แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ทีนี้ก็นิวรณ์ข้อแรกคือ กามฉันทะ นั่นก็คือ ความรู้สึกที่มันครุ่นอยู่ในใจ ครุ่นอยู่ด้วยความรู้สึกทางกาม หรือความพอใจต่างๆ กามก็ดังที่ทราบแล้วนะคะ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อดไม่ได้ที่จะพอใจในรูปสวยๆที่พอตาพอใจ ในกลิ่นที่หอม ในรสที่อร่อย ในเสียงที่ไพเราะ ในความสัมผัสที่อ่อนโยนนุ่มนวล แม้แต่ลมที่ไม่รู้จัก ก็ไม่มีใครชอบลมร้อน อยากได้ลมเย็น ถ้าใครจะมาสัมผัส ก็อยากให้สัมผัสเบาๆ อ่อนโยน นุ่มนวล สบายดี ถ้ามากระแทกมันก็โกรธ เพราะฉะนั้น กามฉันทะก็คือ จิตที่ครุ่นอยู่ด้วยความรู้สึกในทางกามหรือความพอใจอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งคนอยู่บ้านเป็นกันมากเลย ทำไมถึงว่าเป็นกันมาก เพราะว่าชีวิตที่บ้านเป็นชีวิตที่อบอวลด้วยรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสอยู่ตลอดเวลาใช่ไหมคะ ที่เป็นวัตถุสิ่งของทั้งหลายที่พอตาพอใจที่ไปหามา เพราะฉะนั้น คนอยู่บ้านเมื่อไปในที่กันดาร หรือเผอิญมาเข้าอบรมอย่างนี้ กามฉันทะนี่เข้ามารบกวนมากเลย กามฉันทะก็รวมไปถึงความพอใจในกาม คือกามารมณ์ในทางเพศด้วย แต่บางคนจิตใจอาจจะไม่หมกมุ่นในเรื่องทางเพศนัก แต่ก็ถูกเรื่องรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสเข้ามารบกวนอยู่ตลอดเวลา แหม นอนก็ไม่สบาย นอนอยู่กับดินมันแข็ง กินก็ไม่อร่อย เราเคยกินหมูเห็ดเป็ดไก่ แล้วต้องมากินอาหารเจ จะอาบน้ำอาบท่าก็ไม่สะดวก อะไรทุกอย่าง ถ้าขณะที่นั่งนึก นึกไปอย่างนี้ จิตมันก็เรียกว่าครุ่นอยู่ในทางกาม แล้วเราก็จะเห็นว่าคนในโลกทุกวันนี้เขาส่งเสริมสนับสนุนเรื่องกามมาก อย่างการกินนี่ เมื่อสมัยก่อนที่เรายังเด็ก เอาสำรับมาวาง ก็นั่งกินกันพ่อแม่ลูก หรือมีปู่ย่าตายาย เป็นเวลาพูดคุยอะไรกันก็พูดคุย แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ได้กินกันเฉพาะปาก ใช่ไหมคะ ไม่เฉพาะเพียงใส่อาหารแล้วก็เคี้ยว กินข้าวต้องมีดนตรี ต้องฟังเพลง ฟังเพลงเฉยๆไม่พอ ต้องมีคนมาเต้นยึกยักให้ดูด้วย ยึกยักไม่พอต้องมีคนมานั่งใกล้ๆป้อนข้าวให้กินด้วย คือรวมความว่าต้องมีทั้งรูปทั้งเสียงทั้งกลิ่นทั้งรสทั้งสัมผัสพร้อมไปหมด มนุษย์ในโลกในปัจจุบันนี้ก็ส่งเสริมกันถึงอย่างนี้ ส่งเสริมเรื่องรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส เพราะฉะนั้น ท่านอาจารย์สวนโมกข์ท่านเน้นเหลือเกิน เรื่องของกามว่ามันร้ายกาจมากเลย ถ้ามนุษย์เราไม่เห็นโทษทุกข์ของกาม ทั้งที่เกี่ยวกับกามารมณ์โดยตรงและก็เกี่ยวกับกามคุณ 5 คือรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสที่พอตาพอใจเพื่อให้ความสะดวกสบาย ประเล้าประโลมทางกาย ยากที่จะสามารถชำระจิตให้เป็นจิตที่เข้าถึงธรรมได้ เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก
เพราะฉะนั้น ขอฝากเพื่อนผู้ปฏิบัติทุกท่านนะคะได้ลองใคร่ครวญในเรื่องของกาม กามคุณ 5 เรื่องของกามารมณ์ให้ละเอียดลออ ให้ลึกซึ้ง ให้ถี่ถ้วน ให้ทั่วถึง แล้วจะค่อยๆมองเห็นเองว่ามันร้ายกาจเพียงใด แล้วถ้าไปอ่านในพระไตรปิฎก นี่ก็ต้องสารภาพว่า ดิฉันก็มีความคิดของดิฉันอย่างหนึ่งล่ะว่า เรื่องของกามวิตถารอะไรต่ออะไรต่างๆที่เราได้ยินในโลกทุกวันนี้ที่เขาว่ากัน ผู้หญิงอย่างนั้น ผู้ชายอย่างนี้ ทำอย่างโน้นอย่างนี้ ดิฉันก็นึกว่า อ้อนี่ โลกมันเจริญมากในทางวัตถุ มันก็เลยมีอะไรแปลกๆพิสดาร แต่พอไปอ่านในพระไตรปิฎก ท่านที่อ่านแล้ว ในพระไตรปิฎก ในพระวินัย พบไหมคะ อ้อ นี่เขามีกันมาแต่โลกดึกดำบรรพ์ เรื่องของกามมันไม่ใช่มีเดี๋ยวนี้ มันมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ เรียกว่ามันเกิดขึ้นพร้อมกับมนุษย์ มันอยู่ในสัญชาตญาณในเนื้อในน้ำของมนุษย์ เห็นไหมคะ มันน่ากลัวแค่ไหน แล้วก็ที่มีวินัยต่างๆมากมายขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ทรงบัญญัติขึ้นหลังจากที่มันเกิดเหตุต่างๆขึ้น แล้วก็พออ่านแล้ว แหม รู้สึกเห็นพระทัย หรือพูดง่ายๆก็คือ เห็นใจ เห็นใจพระพุทธเจ้าว่างานของท่านที่จะเผยแผ่ธรรมะสั่งสอนมนุษย์มันก็ใหญ่หลวงแล้วยังต้องมายุ่งกับเรื่องหยุมหยิมๆๆ ผู้หญิงนั่นเข้าห้องน้ำทำอย่างไร ผู้ชายพระสงฆ์ภิกษุทำยังไง อะไรต่ออะไร ซึ่งเป็นเรื่องที่เราเห็นว่าสกปรก ไม่เข้าเรื่อง เจอมีอยู่ทั้งนั้น นี่คือเรื่องที่เกี่ยวกับกาม กามารมณ์ เพราะฉะนั้นอย่าได้ประมาทเลย อย่าได้ประมาทเลยว่าเรื่องของกาม เรื่องของกามารมณ์นี้ไม่สำคัญ แล้วก็ฉันมาเป็นนักบวชแล้วฉันไม่มี ระวังนะ อย่าหลอกตัวเอง อย่าหลอกตัวเอง แม้จะอยู่คนเดียวไม่มีใคร นั่นแหละดูใจให้ดีๆว่านิวรณ์กามฉันทะนี้เข้ามารบกวนหรือเปล่า ถ้าเรามองดูมันดีๆ แล้วก็มองมันจริงๆไม่หลบเลี่ยง เรามีโอกาสจะแก้ไข มีโอกาสที่จะตัดทอน ขัดขูดมันออกไปได้ แต่ถ้าหลีกเลี่ยงทำเป็นคนดีฉันไม่มี นั่นแหละระวังให้ดี จะไม่มีวันหลุดพ้นมันไปได้ และกามฉันทะนี่อย่าดูถูกเลย โอ้ย ของธรรมดา ก็เห็นไหมนี่ ฉันแต่งขาวๆ ฉันเกลี้ยงๆเกลาๆ ฉันไม่มีอะไร ฉันยังอยากนุ่งผ้า ผ้าขาวล่ะ แต่เอาผ้าเนื้อดีหน่อยรึเปล่า ฉันอาบน้ำ ฉันอยากได้สบู่ ฉันใส่เสื้อ ฉันอยากรีดสักหน่อยหรือเปล่า ฉันยังชอบอะไรหอมๆ ฉันใส่ไม่ได้ เห็นใครเขาใส่ ฉันก็ยังชอบ ได้กลิ่น ก็ขอยื่นจมูกไปดมสักนิดหรือเปล่า นี่ล่ะค่ะ กามฉันทะทั้งนั้น ประมาทไม่ได้เลย เรื่องของการปฏิบัติธรรมมันละเอียดถึงอย่างนี้ที่ผู้ปฏิบัติจะต้องฝึกฝนอบรมขัดเกลา ดูเข้าไปให้เห็นว่าจริงๆแล้วจิตนี่มันไวแค่ไหน นี่คือเรื่องของกามฉันทะนะคะ และกามฉันทะนี้เป็นสิ่งที่คนพอใจ คือมนุษย์พอใจ มันก็มีแต่จะกวาดเข้ามา กวาดเข้ามา อยากได้ เพราะฉะนั้น เจ้านี่ก็เป็นลูกน้องของกิเลสตัวไหนล่ะคะ ตัวไหนล่ะคะ กวาดเข้ามา โลภค่ะ ถูกแล้วค่ะ โลภ กามฉันทะนี่ก็เป็นนิวรณ์ตัวที่เป็นลูกน้องของเจ้าโลภะหรือราคะนั่นเอง มันมาจากโลภะหรือราคะ แต่เมื่อมันมาในลักษณะเบาบาง กรุ่นๆ เราก็เรียกมันว่ากามฉันทะ ท่านเปรียบกามฉันทะเหมือนน้ำเจือสีต่างๆ พอทราบแล้วนะคะ ท่านเปรียบนิวรณ์นี่เหมือนน้ำชนิดต่างๆ สำหรับกามฉันทะท่านก็เปรียบเหมือนกับน้ำเจือสีต่างๆ มันสวยใช่ไหมคะ มองดู อย่างที่เราไปนั่งชายทะเล เรามองออกไป โอ้ยมอง น้ำทะเลสีคราม สีเขียว บางทีมีแสงแดดส่องลงมาเหมือนกับเป็นสีเหลือบ สีรุ้ง สีทอง สีม่วง สีอะไร มองดูแล้วมันสวย แต่ความจริงพอเราหันไปตักน้ำทะเล มีไหมคะ มันก็ไม่มีสีอะไร นี่คือความเป็นมายาใช่ไหม ความเป็นมายาของสิ่งที่เรียกว่ากามคุณ รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส มันจะสวยงามน่าดูน่ารักน่าชมน่าพอใจเพียงใด ความเป็นจริงแล้วมันเพียงมายาเท่านั้นใช่ไหม ดูให้ชัด ถ้าหากว่าไม่ดูให้ชัดจนเห็นชัดในมันๆจะเข้ามารบกวนอยู่เรื่อย พอจะนั่งปฏิบัติ เอาแล้ว ยังนึกไปถึง ถ้าหากว่าผู้ปฏิบัติท่านใดรับทำอาหารของสำนัก พอนั่งหลับตา ลอยมาแล้ว กุ้ง ปลา ไก่ หมู ผัก จะทำอะไรดีนะ พรุ่งนี้ทำอะไรดีนะ เปล่าหรอกไม่ได้อยู่กับลมหายใจ ไม่ได้อยู่กับเรื่องกาย เวทนา จิต ธรรม ไปอยู่กับหมู ปลา เป็ด ไก่ นั่น นี่มันก็กามฉันทะ มันเป็นนิวรณ์ แล้วมันก็เข้ามาตัดไม่ให้การปฏิบัตินั้นเป็นไปอย่างราบรื่น สมาธิเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะฉะนั้น ต้องระมัดระวังให้จงดี
ทีนี้ผู้ที่ติดกามฉันทะ ก็แน่นอนเป็นผู้ที่มักจะตกอยู่ในอารมณ์ที่ชอบสิ่งสวยๆงามๆ อยากได้อะไรดีๆงามๆ หอมๆน่ารัก ท่านก็แนะนำว่า วิธีแก้ก็จงพิจารณาอสุภ พิจารณาอสุภ อย่างคนที่บางคนที่บอกว่าพอเขาเห็นผู้หญิง ทั้งๆ ที่เขารู้ผิดชอบชั่วดี ผู้ชายบางคนนะคะ เขารู้ผิดชอบชั่วดี เขาไม่ได้อยากจะทำอะไรที่น่าเกลียด แล้วก็ไม่เหมาะสมเลย แต่ว่าในสัญชาตญาณ ในใจของเขา มันอาจจะมีอะไรมากกว่าคนอื่น พอเห็นผู้หญิงเข้ามันเกิดอยากได้ขึ้นมาทุกทีเลย จะทำยังไง ทำไมถึงอยากได้ เพราะเห็นผู้หญิงนั่นน่ารักหรือผู้หญิงที่เห็นผู้ชายแล้วก็อยากจะเข้าใกล้ก็เห็นผู้ชายนั่นหล่อเหลา มันน่าชม ก็อยากเข้าใกล้ ทำไมมันถึงอยากเข้าใกล้ ทำไมถึงเห็นสวยงาม อะไรที่ทำให้มองเห็นสวยงาม อ๋อ เพราะความเกลี้ยงเกลาของรูปร่างหน้าตาที่มันมีหนังหุ้มอยู่นั่นใช่ไหมคะ หนังที่หุ้มอยู่ ก็มองดูผิวพรรณเกลี้ยงเกลา ยังสาวยังหนุ่ม ผิวก็เกลี้ยง เปล่งปลั่ง เนียน งดงาม เพราะฉะนั้นก็ต้องแนะว่า ลอกหนังมันออกซะ ผู้หญิงคนไหนที่สวยน่ะลอกหนังมันออกเลย ลองนึกดูสิว่านี่มันลอกหนังออกแล้วเหลืออะไร เมื่อหนังถูกถลกไปหมดแล้วเหลืออะไร อ๋อ มันก็เหลือตัวแดงๆใช่ไหม ตัวแดงๆ ยืนอยู่ กองอยู่ นั่งอยู่ สมมุติพวกเราที่นั่งอยู่นี่ ถลกหนังออกหมด ให้ผิวหนังออกหมด ก็แดงๆกองอยู่ เป็นก้อนเนื้อแดงๆ ใครอยากได้มั่ง ก้อนเนื้อแดงๆ อย่างนี้ ถ้านึกไม่ออก ก็ไปตลาดนั่นน่ะ ไปที่เขียงหมูเขียงเนื้อนั่นน่ะ ไปมองดู นั่นแหละมันไม่แตกต่างกันหรอก ที่เราชอบ เรารัก เราอยากได้ ก็บอกเขาไปอย่างนี้ ก็บอกไปดูอย่างนั้น ถ้าพิจารณาอสุภยังไม่ได้ คือเขายังไม่รู้จักพิจารณาอสุภ พิจารณายังไง ก็ไปดูก้อนเนื้อแดงๆนั่นแหละ มันจะได้หมดความรัก หมดความอยากได้ จะได้รู้สักทีว่า จริงๆแล้วมันแค่นี้ ถลกหนังออกแล้วมันเหมือนกัน ก็อาจจะเห็นลูกตาดำๆ กระพริบๆๆ มันไม่มีอะไรแตกต่างกัน ความสวยความงามความอยากได้มันจะค่อยลดไปเอง
ฉะนั้น วิธีแก้เรื่องของกามฉันทะก็ดูอะไรที่มันตรงกันข้าม กามฉันทะชอบสวยงาม ก็หันไปพิจารณาสิ่งที่ไม่สวยไม่งาม หรือชอบกินของอร่อยๆ ผลไม้สวยๆ ก็ไปดูขยะ ขยะในครัว ไปดูถังขยะหรือไปดูรถขยะ เวลาที่เขาเอามาทิ้ง เป็นไง หอมไหม ไหนล่ะลูกแอปเปิ้ล ไหนล่ะทุเรียนหมอนทอง ไหนล่ะกุ้งตัวใหญ่กุ้งเผาตัวใหญ่ ไหนล่ะปลาเผาอร่อยๆ โน่นไปดูในถังขยะ ปฏิเสธได้ไหมว่ามันไม่ใช่อันเดียวกัน นี่ เราแนะนำ แล้วก็ถ้าเรายังทำเองไม่ได้ เราเองก็ต้องดูเหมือนกัน ดูถังขยะนั่นแหละบ่อยๆ ดูที่อยู่ในส้วมนั่นแหละบ่อยๆ แล้วจิตใจมันจะได้จำ คลายจากความอยากได้สิ่งที่สวยๆงามๆ นี่เป็นอุบายนะคะ เป็นอุบายที่เราจะลองทดลองดู แล้วก็แก้ไขจิตใจของผู้ที่เขามาถาม เขามาปรึกษา แล้วก็จะเห็นว่าน้ำเจือสีต่างๆนั้นมันเป็นเพียงมายาเท่านั้นเอง