แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ถ้าจะย้อนถามซ้ำว่า “แล้วเกิดมาทำไม”
คนบางคนเวลาโกรธชีวิตขึ้นมา “เกิดมาทำไมนะ” แล้วก็ไปโทษคุณพ่อคุณแม่ “นี่แหละต้นเหตุให้เราเกิดขึ้นมา แล้วก็ไม่เห็นให้เรามีความสุขเลย” ใช่ไหมคะ พวกเด็กหนุ่มสาวเขาจะว่า “ทำให้เราเกิดขึ้นมาแล้วไม่เห็นเอาความสุขมาให้เราด้วย เอาความทุกข์ เอาปัญหา เอาความจน ความลำบากมาให้เรา” มีลูกบางคนที่ลืมนึกถึงคุณของพ่อแม่..เป็นไปอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น ถ้าจะย้อนถามว่า “แล้วเกิดมาทำไม…เกิดมาเพื่ออะไร” คำตอบก็คือ เกิดมาเพื่อทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างถูกต้อง ธรรมชาติบอกเรา สอนเรา ธรรมชาติสร้างกายนี้มาให้เรา...
อย่างที่บางท่านที่มาเมื่อวานนี้ แล้วก็ได้ยินคุณรจนาบรรยายเกี่ยวกับชีวิตและสิ่งแวดล้อมแล้วใช่ไหมคะ เธอบรรยายได้ดีมากเลย ชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของธรรมชาติ ชี้ให้เห็นถึงบุญคุณของธรรมชาติที่ได้ให้แก่มนุษย์ กายนี้ให้มาทุกอย่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ที่เรามีความเป็นอยู่อย่างสบายและราบรื่นนี่ก็เพราะกายที่ธรรมชาติให้มา แต่ว่ามันยังไม่ราบรื่นทีเดียว เพราะจิตนั้นต้องการการฝึกฝนอบรม ถ้าฝึกฝนอบรมเอามันมาเจียระไนสักหน่อยเท่านั้น มันจะเกิดประโยชน์อย่างเต็มที่เลย
กายนี้มนุษย์ให้มา...ธรรมชาติให้มา แล้วก็ชี้ให้เห็นว่าทุกอย่างนี้ มันทำหน้าที่ ใช่ไหมคะ โดยเฉพาะท่านที่เป็นหมอ เป็นแพทย์ จะรู้ดี...
ตอนเช้าตื่นขึ้น เช้าวันนี้แจ่มใสเพราะอะไร เพราะร่างกายทำหน้าที่ของมันอย่างถูกต้อง ใช่ไหมคะ พอตื่นขึ้น ไปห้องน้ำ พอเข้าห้องน้ำ ร่างกายก็ทำหน้าที่เรียบร้อยทั้งหนัก ทั้งเบา สบายเบาตัวหายอึดอัด ออกมาทำหน้าที่ตามที่ร่างกายบอก คือต้องการอาหารที่จะบำรุงเลี้ยง ก็รับประทานอาหาร พอรับประทานอาหารใส่ปากเข้าไป อวัยวะส่วนต่าง ๆ ที่ธรรมชาติได้สร้างมาแล้วนี้ก็ทำหน้าที่บด ทำหน้าที่ย่อย ทำหน้าที่แจกจ่ายสิ่งที่ หลังจากที่ได้บดได้ย่อยแล้ว ควรจะเป็นไปตามส่วนต่าง ๆของร่างกาย ลำไส้ กระเพาะ ตับ ปอด ม้าม หัวใจ ล้วนแล้วแต่ทำหน้าที่อย่างสอดประสานกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นสหกรณ์
นี่ธรรมชาติได้แสดงถึงความเป็นตัวอย่างของการทำหน้าที่โดยไม่เรียกร้อง เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงต้องเลียนแบบของธรรมชาติถ้าต้องการให้ชีวิตนี้ไม่มีปัญหา นั่นก็คือเกิดมาเพื่อฝึกการทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างถูกต้อง ทั้งเพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น หน้าที่ของมนุษย์ที่เกิดมา ที่เป็น“มนุษย์”น่ะคะ พูดสรุปได้ว่า เพื่อทำโลกนี้ให้งดงามและสมบูรณ์
มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาทำลายโลก โลกอันสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ งดงาม แจ่มใส มนุษย์ไม่มีหน้าที่ ที่จะมาทำลายบรรยากาศของความสะอาดบริสุทธิ์หมดจด ทั้งทางบก ทางอากาศ ทางน้ำ ที่ธรรมชาติให้มาไว้ แต่มนุษย์ก็ทำ เพราะไม่ใช่มนุษย์ เป็นเพียงแค่ “คน” จึงได้กระทำอย่างที่เรามองเห็นอยู่
แต่ว่าหน้าที่ของมนุษย์ที่ถูกต้องนั้น เกิดมาเพื่อทำโลกนี้ให้งดงาม ให้สมบูรณ์ ให้เป็นโลกที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ด้วยน้ำใจที่เผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ อย่างปราศจากความเห็นแก่ตัว นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่สังคมไทยเรียกร้อง สังคมไทยปัจจุบันเรียกร้อง คือสิ่งที่เรียกว่า “น้ำใจ”
ปู่ย่าตาทวดของเราอยู่กันมาอย่างอบอุ่นเป็นสุข เพราะเราร่ำรวยน้ำใจ เราไม่ร่ำรวยเงินทองหรอก แล้วมิหนำซ้ำบางประเทศ เขายังมาเรียกประเทศเราว่า เป็นประเทศที่ด้อยพัฒนา เขาตีราคาตรงไหนว่าประเทศไทยด้อยพัฒนา..เพราะไม่มีมหาวิทยาลัยมาก ไม่มีตึกสูงๆหลายสิบชั้น ไม่มีถนนหนทางที่ก่ายกันไปก่ายกันมาเหมือนอย่างที่กำลังเริ่มสร้างในปัจจุบันนี้ แล้วก็ไม่ร่ำรวยเงินทองมากมาย เขาก็บอกว่า ประเทศอย่างนี้ด้อยพัฒนา แต่ความเป็นจริงแล้ว ด้อยพัฒนาหรือเปล่าคะ ในความรู้สึกของเรา อย่างไม่เห็นแก่ตัว พูดอย่างตรงไปตรงมา รู้สึกว่าเราด้อยพัฒนาไหมคะ ประเทศไทยด้อยพัฒนาไหม คนไทยด้อยพัฒนาไหม...ไม่เลย
คนไทยเราแต่โบราณกาลนะคะ ต้องบอกว่าเป็นประเทศของคนที่มีจิตอันเจริญแล้ว นี่ไม่ใช่การยกย่องเกินไปเลย มีจิตอันเจริญแล้ว เจริญแล้วอย่างไร ก็ด้วยการเผื่อแผ่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ซึ่งเรามีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และเดี๋ยวนี้ก็ยังมีคำยืนยันว่า พวกคนตะวันตกที่ร่ำรวย เป็นประเทศที่เจริญแล้ว มีอารยธรรมสูง กำลังวิ่งกลับมาหาธรรมชาติ ทั้ง ๆที่มีพร้อมทั้งการศึกษา การเศรษฐกิจก็สูง ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็สูง แต่ก็กลับวิ่งมาหาธรรมชาติ เพราะฉะนั้น นี่เป็นสิ่งที่แสดงว่า ความเจริญที่แท้จริง หาได้อยู่ที่สิ่ง อุปกรณ์ข้างนอกไม่ มันอยู่ที่เรื่องของใจ ความเจริญที่ใจ ใจที่ไม่เห็นแก่ตัว นี่เป็นหน้าที่ของมนุษย์
แต่ว่าชีวิตของเราในขณะนี้...ของท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ในที่นี้ ส่วนหนึ่งก็กำลังอยู่ในช่วงชีวิตของการศึกษาที่จะต้องศึกษาให้ถูกต้อง เมื่ออยู่ในช่วงชีวิตของการศึกษา ก็อยากจะบอกว่าเป็นโชคดีนะคะ เป็นโอกาสดีที่เรามาได้ฟังกันว่า การศึกษาที่ถูกต้องนั้นจะต้องให้เกิดความรอด ทั้งทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ เราจะได้ไปลองคิดดูว่า การศึกษาที่เราได้รับในสถาบันการศึกษามีอะไรที่ยังขาดอยู่ แล้วเราจะเติมของเราเองเพื่อให้ชีวิตของเรา เป็นชีวิตที่เต็มต่อไปข้างหน้า เราสมควรทำถ้าเราเห็นว่าชีวิตนี้เป็นชีวิตของเรา เราก็ต้องทำมันให้ถูกต้อง ด้วยความไม่เห็นแก่ตัว แต่ทว่าให้เป็นชีวิตที่จะเกิดประโยชน์ต่อไป
ถ้าหากว่าในสถาบันการศึกษาไม่เอื้อ ครูอาจารย์ไม่เอื้อ เราต้องเอื้อตัวเราเอง ต้องช่วยตัวเราเองให้ได้การศึกษาที่ถูกต้อง เพื่อชีวิตข้างหน้าจะได้สมบูรณ์ และเมื่อถึงเวลาที่ไปเผชิญชีวิต จะได้ใช้สติปัญญาที่พร้อมด้วยสมาธิ ด้วยสติปัญญาที่เป็นสัมมาทิฎฐิ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงของการเผชิญชีวิต ซึ่งท่านผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ใหญ่กว่านิสิตนักศึกษา ก็ย่อมจะทราบดีว่าช่วงของการเผชิญชีวิตนี้ มันหนักหน่วงแค่ไหน ใช่ไหมคะ มันหนักหน่วงเหลือเกิน มันมีการต่อสู้กันทุกรูปแบบ ทั้งข้างหน้า ทั้งข้างหลัง เรียกว่าต้องมีสติปัญญาให้แหลมคม ให้รอบตัว และสติปัญญานั้นต้องประกอบด้วย “สติ”
“สติ”ที่บริบูรณ์ที่จะรั้งใจได้ ฉุดใจเอาไว้ได้ เพราะความหนักหน่วงของช่วงของการเผชิญชีวิตนั้น ทั้งในเรื่องครอบครัว ในเรื่องการงาน ในวงสังคม ในวงของเพื่อนฝูง หรือว่าการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ทุกอย่างรอบด้านเลย...และถ้ากำลังอยู่ในช่วงของการเผชิญชีวิต จะใช้อะไรเป็นเครื่องประคับประคองใจ...นั่นก็คือการใช้สมาธิภาวนา ที่จะเป็นเครื่องส่งเสริมให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการศึกษาข้างในที่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์ที่จะให้ชีวิตนี้รอดจากปัญหา หรือว่ามีความทุกข์น้อยลง...น้อยลง เท่าที่จะสามารถเป็นไปได้นะคะ