไม่รู้ตัว ทำอะไรจะต้องทำให้ดีทำให้เรียบร้อย จะเป็นในเรื่องการทำงาน หรือว่าความเป็นอยู่ส่วนตัวที่บ้านก็ต้องเรียบร้อยต้องเนี๊ยบไปหมดเลย เพราะฉะนั้นพอไปเห็นอะไรที่ใครทำไม่ดีก็ทนไม่ได้ จะต้องทำให้ดีจะต้องทำให้เรียบร้อย การงานจะต้องทำอย่างนี้ๆ ตามระเบียบวิธีการอย่างนี้ ก็สั่งสมเอาไว้ๆ แล้วพอเผอิญต้องไปทำงานกับกลุ่มใหม่คนแปลกหน้า ไปพบอะไรที่ผิดหูผิดตาไม่เหมือนอย่างที่เคยทำ อาสวะก็ไหลออกมา นี่ใช้ไม่ได้ อย่างนี้ไม่ถูก อย่ามาอู้งานอย่าขี้เกียจ ฟังฉันก่อน ทำนองนี้พูดออกมาโดยไม่รู้ตัว นี่คืออาสวะที่ออกมาจากอนุสัย ฉะนั้นอนุสัยก็เข้าใจความหมายนะคะ และมันละเอียดมันซ่อนลึก จะบอกว่ามันซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกก็ได้แล้วก็ค่อยโผล่ออกมาไม่ทันรู้ตัว เพราะเจ้าตัวไม่เคยศึกษามันก็เลยไม่รู้ว่าเรามีอนุสัยอะไรซ่อนอยู่บ้าง เลยไม่รู้ ไม่รู้ว่าเรามีอนุสัยอะไร เพราะฉะนั้นก็เลยไม่ได้ขัดเกลามัน มันก็เลยทำความน่าเกลียดให้เกิดขึ้นแก่ตัวเองจนเป็นที่น่ารังเกียจของผู้อื่น จึงเป็นสิ่งที่ต้องดู ถ้าเราดูอย่างเห็นว่ามันเป็นสมุทัย แก้ไข ทำไมถึงเห็นว่าอนุสัยดี ก็เพราะอวิชชาครอบงำจิตนะคะ ค่อยๆ ดูไปแล้วจะเข้าใจเอง
คำถาม : การนิยมไปทำบุญกับพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ไปวัดที่มีชื่อเสียง แต่ไม่ยอมไปวัดอื่น เป็นการยึดติดหรือไม่
คำตอบ : ใช่ ด้วยความยึดมั่นถือมั่น การนั่งสมาธิของแต่ละสำนักบางทีมือวางบนเข่าทั้งคว่ำทั้งหงายหัวแม่มือจรดกัน ไม่มีอะไรขัดแย้ง ตามความเคยชิน เพราะฉะนั้นก็ทำตามที่รู้สึกว่าสะดวกแก่ตัวเรา ทำอย่างไหนคือจะวางมือคว่ำหรือว่าจะหงาย จะซ้อนกันหรือว่าจะเอาหัวแม่มือมาจรดกัน ถ้าหากว่าเรานั่งในท่านั้นแล้วเรารู้สึกว่าสมดุลสะดวกสบายก็ทำ ใช้ได้ นั่งสมาธิไประยะหนึ่งเกิดสีม่วงอ่อนๆ สีเหลือง นี่เขาเรียกว่านิมิต นิมิตคือสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างที่นั่งสมาธิ อาจจะเป็นสีก็ได้อาจจะเป็นแสงก็ได้ อาจจะเป็นรูปวัตถุอะไรก็ได้ทั้งนั้น นี่คือนิมิต และนิมิตเหล่านี้จริงไหม ก็ได้ตอบไปแล้วเมื่อเช้า นั่นน่ะเรื่องของนิมิต เกิดจากสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกก็ได้ที่สั่งสมเอาไว้ หรือบางทีก็เกิดจากจินตนาการที่เป็นไปตามสังขารที่เรามีอยู่ในใจก็ได้ เพราะฉะนั้นหลวงปู่ดูลย์ท่านถึงบอกว่าสิ่งที่เห็นนั้นไม่จริง คือเป็นสิ่งที่เกิดดับๆ นั่นคือไม่จริง
คำถาม : เราสมควรเข้าใจเรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องทุกสิ่งที่เกิดจากบุญเหมือนกับกรรมรึเปล่า
คำตอบ : ควรเข้าใจ เข้าใจความหมายของบุญให้ถูกต้อง เข้าใจความหมายของกุศลของบาปหรืออกุศลให้ถูกต้อง แล้วเรื่องหมอดูนี่นะคะกรุณาเลิกถามซะที เพราะว่าถ้าเราดูตามเหตุปัจจัยนะคะ ทำไมหมอดูคนไหนถึงแม่น ทำไมหมอดูคนนั้นไม่แม่น ก็อยากจะพูดว่าถ้าหมอดูคนใดดูอย่างชนิดมีวิชา คือหมายความว่าเขามีทฤษฎีเขาได้เรียนรู้ในเรื่องของวิชาการเกี่ยวกับโหราศาสตร์ในแบบต่างๆ อย่างดี แล้วเขาก็มีประสบการณ์ในการทำนายทายทัก คือในการทำงานในฐานะเป็นหมอดูอย่างมาก เขาก็เก็บสถิติของเขาไว้แล้วเขาก็สามารถที่จะดูได้อย่างถูกต้อง ตามกฎอิทัปปัจจยตาใช่ไหมคะ ใช่รึเปล่า แต่เราก็พบหมอเดาได้เยอะอยู่เหมือนกัน ไม่น้อย หมอเดาเพราะอะไร ก็เพราะไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจัง ไม่มีประสบการณ์เพียงพอ แต่มีความอยากแล้วก็รู้ว่าคนเรานี่หลอกง่าย หลอกง่ายจะตายพอเดินเข้ามาหาหมอดูล่ะก็เดาได้แล้ว คุณนี่เป็นคนดีนะ แต่ว่าตอนนี้กำลังเคราะห์ร้าย ถูกคนอื่นเขารังแก ก็เหมือนกับทำบุญคน แต่คนไม่ขึ้น คนฟังเป็นยังไง ถูกใจแล้วนี่ฉันนี่คนดี เท่านั้นแหละ แหม..หมอว่าอะไรก็ถูกหมด เพราะฉะนั้นหมอที่คิดหลอกคนก็คือหมอที่ไม่ได้ศึกษา