แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ทีนี้ส่วนอาการที่สาม คือ เจ้าตัวที่สาม คือ ตัวหลง หรือ โมหะ
โมหะนี่สำคัญมาก คำว่าสำคัญนี่มันไม่ได้มีความสำคัญแก่ชีวิต แต่มันร้ายกาจอย่างสำคัญเพราะสังเกตได้ยาก ในขณะที่โลภะเห็นง่าย ดึงเข้ามา โทสะผลักออกไป มันเห็นง่าย แต่โมหะนี้มันตรงกันข้าม มันไม่ดึงเข้ามา ไม่กวาดเข้ามา ไม่ผลักออกไป แต่มันมีอาการอีกอย่างหนึ่งคือ หมุนเวียน มันหมุนเวียนรอบๆ หมุนเวียน เรียกว่าหมุนเวียนติดพันอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความวิตก กังวล ยึดมั่น ผูกพัน ก็สิ่งที่เป็นของฉัน หรือสิ่งขุ่นข้องหมองใจ หรือว่าสัญญาที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต หรือ เกิดเป็นห่วงอนาคตจะไปยังไง จะทำยังไง นี่ค่ะ แล้วก็เอามาคิดเพราะว่าคิดไม่ตก คิดไม่ตกก็นำมาคิดอยู่เรื่อย คิดหมุนเวียนไปมา อย่างที่ท่านบอกว่าเหมือนพายเรือในอ่าง หาทางออกไม่ได้ คิดมากๆเข้า มากๆเข้า หาทางออกไม่ได้ก็เกิดความตระหนกตกใจ เกิดความกลัว เอ๊ะ นี่เราจะไม่มีหนทางแล้วสิ นี่เราจะหมดทางแล้วจะตันแล้ว นี่ค่ะที่เป็นโรคประสาทกันเพราะอันนี้ คิดมากๆเครียด นอนไม่หลับ กินไม่ได้ มองอะไรมันไม่โสภาเลยในโลกนี้ มันล้วนแล้วแต่ดำมืดไม่มีหนทางไปหมด พอหนักเข้าก็โรคประสาท โรคประสาทแล้วก็ไม่รักษา รักษาไม่หาย เพราะทำใจไม่ได้ ผลที่สุดก็ถึงโรคจิตวิปลาศ นี่คืออาการของโมหะ ถ้าไม่รู้จักมันจริงหยุดมันไม่ได้ มันทำได้ถึงขนาดนี้นะคะ เพราะว่ามองดูเหมือนกับว่ามันสงบ โมหะนี่นะคะที่มันยาก เพราะมองดูว่าเหมือนกับมันสงบแต่ความจริงมันไม่สงบ มันเป็นคลื่นใต้น้ำที่มีแต่จะตีให้ในจิตนี่แตกกระจายๆๆ ไม่สามารถจะรวมกันเป็นจิตที่เป็นสมาธิมั่นคงได้เลย จึงน่ากลัวมาก ฉะนั้นคืนไหนที่นอนไม่หลับ หรือว่านอนไม่หลับบ่อยๆ แล้วก็ก่ายหน้าผากอยู่นั่นน่ะ ทำไม พอตื่นขื้นมันก็มาจ่ออยู่อีกแล้ว แล้วก็เอามันมาคิด มานึกต่อไป นี่คือโมหะ ที่มันจะวนเวียนครุ่นคิดแล้วก็เป็นอันตรายต่อจิตใจอย่างยิ่ง มันมองเห็นได้ยาก เพราะฉะนั้นคนส่วนมากจึงคิดว่าโมหะนี่ไม่เป็นอะไรหรอก ไม่สำคัญ เพราะมันไม่แรง เหมือนโลภ เหมือนโกรธ แต่แท้ที่จริงแล้วโมหะก็คือ ลูกน้องตัวใกล้ชิดของอวิชชานั่นเอง สิ่งเรียกว่าอวิชชา โมหะเข้าครอบงำก็เพราะจิตนั้นไม่มีปัญญาคือ ไม่มีวิชชา(วิชชา ช สองตัวนะคะ) ไม่มีวิชชาที่เป็นแสงสว่างเป็นความรู้อย่างเพียงพอ มันก็เลยมัวเมา ครุ่นคิด วนเวียน ออกจากจุดนั้นไม่ได้ นี่คืออาการของของสิ่งที่เรียกว่า โมหะ
ฉะนั้นถ้าเราจะดูว่ากิเลสคืออย่างไร มีลักษณะอาการอย่างไร คือตัวไหนกำลังครอบงำจิต ก็โปรดดูอาการที่มันเกิดขึ้นในจิต ดึงเข้ามากำลังโลภนะ ผลักออกไปกำลังโกรธนะ วนเวียนหาทางออกไม่ได้ระวังนะกำลังหลง กำลังหลงโมหะแล้ว ถ้าหมั่นดูอาการอย่างนี้ก็จะเตือนใจตัวเองได้ แล้วก็หันมาใช้ลมหายใจเป็นเครื่องช่วย ดึงจิตมาอยู่กับลมหายใจทันที หายใจยาว ลึก ไล่มันออกไป หรือจะหายใจสั้นๆๆๆ ไล่มันออกไป ให้กายมันเหนื่อยเสีย ยังดีกว่าให้ใจมันเหนื่อย แล้วเสร็จแล้วก็จะได้ตั้งสติได้นะคะ
เพราะฉะนั้นท่านจึงบอกว่ากิเลสนี้ละก็ พอมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ มันจะต้องทำให้สกปรก ต้องทำให้เศร้าหมอง แล้วก็ทำให้น่ารังเกียจด้วย เพราะฉะนั้นคนใดที่ทั้งที่รูปร่างหน้าตาก็สวยงาม มองดูสง่าผ่าเผย ตำแหน่งการงานก็ดี ทรัพย์สินบริวาร ทรัพย์สินเงินทองก็มีมาก แต่ไม่มีคนอยากเข้าใกล้ก็เพราะเข้าใกล้แล้วมันร้อน มันน่าเกลียด มันน่ารังเกียจเพราะปล่อยให้กิเลสครอบงำแล้วก็แสดงออกมาทางวาจา ทางกิริยา คนเขาอยู่ใกล้เขาก็ทนไม่ได้ เพราะฉะนั้นกิเสลนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ต้องสกปรก ต้องเศร้าหมอง ต้องน่ารังเกียจแน่นอน ถ้าบุคคลใดไม่ปรารถนาจะเป็นคนสกปรก คนเศร้าหมอง คนน่ารังเกียจ ก็ต้องพากเพียรทำความรู้จักกับกิเลส และเมื่อกิเลสเกิดขึ้นมันก็หยุดไม่ได้ มันจะต้องก่อให้เกิดกรรมตามมาทันที
กรรมก็คือการกระทำ โลภก็ต้องทำอย่างที่ใจอยากได้ โกรธก็ต้องทำอย่างที่ใจไม่ชอบ หลงก็ต้องวนเวียนอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นมันจึงทำให้เกิดกรรมซึ่งเป็นวงล้อของสังสารวัฏ และเมื่อเกิดกรรมคือการกระทำ พอทำเข้ามันก็ต้องมีผลของกรรมคือวิบาก ฉะนั้นวงสังสารวัฏที่เราจะพูดสั้นที่สุดก็คือกิเลส พอกิเลสเกิดแล้วก็กรรม กรรมแล้วก็วิบากและมันก็หมุนกันไปอย่างนี้ซึ่งเมื่อดูภาพปฏิจจสมุปบาทที่ทิเบต ชาวทิเบตเขาเขียนไว้ก็จะเห็นวงกลมที่เขาเขียนไว้ตอนสุดท้ายข้างในก็แสดงถึงกิเลส กรรม วิบาก โดยเขาทำเป็นสัตว์ 3 ตัวเป็นสัญลักษณ์แทน
งู ไก่ หมู แล้วมันก็กัดหางกันวนเวียน วนเวียน วนเวียนอยู่อย่างนี้เพราะกิเลสที่สลัดจากใจไม่ได้มันจึงทำให้เกิดสังสารวัฏหรือการเวียนว่ายตายเกิด การเวียนว่ายตายเกิดของชาวพุทธที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนหรือทรงสอนเอาไว้คือการเวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้ ไม่ใช่การเวียนว่ายตายเกิดของรูปร่างหน้าตากายนี้ อันนั้นไม่สำคัญแต่การเวียนว่ายตายเกิดของความรู้สึกเป็นตัวกูที่มันเกิดดับ เกิดดับเพระอาการของกิเลสเข้าครอบงำ นี่แหละเป็นการเวียนว่ายตายเกิดที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกขณะจิต
วันหนึ่งไม่รู้เวียนว่ายเท่าไหร่ วันนี้เวียนว่ายบ้างหรือเปล่าคะ ก็เชื่อว่าถึงเราเวียนว่าย เราก็คงเวียนว่ายน้อยกว่าผู้ที่เขาอยู่บ้านนะคะ เขาอยู่บ้านแล้วก็เวียนว่ายนับไม่ถ้วนวันหนึ่งๆ แต่อย่างเราเวียนว่ายเราก็คงจะเวียนว่ายน้อยกว่า แล้วก็พยายามที่จะให้มันน้อยยิ่งขึ้นๆจนมันจะไม่ต้องเวียนว่าย ฉะนั้นกิเลสเมื่อเกิดต้องก่อกรรม เมื่อมีกรรมมันก็มีวิบาก นั่นคือบุคคลนั้นได้สร้างวงแห่งสังสารวัฏให้เกิดขึ้นแก่ชีวิตของตนแล้ว
ทีนี้ในเรื่องของกิเลสนี้ก็อยากจะพูดถึงสิ่งที่มันเกี่ยวเนื่องกับกิเลสนะคะ เมื่อกิเลสเกิดขึ้นแล้วมันจะมีอะไรตามมาที่อยู่ในพวกเดียวกัน เมื่อกิเลสเกิดขึ้น เช่น เกิดความโลภ จะต้องเอา พูดง่ายๆโลภกินนะคะ โลภกิน เราก็เห็นคนบางคนพอนั่งกินข้าวอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่บ้านมีสำรับคับค้อน พอเอาถาดอาหารมาตั้ง ตาก็มองก่อนล่ะมีชามไหนบ้าง ชามไหนบ้าง สี่ห้าอย่าง อ้อชามนี้ชอบแล้วก็เคยทำมาตั้งแต่เล็กๆ เพราะพ่อแม่ตามใจ อ่ะหนูชอบอันไหนกินๆ จะได้อ้วนจะได้แข็งแรง เพราะฉะนั้นพออันนี้ก็กินตามที่พ่อแม่ตามใจ มันก็ติดเป็นอนุสัย พอโตขึ้นไม่ว่าจะไปกินกับใคร ทีแรกก็กินกับเพื่อน กินกับพี่น้อง ต่อไปก็ไปกินกับแขก กินสมาคม แต่ว่ามันเคยกินสิ่งที่ชอบและสิ่งที่ชอบมันต้องมาอยู่ตรงหน้า ชามนั้นน่ะต้องยกเอามาตรงหน้าเป็นของเรา เพราะฉะนั้นพอไปกินที่คนอื่น ที่ในงานเลี้ยงซึ่งก็รู้มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ไม่ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ แต่มันเคยทำมาจนเคยแล้ว จนชินแล้ว พอเห็นชอบก่อนหรือไปงานบุฟเฟ่ต์ งานอาหารเลี้ยงที่เขาจัดไว้เป็นจานๆให้ตักเอง อ้อจานไหนชอบก็จ้อง ตักเอาจานสิ่งนั้นจนเต็มชามกินไม่หมด นี่การที่ทำอะไรซ้ำๆตามอาการของกิเลสที่เกิดขึ้น แล้วก็ทำไปจนกระทั่งมันกลายเป็นสิ่งที่เป็นความเคยชินท่านเรียกว่าอนุสัย
อนุสัยคืออะไร อนุสัยก็คือกิเลสที่เป็นความเคยชินแห่งกิเลสที่เก็บสะสมไว้ในสันดานของแต่ละคน เป็นความเคยชินแห่งกิเลสที่เก็บสะสมไว้ในสันดาน แล้วเสร็จแล้วก็มีชื่อใหม่อีกชื่อหนึ่งว่าอนุสัย แต่มันก็คือกิเลสนั่นเองแล้วอนุสัยนี่เมื่อมันมีอยู่สะสมเอาไว้มากเข้าๆๆ มันก็พร้อมที่จะไหลออก พอมีอะไรมากระทบนิดนึงคือมีผัสสะมากระทบนิดนึงมันก็จะไหลออกทันที เรียกว่ามันจะไหลออกมาจากคลังของอนุสัยก็มีชื่อว่า อาสวะ นั่นเอง
เพราะฉะนั้นก็สิ่งที่อยากจะขอเสนอแนะให้โปรดใคร่ครวญซ้ำก็คือกิเลส นอกจากว่ามันจะก่อกรรมซึ่งจากการก่อกรรมนี่นะคะมันก็ทำซ้ำเข้าคือทำกรรมอันเดิมนั่นแหละซ้ำเข้าๆๆ อย่างนั้น มันก็เก็บสะสมเอาไว้เก็บสะสมเอาไว้เป็นความเคยชินแล้วมันก็เป็นอนุสัย และอนุสัยที่เก็บเอาไว้ในใจนี่พอมีอะไรกระทบนิดนึงมันไปตรงกับอนุสัยนั้น มันก็เป็นอาสวะไหลออกมาทันที
ฉะนั้นในบรรดา 3 อย่าง กิเลส อนุสัย อาสวะ กิเลสนี้ถ้าหากว่าบุคคลนั้นๆตั้งใจที่จะขัดเกลาฝึกฝนอบรมให้มันเบาบางลงมันก็มีทางที่จะเบาบางลง แต่ถ้าได้สะสมเป็นอนุสัยไว้แล้วไม่ค่อยจะรู้ตัวแล้วมันก็ยากมากเลย ยากมาก มันจะสะสมเอาไว้เป็นคลัง เป็นท้องพระโรง เป็นห้องเก็บของ ห้องสโตร์รูม (store room) ห้องใหญ่มันจะเก็บเอาไว้ข้างใน อนุสัยนี่ พอมันกระทบปุ๊บมันจะออกมาทันทีทั้งในทางที่เป็นบวกแล้วก็เป็นลบ แล้วมันก็ไหลออกมา เพราะฉะนั้นอันนี้มันก็ยังอยู่ในประเภทของกิเลส ทีนี้กิเลสนี้ ถ้าหากว่าบุคคลนั้นได้มีการขัดเกลา คือรู้จักสำรวมกายวาจา เช่น การสมาทานศีลอย่างนี้นะคะ สมาทานศีลหรือพูดอย่างชาวบ้านว่ารักษาศีล ศีลนั้นก็ช่วยรักษาความเป็นปกติของกายวาจาไม่ให้กิเลสโลภ โกรธ หลง พุ่งออกมา พุ่งออกมาแรงๆ เหมือนอย่างคนที่ไม่ได้รักษาศีล แต่ใจภายในนั้นก็หาได้สะอาดหมดจดไม่ มันยังมีอาการครุ่นกรุ่นอยู่กับความพอใจ ไม่พอใจ ความอยากได้ ไม่อยากได้ ความวนเวียนอยู่กับสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่เรื่อยๆ แล้วมันก็มาทอนพลังของจิต แทนที่จิตจะว่าง โปร่ง สบาย พร้อมอยู่ด้วยสติ สมาธิ ปัญญา คิดทำอะไรได้เรียบร้อยราบรื่นมันก็ติดขัด มันก็ติดขัด พอจะลงมือทำก็สิ่งนี้มันเข้ามากั้นอยู่ภายในแล้ว อยู่ในจิตแล้ว เพราะฉะนั้นอันนี้ท่านจึงเรียกว่าสิ่งที่สองที่มาเป็นลูกน้องหรืออาการของกิเลสเหลืออยู่ท่านก็เรียกว่านิวรณ์อย่างที่เรากำลังจะพูดกัน
ในขณะที่กิเลสมีลักษณะอาการเหมือนเสือ ท่านก็เปรียบนิวรณ์ว่ามีอาการเหมือนกับแมลงหวี่ แมลงวัน หรือยุง ซึ่งไม่ปรากฏว่าใครถูกแมลงหวี่ตอมตายใช่ไหมคะ หรือใครถูกแมลงวัน ถูกยุงกัดตาย ยกเว้นเผอิญยุงที่เป็นมาลาเรีย มันก็จะเป็นพาหะนำมาลาเรียมาให้ได้ แต่ถ้าถูกเสือกัดน้อยคนที่จะรอดชีวิต เพราะฉะนั้นคนส่วนมากก็เลยประมาทกับอาการของนิวรณ์ว่ามันไม่สำคัญ แต่ก็โปรดคิดดูว่า นี่ถ้าเรานั่งอยู่อย่างนี้จะนั่งสมาธิสักหน่อยมีแมงหวี่ตัวเล็กๆนิดเดียวเท่าปลายเล็บนี่มันบินมาตอมอยู่อย่างนี่ เดี๋ยวก็ตอมหูหึ่งๆๆ เดี๋ยวก็มาตอมลูกนัยน์ตา สบายไหมคะ นั่งสมาธิได้ไหมตลอดรอดฝั่ง ไม่ได้เลย มันขยุกขยิก มันก็อึดอัด มันก็หงุดหงิด มันก็รำคาญ มันไม่ชอบใจ
นี่ เพราะฉะนั้นอย่าประมาทว่าตัวเล็กๆ ไม่มีอิทธิฤทธิ์อะไร อยากจะขอให้ท่านทั้งหลายลองนึกถึงนิทานที่เราได้ยินมาตั้งแต่เด็กตั้งแต่เล็กที่เราเคยฟัง อย่างท่านที่อยู่ในวัยอายุพอสมควรก็ต้องได้เคยได้ยินนิทานยายกะตาจำได้ไหมคะนิทานยายกับตา สาวๆอาจจะไม่ค่อยได้ยินเขาไม่ค่อยเล่ากันแล้ว เด็กสองคนนั่นน่ะเจ้าหลาน 2 คนน่ะหลานสาวหลานชายของตายายสามารถได้ถั่วได้งามาให้ตาให้ยายแล้วตายายก็หยุดด่า หยุดตี นึกออกไหมคะเรื่องนิทานยายกะตา ลืมซะแล้ว นี่ล่ะค่ะดิฉันไม่เคยนึกเลยนะคะว่านิทานยายกะตานี่เป็นธรรมะไม่เคยนึกเลยจนกระทั่งไปอยู่สวนโมกข์ ที่สวนโมกข์ก็มีโรงมหรสพทางวิญญาณแล้วก็มีภาพเขียนภาพหนึ่ง คือโรงมหรสพทางวิญญาณ เจ้าประคุณท่านอาจารย์ท่านก็รวบรวมภาพจากที่ต่างๆ จากหลายประเทศเข้ามาเป็นภาพที่เป็นปริศนาธรรม แล้วก็มีภาพๆนึงเป็นภาพเขียนของไทย เป็นศิลปะลายไทยแล้วก็เป็นเรื่องนิทานยายกับตา ไม่เคยนึกเลยว่านี่มีธรรมะอยู่ในนิทานยายกับตา แต่มีธรรมะอย่างยิ่งอยู่ในนิทานยายกับตาซึ่งตอนนี้ยังไม่พูดอ่ะ แต่อยากจะพูดนิดเดียวอ่ะค่ะว่านึกออกไหมอะไรที่ช่วยให้หลาน 2 คนนั่นน่ะได้ถั่วได้งามาคืน ที่มันช่วยเอาไว้พอกามากินถั่วกินงาหลาน 2 คนก็ไปหานายพรานใช่ไหมคะ ให้นายพรานนี่มายิง นายพรานก็ปฏิเสธไม่ใช่ธุระกงการของข้า ก็ไปหาหนูมากัดสายธนูนายพราน หนูก็ปฏิเสธ ไปหาหมากัดหนู หมาก็ไม่เอา ไปหาไม้ค้อนมายอนหูหมา ไม้ค้อนก็ปฏิเสธ ล้วนแล้วแต่ใจดำกันหมดเลย ไม่ใช่ธุระกงการของข้า ไปหาไฟไหม้ไม้ค้อน ไฟก็ไม่เอา ไม่เอาไม่ไหม้ ขี้เกียจ ไปหาน้ำมาดับไฟ น้ำก็ไม่ยอม ไปบอกตลิ่งช่วยทับน้ำซักหน่อยเถอะให้น้ำมันแห้งไปเลย ตลิ่งก็ไม่เอา ผลที่สุดก็ไปหาช้าง อ้าวพี่ช้างช่วยไปกระทึบตลิ่งให้มันพังไปซะทีเหอะ พี่ช้างก็ไม่เอา ผลที่สุดเจ้าหนูน้อย 2 คนนี่ไปไหนนึกออกไหมคะ ไปหาแมงหวี่ แมงหวี่ตัวนิดเดียวนั่นน่ะเท่าปลายเล็บเราอ่ะ ไปหาแมงหวี่ อ้าวพี่แมงหวี่ไปช่วยตอมตาช้างหน่อยเถอะ แมงหวี่ก็รับคำ ทั้งๆที่อันที่จริงแล้วเป็นหน้าที่ของแมงหวี่หรือเปล่าคะ ไม่ใช่หน้าที่ ไม่ใช่ความรับผิดชอบ ไม่ใช่ภาระ แต่แมงหวี่เอาเหอะจะไปช่วยจะไปตอมตาช้างให้ เท่านั้นแหละพอช้างได้ยินเท่านั้นน่ะว่าแมงหวี่จะมาตอม ไม่ต้องๆไม่ต้องมาตอม ก็แมงหวี่ตัวเแค่เนี้ย ช้างนี่แสนจะมหึมาเขายกให้เป็นพญาสัตว์อย่างหนึ่งน่ะ แต่พอบอกแมงหวี่จะมาตอมไม่เอาไม่ต้องๆ เราจะไปกระทืบตลิ่งให้มันพัง ตลิ่งก็รีบบอกว่าไม่ต้องๆทุกอย่างก็พร้อมที่จะช่วย เจ้าหนูก็รับจะไปกัดสายธนูนายพราน นายพรานก็บอกไม่ต้องกัดเราจะไปยิงกาให้ อีกาก็บอกไม่ต้องๆจะรีบไปเอามาคืนหมดเลย ผลที่สุดเด็ก 2 คนก็ได้ถั่วได้งานมาคืนตายาย ไม่ต้องถูกดุถูกตี เห็นไหมคะนี่ ความร้ายแรงของแมงหวี่ ที่พูดถึงนิทานอันนี้อยากจะชี้ให้เห็นว่าความร้ายแรงของแมงหวี่ที่แม้แต่ช้างมหึมายังกลัว แล้วท่านก็เปรียบนิวรณ์นี่เหมือนกับแมงหวี่แมงวัน น้ำหนักของมันอาการของมันเหมือนกันแมงหวี่แมงวัน เพราะฉะนั้นคนก็มักจะประมาท มองข้าม ไม่เห็นว่านิวรณ์นี้สำคัญ แต่อันที่จริงแล้วล่ะก็ มันมีอันตราย มันมีความร้ายกาจที่จะสามารถมาเป็นอุปสรรค อุปสรรคขวางกั้นความเจริญทุกทาง สิ่งใดที่เรียกว่าความเจริญถ้าปล่อยให้นิวรณ์อยู่ในจิตจะไม่สำเร็จสมปรารถนา สำเร็จก็กระพร่องกระแพร่ง