แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
... ตกเอา ตกเอา ตกเอา อุทธัจจกุกกุจจะนี่ลอย ลอยฟ่อง ฟ่อง ฟ่อง จะขึ้นไปสวรรค์ ขึ้นไปเหนือเมฆให้ได้ มามองดูชื่อมันถึงยาว อุทธัจจกุกกุจจะ เพราะมันจะลอย ลอยไป ลอยไปด้วยอะไรลอยไปด้วยความคิดที่ฟุ้งซ่านฟุ้งซ่านต่างๆนาๆ สารพัด ตัวนั่งอยู่นี่แต่ใจไปรอบโลก เดี๋ยวไปอังกฤษ เดี๋ยวไปอเมริกา เดี๋ยวไปโลกนรก เดี๋ยวไปสวรรค์ เดี๋ยวไปวัดเหนือ เดี๋ยวมาวัดใต้ เดี๋ยวลงตะวันออกตะวันตกอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยอยู่ที่เลย อุทธัจจกุกกุจจะ เพราะฉะนั้นอาการของอุทธัจจกุกกุจจะมันก็เป็นความรู้สึกที่เรียกว่าครุ่นอยู่ในทางของโมหะเหมือนกัน เพราะมันจะวนเวียนอยู่กับอาการของความฟุ้งซ่าน ในขณะที่ถีนมิทธะวนเวียนอยู่ในอาการของความหดหู่เหี่ยวแห้ง อ่อนเปลี้ย อุทธัจจกุกกุจจะก็วนเวียนอยู่ในความฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านอย่างไม่มีขอบเขต ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุดหรือที่จบเลยซึ่งก็น่ากลัวเท่าๆกันเพราะในความฟุ้งซ่านนั้นมันไม่มีพื้นฐานของความเป็นจริงรองรับเลยนะคะ มันคิดขึ้นมาเอง นึกขึ้นมาเอง สร้างขึ้นมาเอง ปรุงแต่งขึ้นมาเองด้วยสังขาร สังขารปรุงแต่ง คิดไป พอเขาพูดอะไรนิดเดียว นี่อ่ะนะเขาว่า เขาเจตนาไม่ดี เขาเคยรู้จักพ่อเรา แล้วเขาไม่ชอบพ่อเรา พอเห็นเราทั้งๆที่ไม่เคยพูดกัน พอรู้ว่าเป็นลูกเท่านั้นแหละเขาก็เลยไม่ชอบเลย สารพัดนึกไปเถอะต่างๆนานา หรือเห็นต้นไม้สักต้นหนึ่ง เห็นรถผ่านมาสักคันก็ปรุงแต่งไปต่างๆนาๆ หรือมิฉะนั้นก็ฟุ้งซ่านไปกับอนาคต วาดภาพอนาคตว่าจะต้องอย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น และมักจะเป็นไปในทางที่เป็นไปไม่ได้ หรือเกินความจริง ก็เป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะฉะนั้นจิตฟุ้งซ่านอย่างนี้จะใช้อะไรแก้ ก็ต้องใช้สมาธิ จิตที่ฟุ้งซ่านก็คือจิตที่วุ่นวายระส่ำระสาย ไม่อยู่นิ่งเลย มันกระจัดกระจายออกไปทั่วทิศทั่วทาง นั่นก็ต้องอาศัยสมาธิ เริ่มต้นด้วยการอยู่กับลมหายใจ พยายามดึงจิตที่ฟุ้งซ่านนั้นให้มาอยู่กับลมหายใจให้ได้ แม้จะอยู่นานไม่ได้ เริ่มต้นสัก 5 นาที เอา 5 นาทีไม่ได้ 3 นาทีก็ยังดี แล้วฟุ้งใหม่ดึงกลับมาอีก ให้อยู่ได้อีกสัก 2 นาทีบวกกันเข้าไปทีละน้อยละน้อยจนมันอยู่ได้มากขึ้นถึง 5 นาที ถึง 10 นาที ถึง 15 นาที ถึงครึ่งชั่วโมงทีละน้อยๆๆ แล้วจิตที่กระจัดกระจายอยู่ด้วยความฟุ้งซ่านนั้นก็จะค่อยๆตั้งมั่นมากขึ้นทีละน้อยละน้อย
ฉะนั้น สำหรับอุทธัจจกุกกุจจะ จะแก้ไขได้ดีที่สุดก็คือด้วยการปฏิบัติสมาธิภาวนา และที่ง่ายที่สุดก็ใช้ลมหายใจนี่แหละเป็นเครื่องมือที่จะผูกจิตที่ฟุ้งซ่านนั้นให้นิ่งอยู่กับที่ แต่ต้องเข้มแข็ง ถ้ามีเพื่อนคือมีกัลยาณมิตรที่คอยประคับประคอง คอยช่วยเตือน ช่วยดึง ช่วยนั่งเป็นเพื่อนกัน ก็อาจจะช่วยให้การแก้ไขนี้เป็นไปได้ง่ายขึ้น ท่านก็เปรียบอุทธัจจกุกกุจจะเหมือนกับน้ำที่มีคลื่นระยิบระยับ น้ำที่มีคลื่นระยิบระยับ มองดูมันก็สวยดีใช่ไหมคะ ไปนั่งชายน้ำ ไปนั่งชายทะเลแล้วก็เห็นน้ำมันมา ระยิบระยับ ระยิบระยับ มันไม่ใช่คลื่นลูกใหญ่ ถ้าเป็นคลื่นลูกใหญ่นั่นน่ะกลัวเหมือนอย่างเช่น วาตภัยมา พายุมา ก็พากันหนีให้พ้นจากทะเล กลัวว่าคลื่นลูกใหญ่มันจะกวาดลงไปหมด นั่นมันเป็นกิเลส เป็นอาการของกิเลส รุนแรงอย่างนั้น แต่นี่มันเป็นคลื่นระยิบระยับ มันทยอย ทยอย ทยอยเข้ามา ถึงฝั่งแล้วมันก็ออกไป แล้วมันก็ทยอย ทยอยมาอีก นั่งดูก็เพลิน แต่นั่งดูไปนานๆในความเพลินนั้น เป็นยังไง ใครเคยไปนั่งบ้างคะ ดิฉันเคยไปดู เวียนหัว ถูกแล้ว นั่งเถอะประเดี๋ยวเดียวมันก็เวียนศีรษะ เพราะเราจับตาด้วยอาการของระยิบระยับ เพราะฉะนั้นมันน่าดู คือว่าฟุ้งซ่าน นี่อุทธัจจกุกกุจจะ ในขณะที่คนนั่งอุทธัจจกุกกุจจะไป ไปดูหน้าตาเขาเถอะ เหี่ยวแห้งไหมคะ ไม่เหี่ยวอ่ะค่ะ ไม่เหี่ยวแห้ง สดชื่น แจ่มใส เพราะมัวเมาอยู่กับความคิดที่ว่าฉันจะเป็นนี่ ฉันจะเป็นนั่น ฉันจะได้นู่น ได้นี่ ฟุ้งซ่านคิดไปเรื่อย เพราะฉะนั้นมันก็มีความสดชื่นแจ่มใสแต่มันกลวงข้างใน เพราะมันไม่มีพื้นฐานของความจริงรองรับ ท่านก็เปรียบเหมือนกับน้ำที่มีคลื่นระยิบระยับ แล้วก็แก้ได้ด้วยการปฏิบัติสมาธิภาวนาจะช่วยได้มากที่สุด แต่ถ้าหากว่าไม่แก้ก็อาการประสาทอยู่เหมือนกันนะคะ