แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
สังเกตนะคะ พ้นบุญกับมีบุญเหมือนกันไหม คนมีบุญกับคนพ้นบุญเหมือนกันไหม เหมือนกันไหมคะ ไม่เหมือน ต่างกันอย่างไง คนมีบุญนะอุ๊ยอิจฉา แหมเขามีบุญจริง ทำไมเราจะมีบุญอย่างเขามั่ง ขอให้ลูกเรามีบุญอย่างเขาเถอะ ถึงเราไม่มีก็ นี่ มีบุญในใจของผู้ที่พูดอย่างนี้ มีลักษณะอย่างไรคะ คนมีบุญ ก็ตามค่านิยมที่ว่าต้องมีอะไร มีชื่อเสียง ทรัพย์สินเงินทอง ตำแหน่ง เกียรติยศ อำนาจ บริวาร เงินในธนาคารเยอะ ๆ ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข มองดูจากข้างนอก ว่าแหมมีความอบอุ่นเหลือเกิน แต่ไม่รู้หรอกข้างในหน๊าวหนาว มีทุกอย่างพร้อมหมดแต่ข้างในมันหน๊าวหนาว
คนข้างนอกเห็นเค้ามีพร้อมด้วยตาเนื้อ มองดูตามตาเนื้อตามกฎเกณที่คิดเอาเองว่า คนมีบุญต้องมีอย่างนี้ ๆ เช่นเดียวกับคนมีเกียรติ ก็นึกอิจฉาอยากมีบ้าง มีบุญจริงไหม มีบุญจริงไหมคะ คิดว่ามีบุญจริงไหม ก็ไม่จริง ทำไมล่ะเราถึงว่าเขาไม่จริง เพราะคนมีบุญในลักษณะนี้อยู่ในนรกบ้างไหมคะ เป็นเปรตบ้างไหมคะ เป็นสัตว์เดรัจฉานอสุรกายบ้างไหมคะ ตกจมอยู่ในกามคุณ 5 อย่างโงหัวไม่ขึ้นบ้างไหม พร้อมหมดเลย แล้วอิจฉาไหม ไม่น่าอิจฉา
เพราะฉะนั้นพ้นบุญกับมีบุญจึงไม่เหมือนกัน พ้นบุญก็คือพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งบุญและทั้งบาป
แต่คงการกระทำที่ถูกต้องอยู่เสมอนะคะอย่าลืม ทำถูกต้องอยู่เสมอ ใครจะเห็นหรือใครจะไม่เห็น รู้หรือไม่รู้ แต่ในใจแน่ใจว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้อง ทำแล้วผู้ทำเองชื่นใจ พอใจ ภูมิใจในการกระทำของตนเองได้ อย่างที่เค้าเรียกว่าปิดทองหลังพระถ้าจะเปรียบ แต่ผู้ที่กระทำถูกต้องจะไม่คิดแม้แต่ว่าจะปิดทองหน้าพระหรือหลังพระ ไม่สำคัญแต่เป็นการกระทำที่ถูกต้อง คนบางคนน่ะเวลาไปปิดทอง ไหนตรงไหนที่ไม่มีใครปิดฉันจะได้ปิดตรงนั้น มีตัวหรือไม่มีตัวในการปิดนี้ ลองนึกสิคะ มีตัวรึไม่มีตัว มีตัวเต็มที่เลย ในขณะที่บอกว่าฉันจะปิดทองหลังพระมันก็มีการอวดตัวอยู่ในตัวใช่ไหมคะ โอ๊ยฉันนี่เป็นคนทำอะไรไม่เอาหน้า ฉันจะไปปิดหลังพระหรือตรงไหนที่ไม่มีใครเขาปิดนั่นน่ะ สงสารตรงนั้นนะไม่มีทองเลย ด๊ำดำ แต่ในขณะเดียวกันก็อวดตัวเอง นี่ก็คือคนมีบุญก็ยังมีความทุกข์ ยังมีความยึดมั่นถือมั่นว่าจะต้องตัวฉันต้องอย่างงั้น ๆ ถึงมีอะไรพร้อมหมดแล้วก็ยังอยากให้คนนิยมชมชอบยกยอให้ยิ่งขึ้นไปอีก
ฉะนั้นผู้ที่จะอยู่ในทะเลขี้ผึ้งได้อย่างไม่กระทบ ฟ้าร้องก็ไม่กระทบ มันก็ดังไปตามธรรมชาติเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติเท่านั้น ฝนตกก็เป็นไปตามปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ แผ่นดินไหวก็เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ แต่รักษาจิตอันนี้เอาไว้ให้พร้อมอยู่ด้วยสติและปัญญาจะได้สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้
ฉะนั้นคนมีบุญอย่างแท้จริงที่ดิฉันเคยพูดแล้วในวันแรก ๆ ก็คือคนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นสัมมาทิฏฐิ นั่นแหละคือคนมีบุญแท้จริง เด็กทารกคนไหนที่เกิดในครอบครัวที่พ่อแม่เป็นสัมมาทิฏฐิ คือมีสัมมาทิฏฐิ คิดถูกต้อง พูดถูกต้อง ทำถูกต้อง สิ่งแวดล้อมเป็นสัมมาทิฏฐิ ไปโรงเรียนได้พบครูอาจารย์ที่มีสัมมาทิฏฐิ นั่นแหละมีบุญ จะมีเงินหรือไม่มีเงินก็เชื่อว่าเอาตัวรอดได้เพราะเค้าจะสามารถรักษาชีวิตของเค้าให้รอดพ้นจากปัญหา
มิได้หมายความว่าชีวิตจะไม่พบปัญหา ปัญหามันต้องมีตราบใดที่ยังต้องทำงานเกี่ยวข้องกับผู้คนอยู่ แต่จะถือว่าปัญหาก็สักแต่ว่าปัญหาและก็แก้ไขอย่างเต็มสติปัญญาความสามารถ โปรดจำอันนี้ด้วยนะคะไม่ใช่งอมืองอเท้าหรือว่าถอยหนีแล้วก็มาท่องว่าเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง นั่นคนโง่ นั่นสัตว์เดรัจฉานอสุรกายโปรดเข้าใจไว้ ไม่ใช่คนที่มีธรรมะ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะเช่นนั้นเองนี่ ทำเต็มที่แล้ว ทำเต็มที่เต็มสติปัญญาความสามารถ และในขณะที่ทำก็บอกด้วยว่านี่เป็นเช่นนั้นเอง แต่ว่าทำในฐานะที่จำเป็นจะต้องทำเพื่อความถูกต้อง
โปรดเข้าใจให้ถูกต้องด้วยนะคะว่าผู้ที่สามารถรักษาจิตให้พ้นบุญ นั่นคือผู้ที่มีความหนักแน่นอยู่ด้วยพลัง พลังของสติปัญญา พลังของสมาธิ แล้วก็พลังของธรรมะ จึงสามารถที่จะยืนอยู่ได้เหมือนอย่างต้นอะไร ต้นมะพร้าวนาฬิเกร์ที่มันยืนอยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง ก่อนที่ดิฉันไปอยู่ที่สวนโมกข์ครั้งแรกหลังจากที่หลวงพ่อท่านอาพาธ ก็ต้องบอกว่ามันก็เหงาเพราะว่าจิตใจของเราธรรมะก็ยังไม่ได้มั่นคง ยังไม่เป็นเวลาไม่นานเลยแล้วก็ตั้งใจว่าไปฝากชีวิตไว้กับหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็สอนเราไม่ได้ ตอนนี้เราก็หาที่อยู่ใหม่ก็ไปอยู่ที่สวนโมกข์ ท่านอาจารย์ท่านก็ให้ความเมตตาแต่ก็ให้อิสระในการปฏิบัติ มันก็ยังมีความเหงา ความเหงาในใจเพราะยังหาที่พึ่งแท้จริงให้เกิดขึ้นจริง ๆ ยังไม่ได้ ก็มีความเหงาอยู่หลายขณะ
เพราะฉะนั้นที่สระนาฬิเกร์นี่เป็นที่ ๆ ดิฉันชอบไปมากที่สุด ตอนเช้าก็ไปนั่งที่สระนาฬิเกร์แล้วก็มองต้นพร้าวนาฬิเกร์ต้นนี้ ตอนเย็นก็ไปนั่ง ตอนกลางวันไม่ได้ไปเพราะแดดมันร้อน เช้าเย็น เช้าเย็น แล้วก็ไปเดินรอบสระนาฬิเกร์ เวลาที่ไม่มีคนนี่สงบสบาย ไปนั่งมองทำไม นึกออกไหมไปนั่งมองทำไม ลองเดาใจดิฉันไปนั่งมองทำไม ขอกำลังใจค่ะ ขอกำลังใจจากต้นพร้าวนาฬิเกร์แล้วก็ท่องกลอน พร้าวนาฬิเกร์ ต้นเดียวโนเน กลางทะเลขี้ผึ้ง อ้อเราก็โนเน เราก็โนเนโดดเดี่ยวกลางทะเลขี้ผึ้ง แต่ของเรานี่ฝนตกมันก็ยังต้อง ต้องบ้างไม่ต้องบ้าง ฟ้าร้องก็ยังถึง ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง เราไม่อยากต้องเราไม่อยากได้ยิน เราก็ขอกำลังใจ นี่ตามประสาคนที่ยังครึ่ง ๆ กลาง ๆ นะคะ
เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่เต็มอย่าคิดว่าเต็ม แต่ก็พยายามจะเดินไปตามหนทางที่ถูกต้องแล้วก็รู้ว่าเรากำลังเดินหนทางที่ถูกต้องแต่ยังไม่เต็ม แต่ว่ายังดีกว่าเมื่อก่อน เมื่อก่อนครึ่ง ๆ กลาง ๆ มากกว่านี้ เพราะฉะนั้นไปนั่งและเพื่อให้ใจของเราเกิดความมั่นคงขึ้น นี่คือวิธีที่เราจะช่วยตัวเราเอง อย่างที่พูดไปนี่เป็นวิธีการที่เรียกว่าเป็นแบบเป็นแผนหรือเป็นทฤษฎีก็ได้ แต่เมื่อเราไปพบกับปัญหาเราก็ต้องคิดหาวิธีช่วยตัวเอง แล้วอีกอย่างหนึ่งพอนั่งไปนั่งไปแล้วเราดู เราก็จะรู้ว่าสิ่งที่เป็นศัตรูของมนุษย์ที่ร้ายกาจที่สุดนี่คือความเหงา ใช่ไหมคะ ความเหงาความว้าเหว่ความรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย นี่อย่างนี้คือสิ่งที่เป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด
เพราะฉะนั้นทุกคนไม่ควรปล่อยให้ความเหงาเข้ามาครอบงำจิต ถ้าปล่อยให้ความเหงาเข้ามาครอบงำจิต โดดเดี่ยวเดียวดายเปล่าเปลี่ยวเอกา ระวังเพราะจะเป็นเหยื่อของใครที่เค้าต้องการจะมาตกเอาไปได้ง่าย ๆ เลย พอเค้าหย่อนเบ็ดเท่านั้นละ เราฮุบปั๊บ ก็คิดว่านี่คือสิ่งที่จะนำความอบอุ่นมาให้จะแก้ความเหงา ฉะนั้นการที่ไปดูอย่างนั้นน่ะ เราดูอย่างโลกแล้วเราก็เอาธรรมะเข้ามา เข้ามาพิจารณาควบคู่กันไปจะช่วยให้จิตใจของเรามีความมั่นคงมากขึ้น และในขณะเดียวกันก็พิจารณาธรรมไปด้วย แล้วก็จะเห็นว่า อ๋อพ้นบุญนี่ละมันสำคัญ สำคัญกว่ามีบุญ นั่นคือพยายามพัฒนาจิตให้อยู่เหนือความยึดมั่นถือมั่นของสิ่งคู่ ไม่ตกไปเป็นทาสของสิ่งคู่ นี่ก็พูดถึงเรื่องกรรมดำกรรมขาว หรือความดีความชั่ว บุญบาป กุศลกรรมอกุศลกรรม ก็ต้องพยายามที่จะกระทำกรรมที่อยู่เหนือทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว เพื่อให้ถึงซึ่งความพ้นบุญคือไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งคู่ แล้วจิตนี้ก็จะค่อยเป็นจิตที่เย็นลง เย็นลง เย็นลง อะไรไม่กระทบง่ายไม่เซง่ายนะคะ
ทีนี้สิ่งที่อยู่ข้างในตรงกลางนั่นน่ะ มองเห็นไหมคะ เค้าก็ทำเป็นสัตว์สามตัว เป็นไก่ เป็นหมู เป็นงู ไก่หมูงู ก็สมมติว่าเป็นเรื่องของกิเลส กรรม วิบาก จะเอาตัวไหนเป็นตัวอะไรก็ได้ทั้งนั้นนะคะ จะเอาตัวอะไรเริ่มขึ้นเป็นตัวอะไรก็ได้ แต่สิ่งที่ควรพิจารณาก็คือเจ้าสัตว์ทั้งสามตัวนี่มันทำอาการอย่างไร เห็นไหมคะ มันทำอาการอย่างไร มันกัดหางกันวนเวียนเป็นวงรอบใช่ไหมคะ เป็นรอบเดียว มันกัดหางกันตลอดเลย นี่คือแสดงถึงวัฏฏะสาม ความวนเวียน กิเลส กรรม วิบากที่เราพูดกันมาบ้างแล้ว ก็มาดูในภาพนี้ที่เค้าเขียนไว้ให้อีก
สิ่งแรกที่จะก่อให้เกิดกรรมคือก็จากผัสสะอะไรที่ว่าแล้วนี่นะคะ แต่นี่พูดถึงตรงนี้ก็คือกิเลส เพราะกิเลสมันเกิดขึ้นในใจ ความโลภเกิดขึ้น ความหลง ความโกรธเกิดขึ้นหยุดไม่ได้ เพราะจิตนั้นยังมีอวิชชาครอบงำอยู่มันก็เกิดตัณหาความอยาก
อยากแล้วก็หยุดไม่ได้ก็ลงมือทำ โลภก็หาหนทางจะดึงยื้อแย่งมาเป็นของเรา โกรธก็หาทางทำลาย หลงก็วนเวียนอยู่นั่นละ วนเวียนเพื่อหาทางออกแล้วก็เบียดเบียนตัวเอง
ฉะนั้นพอลงมือกระทำมันก็เป็นกรรมคือการกระทำเกิดขึ้น เมื่อมีการกระทำมันก็ต้องมีผลของการกระทำที่เราเรียกว่าเป็นวิบาก พอวิบากเกิดขึ้นมันก็ติดใจ ติดใจในรสอร่อยของวิบาก จะเป็นในทางลบก็ตามเป็นในทางบวกก็ตาม มันสนุกก็ทำตามเรื่อย พอเกิดวิบากก็ยั่วยุให้กิเลสอื่นเกิดต่อไปหรือกิเลสเดิมนั่นแหละซ้ำแต่ทำให้มันหนักขึ้นไปอีก ฉะนั้นกิเลสกรรมวิบาก กิเลสกรรมวิบาก นี่คือวัฏฏะที่มนุษย์วนเวียนอยู่ แต่พูดเพียงแค่นี้มันก็ไม่ช่วยให้เราสามารถที่จะเข้าใจหรือว่าตัดกระแสของวัฏฏะนี้ออกไปได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องมาดู มาดูที่ปฏิจจสมุปบาท รอบของปฏิจจสมุปบาททั้งหมด ก็จะรู้ได้ว่ากิเลสมันเกิดอย่างไร กรรมเกิดอย่างไร วิบากเกิดอย่างไร แล้วจะตัดกระแสของกรรมหรือว่าหักห้ามกิเลสทำอย่างไร
ทราบไหมคะ จากการศึกษาปฏิจจสมุปบาท ทราบไหมคะ ทราบวิธีจะตัดกระแสกรรมระงับกิเลสไม่ให้มันต้องมีวิบาก อ้าว ทำยังไม่ได้อีกหรือคะนี่ จะต้องสอนจะต้องอยู่ใหม่อีกสัก 2 วัน อยู่ต่ออีกสัก 2 วัน เพื่อเริ่มปฏิจจสมุปบาทใหม่ ต้องพูดกันใหม่อีกที ก็เมื่อวานก็พูดแล้วมันตัดได้ใช่ไหมคะ นี่ถ้าเราปฏิบัติศึกษาจากปฏิจจสมุปบาท อะไรอาศัยอะไรแล้วทุกข์เกิด อะไรอาศัยอะไรแล้วทุกข์ดับ แล้วก็หมั่นฝึกจิตให้พร้อมด้วยสติและปัญญาทันต่อผัสสะที่เกิดขึ้น กิเลสก็จะลดลง การทำกรรมที่ไม่ถูกต้องก็ลดลง ถ้าวิบากจะมีมันก็เป็นวิบากที่เป็นผลของการกระทำที่ถูกต้อง ก็มีแต่ความสุข ชื่นบาน สุขที่แท้จริง ชื่นบาน ผ่องใส เยือกเย็นพร้อมด้วยสติ สมาธิและปัญญา ฉะนั้นนี่ก็เป็นภาพเขียนที่เค้าเขียนมาทั้งหมด
สรุปแล้วก็อยากจะขอเน้นอีกครั้งหนึ่งนะคะว่า ปัจจุบันขณะเป็นขณะที่สำคัญที่สุดของชีวิตและมีความหมายที่สุดของชีวิต เพราะฉะนั้นจงอย่าได้ปล่อยใจให้ไปติดพันยึดมั่นกับอดีตที่ผ่านมาเลย ไม่ว่าอดีตที่น่าประทับใจหรืออดีตที่น่าชิงชัง มันก็ล้วนแล้วแต่ผ่านมาแล้วแก้ไขไม่ได้ ที่ดีที่ถูกใจก็ดึงกลับมาให้มันเป็นอีกไม่ได้ ถ้าผู้ใดที่ไม่สามารถที่จะดึงจิตออกมาจากความยึดมั่นผูกพันกับอดีตได้ ก็เท่ากับว่าใช้ชีวิตนี้ทั้งชีวิตเพื่อสิ่งที่ไม่มีความหมายไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ถ้าใช้ภาษาอังกฤษก็ต้องบอกว่า For Nothing ไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย เสียเวลาไม่เกิดประโยชน์เลยสักอย่าง
ถ้าจะบอกว่านี่แหละชดใช้กรรมไม่หมด ใครทำให้ ใครทำให้ ก็ตัวเองนั่นแหละทำ เพราะไม่ยอมถอนใจออกจากกรรม ไม่ยอมถอนใจออกจากอดีตที่ผ่านมา เช่นเดียวกับอนาคตที่ยังไม่มาถึงก็อย่าไปวิตกกังวลห่วงใย ทำปัจจุบันขณะนี้ให้ถูกต้อง ไม่ใช่พูดว่าให้ดีนะคะ ให้ถูกต้อง ให้ถูกต้องอยู่เสมอ มันก็จะคืบคลานสู่อนาคต มันไม่มีเวลาจะนึกถึงอนาคต มันจะมีแต่ความชุ่มชื่นเบิกบานกับการกระทำที่ถูกต้องในปัจจุบันขณะใช่ไหมคะ
ปัจจุบันขณะนี้ทำแต่สิ่งถูกแล้วจะไปเอาความทุกข์มาจากไหน ถึงยังทำไม่ได้ทั้งหมดแต่มันก็จะมีความสดชื่นเบิกบานเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ความเศร้าหมองขุ่นมัวก็จะลดลง ๆ
ฉะนั้นจงรำลึกถึงปัจจุบันขณะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และที่ดิฉันเชื่อว่าผู้ที่ถือตัวว่าเป็นคนฉลาดก็น่าที่จะพอใจเต็มใจในการที่จะอยู่กับปัจจุบันขณะใช่หรือไม่ เพราะอะไร เพราะอะไรคะ ก็เพราะเราพิสูจน์ได้เห็นได้น่ะสิ ไม่ต้องเชื่อตามเขาว่า คนฉลาดจริงน่ะเขาไม่เชื่อตามเขาว่า เพราะเขาว่าก็เป็นของเขา ถูกก็ของเขา ผิดก็ของเขา ใช่หรือไม่ใช่ก็ของเขา เหมือนกับเราถูกเขาจูง