แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมชาตินี่แหละเป็นครู สมเด็จพระศาสดาของเรารับสั่งว่า ธรรมชาตินี่แหละเป็นครู พระองค์ทรงค้นพบจากธรรมชาติ ผู้ที่ศึกษาพุทธประวัติก็คงจะจำได้ว่าเมื่อเสด็จออกจากวังนั้นก็ได้พยายาม ทรงพยายามที่จะค้นหาครูบาอาจารย์ที่จะสามารถสอนพระองค์ เพื่อที่ เพื่อที่จะให้ได้ค้นพบสัจธรรม สัจธรรมที่พระองค์ทรงมุ่งหมาย เป็นเป้าหมายก็คือว่าทำอย่างไรถึงจะพ้นจะความทุกข์ ก็ไปพบอุทกดาบส อาฬารดาบส ซึ่งก็สอน สอนก็เพียงแต่ว่าให้อยู่กับความว่างในระดับธรรมดา แต่ไม่ได้ว่างจากภาวะของความยึดมั่นถือมั่นในจิตใจ เมื่อพระองค์ทรงปฏิบัติทดลองดูแล้วก็รู้ว่านี่มันยังไม่ถึงที่สุด นี่ยังไม่ถึงที่สุด จึงได้ลาครูบาอาจารย์นั่นไป ทั้งที่ครูบาอาจารย์ทั้งสองท่านก็ยกย่องชมเชยมากเหลือเกินว่าเจ้าชายสิทธัตถะนั้นทรงปรีชาสามารถ สอนไม่เท่าไรประเดี๋ยวเดียวสามารถปฏิบัติได้เท่าครู เก่งเท่าครู และก็ชักชวนขอให้อยู่เป็นครูด้วยกัน ช่วยสอนลูกศิษย์ต่อไป แต่นี่ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง พระองค์ไม่ทรงปรารถนา ก็เข้าไปดั้นด้นค้นคว้าด้วยพระองค์เองในป่าเป็นเวลาหกปี เหมือนดั่งที่เราได้ทราบ ฉะนั้นธรรมชาตินี่แหละคือครู เพราะทรงค้นพบสัจธรรมจากธรรมชาติ
ฉะนั้น ถ้าจะบอกว่าอะไรคือสิ่งที่เราควรเคารพ ก็คือพระธรรม พระธรรมนั้นก็คือหมายถึงธรรมชาติ ถ้าหากว่าเคารพ ปฏิบัติตน ทำหน้าที่ให้สอดคล้อยกับธรรมชาติ ความทุกข์ก็ไม่เกิด เพราะนี่คือยอดสุด จุดหมายปลายทางของชีวิตของมนุษย์ทุกคน แต่ว่าเรื่องของธรรมะนี้ไม่ใช่ของง่าย เป็นของยาก และก็ยากเพราะว่าละเอียด ประณีต ลึกซึ้ง ก็เห็นนะคะว่าธรรมชาติมีอยู่มาอย่างนี้ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ แล้วมีมนุษย์คนไหนบ้างที่จะหันมามองเห็นธรรมชาติ มีแต่กนจะทำลายธรรมชาติเพื่อเอาประโยชน์จากธรรมชาติ เมื่อเนรคุณ ผลมันก็เกิดขึ้นอย่างนี้ นี่ตามกฏอิทัปปัจจยตาอีกเหมือนกัน ไม่ได้หนีไปจากกฎธรรมชาติเลย เห็นไหมคะ ทำสิ่งใดได้ผลสิ่งนั้น แต่เพราะมนุษย์ที่ไม่ได้มีใจเป็นธรรม คือหมายความว่าไม่ได้รู้จักกฎธรรมชาติอย่างถูกต้อง ก็เลยทำความเดือดร้อนให้แก่เพื่อนมนุษย์ เหมือนอย่างที่เราได้รับผลกระทบอย่างทุกวันนี้
ฉะนั้น อันนี้ถ้าจะเคารพก็จงเคารพพระธรรม ด้วยการปฏิบัติตามที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงค้นพบและก็นำมาบอกกล่าวกับเรา อันนี้ก็คือ ความยังคงอยู่ ยังคงอยู่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงอยู่โดยพระธรรม คือโดยนามกาย โดยพระธรรมของพระองค์ ไม่ได้อยู่โดยรูปกาย รูปกายของพระองค์นั้นเสด็จปรินิพพาน ถวายพระเพลิงไปเสร็จแล้ว แต่เรายังรำลึกถึงพระคุณ ยังกราบไหว้ ยังสรรเสริญ ยังบูชาพระคุณ ก็เพราะพระธรรมที่พระองค์ทรงค้นพบและก็หยิบยื่นให้แก่มนุษย์ ถ้าอยากอยู่บ้านให้เป็นสุข ทำงานให้เป็นสุข ไม่ต้องมาบวช อยู่ที่บ้านให้เป็นสุข ทำอย่างนี้ๆๆ สรุปสั้นที่สุดก็คือ รู้จักทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้อง อย่างไม่เห็นแก่ตัว ให้มีแต่การกระทำ ไม่ต้องมีผู้กระทำ ถ้าสามารถทำได้ ชีวิตจะหมดปัญหา ทำได้มาก ชีวิตก็หมดปัญหามาก ทำได้น้อยชีวิตก็ยังมีปัญหามากอยู่ แต่ถ้าหมั่นกระทำต่อไปวันหนึ่งก็จะหมดปัญหา คือหมดความทุกข์ เพราะฉะนั้นนี่เป็นลักษณะของธรรมะนะคะ
การที่จะเห็นธรรม จะเห็นอย่างไร ถ้าพูดอย่างสั้นๆที่สุดก็คือว่า ถ้าเห็นกฏอิทัปปัจจยตา คือเห็นว่าทุกสิ่งมันอาศัยกันแล้วก็เกิดขึ้น เหมือนอย่างที่เราพูดถึงว่าอากาศร้อนนี่มันมีอะไรเป็นเหตุปัจจัย ไม่ต้องพูดซ้ำนะคะ นี่มันอาศัยการกระทำที่ไม่ถูกต้องด้วยความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ มันเป็นมาตามลำดับ แต่ผลที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ก็คือความร้อน ความแห้งแล้ง ความกันดาร ทั้งน้ำ ทั้งอากาศ ทั้งพื้นดิน ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยมลพิษทั้งหมด แต่ก่อนนี้เราจะกินอะไรเราก็กินอย่างสะดวกใจ เดี๋ยวนี้จะกินผักก็ไม่รู้ว่ามันมีสารพิษเจือปนอยู่สักเท่าไร จะกินเนื้อ กินหมู กินไก่ สะดุ้งกันทั้งนั้นจนไม่รู้จะกินอะไร แม้แต่จะกินข้าว ข้าวก็ยังมีการใส่สารพิษ เห็นไหมคะ ทุกอย่างมันอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น จริงหรือไม่จริง มันอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น ผลมันจึงเป็นอย่างนี้ นี่ผลในทางลบที่เราพูด เช่นเดียวกันกับผลในทางบวก ผลในทางบวกที่ครอบครัวใดอยู่กันอย่างอยู่เย็นเป็นสุข พ่อแม่ลูกมีความกลมเกลียว รักใคร่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ลูกเชื่อฟังพ่อแม่ ช่วยเหลือการงานพ่อแม่ ตั้งอกตั้งใจเล่าเรียน ทำงานแล้วก็ดำรงวงศ์ตระกูล ยังมีความเอื้ออาทรต่อพ่อแม่ พ่อแม่ก็ทำหน้าที่ของพ่อแม่อย่างถูกต้อง เมื่อลูกยังเล็กอยู่ก็อุ้มชูฟูมฟักถะนุถนอมทั้งทางกาย ทั้งทางใจ ให้การศึกษาเล่าเรียน ให้การอบรมจนกระทั่งลูกเติบโตตั้งตัวได้ คือทำหน้าที่อย่างถูกต้องทั้งพ่อทั้งแม่ นี่ก็คือการอาศัยกันและกันแล้วเกิดขึ้น ผลก็คือความสุข พ่อก็เป็นพ่อที่ดี แม่ที่ดี ลูกที่ดี ผลก็คือเป็นความสุข ฉะนั้นการเห็นธรรมจะเห็นเมื่อใด ก็คือการสามารถเห็นสิ่งที่อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น ก็จะอธิบายขยายความได้ว่า เมื่อผลที่เกิดขึ้นเมื่อใด เมื่อตน ใจตนรู้สึกว่าผลอันใดที่เกิดขึ้นจะถูกใจหรือไม่ถูกใจอย่าไปหยุดอยู่เพียงแค่ผล ให้สืบเสาะย้อนไปดูเหตุว่านี่มันเหตุอะไร ประกอบเหตุอะไรมามันถึงเป็นอย่างนี้ อย่าเอาแต่เพียงว่าอู๊ย ฉันนี่มันคนมีบุญ นี่อยู่ดีๆ มันก็ได้มา อยู่ดีๆก็ได้มา ฉันนี่มีบุญ นั่นมันไสยศาสตร์ ยึดมั่นถือมั่นด้วยไสยศาสตร์ ไม่ได้ค้นหาเหตุผล พอเกิดความสูญเสีย อู๊ย ฉันนี่เคราะห์ร้าย เคราะห์ร้ายดวงดาวไม่ดี ดาวประจำชีวิตนี่มันเปลี่ยนไปซะแล้ว เคราะห์ร้ายจริงๆ ไม่ได้ไปค้นหาเหตุผลว่าประกอบเหตุปัจจัยอย่างใดผลจึงเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นการเห็นธรรมคือ เห็นสิ่งที่อาศัยกันแล้วเกิดขึ้นเพื่ออะไร พอเห็นอย่างนี้เข้ามันเกิดสติ มันเตือนใจตัวเอง แล้วก็รู้ ถ้าเป็นผลดีก็รู้ว่าอ้อ นี่แหละคือการทำหน้าที่ที่ถูกต้อง ผลมันก็เป็นแบบนี้ แต่ถ้าผลมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ไม่ถูกใจ อ้อ นี่เป็นเพราะการทำหน้าที่นั้นไม่ถูกต้อง ทำด้วยความเห็นแก่ตัวจะเอาแต่ใจตัว ฉะนั้นการเห็นธรรมคือเห็นตรงนี้ และการจะเห็นตรงนี้ได้ก็ต้องฝึกมา ด้วยการดู ใคร่ครวญในกฎของไตรลักษณ์ ให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาชัดเจนขึ้นในใจ ทุกลมหายใจเข้าออก แล้วก็จะยอมรับกฎของอิทัปปัจจยตา หรือเห็นกฎของอิทัปปัจจยตาซ่อนอยู่ในนั้นได้
ฉะนั้นที่บอกว่าชีวิตต้องการปัจจัยสี่ ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ทุกท่านก็จะเห็นแล้วว่าแค่นั้นยังไม่เพียงพอ จะต้องเติมอีกสักปัจจัยหนึ่ง นั่นก็คือปัจจัยที่ห้าที่ชีวิตต้องการ คือธรรมะ ธรรมะนี่เป็นปัจจัยที่ห้า ไม่ใช่รถยนต์คันยาว ไม่ใช่อำนาจ ไม่ใช่เกียรติยศชื่อเสียง หรือว่าเงินในธนาคารหลายร้อยล้าน ไม่ใช่ ไม่ใช่ปัจจัยเหล่านั้น ปัจจัยที่สำคัญที่สุดแก่ชีวิตคือธรรมะ ธรรมะนี่แหละจะหล่อเลี้ยงชโลมใจที่แห้งแล้ง ห่อเหี่ยว เศร้าหมอง หม่นมัวให้มีความงอกงาม เยือกเย็น ผ่องใส มีชีวิตชีวาขึ้นเพราะธรรมะ จริงหรือไม่จริงคะ ลองนึกดูเอง ไม่ต้องเชื่อตามที่ดิฉันบอก แต่ว่าลองคิดดูเอง จริงไหม จริงไหม เพราะธรรมะจริงไหม เราได้พบคนหลายคนที่มาทั้งน้ำตา มาด้วยความทุกข์ แต่เมื่อเขาได้สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ สัมผัสด้วยใจ ด้วยการนำมาใคร่ครวญแล้วก็ปฏิบัติ น้ำตาแห้ง ยิ้มได้ นี่พูดจริงๆ ไม่ใช่แกล้งพูด มีหลายคนนะ แต่ยกตัวอย่างได้สักคน เป็นผู้หญิงมาจากออสเตรเลีย บินมา มานั่งคุยด้วย มีแต่น้ำตาไหล วันแรกก็น้ำตาไหล พูดไปก็น้ำตาไหลไป เช็ดเท่าไรก็ไม่แห้ง วันที่สอง น้ำตาก็ยังไหลอยู่ แต่ว่ายังเช็ดแห้งได้ วันที่สาม น้ำตาก็เพียงรื้นๆ หล่อรื้น แล้วก็ก่อนที่เขาจะไป เขามาอยู่เจ็ดวัน เขาก็ยิ้มได้ แล้วก็เขียนจดหมายมาบอกว่า เขาได้รับชีวิตใหม่เพราะว่าเขานำสิ่งที่เขาได้สัมผัส สัมผัสด้วยใจ และเขาก็รู้ว่าสิ่งนี้น่ะจริง แล้วเขาก็มีชีวิตที่เบิกบาน รื่นรมย์ ผ่องใสขึ้น เพราะลดละความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน มีมาก เพราะฉะนั้นถ้าต้องการปัจจัยที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตให้ชีวิตนี้งอกงาม เป็นชีวิตจริงๆ ที่เขาเรียกว่ามีชีวิตชีวา ไม่ใช่ชีวิตที่ตายทั้งเป็น ก็จงรับธรรมะเป็นปัจจัยที่ห้าของชีวิต ท่านอุปมาธรรมะเอาไว้หลายอย่าง ท่านอุปมาว่า ธรรมะนี้เหมือนแสงสว่างส่องทางเดิน อันนี้ไม่ต้องอธิบายนะคะ จิตใจที่กำลังมืดครึ้มด้วยความทุกข์ มันมืด มืดเหมือนท้องฟ้ายามสิบห้า แรมสิบห้าค่ำ ไม่เห็นอะไรเลย มืดมิด อุปมาอันนี้ยังน้อยไป กว่าความมืดที่เกิดขึ้นในจิต ในขณะที่จิตเต็มไปด้วยความทุกข์ คร่ำครวญแล้วก็บอกตัวเองว่าแสนสาหัส มันเหมือนกับถูกต้อนเข้าไปมุมอับ ไม่มีหนทางจะหลีกลบ ท่านจึงเปรียบว่าเมื่อธรรมะสาดส่องเข้ามา ก็เหมือแสงสว่างส่องทางเดิน ทำให้มองเห็นหนทางที่จะเดินไป โดยไม่ต้องประสบกับขวากหนาม ไม่ต้องประสบกับสัตว์ร้ายที่จะขบกัด ขวากหนามที่ทิ่มแทง แม้แต่เสี้ยมสักเล็กน้อยก็ไม่ต้องระคายเท้า นี่คือแสงสว่างส่องทางเดินของชีวิต เพราะสามารถจะเห็นปัญหาเป็นแต่เพียงสะว่าปัญหา แล้วใช้สติ ใช้ปัญญาแก้ไขมันให้ถูกต้อง นั่นก็คือหวนกลับมาทำหน้าที่ แข็งใจ ฝืนใจทำหน้าที่ด้วยความถูกต้อง โดยไม่ต้องมีตัวผู้กระทำ เท่านั้นน่ะ มันจะยืนขึ้นได้ ยืดอกได้ แม้ไม่มีใครยืนด้วยก็ยืนได้คนเดียว ธรรมะทำให้จิตคนมั่นคงถึงอย่างนี้ อันนี้จริงๆ มั่นคงถึงอย่างนี้
อย่างตัวดิฉันนี่ อาจจะเล่าตัวอย่างให้ฟังได้ว่า ตอนที่ออกจากบ้านนี่ก็เพราะศรัทธาเคารพในหลวงพ่อท่านอาจารย์ชา คือได้ไปศึกษาปฏิบัติกับท่านเป็นเวลาปีหนึ่ง ตอนนั้นก็ยังทำงานอยู่ แต่ว่ามีความรู้สึกแล้วว่าจะตัดสินใจแล้วว่าที่จะหยุดการทำงาน หยุดความมีชีวิตอย่างคนโลกซะทีหนึ่ง เพราะว่าไม่มีภาระอะไรที่ต้องรับผิดชอบ ได้ทำงานในฐานะเป็นสมาชิกของสังคมมาอย่างเต็มที่ ไม่คิดว่าเราเป็นหนี้อะไรสังคมแล้ว ต่อไปนี้มันเหลือหน้าที่ที่เราต้องทำเพื่อตัวเอง ก็ต้องมองหาครูบาอาจารย์ว่าท่านผู้ใดจะเป็นครูบาอาจารย์บ้าง ได้บ้าง ก็ได้มองหาอยู่หลายที่ ผลที่สุดก็แน่ใจในหลวงพ่อท่านอาจารย์ชาที่ท่านเพิ่งสิ้นไปไม่นานนี้นะคะ ก็ตัดสินใจทุกอย่าง คำว่าทุกอย่างนี่เป็นคนไม่มีบ้าน ดิฉันนี่เป็นคนไม่มีบ้าน ที่อยู่ทุกวันนี้ก็อาศัยบำนาญที่เรามีอยู่ ซึ่งก็ลาออกจากราชการมาตั้งนาน ตั้งแต่เขายังไม่ได้ขึ้นเงินเดือนมากมาย แล้วก็มาเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยโดยไม่ยอมรับราชการอีก เพราะบอกว่าไม่ต้องการรับราชการอีก ทำสัญญากันเป็นปีๆ พอใจอยู่ด้วยกันก็อยู่ พอใจเลิกก็เลิกง่ายๆ แต่ในขณะที่ยังทำงานอยู่นั้น ก็ยังมีสิทธิที่จะทำต่อไปอีก แต่พอตัดสินใจที่จะออกก็ออกโดยไม่มีอะไร บ้านช่องไม่มี มีแต่ตั้งใจจะอยู่วัดเพื่อปฏิบัติธรรม พอไปอยู่ได้ไม่ทันถึงปี หลวงพ่ออาพาธ อาพาธอย่างที่ใครที่ทราบประวัติของท่านก็จะรู้ว่าท่านอาพาธอย่างชนิดที่สอนไม่ได้ เพราะไปผ่าตัดสมองที่มีน้ำในสมอง หลังจากผ่าตัดแล้วก็ดูค่อยยังชั่ว แต่ในที่สุดท่านก็กลับทรุดลงอีก ก็ไม่สามารถจะพูดได้สอนได้ ในตอนนั้นต้องบอกว่า แหม ดิฉันนี่ใหม่เต็มที แล้วก็ไปอย่างชนิดที่ถอนรากถอนโคนของตัวเอง ไม่มีอะไรเหลืออยู่ทางนี้ มีแต่เสื้อผ้าที่ใช้อย่างนี้ แล้วก็มีหนังสือธรรมะ มีเทปบ้าง มีเครื่องกันหนาวบ้าง เพราะอุบลฯหนาว ก็เตรียมเครื่องกันหนาวไป มีอยู่เพียงเท่านี้เอง ก็เรียกว่าเอาชีวิตนี่ไปฝากไว้กับท่าน จนกว่าเราจะตั้งตัวได้ คือว่าตั้งตัวได้ก็หมายความว่าตั้งตัวได้ในทางธรรมที่เราจะยืนขึ้นได้ แล้วหลวงพ่อเกิดอาพาธสอนไม่ได้เฉยๆ ตอนนั้นก็ถามตัวเอง เอ๊ะ เราจะอยู่ได้รึเปล่า ก็ตั้งสติแล้วก็มองย้อนหลังไปอดีต แล้วก็ใคร่ครวญ แล้วก็ถามตัวเองว่า เสียดายไหม เสียดายสิ่งที่เราผ่านมา ที่เราทิ้งมา เสียดายไหม ชื่อเสียง เกียรติยศ ตำแหน่งการงาน หรือความมีหน้ามีตา ความสำเร็จที่เคยมี เสียดายไหม ใคร่ครวญอยู่นาน ไม่ใช่ประเดี๋ยวเดียว ใคร่ครวญอยู่นาน แล้วก็บอกตัวเองอย่างบริสุทธิ์ใจ อย่างซื่อตรง ไม่มีอาการสะดุ้งในใจ ก็บอกว่าไม่เสียดาย ไม่เสียดายในสิ่งที่ได้สละมาแล้ว แล้วก็ดูไปข้างหน้าในอนาคตว่าต่อไปนี้ล่ะเราจะทำอะไร เพราะว่าเราเป็นคนไม่มีบ้าน มีญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ลูกศิษย์ แต่เราก็ไม่ถือว่าเรามีใคร เพราะการออกมาปฏิบัติธรรม คือ การออกมาเพื่อความมีชีวิตเดี่ยวชีวิตเดียว การปฏิบัติธรรมนี่ถ้ามัวคลุกคลีอยู่จะไม่สามารถปฏิบัติได้ ฉะนั้นจึงต้องขอให้อยู่เงียบ คลุกคลีไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราเดี่ยว เราคนเดียว และเรามีชีวิตเพื่อเราจะอยู่วัด จากวัดไปวัด และเราเป็นผู้หญิง เป็นผู้หญิงที่มาเพื่อปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ผู้หญิงที่มาปรารถนาเพียงอาศัยวัดอยู่ เราต้องการครูบาอาจารย์ ต้องการความปลอดภัยสำหรับความเป็นผู้หญิงพอสมควร กลัวไหม ถามตัวเอง กลัวไหมที่จะเดินต่อไปข้างหน้าคนเดียว กลัวไหม เมื่อมองดูไปรอบๆ ตัวแล้วก็ถามตัวเอง ก็ตอบตัวเองได้อีกเหมือนกัน ไม่กลัวทั้งๆที่เป็นผู้หญิงคนเดียว แล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไง ไปที่ไหนต่อไป ก็บอกไม่กลัว นี่ไม่กลัวเพราะธรรมะตอนนั้น มันกำลังเปี่ยมด้วยศรัทธาของธรรมะและก็เชื่อแน่ว่าพระธรรมจะเป็นที่พึ่งที่สุดได้ ไม่ว่าอะไรที่ว่าจะเป็นที่พึ่ง อะไรที่เป็นที่รักที่สุด ไม่มีใครสามารถจะช่วยได้เลย แม้แต่ในวาระสุดท้ายที่หยุดหายใจ คงได้ยินใช่ไหมคะ คู่สามีภรรยาที่อยู่กันมาด้วยความร่มเย็นเป็นสุข คือรักใคร่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน พอฝ่ายหนึ่งเป็นมะเร็ง ภรรยาเป็นมะเร็ง สามีก็ทุ่มเทความเอาใส่ใจความรักลงไปทุกอย่าง นั่งจับมือกันจนกระทั่งหยุดหายใจ ก็ไม่เห็นยื้อยุดกันไว้ได้ ไม่เห็นสามารถผ่อนคลายความเจ็บปวดได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะเป็นที่พึ่งถึงที่สุดก็คือพระธรรมอย่างเดียวที่จะบอกใจเราว่าจะอยู่อย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์ แม้แต่ความเจ็บป่วยก็ไม่เป็นทุกข์ คือไม่เป็นปัญหาแก่ชีวิต แม้แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคแก่ชีวิตที่เกิดขึ้นก็ไม่เป็นปัญหาแก่ชีวิต พระธรรมเท่านั้นที่ท่านเปรียบว่าเป็นแสงสว่างส่องทางเดิน จึงเป็นความจริงอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อมองดูไปในอนาคตก็บอกตัวเองว่าไม่กลัว ก็หันมาดูปัจจุบัน ว่าแล้วปัจจุบันนี่ล่ะเราจะทำยังไง ฉะนั้นชีวิตปัจจุบันนี่จึงเป็นชีวิตที่สำคัญที่สุด ก็บอกตัวเองว่าตอนนี้ก็ต้องหาที่ตั้งหลักซะก่อน คือยังไม่ตัดสินใจพลุนพลันว่าเราจะทำอะไร จะไปที่ไหน ยังไง ยังไม่พลุนพลัน แต่ลองตั้งหลัก ใคร่ครวญ มองดูให้รอบๆด้วยความมีสติ ด้วยความไม่ประมาท ให้ถี่ถ้วนซะก่อนแล้วถึงค่อยตัดสินใจ นั่นล่ะก็ตั้งหลัก ตั้งหลักอยู่ แล้วผลที่สุดก็มีเพื่อนอาวุโสก็พาไปที่สวนโมกข์ บอกว่าลองไปศึกษาดูสิ ที่สวนโมกข์นี้เคยอ่านหนังสือท่านอาจารย์ เคยฟังเทปท่านอาจารย์ ก็ลองไปศึกษาดูซิ ไปอยู่ให้ท่านเป็นครูบาอาจารย์ซิ จะเป็นยังไง ก็ไป ก็ไปเรียนท่านว่าจะมาลองดู ก็ไม่ได้ไปสบประมาทท่านอาจารย์เลยนะคะ แต่ใจจริงก็คือจะลองดู ลองดูอะไร คือลองดูว่าคำสอน คำสอนที่ท่านอาจารย์นำมาสอน ซึ่งไม่ใช่คำสอนของท่านนะคะ ท่านไม่ได้ไปคิดประดิษฐ์คำสอนขึ้นมาเอง ท่านอาจารย์สวนโมกข์ ท่านอาจารย์พุทธทาสท่านไม่ได้ประดิษฐ์คำสอนขึ้นมาเอง ก็คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าน่ะแหละ แต่ท่านนำมาใช้ศิลปะวิธีการสอนของท่านเองว่าสอนอย่างไรจึงจะทำให้คนเข้าใจง่าย คนโลกๆโดยเฉพาะปัญญาชนที่เขามีสติปัญญา เขาไม่เชื่ออะไรอย่างงมงาย เราจะพูดกับเขาอย่างไร เขาถึงจะเข้าใจธรรมะได้ง่าย และก็นำไปปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นที่เรียนท่านว่าจะไปลอง ก็คือลองว่าคำสอนของท่านนี่เอามาใช้แล้วจะปฏิบัติได้ไหม ซึ่งคำสอนของท่านอาจารย์ก็ไม่ได้แตกต่างจากคำสอนของหลวงพ่อ เพราะว่าจุดหมายปลายทางของคำสอนของท่านอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่านนี้ก็คือ ให้รู้จักลดละความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน คือ ลดละอัตตา ให้เห็นว่าชีวิตนี้คือทุกสิ่ง ธรรมะนี้มันเป็นอนัตตา ธรรมะทั้งปวงเป็นอนัตตา ให้เห็นอันนี้เท่านั้น ถ้าเราเห็นได้ ฝึกฝน อบรมใจ เราก็จะค่อยๆลดละจากความยึดมั่นถือมั่นไปเองไปทีละน้อยๆ เพียงแต่วิธีการสอน กลวิธีการสอนของท่านซึ่งมีแตกต่างกัน แต่จุดหมายปลายทางไม่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นความรู้การอบรมที่ได้รับจากหลวงพ่อก็มาต่อได้ ต่อได้อย่างเรียบร้อย แล้วก็เราก็พยายามที่จะอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด
ที่ยกตัวอย่างให้ฟังหรือเล่าให้ฟัง ก็เพียงแต่จะบอกว่า ที่พึ่งอันสูงสุดและที่พึ่งที่แท้จริงของมนุษย์นั้นไม่มีอะไรอื่นนอกจากพระธรรม แล้วก็ขอให้รู้เรื่องพระธรรมให้ถูกต้องก่อนนะคะ อย่าหลับตาเชื่อมั่น ให้ถือหลักกาลามสูตรเอาไว้ในใจเสมอ แม้จะได้ยินคำบอกเล่าจากดิฉันนี่ว่าอย่างนั้นๆ ก็ยังไม่ต้องเชื่อ เอาไปใคร่ครวญดูด้วยใจของเราเอง แล้วก็ลองฝึกปฏิบัติดูด้วยใจของเราเอง แล้วดูสิว่าผลมันจะเกิดขึ้นไหม ตามนั้นจริงไหม แต่อย่าหลอกหลวงตัวเองนะคะ คำว่าอย่าหลอกหลวงตัวเองก็คือว่า อย่าคิดว่านี่ปฏิบัติถูกแล้ว แต่ความจริงไม่ได้ทำตามนั้น แล้วก็บอกตัวเองว่านี่ฉันปฏิบัติตามทุกอย่าง นี่คือการหลอกหลวงตัวเอง