แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การที่เราพูดถึงภูมิต่างๆในทางพุทธศาสน์ก็จะต้องดูว่าแต่ละภูมินั้นน่ะที่เค้าเรียกภูมิเปรต ภูมินรก อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เค้าหมายความว่าอะไร ไม่ได้หมายความถึงตัวของเปรตหรือตัวของนรกแต่เค้าหมายความถึงว่าเมื่ออาการ ลักษณะอาการของเปรตก็คือ คอหอยเล็กนิดเดียวแล้วก็ปากเท่ารูเข็ม สังเกตไหมค่ะ แต่ท้องมันเป็นยังไง ท้องใหญ่เหลือเกินทั้งที่ปากเท่ารูเข็ม แล้วมันมีวิธีกินยังไงมันถึงได้กินได้มากมายก่ายกองจนกระทั่งท้องเป็นพุงโตอย่างงั้น ปากเท่ารูเข็ม คอก็นิดเดียว นั่นก็คือแสดงถึงอาการของกิเลส ภูมิเปรตนี่คือแสดงแทนถึงอาการของกิเลส กิเลสตัวไหนล่ะคะ โลภ ความโลภ พอความโลภมันเกิดขึ้นในใจมันสามารถกินได้หมดน่ะ เราก็ได้ยินใช่ไหมคะ สิ่งที่คนไม่เคยกิน หิน ทราย กรวด ภูเขา ทะเล แม่น้ำ ป่า กินกันหมดเลย นี่แหละ เพราะความโลภ เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว มันกินอย่างนี้ พอกินเข้าไปแล้ว มันก็คือเป็นเปรตและเราเองล่ะเคยมีซักขณะหนึ่งไหมหรือหลายๆขณะไหมที่มีอาการเหมือนเปรต เราบ้าง คนที่เรารู้จักบ้าง มนุษย์ในโลกนี้บ้าง เคยพบไหม นั่นแหละ เป็นสิ่งที่ผู้เขียนหรือว่าในทางธรรมะตั้งใจจะบอก
อย่าไปกลัวเลยว่าเมื่อตายแล้วจะไปเป็นเปรต นั่นน่ะไม่สำคัญ มันสำคัญขณะนี้ที่ยังรู้สึกนี่ต่างหากที่สำคัญ เพราะฉะนั้นก็ต้องย้อนเข้ามาดู ในบางขณะนั้นจิตมนุษย์เคยสร้างจิตของความเป็นเปรตขึ้นภายในไหม คือ เต็มไปด้วยความโลภ จะเอา จะเอา จะเอาอย่างเดียว นั่นแหละคือความหิวกระหายของเปรต ฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นเปรตเมื่อตายแล้ว สิ่งที่ควรกลัวก็คือความเป็นเปรตเดี๋ยวนี้ ใช่ไหมค่ะ เพราะเป็นเปรตเดี๋ยวนี้มันก็ร้อนเดี๋ยวนี้แล้วมันก็น่าเกลียดน่าชังสารพัดที่จะเป็นไป ฉะนั้นภูมิเปรตก็หมายถึงอันนี้ หมายถึง ความโลภ กิเลส ตัวความโลภ ส่วนภูมินรกใครๆก็ไม่อยากไปนรกเพราะอะไร เพราะมันร้อน มันร้อน มันเผาไหม้ ความร้อนเกิดขึ้นในใจเมื่อไหร่ล่ะค่ะ ก็นึกถึงที่เขาเปรียบนิวรณ์ตัวไหน โทสะ เมื่อโทสะเกิดขึ้นภายใน มันร้อนเหลือเกิน ร้อนน่ากลัวมาก เพราะฉะนั้น เคยอยู่ในนรกไหมค่ะ นี่กำลังหายใจอยู่นี่ แม้แต่นั่งห้องแอร์ นั่นแหละภูมินรก นรกก็คือหมายถึงกิเลสตัวไหน โทสะ ที่มันเกิดขึ้นภายใน ขณะใดที่มีโทสะจงรู้นี่คือนรก ที่ปู่ ย่า ตา ยาย ท่านบอกว่าสวรรค์ในอก นรกในใจ นี่ท่านบอกให้รู้แล้ว นรกในใจ เมื่อใดที่ปล่อยให้ความโกรธเข้าครอบงำ ความคิดอาฆาตแค้นพยาบาท เบียดเบียน ทำลาย มันก็เกิดขึ้นตามดีกรีของความโกรธ จะรุนแรงหรือจะน้อยจะมากก็ขึ้นอยู่กับดีกรีของความโกรธ จะน้อย จะมาก มันก็ร้อนทั้งนั้น ร้อนน้อย ร้อนมาก นี่คือสิ่งที่ต้องการจะเตือน
ที่นี้ภูมิที่ 3กับที่ 4 ซึ่งเค้าเอาไปรวมด้วยกัน นั่นก็คือ ภูมิสัตว์เดรัจฉาน อสุรกาย ก็หมายถึงความเขลา ความโง่งมงาย ที่บางทีมันนึกอะไรไม่ออก ทำผิด ทำถูกอย่างไม่น่าเป็นไปได้หรือบางทีก็เกิดความขลาดกลัว ต้องไปซุกซ่อนที่มุมโน้น มุมนี้ นี่คือลักษณะของอะไรคะ โมหะ อาการของโมหะ วิจิกิจฉา ลังเล สงสัย ไม่แน่ใจ สติปัญญาไม่รู้หายไปไหนหมด คิดไม่ออก แล้วพอลังเลสงสัยมากๆเข้า อยู่ในวิจิกิจฉามากๆเข้า สิ่งที่ตามมาก็คืออะไร นึกออกไหมคะ พอสงสัยลังเลมากๆเข้าไม่รู้จะหันไปทางไหนหาทางออกไม่ได้เหมือนอย่างกับเข้าไปอยู่ในห้องแล้วเกิดรู้ว่าใครเค้าปิดประตูขังข้างนอก หาทางออกไม่ได้ หมุนอยู่นั่นล่ะ ไม่ช้าจะเกิดอะไร อะไรที่เกิดขึ้นมาในใจ กลัว ใช่หรือเปล่าคะ กลัวว่าเอ๊ะเราจะต้องถูกขังตายในนี้ หาทางออกไม่ได้ จะไม่มีอาหารกิน ต้องตาย นานๆเข้าง่อยเปลี้ยเสียขาตายอยู่ในนี้ นั่นแหละความกลัว เพราะฉะนั้น ความร้ายกาจของวิจิกิจฉา ก็คือ หรือความลังเลสงสัยก็คือมันจะนำเอาความกลัวตามมาโดยไม่รู้ตัว อยากจะพูดว่า ความลังเล สงสัยกับความกลัวนี่มันเป็นพี่น้องกัน มันจะตามมาทันที พอเกิดความกลัวขึ้นแล้วก็ยิ่งตัวสั่นงันงก สติปัญญาหายไปหมดเลย ฉะนั้น การที่จะต้องพัฒนาสติเอาไว้ทุกขณะ จนกระทั่งสติมันเกิดขึ้นในจิต มีภูมิต้านทานที่จะต้านทานสิ่งที่เกิดขึ้นและก็แก้ไขนำสติปัญญามาทันท่วงทีเพื่อแก้ไข ฉะนั้น ภูมิสัตว์เดรัจฉานหรืออสุรกายก็คือ หมายถึง อาการของความเขลา งมงาย อาการของความขลาดกลัวอย่างปราศจากเหตุผล ปราศจากสติปัญญา ฉะนั้น ก็ไม่ต้องกลัวว่าตายแล้วจะไปเป็นสัตว์เดรัจฉานชนิดไหน หรือจะไปเป็นอสุรกาย ยักษ์ มาร
จงกลัวในขณะนี้เถิด ขณะใดเมื่อปล่อยจิตให้ตกอยู่ในความหลงอยู่ในโมหะ นั่นแหละ เป็นภาวะของจิตที่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน เหมือนอสุรกาย วิ่งวนไปมาอยู่ด้วยความเขลาจนกระทั่งเกิดความกลัวเพราะขาดสติและขาดปัญญา ฉะนั้น ภูมิทั้ง 3 ภาพทั้ง 3ที่เค้าเขียนก็รวมภูมิ 4 คือ ภูมิเปรต นรก อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานเข้าไว้ด้วยกัน คือ ผู้เขียนก็ไปรวม 2ภูมิหลัง อสุรกายกับสัตว์เดรัจฉานเข้าไว้ด้วยกัน
ที่นี้นอกจากนี้นะคะ มองไปก็จะเห็นภูมิสวรรค์ สวรรค์ คือ ที่ๆคนทั่วไปปรารถนาจะไปเมื่อหยุดหายใจแล้ว เพราะฉะนั้น จึงถูกหลงให้เชื่อหรือว่าถูกให้ผ่อนส่งเพื่อที่จะไปสวรรค์ในลักษณะต่างๆกันและก็ยึดมั่นว่าสวรรค์นั้นอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ทำไมคนถึงอยากไปสวรรค์ นึกออกไหมคะ ทำไมถึงอยากไปสวรรค์ ก็ได้ยินว่ามีปราสาท มีนางฟ้า เทวดา มีอะไรๆที่มันเจริญตา เจริญใจ ทุกอย่าง ทุกประการ สรุปรวมลงในคำที่ว่า ทิพย์ ใช่ไหมคะ ทิพย์ มันมีอะไรเป็นทิพย์หมดเลย เรียกว่า กระดิกนิ้วไม่ต้องกระดิกนิ้วอ่ะ นึกเท่านั้นแหละมันเกิดขึ้นทันที แล้วแต่ว่าจะไปอยู่ในภูมิไหนตามที่เค้าว่ากัน พอนึกเท่านั้นแหละ มันได้ทันที อาหารทิพย์ แล้วก็นางฟ้า เทวดา สวยๆงามๆ อาสน์ทิพย์ ที่อยู่ทิพย์ อะไรต่ออะไรมันเป็นทิพย์ไปหมด เพราะฉะนั้น ผู้ที่อยากไปสวรรค์ นั่นก็คือ คิดว่าอยู่แล้วจะสบาย มีความสุข รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ล้วนแล้วแต่เป็นทิพย์ทั้งสิ้น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ล้วนแล้วแต่เป็นทิพย์ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสก็คืออะไรคะ กามคุณ 5 เพราะฉะนั้น ในสวรรค์ที่มีพร้อมตามที่ความเข้าใจของคนทั่วไปก็คือ มีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
ที่น่ารัก น่าพอใจ อันเป็นทิพย์ นึกก็ได้ นึกก็ได้ นึกเมื่อไรได้เหมือนอย่างที่เปิดปุ๊ป ติดปั๊ปที่เค้าโฆษณากันน่ะ นี่ไม่ต้องเปิด นึกเท่านั้นแหละมาทันที เพราะมีสิ่งที่เป็นทิพย์ ทีนี้เราหวนมาดูบนโลกเรา บนพื้นดินนี่น่ะค่ะ มีไหมคะ อะไรที่เป็นทิพย์ๆอย่างนี้ มีบ้างไหม ถึงเราไม่เคยไป ไม่เคยมี แต่เราก็ได้ยินใช่ไหมคะ บรรดาท่านผู้ร่ำรวยด้วยธนสารสมบัติเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีต่างๆ ถ้าหลงใหลอยู่ในสิ่งทิพย์อย่างที่พูด คฤหาสน์มโหฬาร จะเอารูปที่น่ารัก น่าพอใจ รูป เสียง กลิ่น รสที่น่ารัก น่าพอใจสักเท่าไหร่ มันล้อมรอบเต็มไปหมดเลยเคยได้ยินใช่ไหมคะ นี่แหละเรียกว่าเป็นสวรรค์บนดินได้ไหม ที่เป็นที่ๆทำให้คนที่ไม่มีหลายคนเกิดความอิจฉา เกิดความอยากจะเรียกร้องสิทธิว่าเป็นคนเหมือนกันทำไมมันไม่เท่ากัน นี่สวรรค์ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปดูสวรรค์ที่ไหน แต่แล้ว เห็นไหมคะ เห็นภาพไหมคะบนสวรรค์นั่นน่ะมีอะไร เรียบร้อยดีอยู่หรือเปล่า บนสวรรค์น่ะเรียบร้อยดีอยู่หรือเปล่า ก็ไม่เรียบร้อยดีอยู่ มีอาการแก่งแย่ง ชิงดี อิจฉา ริษยา แข่งขัน เบียดเบียนซึ่งกันและกันตลอดจนกระทั่งการรบราฆ่าฟันกันก็มีบนสวรรค์นั้นแต่ก็รบกันอย่างแบบเทวดา แบบนางฟ้า แต่มันก็คืออาการของการที่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน เพื่ออะไร เพื่อแย่งรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่พอใจให้ยิ่งกว่า เพราะว่าแม้แต่ในสวรรค์ก็ยังมีการแบ่งชั้นวรรณะ มีอย่างชนิดฐานันดรกับไม่มีฐานันดร เทวดา นางฟ้าแบบนั้น เพราะฉะนั้น ก็จะมีการแก่งแย่ง ชิงดี เบียดเบียนซึ่งกันและกัน แล้วสังเกตไหมคะว่า ภพภูมิที่กล่าวแล้วทั้งเปรต นรก อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ตลอดจนสวรรค์ เค้าเขียนรูปอะไรไว้ ทุกภพภูมิเลย เค้าเขียนรูปอะไรไว้ พระพุทธเจ้า เค้าเขียนรูปพระพุทธเจ้าไว้ทุกแห่ง อย่างในภูมิเปรตก็มีรูปพระพุทธเจ้า นั่นเค้าหมายถึงอะไร นรกก็มีรูปพระพุทธเจ้า อสุรกาย เดรัจฉานก็มี สวรรค์ก็มี มีรูปพระพุทธเจ้า พุทธะคืออะไรหรือคะ ปัญญา ไม่ได้หมายถึงองค์พระพุทธเจ้าแต่หมายถึงปัญญาที่เราเคยพูดกันว่าในจิตของมนุษย์ทุกคนนั้นมีเมล็ดพืชของพุทธะหรือเมล็ดพืชของโพธิอยู่ในใจกันทุกคน มีสิทธิ์ที่จะงอกงามได้คือมีสิทธิ์ที่จะฉลาด มีสิทธิ์ที่จะเพิ่มพูนปัญญาให้มากยิ่งขึ้นจนเห็นอะไรชัดเจนและสามารถช่วยตัวเองให้รอดพ้นจากสิ่งที่เป็นปัญหาได้ แต่เปรตทั้งหลาย เห็นไหมคะ มองเห็นไหม มองเห็นเมล็ดพืชอันนี้ไหม หรือสมมติว่าองค์พระพุทธเจ้าประทับอยู่จริงๆ มองเห็นไหมคะ ก็ไม่เห็น เพราะอะไร เพราะกำลังวุ่นวายอยู่ด้วยความโลภที่จะแย่งชิงกันเอาให้ได้ มัวเมาอยู่กับความโลภจึงมองไม่เห็นเมล็ดพืชของความฉลาด ของปัญญาที่มีอยู่ภายใน ไม่มีโอกาสได้งอกงามเพราะมันถูกน้ำร้อนของความโลภรดลงๆๆ รดลงไปจนกระทั่งเหี่ยวเฉาไป
ไม่มีโอกาสได้เจริญเติบโต เช่นเดียวกันกับในภูมินรกก็มัวแต่วุ่นวายอยู่กับความร้อนของความโกรธที่จะเบียดเบียน อาฆาต พยาบาท ทำลายล้างซึ่งกันและกันตามอารมณ์ของความโกรธ ของโทสะที่เกิดขึ้น ก็ไม่สามารถจะมองเห็นอะไร แสงสว่างลอดเข้าไปไม่ได้ มีก็มีอยู่เปล่า เป็นหมันเปล่า เช่นเดียวกับภูมิเดรัจฉาน อสุรกาย มัวแต่วิ่งวนอยู่ด้วยความเขลา ความงมงาย ตามที่คุ้นเคยหรือตามที่ได้ยินได้เชื่อถือต่อๆกันมา ไม่ยอมรับการปรับเปลี่ยนก็มองไม่เห็น ไม่ให้โอกาสแก่เมล็ดพืชของปัญญาที่จะสอดแทรกเพื่อเติบโต นำชีวิตนั้นให้พบแสงสว่าง แม้แต่สวรรค์ก็ไม่สามารถจะมองเห็น เพราะอะไร เพราะงมงายอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เรียกว่าจมอยู่กับกามคุณจนไม่สามารถจะโงหัวขึ้นได้จากสิ่งนั้น ก็เลยมองไม่เห็น นี่คือเรามองสิ่งเหล่านี้อย่างพุทธศาสน์ ที่เรามองอย่างพุทธศาสน์ไม่ใช่แกล้งมองเพื่อเข้าข้างตัวเอง ไม่ใช่อย่างนั้น ในเมื่อเราสำนึกหรือสังวรแล้วว่าสิ่งที่เป็นปัญหาแก่ชีวิตก็คือสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์ เมื่อเรามาพบและความทุกข์มันเกิดจากอะไร ถ้าเราถือว่าเรานี่เป็นปัญญาชนจริง เราย่อมไม่อยากที่จะจมจากความทุกข์ แต่ถ้าเราจะมองสิ่งเหล่านี้อย่างไสยศาสตร์ด้วยความยึดมั่นถือมั่น มันช่วยให้เราพ้นจากความทุกข์ไหม หรือยิ่งตกจม นี่คือ สิ่งที่ผู้ที่คิดว่าเป็นปัญญาชนจริงควรจะสังวร เราจึงมองอย่างพุทธศาสน์ เราจึงมองอย่างพุทธศาสน์เพราะเป็นสิ่งที่เป็นอย่างนั้นจริงและเกิดขึ้นจริง เราพิสูจน์กับใจของเราเองได้ใช่ไหมคะ นี่แหละคือแสดงว่าปัจจุบันขณะนี้สำคัญเพียงใด เพราะเป็นปัจจุบันขณะที่เรายังมีสติสัมปชัญญะพอจะรู้อะไรได้ ไม่ต้องให้คนอื่นเค้ามาหลอก ฉะนั้น จึงเป็นสิ่งที่ควรจะพิจารณาอย่างการใช้ปัญญา
ที่นี้ส่วนอีกรูปหนึ่ง คือ รูปของโลก โลกมนุษย์ที่เราอยู่นี้ ในรูปนั้นเขียนขาดไปจากบางอย่าง ในรูปที่ของต้นฉบับที่ผู้เขียนมานั้นก็จะมองเห็นว่าในโลกมนุษย์นี้ก็มีความสับสน วุ่นวาย ด้วยเหมือนกันนะคะ แต่ในความสับสนวุ่นวายนั้นมนุษย์ก็ยังมีโอกาสที่จะได้ยิน ได้ฟังสิ่งที่เป็นธรรมะอันจะช่วยหล่อหลอมใจให้เบาบางจากความมัวเมา งมงายต่างๆ ฉะนั้นท่านจึงบอกว่าในโลกมนุษย์นี้เป็นสถานที่ที่มีทั้งสิ่งดี สิ่งชั่ว สิ่งถูก สิ่งผิด ทั้งทางบวกและทางลบ ให้มนุษย์ได้พบ ให้มนุษย์ได้สำเหนียก ให้ได้สัมผัสด้วยตนเอง เกิดประสบการณ์ขึ้นตนเอง และผู้ใดที่ให้โอกาสแก่เมล็ดพืชของโพธิหรือเมล็ดพืชแห่งปัญญาที่เกิดขึ้นในใจที่จะเติบโตขึ้นก็มีโอกาส มีโอกาสที่จะฟังธรรม ศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรมแล้วก็ขัดเกลา แก้ไข ปรับปรุง พัฒนาใจของตนเองจนกระทั่งเป็นใจที่ใสสะอาดและก็พาชีวิตนั้นรอดพ้นจากปัญหาและความทุกข์ได้ เหมือนอย่างที่มีเรื่องเล่าหรือหนังสือเล่าที่เค้าพูดกัน เมื่อเวลาที่เทวดาจะต้องจุติ นี่ก็ตามนิทานนะคะ บางท่านก็คงนึกออกแล้ว พอเทวดาจะจุติก็จะถามว่าจะไปจุติที่ไหน เทวดาต่างก็ตอบว่าจะมาจุติที่โลกมนุษย์ ทำไมถึงมาจุติที่โลกมนุษย์ ก็เพราะว่าที่โลกมนุษย์นี้เท่านั้น