แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
แล้วก็ดูเถอะ ดูจากรูปนี้ เห็นไหมคะ เจ้าตัวอะไรที่มันกำลังคาบวงล้อของปฏิจจสมุปบาท มือสองมือก็จับแน่น เข่าสองข้างก็หนีบแน่น เอาเท้าหนีบอีกด้วย มันมีแค่นี้ก็ใช้แค่นี้ มีมากกว่านี้มันก็เอาหมด หนีบเอาไว้ หนีบเอาไว้ด้วยอะไร ทั้งหนีบ ทั้งกัด ทั้งจับ ด้วยอะไร ด้วยความรู้สึกอะไร ยึดมั่นถือมั่นใช่ไหมค่ะ ยึดมั่นถือมั่นอย่างแน่นเหนียว ปล่อยไม่ได้ ท่านครูอาจารย์ท่านก็จะบอกว่านี่แหละตัวอวิชชา แต่ดิฉันชอบเรียกมันว่า นี่แหละตัวอัตตา เพราะอวิชชามันไม่ค่อยเห็น แต่นี่แหละอวิชชาครอบงำจิตเมื่อใด ตัวอัตตาพอมันโผล่ออกมา
งามไหม น่ารักไหม หล่อไหม ต่อให้เป็นนางสาวจักรวาล เป็นนายจักรวาลด้วย พออัตตาเข้ามามันเหมือนอย่างนี้ทุกที มันแสนจะน่าเกลียด น่าเกลียด น่าชัง น่าทุเรศ หาความน่าเคารพนับถือไม่มีเลย เพราะมันลืมตัวตกเป็นทาสของอารมณ์ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ตัณหา ความอยาก อุปาทานความยึดมั่น จะเอา จะเอา จะเอาอย่างเดียว โลภก็จะกวาดเข้ามา โกรธก็จะผลักออกไป โมหะก็วนเวียนว้าวุ่นเหมือนหนูติดจั่น หาทางออกไม่ได้ นี่แหละเจ้าอัตตา เมื่อมันเข้ายึดมั่นอยู่ในจิตมันมีอาการอย่างนี้ มันไม่ยอมปล่อย ทุกอย่างของเรา รองเท้าที่ขาดก็ของเรา มันยังเป็นของเราอยู่ อย่ามาเอาไปไหนนะฉันยังใช้ประโยชน์ได้ แปรงสีฟันเก่าๆ ก็กองอยู่ตั้งห้าอันสิบอัน อย่ามาหยิบนะ ของเรา เผื่อเราจะใช้ทำอะไรบ้าง ผ้าขี้ริ้วก็ของเรา อะไรทุกอย่าง มีค่าหรือไม่มีค่า ถ้าขึ้นชื่อว่าของเราแล้วใครอย่าแตะ
เวลาที่อัตตามันมีมากมันขึ้นถึงขนาดนี้ และเพราะฉะนั้นตัวนี้ก็เต็มไปด้วยอะไร เต็มไปด้วยศักดิ์ศรี ศักดิ์ศรีของความยึดมั่นถือมั่น ในความเป็นตัวฉัน ทั้งๆ ที่ศักดิ์ศรีนี่ก็คือสิ่งที่สมมติ สมมติกันขึ้นว่าลักษณะอย่างนี้เขาเรียกว่าคนมีศักดิ์ศรี แล้วก็ไปลงเอาตรงที่มีเกียรติยศ มีชื่อเสียง มีอำนาจ มีตำแหน่งการงานสูง หรือทรัพย์สินเงินทองมาก โปรยหว่านได้ หาบริวารได้ แล้วก็บอกว่านั่นคือศักดิ์ศรี ซึ่งทุกสิ่งมันก็เป็นไปตามสมมติสัจจะที่เราพูดกันแล้ว นี่แหละเจ้าตัวอัตตา
เมื่ออวิชชาเข้าครอบงำจิต ความรู้ ความดี ความงาม อะไรที่เคยทำเคยมีมันหายไปหมดในขณะนั้น ไม่เหลือเลย และไม่ได้เคยสำนึก และมันก็ลงเอยด้วยความทุกข์ ด้วยความร้อน
นี่ก็คือศึกษาถึงเรื่องของความทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร หรืออะไรอาศัยอะไรแล้วเกิดความทุกข์ จากผลมาหาเหตุ อาศัยทำไม ไหนลองนึกสิคะไหนลองนึกเองสิคะ ว่าทำไมจึงทุกข์ ทำไมนะมันจึงทุกข์นัก จะทุกข์อะไรก็แล้วแต่จะแจงออกไป เพราะอะไร มันมีอะไร มีแล้วก็ อ๋อ เพราะมีชาติ หยุดคิดสักนิดว่าชาติ ชา-ติ นี่คืออะไร หยุดคิดสักนิด อย่าเอาแต่คล่องปากอย่างเดียวนะคะ เอาให้มันซึมเข้าไปในใจด้วยในความหมายของคำว่าชาติ เอาให้ซึม จะได้สำเหนียกสังวรณ์เอาไว้ในใจว่า
ความเกิดที่น่ากลัวที่มนุษย์ทุกคนต้องระมัดระวังอยู่ทุกขณะจิตคือความเกิดของความรู้สึก
ต้องเติมให้ชัดว่า ของความรู้สึกเป็นอัตตา เป็นตัวตน เพราะจริงๆ นั้นทุกอย่างเป็นอนัตตาอย่างที่เราพูดกันเมื่อเช้า ไม่มีอะไรที่เป็นอัตตาตัวตนให้ยึดมั่นได้เลยสักอย่าง ฉะนั้น นี่แหละคือการเกิดที่น่ากลัวที่มันนำเอาความทุกข์ ปัญหา ทุกสิ่งทุกอย่างมาสู่ชีวิตของมนุษย์ เพราะอันนี้ ไม่ใช่อะไรอื่นเลย
และชาติ ชา-ติ มันมาจากไหนล่ะ ทำไมมันต้องมีชาติ ทำไมมันต้องมีการเกิด เพราะอะไร เพราะมันมี ภพ หรือ ภวะ แล้วมันมาจากไหน ภพ หรือ ภวะ นี่มันเป็นยังไง ที่เรียกว่าภพหรือภวะมันคืออะไร ทำความเข้าใจไปด้วยนะคะ มันคืออะไร อ๋อ ก็อาการที่มันอมเอาไว้ไงล่ะ อมความรู้สึกมี อมความรู้สึกเป็นอย่างชนิดเจตนาเลยว่า เป็นคนสวย เป็นคนเก่ง เป็นคนดี เป็นหัวหน้างาน เป็นประธานบริษัท เป็นผู้อำนวยการ เป็นครูใหญ่ เป็นครูน้อย เป็นนักเรียน เป็นลูกศิษย์ เป็นลูกนะ ไม่รู้หรือว่านี่เป็นลูก ทำกับลูกอย่างนี้ได้เหรอ เห็นไหม มันอมเอาไว้ทุกอย่างเลย
ที่มันเรียกร้องขึ้นมาเพราะมันอมภพอันนี้เอาไว้ อมความมีความเป็นอย่างนั้นไว้ ก็ลองนึกดู ตัวคนเดียว ตัวคนเดียวนั่งอยู่นี่ มีภพสักกี่ภพอยู่ข้างใน ถ้าลองเรามานั่งแกะดู แกะดู คุ้ยเขี่ยดูทีละน้อย ทีละน้อย จะอัศจรรย์ โอ้ยไม่เคยนึกเลย ว่าอมภพอะไรต่างๆไว้ในตัวนี้บ้าง เราก็รู้แต่ว่านี่ชื่อนี้สกุลนี้ ตำแหน่งการงานนี้ เป็นนิสิตนักศึกษา แต่จริงๆ แล้วที่มันหนักก็เพราะอันนี้ หนักเพราะอมภพ ความมีความเป็นต่างๆ ไว้อย่างคาดไม่ถึง นับไม่ถ้วน แล้วก็แบกเอาไว้ หนักไหม ที่หาบหามมาตลอดเวลา ถึงจะเดินตัวเปล่าตามตาเนื้อข้างนอกแต่มันก็แบกความรู้สึกที่หนักเอาไว้ เพราะฉะนั้นไปตรงไหนหย่อนก้นไม่ลง ตรงนี้ก็ภพนี้นั่งไม่ได้ ตรงนั้นก็ภพนั้นนั่งไม่ได้ มันไม่เหมาะไม่สมกับความเป็นภพที่อมเอาไว้ในใจ
เคยพบบ้างไหมคะ คนที่อมภพเหล่านั้น มองดูแล้ว อืม มันน่าสงสาร ไม่น่า ไม่น่าอย่างอื่นนอกจากน่าสงสาร เพราะฉะนั้นต้องทำความเข้าใจกับคำว่าภพหรือภวะให้ชัดเจนในใจด้วย อย่าไปบอกแต่เพียงว่าเพราะมันมีภพ แล้วภพมันเกิดขึ้นได้อย่างไงล่ะ มันมาจากไหน เพราะอะไร เพราะอุปาทาน ทำความเข้าใจเรื่องของอุปาทานให้ชัดเจนเชียวค่ะ นี่เป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ยึดมั่นสิ่งใดเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าคำสอนใดสอนให้ยึดมั่นและความยึดมั่นจากนี้มายึดมั่นในอีกสิ่งหนึ่ง เช่น มายึดมั่นในตัวผู้สอน มายึดมั่นในสถานที่ ยึดมั่นในเครื่องรางของขลังหรือยึดมั่นในอะไรๆ ก็ตาม ใช้อันนี้เป็นการตัดสินได้เลยว่าคำสอนนั้นถูกต้องหรือไม่ ตอบได้ไหมคะว่าถูกต้องไหม ก็ไม่ถูกต้องเพราะสวนทางกับคำสอนของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงสอนเพื่อให้ละ ลด ขัดเกลา ขูด ถอดรากถอดโคนของความยึดมั่นถือมั่น ไม่ว่าจะเป็นความยึดมั่นถือมั่นในอะไร
ตำแหน่งการงานก็ไม่ต้องยึด ยึดแล้วก็แบกมันไปเป็นภพแล้วก็เป็นทุกข์ ออกมาเป็นชาติแล้วก็เป็นทุกข์ ทรัพย์สินเงินทองที่มีในธนาคารจะสักกี่แสนกี่ล้านก็ไม่ต้องไปยึดมั่นถือมั่นในมัน ให้รู้แต่เพียงว่าเมื่อมีจะรักษามันอย่างไรจึงถูกต้อง จะใช้มันอย่างไรจึงจะถูกต้องและเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง เท่านั้นคือหน้าที่ของความเป็นมนุษย์
ฉะนั้นอุปาทานนี่จงรู้ว่าเป็นต้นเหตุ และอุปาทานเกิดขึ้นก็เพราะมันมาจากรากเหง้าแห่ง แห่งอะไร อวิชชาที่มันต้นขั้วใหญ่นั่นแหละตัวร้าย อวิชชาทั้งๆ ที่มองไม่เห็น อย่าลืมทำความเข้าใจกับอุปาทานนะ ทำไม ทำไม ทำไม แล้วจะเห็นเหตุแห่งทุกข์ชัดขึ้น ชัดขึ้น ชัดขึ้น แล้วอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นนี้มันมาจากไหน มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง เพราะอะไร เพราะมันมีตัณหา อ๋อ ตัณหานี่เองที่อยากโน่น อยากนี่ ตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ เบาะๆ จนกระทั่งอยากมาก อยากจะกลืนโลกทั้งโลกนี้ไว้เอาเป็นของเราคนเดียว เราจะได้เป็นเจ้าโลก สุขไหม เป็นเจ้าโลก บ้านหลังเล็กๆ ยังแบกไว้ไม่ไหวเลย ตำแหน่งเสมียนเล็กๆ ก็ยังแบกหนักเลย แล้วจะเป็นเจ้าโลก บ้าเร็ว ยิ่งเป็นเจ้าโลกยิ่งบ้าเร็ว
อย่างที่ดิฉันติดใจคำสัมภาษณ์ของพระภิกษุฝรั่งหนุ่มองค์หนึ่ง นี่อ่านพบในหนังสือที่นักข่าวไปสัมภาษณ์ ท่านก็ตอบอะไรน่าฟังเยอะแยะหลายอย่าง และคำสุดท้ายที่เขาถามท่าน ที่บอกว่าถ้าไม่บวชแล้วจะเป็นยังไง อ๋อ เป็นบ้าไปแล้ว ท่านตอบ จบจิตวิทยาเกียรตินิยมด้วยนะ ยังหนุ่มอายุยี่สิบกว่าๆ เท่านั้นเอง แล้วก็มาบวชมาอยู่เมืองไทย ดิฉันไม่ได้มีโอกาสพบท่านองค์นี้ แต่ได้อ่านในหนังสือที่มีผู้เข้าไปสัมภาษณ์ ท่านก็สัมภาษณ์ให้เห็นสภาพของตะวันตกที่คนไทยกำลังหลงนิยมยินดีและก็จะเอาอย่างว่ามันสร้างผู้ใหญ่ใจเด็กให้เกิดขึ้นในสังคมมากเพียงใด และก็ทำให้สังคมนั้นเกิดเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะผู้ใหญ่ใจเด็ก ผู้ใหญ่ใจเด็กเป็นอย่างไร เมืองไทยก็เยอะไม่ต้องไปหาเมืองนอกแต่พอท่านพูดให้ฟัง เออ มันสะกิดใจ เต็มไปด้วยผู้ใหญ่ใจเด็ก
เป็นผู้ใหญ่แต่อายุ เป็นผู้ใหญ่แต่วิชาความรู้ แต่ใจน่ะมันเด็ก เพราะใจมันจะเอาอย่างเดียว จะเอาเรื่องอย่างเดียว จะเอาตามใจฉัน เพราะอวิชชามันครอบงำจิต
ท่านบอก ในสังคมตะวันตกเวลานี้เหรอมันหลงเป็นทาสของวัตถุ ไม่ต้องไปเจียระไนน่ะนะคะ ซึมซาบแก่ใจดีแล้วว่าการเป็นทาสของวัตถุเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นผู้ใหญ่คนที่โน่น เดี๋ยวนี้มีแต่ผู้ใหญ่ใจเด็ก เราเห็นเด็กใช่ไหม เราบอกเธอนี้ช่างทำอะไรกันอย่างกับเด็ก เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน เดี๋ยวก็ดีกัน เดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็จะเอาโน่นเอานี่ ใช่ไหม ว่าเด็กๆ แล้วผู้ใหญ่เป็นอย่างนั้นบ้างไหมค่ะ ผู้ใหญ่เป็นอย่างนั้นบ้างไหม พบเยอะแยะเลยที่ทะเลาะวิวาทด่าทอกันทั้งในใจทั้งออกมาข้างนอก มีเกือบทุกวงการ
อย่างนี้ต้องไปฟังนิทานล้างหูลิง เรื่อง ลิงล้างหู มันฟังอย่างนี้ไม่ได้ มันต้องวิ่งลงไปล้างหูในน้ำ เพราะบอกว่ามันเป็นสิ่งที่อวมงคล หาสิริมงคลกับหูไม่ได้เลยที่ได้ฟังผู้ใหญ่ใจเด็กทะเลาะกันมีแต่ ขอโทษ ของกู ของกู ของกู เหมือนกับนกเขาที่ร้อง ของกู ของกู แต่เสียงนกเขายังเพราะๆ มันร้องอย่างธรรมชาติ มันบริสุทธิ์ มันไม่มีมารยา
แต่ของกู ของกู ที่คนร้อง มันร้องเต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชาครอบงำจิต
ถ้าบอกมีแต่ผู้ใหญ่ใจเด็ก เพราะฉะนั้นท่านถึงได้หันมาหาธรรมะ เพราะเชื่อว่าธรรมะนี่แหละจะช่วยขัดเกลาความยึดมั่นถือมั่นจนกระทั่งจิตเป็นทุกข์ให้เป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริงได้ คือเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ และคุณธรรม คุณธรรมที่จะมีอยู่ในจิต เห็นใจผู้อื่นมากกว่าที่จะเห็นใจตนเอง สามารถที่จะทำหน้าที่อย่างถูกต้องเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ได้
ท่านถึงบอกว่าถ้าไม่บวชน่ะเหรอ บ้าแล้ว แล้วเราก็จะเห็นว่าโรงพยาบาลประสาท โรงพยาบาลโรคจิต มีไม่พอ ทั่วโลกนะมีไม่พอ เพราะฉะนั้นจึงยังมีคนประสาทอยู่นอกโรงพยาบาลอีกเยอะเลยและก่อปัญหาให้เกิดขึ้น ถ้าจะถามว่าทำไมถึงไม่ไปอยู่ในโรงพยาบาล ก็เพราะโรงพยาบาลมันไม่พอ มันมีไม่พอ สร้างไม่ทัน เพราะมนุษย์มัวแต่เพลิดเพลินกับอวิชชา ปล่อยให้อวิชชาเข้าครอบงำจิต ยอมเป็นคนที่เต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน มันก็เลยประสาทกินตัวเอง ไม่ใช่ไปกินคนอื่น แต่ทีนี้เผอิญเป็นสังคมที่มันอยู่ร่วมกัน มันก็ไม่ประสาทเฉพาะคนเดียว ก็เอามลพิษที่มีอยู่ในใจของตัวพ่นใส่คนรอบข้างไปหมด มันถึงพลอยกันเดือดร้อนไปหมด
นี่คือโทษทุกข์ของอุปาทาน ศึกษาดูให้ชัดเจนนะคะ ดูลงไปเรื่อยๆจนถึงอวิชชา เพราะฉะนั้นอุปาทานมาจากไหน ก็เพราะมีตัณหา อยากไปซะทุกอย่าง แล้วตัณหานี่ล่ะมันเกิดขึ้นได้อย่างไร มันมีขึ้นได้อย่างไรเพราะอะไร อ๋อ ก็เพราะมีเวทนา แล้วเวทนานี่ล่ะ อยู่ดีๆ มันเกิดขึ้นรึ เวทนานี่ค่ะอยู่ดีๆ เกิดขึ้นหรือเปล่า ไม่ ทำไมเวทนาจึงเกิด เพราะมีผัสสะ ท่านจึงบอกว่าผัสสะนี่แหละเป็นจุดเริ่มต้นของกรรม ถ้าจะถามว่ากรรมเกิดขึ้นได้อย่างไร ตรงนี้แหละคือจุดเริ่มต้นของกรรม
สำหรับจิตที่เต็มไปด้วยอวิชชาครอบงำ นี่คือจุดเริ่มต้นของกรรม เพราะพอผัสสะเกิดขึ้นไม่สามารถจะทันต่อผัสสะได้