แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ถ้าหากว่าเวทนาเป็นทุกขเวทนา ตัณหาก็จะปนหรือว่าถูกผลักดันด้วยแรงของกิเลสที่เป็นโทสะ ไม่ชอบ ผลักออกไป ขับไล่ไป ไม่เอา ไม่ถูกใจ ตามอาการ และตัณหานี้ก็หยุดไม่ได้แค่นี้ คือมันไม่ได้หยุดลงแค่ตัณหา มันก็เป็นปัจจัย และตัณหาเขาก็ทำเป็นรูปของคนกำลังสูบ จะสูบกัญชาหรือว่าจะสูบยาเสพอะไรก็ไม่ทราบที่มันจะทำให้เกิดความมัวเมายิ่งขึ้น นี่คืออาการของตัณหา พอความอยากมันเกิดขึ้นในใจมันมีความมัวเมา มันไม่รู้ผิดไม่รู้ถูก มันจะดึงดันเอาให้ได้ตามอำนาจของกิเลสที่กำลังผลักดันอยู่ในจิต โลภก็จะเอาให้ได้มาเป็นของเรากวาดเข้ามา โทสะก็ผลักออกไปจนกระทั่งถึงทำลายเสีย โมหะก็ว้าวุ่นวนเวียนอยู่นั่นแล้ว หาทางออกไม่ได้ นี่คือเมื่อตัณหาเกิดขึ้น มันมัวเมา เหมือนกับคนติดยาเสพติดในลักษณะนั้น แล้วตัณหาก็เป็นปัจจัยให้เกิดเป็นอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นในตัณหานั้น อุปาทานอะไร อุปาทานยึดมั่นในตัณหานั้น ตัณหาอะไร ก็ตามเวทนาที่เกิดขึ้น และเวทนานั้นก็แน่ล่ะจะนำปัญหาให้เกิดขึ้นเพราะอวิชชากำกับอยู่ที่ต้นขั้ว เห็นไหมคะมันสืบกันเป็นปัจจัยที่อาศัยกันและกันและเกิดขึ้นมาตามลำดับ ที่นี้ พออุปาทานเขาก็ทำเป็นรูปลิง แล้วสังเกตท่าของลิงสิคะ มันนั่งยังไง มันมีอะไรอยู่ในมือ ก็จะเห็นว่ามือหนึ่งมันถือผลไม้ที่มันได้มาจะด้วยการเก็บหรือว่าแย่งชิงมาจากคนอื่นก็ตามที แต่บัดนี้ผลไม้อยู่ในมือเรา และอีกมือหนึ่งมันก็ไพล่หลังใช่ไหมคะ ท่าทางของมันเป็นยังไง ยึดมั่นนี่ของเรา ท่าทางมันยโส มันผยองใช่ไหมคะ ท่าทางมันไม่ได้กลัวใคร ผยองว่านี่ของเรา เรามีของเรา ยังกับจะท้าทาย เอาซิ ใครกล้าดีลงมาแย่งกับเราซิจะได้เห็นดีกัน
นี่คือลักษณะอาการของอุปาทานที่เกิดขึ้นในใจของมนุษย์ จะเป็นอุปาทานในความดี ในความเก่ง ในความสวย ในความวิเศษหรือความมีหน้ามีตา ความเป็นคนใหญ่คนโต ก็ยึดมั่นอย่างนั้น หรือในความด้อยก็ยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้นเหมือนกัน ใครอย่ามาพูดสะกิดจุดนี้เข้า ถึงแม้ว่าจะด้อยก็พร้อมที่จะโผเข้าหาเพื่อต่อสู้ นี่ความร้ายของอุปาทาน อุปาทานนี้มันร้ายมากไม่ว่าจะยึดมั่นในทางลบหรือทางบวก เขาจึงทำเป็นรูปของลิงอีกเหมือนกัน ถ้าหากเห็นรูปลิงเกี่ยวกับเรื่องของธรรมะ โปรดเข้าใจ เขามักจะอุปมาหมายถึงจิต สภาวะของจิต จิตที่มันยังไม่ได้รับการฝึกฝนอบรม มันจะดีดดิ้น พลิกแพลง พยศร้าย อาละวาดเหมือนอย่างลิงเถื่อน นี่มันยังเป็นลิงเถื่อน มันจึงนึกถึงอะไรออกไปจากตัวเองเสมอ เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง จะเอามาให้ได้เพื่อตัวเอง เขาจึงเขียนรูปเป็นลิงที่กำลังได้ผลไม้ กำผลไม้ไว้ในมือและก็ท่าทางท้าทาย ยโสว่านี่ของเรา และอุปาทานนี้ก็เป็นปัจจัยให้เกิดภพ สังเกตรูปภพไหมคะ เขาทำเป็นรูปผู้หญิงที่กำลังท้อง ผู้หญิงที่กำลังท้องแล้วก็นึกดูเถอะผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ พอรู้ว่าเรากำลังจะมีลูก สัญชาตญาณของแม่ก็เต็มไปด้วยความรัก ความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะรักษาลูกในท้องให้เข็งแรงให้สมบูรณ์เพื่อจะออกมาเป็นเด็กฉลาด เป็นที่ชื่นตาชื่นใจของพ่อของแม่และก็เป็นลูกที่ดีมีหน้ามีตาของวงศ์ตระกูล นั่นแหละพอลูกเกิดขึ้นสังขารในใจของแม่นี่มันมีเยอะแยะมากมาย ที่นี้เขาเขียนรูปผู้หญิงกำลังท้อง แสดงหรืออุปมาถึงอาการของภพ หรือภวะ หมายความว่าอย่างไร ก็หมายความว่าความรู้สึกหวงแหนของแม่ ความรู้สึกทะนุถนอมของแม่ที่มีต่อลูกในท้องมากมายเพียงใด ยอมอดเปรี้ยว อดหวาน ยอมลำบากที่จะบริหารกาย ที่จะพยายามรักษาสุขภาพอย่างเคร่งครัดตามคำแนะนำของหมอ ของพยาบาล ยอมลำบากทุกอย่าง ของชอบ หมอบอกว่าอันนี้มันแสลงต่อเด็กก็หยุดกิน ไม่กิน อะไรที่ไม่ชอบก็ต้องฝืนกินเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงลูกในท้องจะได้แข็งแรงด้วย เห็นไหมคะ นี่เขาเปรียบกับความรู้สึกทะนุถนอม หวงแหน รักษาป้องกันเอาไว้ทุกอย่างเลยที่จะไม่ให้ลูกในท้องต้องกระทบกับอะไรที่จะเป็นอันตราย นี่แหละภาวะอาการของภพ ความรู้สึกภพพอเกิดขึ้นในใจซึ่งมันต่อเนื่องไปจากอุปาทานแล้วมันก็ต่อกันตามลำดับ อย่าลืมนะคะ นี่อุปาทานยึดมั่นในความเป็นตัวฉันที่มันมีมาทีละน้อยตั้งแต่นามรูปเกิด ตั้งแต่วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป ตั้งแต่มองเห็นอย่างนั้น นั่นแหละ มันค่อยๆมีมาทีละน้อย และก็จะสังเกตว่าวิญญาณแม้จะเกิดขึ้นครั้งเดียวในอาการ สังขารเกิดขึ้นครั้งเดียวในอาการ แต่เจ้าสองอย่างนี้มันสอดแทรกมาเรื่อยเป็นระยะๆๆ สังขารมันจะปรุงออกมาเรื่อยเป็นระยะๆอยู่ข้างหลัง แล้วก็วิญญาณก็ตามรู้ ตามรู้ ตามรู้ ตามสังขารที่มี เพราะฉะนั้นพอมาถึงอุปาทาน มันก็มีความรู้สึกยึดมั่นว่านี่เป็นของฉัน วิญญาณก็ตามรู้ นี่เป็นของฉัน แล้วมันก็อมความรู้สึกอันนี้เอาไว้ แล้วมันก็มาเป็นภพ คือเมื่อมันยึดมั่นมันก็ยิ่งอมความรู้สึกของความหวงแหน ของความทะนุถนอม ยึดที่จะเป็นของเรายิ่งหนักแน่นขึ้น แรงกล้าขึ้น เหนียวแน่นขึ้น ปล่อยไม่ได้ ยอมไม่ได้ เรียกว่าศักดิ์ศรีเต็มตัวไปหมด เป็นปุ่มเป็นปม น่าเกลียด แต่ไม่รู้ เพราะอวิชชาครอบงำจิตเห็นว่าน่ารัก แล้วผลสุดท้ายผู้หญิงท้องยังไงตอนนี้ไม่แท้ง สำหรับในปฏิจจสมุปบาทแท้งไม่ได้ มันก็จะต้องเป็นปัจจัยให้เกิดมาเป็นชา-ติหรือเป็นชาติ มันไม่ยอมแท้ง เขาก็ทำเป็นรูปของผู้หญิงที่กำลังคลอดลูก คือคลอดทารกออกมา แต่นั่นเป็นอุปมาที่เขาทำเพื่อจะให้เข้าใจได้ด้วยตาเนื้อผสมกับความเข้าใจตามคำชี้แจงด้วยสติปัญญา intelligence ก็เพียงแต่เข้าใจ
ฉะนั้น ผู้ที่จะดูภาพในปฏิจจสมุปบาทอย่างผลีผลามก็ต้องยึดเอาว่า อ๋อนี่แหละมันแสดงถึงการเกิดเป็นตัวเป็นตน แต่ละครั้งๆๆ แต่นึกดูให้ดีเถอะ ที่เป็นชีวิตนี้ ที่เกิดมาเป็นตัวจากท้องคุณแม่ เกิดมากี่ครั้ง คลอดมาจากท้องคุณแม่กี่ครั้ง ครั้งเดียว แล้วจำได้ไหมคะตอนนั้นมันเป็นยังไง จำไม่ได้ จะเจ็บจะปวด จะถูกคีบหัวออกมาหรือผ่าท้องออกมา ไม่รู้เรื่องแล้ว จำไม่ได้ ดิฉันนี่ก็ถูกคีบหัวออกมา แม่คลอดยากมาก จะเจ็บแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่ที่เจ็บปวดอยู่ทุกวันนี้ เมื่อไหร่ อะไรที่เจ็บปวดอยู่ทุกวันนี้ ที่ร้อนอยู่ทุกวันนี้ ที่ดิ้นรนอยู่ทุกวันนี้ กระเสือกกระสนน่ะอะไร เมื่อไหร่ เมื่อเกิดความรู้สึกเป็นตัวเป็นตนใช่ไหมคะ พอรู้สึกเป็นฉันเมื่อไหร่ละก็ เมื่อนั้นมันเอาเรื่องทุกที เอาเรื่องทุกที เอาเรื่องทั้งทางบวกและทางลบ จิตนี้ก็กระเพื่อม โยนขึ้นโยนลง ซัดส่ายไปมาด้วยความร้อนลน ลิงโลดจะเอาให้ได้หรือจะผลักไสทำลายเสียหรือมิทำไม่ได้ ก็วนเวียน วนเวียนครุ่นคิดอยู่อย่างเดียว เพราะฉะนั้น การเกิดที่น่ากลัวไม่ใช่การเกิดออกมาจากท้องมารดา มันครั้งเดียว แล้วไปแล้ว จำไม่ได้ แต่ที่เกิดอยู่ทุกวี่ทุกวัน หรือที่เก่งมากวิเศษมากมันเกิดทุกนาทีเลย ทุกชั่วโมงทุกนาที การเกิดของความรู้สึกเป็นตัวเป็นตนนี่สิที่มันทำให้มนุษย์ต้องเป็นทุกข์เพราะมันยึดมั่นถือมั่น มันเกิดเป็นตัวเป็นตน
ฉะนั้น จึงได้พูดเมื่อวานนี้แล้วว่า การที่เราจะศึกษาในปฏิจจสมุปบาทให้ตรงตามพระพุทธประสงค์ คือพระประสงค์ของท่านสมเด็จพระบรมครูล่ะก็ เราจะต้องศึกษาว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เพราะว่าพระองค์ตรัสรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทก็เพราะทรงค้นคว้าเรื่องของความทุกข์และการดับทุกข์ว่าทุกข์เกิดขึ้นได้ยังไง ฉะนั้นก็ทรงชี้ให้เห็นว่า อุปาทานนี้แหละเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ยึดมั่นในสิ่งใดจะต้องเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น และท่านก็ทรงชี้ให้เห็นว่ามันจะเกิดมาตามลำดับอย่างไร เพราะพูดเพียงว่ายึดมั่นสิ่งใดก็เป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้นมันยังไม่ละเอียดพอใช่ไหมคะ ยังไม่ละเอียดพอ ยังมองไม่เห็น ท่านจึงชี้ให้เห็นว่าวิธีที่มันอาศัยกันและกันแล้วเกิดขึ้น มันเป็นมาตามลำดับอย่างนี้ พอเกิดตัวตน
ความรู้สึกเป็นตัวตน เป็นฉันเป็นเรา หรือว่าเป็นข้า หรือว่าเป็นกูขึ้นมาเมื่อไหร่ละก็ เมื่อนั้น ผลที่เกิดตามมาก็คือความทุกข์ อาการสุดท้ายที่ปรากฏเขาทำเป็นรูปของตาแก่ถือไม้เท้า นั่นก็คือแสดงถึงชรา ความแก่ ความเจ็บ ความตายที่เป็นของธรรมชาติ ก็กวาดเอามาเป็นของเราหมด ยังกะเราจะเจ็บคนเดียว แก่คนเดียว ตายคนเดียว ทุกคนในโลกนี้ไม่เคยพ้นอาการอันเป็นธรรมชาติอย่างนี้ได้ แต่พอเกิดขึ้นกับตัวฉันอย่างนี่ล่ะก็ ฉันเป็นทุกข์เป็นร้อนจะเป็นจะตายอยู่คนเดียว ยังกับคนอื่นเขาไม่เป็น ทั้งๆที่รู้ว่ามันก็เป็นทุกคนแต่พอเกิดขึ้นกับตัวเอง โง่เต็มที่เลย เพราะอะไร คิดไม่ออกโง่เต็มที่เพราะอะไร อย่าลืมเจ้าตัวร้าย เพราะอะไร เพราะอวิชชามันกำกับจิตอยู่ มันจึงไม่ยอมให้ศึกษาความจริง ไม่ยอมให้ใคร่ครวญในเรื่องความเป็นจริงของธรรมชาติ มันจะเอาให้ได้ เอาให้ได้ เอาให้ได้อย่างใจเท่านั้นนั้น ความทุกข์จึงเกิด และชีวิตนี้มันก็หมุนไป หมุนไป หมุนไป นี่คืออาการตามธรรมชาติที่มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติแต่ไม่ยอมศึกษา
ฉะนั้นที่เราพูดเมื่อวานนี้ ก็ได้พูดว่าการที่เราจะศึกษาปฏิจจสมุปบาทนั้นศึกษาได้ 2 ทาง คือถ้าจะศึกษาว่าอะไรอาศัยอะไรแล้วความทุกข์เกิดขึ้น หรือความทุกข์เกิดขึ้นจากอะไรนั้นก็ศึกษาได้ 2 วิธี วิธีหนึ่งก็คือศึกษาจากผล ทำไมจึงทุกข์ ถามไปทำไม ทำไม ทำไม เพราอะไร มันมีอะไร เริ่มถามไปว่าทำไมหนอจึงทุกข์ ทำไมถึงไม่สบายเลย ทำไมถึงหงุดหงิดอึดอัด ทำไมมันถึงรู้สึกทรมานอย่างนี้ ทำไมมันถึงเจ็บปวด มันถึงชอกช้ำ ทำไมถึงโกรธขัดแค้นอย่างนี้ ทำไมมันถึงเย็นไม่ได้ นี่ถามไปเถอะ ทำไม ทำไม ทำไม แล้วก็จะเห็น อ๋อเพราะมันมี มีอะไร จากผลลงมา เพราะมันมีชาติ ชา-ติ ชาติของอะไร ชา-ติของอะไร การเกิดของอะไร ของความรู้สึกเป็นตัวกู ท่านอาจารย์สวนโมกข์ท่านชอบใช้คำว่าตัวกู เพราะเวลาที่เราแจ่มใส หนูอย่างนั้น น้องอย่างนี้ หรือไม่ก็เรียกชื่อตัวเอง นิดอย่างนั้น ก้อยอย่างงี้ ปูอย่างนั้น เยอะแยะมากมาย หรือไม่ยังงั้นก็ดิฉัน ผม ข้าพเจ้า เห็นไหม อ่อนโยน น่าฟัง แต่พออวิชชามันเข้าครอบงำจิต จะเอาล่ะ ตอนนี้เป็นไง หนูนะก็หนู แต่หนูนะไม่ใช่หนูอย่างน่าเอ็นดูเหมือนอย่างก่อน มันหนูหนัก พอหนูไม่พอเข้า ฉัน ฉันว่าอย่างนี้แกจะว่ายังไง ฉันก็ยังไม่รู้เรื่องก็ขึ้นข้า ขึ้นมึง ขึ้นกู แล้วก็ไปว่านี่ภาษาสมัยพ่อขุนราม ที่จริงท่านพ่อขุนรามท่านไม่ได้หมายความว่าลงด้วยตัวตนเป็นมึงเป็นกู กิเลสต่างหาก อวิชชาต่างหาก พอมันเข้าสู่จิตมันก็เกิดเป็นเห็นชัด เห็นชัดเจนขึ้นมา