แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
สวัสดีนะคะ บ่ายนี้ก็จะขอพูดเรื่องของสัปปุริสธรรม 7 ที่นำสัปปุริสธรรม 7 มาพูดเพราะมีความรู้สึกว่าเป็นธรรมะที่จะช่วยให้บุคคลผู้ประสงค์ความสำเร็จหรือความเจริญก้าวหน้าในชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรมควรที่จะได้นำมาใช้ในการดำเนินชีวิต ท่านบอกว่า เป็นหลักธรรมที่จำเป็นแก่ทุกคนที่ประสงค์จะอยู่อย่างไม่มีอุปสรรค แต่มีความเจริญก้าวหน้าทั้งในวิสัยโลกและวิสัยธรรม นี่คือคุณประโยชน์หรืออานิสงค์ของสัปปุริสธรรม 7
สัปปุริสธรรม 7 ก็หมายถึง ธรรมะของบัณฑิต สัปปุริสก็คือบุคคลผู้เป็นบัณฑิต บุคคลผู้รอบรู้ สัปปุริสธรรมก็คือธรรมะของผู้เป็นบัณฑิต ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 7 ประการ ถ้าพูดสั้นๆก็คือเรื่องของเหตุ ผล ตน ประมาณ กาล (คือกาลเวลา) ประชุมชน แล้วก็บุคคล สัปปุริสธรรม 7 ถ้าพูดย่อๆอย่างง่ายๆ เป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุ ผล ตน ประมาณ กาลเวลา แล้วก็ประชุมชน บุคคล คือในการที่จะดำรงชีวิต เกี่ยวข้องกับบุคคลทั้งหลาย รวมทั้งในการทำงานทั้งส่วนตัวในทางโลกและทางธรรม บุคคลควรจะรู้เรื่องของเหตุ ของผล ของตน ของประมาณ ของกาล ของประชุมชน ของบุคคล รู้อย่างทั่วถึงแล้วจึงลงมือทำ จะได้เกิดความถูกต้อง
ข้อที่ 1 ของ สัปปุริสธรรม 7 ก็คือ ธัมมัญญูคือ ความเป็นผู้รู้จักเหตุ เหตุในการที่จะกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่หลับหูหลับตาทำ ทำไปตามเขาไปเรื่อยๆ แต่ทว่าก่อนจะทำอะไรจะต้องมีความเป็นผู้รู้จักเหตุว่าเหตุนี้จะให้เกิดผลอะไร คือเมื่อจะลงมือทำอะไรต้องรู้จักเหตุที่ต้องทำ ทำทำไม เพราะอะไร พร้อมทั้งมองดูไปด้วยว่าผลมันจะเกิดขึ้นยังไง หรือผลที่จะเกิดตามมานั้นคืออย่างไร ฉะนั้น ธัมมัญญู ความเป็นผู้รู้จักเหตุก็หมายถึงว่า เมื่อจะกระทำการอันใด บุคคลควรต้องมีหลัก คือหลักการในการกระทำนั้น ไม่ใช่ทำอย่างเลื่อนลอยตามอารมณ์หรือตามความอยาก ถ้าทำอย่างเลื่อนลอยตามอารมณ์ตามความอยากมันก็มีผลไปในทางลบมากกว่าทางบวก หรือผลที่จะถูกต้องก็ยาก มักจะผิดพลาดมากกว่าเพราะไม่ได้คิดการให้รอบคอบ จะไม่ทำอย่างเลื่อนลอยหรือเพียงเพื่อสนองความอยากของตัวเอง พอมันเกิดอยากขึ้นมามันต้องทำ มันหยุดอยู่ไม่ได้ ถ้าทำเพียงสนองความอยาก ในขณะที่ความอยากเข้าครอบงำจิต เหตุผลความถูกต้องย่อมไม่มี ไม่เกิดขึ้นในใจเลยในขณะนั้น
ฉะนั้น ธัมมัญญูก็หมายถึงว่า ต้องมีหลัก มีเหตุ มีจุดมุ่งหมายในการกระทำนั้นด้วยสัมมาทิฏฐิ จุดมุ่งหมายของการกระทำตามเหตุนั้น พยายามใคร่ครวญว่าเป็นสัมมาทิฏฐิหรือไม่ นี่คือความหมายของข้อ 1 ธัมมัญญู ความเป็นผู้รู้จักเหตุ หมายความว่าอย่างนี้
ข้อที่ 2 อัตถัญญู คือความเป็นผู้รู้จักผลว่าผลนี้เกิดมาจากเหตุอะไร เท่ากับว่าเป็นการใคร่ครวญ สอบทานให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง เพื่อความไม่ประมาท ในขณะที่คิดถึงธัมมัญญูคือคิดถึงเหตุในตอนข้อแรก ก็ได้มองไปถึงผลแล้ว ว่าผลจะเกิดขึ้นอย่างไร แต่ในทางธรรมนั้นท่านพยายามที่จะชี้กระตุ้นให้รำลึกถึงความไม่ประมาท เพราะว่าจะเป็นทางแห่งความตาย ก็คือความผิดพลาด แล้วความทุกข์ก็ตามมา จึงให้ใคร่ครวญซ้ำเพื่อเป็นการสอบทาน ย้ำให้ถี่ถ้วนอีกครั้งว่าผลที่จะเกิดขึ้นนั้นมันจะเป็นอย่างนี้ ไปได้จริงๆหรือไม่
ทีนี้ข้อที่ 3 อัตตัญญู ความเป็นผู้รู้จักสถานะแห่งตนตามวิสัยโลก ว่ามีอยู่หรือเป็นอยู่อย่างไร การรู้จักสถานะแห่งตนก็หมายถึงว่ารู้จักสมรรถนะแห่งตน สมรรถนะก็หมายถึงความสามารถ ความรู้ความสามารถของตน สมรรถนะสามารถในด้านความรู้ ความถนัด สติปัญญา ประสบการณ์ ความเข้าใจในเหตุที่จะทำนั้น ตลอดจนความสนใจ ความมีฉันทะ ความพร้อม เช่น ความมีเวลา ความเสียสละอุทิศตน ตลอดจนจุดยืนหรืออุดมการณ์แห่งตน ทั้งหมดนี้รวมเรียกว่า รู้จักสถานะแห่งตน
สถานะแห่งตนก็คือ ความรู้ความสามารถ ฐานะแห่งตนนั้นอยู่ในระดับไหน อยู่แค่ไหน เพียงพอแก่การที่จะทำงานตามเหตุที่ต้องการจะทำนี้หรือไม่เพื่อจะให้ได้ผลดังกล่าว ฉะนั้นการที่พูดถึงการรู้จักสมรรถนะแห่งตนในด้านต่างๆ ดังกล่าวมานั้นหนักไปทางเรื่องโลก คือตามวิสัยโลก ถ้าตามวิสัยธรรม อัตตัญญูตามวิสัยธรรมก็คือ รู้จักความพร้อมภายในของตน ความพร้อมภายในก็คือ พร้อมด้วยพลังแห่งสติ สมาธิและปัญญาที่จะมั่นคง ยืนอยู่ได้ในการที่จะต้องเผชิญกับสถานการณ์แห่งเหตุนั้นๆ คือจิตใจมั่นคงไหม พร้อมแล้วหรือยังจิตใจ หรือเป็นจิตใจอ่อนไหว รวนเร กระทบกระเทือนง่าย นี่คือ รู้จักความพร้อมตามวิสัยธรรม พูดง่ายๆก็คือว่า สามารถทันต่อผัสสะได้มากน้อยเพียงใด ถ้าอยู่เฉยๆผัสสะมันก็มีเหมือนกัน เช่น ทางธรรมารมณ์ แต่มันก็น้อย แต่เมื่อประกอบการงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนเป็นอันมาก ผัสสะมันก็มีพร้อมผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เข้าสู่ประตูใจ
ฉะนั้น ความพร้อมตามวิสัยธรรมก็คือ ดูข้างใน ความพร้อมตามวิสัยโลก ก็ความรู้ความสามารถ ความถนัดอะไรต่างๆดังกล่าวแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ก่อนที่จะทำการอันใดควรจะศึกษาทำการรู้จักตัวเองอย่างเที่ยงตรงโดยไม่หลงตัวเองหรือเข้าใจว่าเราดี เราเก่งกว่าที่เราเก่งหรือเราดี แล้วก็ในขณะเดียวกันก็ไม่คิดหลงไปว่า เราด้อยกว่าเขา นั่นก็ทำไม่ได้ นี่ก็ทำไม่ได้ ไม่ดีทั้ง 2 ทาง ดีก็อย่าหลง ด้อยก็อย่าหลง แต่ดูจริงๆว่าจริงๆแล้วนี่เราแค่ไหนทั้งข้างนอกและข้างใน