แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมะสวัสดีค่ะ วันนี้จะได้พูดกันถึงเรื่องการรักษาใจให้อยู่ในธรรม คือธรรมะนะคะ ในที่นี้ก็การรักษาใจให้อยู่ในธรรมะคืออะไร ก็หมายถึงว่าถ้าหากว่าผู้ใดสามารถรักษาใจให้อยู่ในแนวทางของพระธรรมได้ตลอด ก็หมายถึงการสามารถรักษาใจให้อยู่ในความสงบเย็นนั่นเอง ความสงบเย็นหรือในธรรมะก็คือหมายถึงความเป็นปกติ เมื่อพูดถึงความเป็นปกติก็อยากจะพูดว่าจะต้องทราบถึงสิ่งที่ตรงกันข้าม สิ่งที่ตรงกันข้ามก็คือความไม่ปกติ ความไม่ปกติของใจนั้นนะคะ ย่อมจะหมายถึงลักษณะของใจที่ขึ้นๆ ลงๆ ซัดส่ายไปมา เหวี่ยงโยนซ้ายขวาหรือบางทีก็วนเวียนหมุนอยู่นั่น นี่เป็นลักษณะที่ไม่ปกติ เพราะความปกติของใจที่เป็นไปตามธรรมชาตินั้น จะต้องเป็นจิตใจที่ราบเรียบ คือราบเรียบหมายถึงสม่ำเสมอ สม่ำเสมออย่างนี้นะคะอยู่ตลอดเวลา ในความสม่ำเสมอนี้ก็จะมีความเย็น ความนิ่ง ความมั่นคงไม่หวั่นไหว แล้วก็จะมีความรู้สึกชื่นบานเบิกบาน โปร่ง ว่าง เบาสบาย นี่คือความเป็นปกติของจิตอันเป็นธรรมชาติ แต่เมื่อใดจิตนี้เปลี่ยนอย่างนี้นะคะ เปลี่ยนขึ้นเปลี่ยนลง กระทบกระแทก ซ้ายขวาไปมา หรือวนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อย
นี่คือเป็นลักษณะอาการที่ไม่ปกติแล้ว เมื่อไม่ปกติก็หมายความว่าขณะนั้นใจนั้นไม่ได้อยู่ในธรรมะหรือไม่ได้อยู่ในหนทางของพระธรรม แต่อยู่ในหนทางของกิเลส กิเลสตัณหาอุปาทานเกิดขึ้นจึงวนเวียนเปลี่ยนไป ฉะนั้นจิตที่นิ่งสงบเป็นปกติก็เป็นจิตที่ไม่หวั่นไหวหรือกระทบกระเทือนต่อสิ่งที่มากระทบ สิ่งที่มากระทบก็คือสิ่งที่เราเรียกว่าผัสสะ ตามที่ได้ทราบแล้วนั้น ไม่ว่าจะมีผัสสะผ่านมาทางตา หู จมูก ลิ้น กายก็ตาม ใจนั้นนิ่งสนิทปิดประตูไม่ยอมรับสิ่งที่เป็นผัสสะ เพราะมองเห็นได้ชัดเจนในใจว่า มันเป็นสิ่งที่เพียงแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปอยู่เช่นนั้นเองไม่มีอะไรคงที่ ไม่มีอะไรที่จะทนอยู่ได้ เพราะทุกอย่างมันจะต้องดับสลายไปสู่ความเป็นอนัตตาคือความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เพราะฉะนั้นการที่จะพยายามรักษาจิตให้อยู่นิ่งในความสงบนี้ก็จำเป็นอย่างยิ่งทีเดียวที่จะต้องศึกษาและก็ฝึกฝนเพื่อรักษาความวิเวกเฉพาะตนให้เกิดขึ้น การรักษาความวิเวกเฉพาะตนก็คือหมายความว่ารักษาความเดี่ยว ความรู้สึกเดี่ยว คำว่าความรู้สึกเดี่ยวในที่นี้ ไม่ใช่เป็นความรู้สึกเดี่ยวข้างนอก ข้างนอกอาจจะต้องปะปนอยู่กับผู้คนที่จำเป็นจะต้องพบเห็น แต่แม้จะไปพบเห็นหรือจะไปคลุกคลีก็ตาม แต่ภายในนั้นมีความรู้สึกเดี่ยวเหมือนกับรู้สึกอยู่คนเดียวในท่ามกลางฝูงชน
นึกออกไหมคะ เหมือนกับต้นไม้นาฬิเกร์ที่ในสวนโมกข์นานาชาติ ที่ได้ไปเห็นแล้วที่เรียกว่าสระนาฬิเกร์ สระนาฬิเกร์ก็หมายถึงสระที่มีต้นมะพร้าว นาฬิเกร์คือต้นมะพร้าว แล้วก็ขึ้นอยู่ต้นเดียวโนเนกลางทะเลขี้ผึ้ง คือในสระนาฬิเกร์ที่เจ้าพระคุณท่านอาจารย์ได้สร้างขึ้นตามคำกล่อมเด็ก บทกล่อมเด็กของชาวภาคใต้ ท่านก็สร้างเป็นรูปสระใหญ่คือหมายความว่าขุดสระใหญ่ขึ้นแล้วก็ที่ตรงกลางของสระใหญ่นั้นก็มีเกาะเล็กๆ มีต้นมะพร้าวขึ้นอยู่ต้นเดียว เรียกว่าโนเนโดดเดี่ยว นาฬิเกร์ก็คือต้นมะพร้าว มะพร้าวนาฬิเกร์ต้นเดียวโนเนกลางทะเลขี้ผึ้ง คืออยู่ในท่ามกลางโลกที่มีความวุ่นวายสับสน แต่มะพร้าวนาฬิเกร์ต้นนี้รู้สึกเหมือนกับว่าอยู่ต้นเดียว ฝนตกก็ไม่ต้อง ฝนตกก็ไม่เปียก ฟ้าร้องก็ไม่ถึง คือเสียงฟ้าร้องดังก็จริงแต่ไม่กระเทือนเข้าไปถึงข้างใน คงดังอยู่แต่ที่หู ฝนตกก็คงเปียก แต่ที่ตัวแต่ใจนั้นไม่เปียกคือไม่ถูกกระทบทั้งจากความดังหรือทั้งจากความเปียก ฝนตกก็ไม่ต้อง ฟ้าร้องก็ไม่ถึงกลางทะเลขี้ผึ้ง อยู่ได้กลางทะเลขี้ผึ้ง ซึ่งจะอยู่ได้ในลักษณะนี้ที่ไม่ยอมรับฝนเปียก ไม่ยอมรับเสียงดังของฟ้า ก็ต้องถึงแต่ได้ผู้พ้นบุญเอย ผู้พ้นบุญก็คือผู้ที่ไม่ติดทั้งในบุญและในบาป ไม่อยู่ในระหว่างท่ามกลางสิ่งคู่นะคะ เพราะฉะนั้นจิตเช่นนี้เป็นจิตที่คงมีแต่ความวิเวกความเดี่ยวอยู่ภายในตลอดเวลา ไม่ว่าภายนอกนั้นจะเกิดความสับสนอลหม่านกันเพียงใดก็ตาม จิตที่อยู่ในความวิเวกเป็นจิตเดี่ยว แต่จิตเดี่ยวเฉพาะตนนั้นจะมองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้อมรอบผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ใจมองเห็นแต่ว่าอ๋อมันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นธรรมดาอยู่เช่นนี้ อันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก ท่ามกลางโลกของผู้ที่อยู่ท่ามกลางความยึดมั่นถือมั่น
อันนี้แหละค่ะหมายความว่าถ้าประสงค์ที่จะรักษาใจให้อยู่ในธรรมได้ตลอดไป ก็จำเป็นที่จะต้องรักษาความวิเวกเฉพาะตนให้เกิดขึ้น ความวิเวกเฉพาะตนจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ประการแรกก็คือเมื่อยังไม่ชำนาญ ไม่สามารถจะรักษาความวิเวกเฉพาะตนให้เกิดขึ้นภายในจิตได้ ก็ต้องเริ่มจากการรักษาข้างนอก ข้างนอกก็คือรักษาความเงียบด้วยการหยุดพูดคุยสนทนาในสิ่งที่ไม่จำเป็น จะพูดก็แต่เฉพาะสิ่งที่จำเป็นจะต้องพูด เพื่อประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น แต่การพูดใดๆ ที่เป็นการพูดที่ไร้สาระแก่นสาร เพียงแต่ว่าเพื่อความสนุกสนานเบิกบานเพลิดเพลินแก่ตัวเอง หยุดพูดมันเกินความจำเป็นเพราะไม่ได้เกิดประโยชน์สร้างสรรค์ แต่สำหรับในการที่มาอยู่ร่วมอบรมในโครงการฝึกอบรมตนนี้ก็ขอร้องแหละนะคะว่าจำเป็นจะต้องอยู่เงียบ คือรักษาความเงียบเฉพาะตนให้เกิดขึ้น จะไม่พูดคุยสนทนาด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อให้บังเกิดความวิเวกสงบสงัดขึ้นภายในทีละน้อย นอกจากหยุดพูดคุยแล้วก็พยายามหยุดการคิด คิดเรื่องข้างนอกอันเป็นการคิดที่ท่านบอกว่าปรุงแต่ง ปรุงแต่งก็คือคิดไปตามความนึกคิดที่ไม่รู้จบ โดยปราศจากแก่นสารสาระ ปราศจากเหตุผล ปราศจากรากฐานของการที่จะพูด แต่พูดไปตามความอยาก พูดไปตามความนึก พูดไปตามความจินตนาการที่คาดคิดว่าจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ทั้งๆที่จริงๆ แล้วไม่ได้มีความจริงเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คิดหรือจินตนาการนั้นเลย ซึ่งในทางธรรมท่านเรียกว่าเป็นความคิดปรุงแต่งคิดนอกจิต เหมือนอย่างเมื่อตอนที่มาอยู่ที่สวนโมกข์ในครั้งแรก ก็ได้ไปกราบเรียนถามท่านอาจารย์ในวันแรกนะคะที่มา ก็กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่าท่านจะแนะนำให้อ่านหนังสือเล่มใดบ้าง พร้อมกับทั้งมีรายชื่อหนังสือยาวเชียว แล้วก็อ่านรายชื่อหนังสือถวายให้ท่านฟัง เพื่อให้ท่านบอกว่าควรจะอ่านเรื่องใดตามลำดับก่อนหลัง แล้วจะได้มีความรู้ความเข้าใจในธรรมะมากขึ้นตามลำดับ
คำตอบของท่านอาจารย์ก็คือว่าหยุดอ่าน หยุดอ่านได้แล้ว ไม่ต้องอ่านอีกต่อไปเพราะอ่านมามากแล้ว ท่านว่าอย่างนั้นนะคะ แล้วท่านก็บอกว่าต่อไปนี้ขอให้อ่านหนังสือเล่มในแต่เล่มเดียว ได้ฟังท่านครั้งแรกก็มีความฉงนสงสัย ท่านบอกให้หยุดอ่านหนังสือ แล้วท่านก็บอกว่าให้อ่านหนังสือเล่มใน อะไรคือหนังสือเล่มใน ก็นั่งคิด คิดอยู่สักครู่ใหญ่ๆ เหมือนกัน แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ได้เคยรู้ได้เคยฟังมาจากท่านครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะจากคุณแม่เขาสวนหลวง ที่ท่านเป็นผู้สร้างสำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวงขึ้นหรือใครๆ รู้จักท่านในนามของคุณแม่ ก. เขาสวนหลวง สิ่งที่คุณแม่ท่านจะสอนแก่บรรดาลูกศิษย์ ท่านจะไม่พูดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องของจิตอย่างเดียว แล้วท่านก็มีคำพูดว่าในการศึกษาปฏิบัติธรรมนั้นต้องศึกษาจิต ดูจิต รู้จิตให้ติดต่อ เห็นไหมคะการศึกษาจิตนั้นไม่ใช่การคิดว่าจิตนี้จะเป็นยังไง แต่ต้องศึกษาจิตด้วยการดู ดูเข้าไปด้วยการเอาความรู้สึก ดูเข้าไปภายใน หรือกำหนดสติดูความรู้สึกที่มีอยู่ภายในอย่างจดจ่อเชียว เมื่อดูจิตก็คือดูจิตในขณะนั้นเป็นจิตที่เงียบคือเงียบสงบมีความวิเวก หรือเป็นจิตที่ดังอึกทึกด้วยความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ นาๆ ไม่มีหยุด เดี๋ยวไปอดีต เดี๋ยวไปอนาคต เดี๋ยวอยู่ในบ้าน เดี๋ยวออกนอกบ้าน เดี๋ยวก็ไปเที่ยวทั่วโลก นี่ก็คือจิตที่ดัง ดังอย่างไม่มีเสียง คือไม่มีเสียงดังออกมาข้างนอกแต่มันดังอึกทึกอยู่ภายใน เพราะฉะนั้นการดูจิตก็คือดูให้รู้อย่างนี้ค่ะว่าจิตนี้มันเงียบ เงียบสงบจากกิเลสตัณหาอุปาทานไม่เข้ามารบกวน หรือว่ามันดังอึกทึกเพราะกิเลสตัณหาอุปาทานรบกวน นิวรณ์ก็วุ่นวายเต็มไปหมดอยู่ภายในใจ ไม่มีเวลาสงบนิ่งเลย นี่ดูว่าจิตนี้มันอึกทึกหรือดูว่าจิตนี้มันเป็นจิตที่เงียบสงบ นอกจากนั้นก็ดูอีกว่าอะไรที่มันเข้ามารบกวนจิตมากที่สุด ถ้ามันทำให้จิตนี้ดังอึกทึกอะไรที่รบกวนมากที่สุด ถ้าสมมติว่าเป็นเรื่องของกิเลส กิเลสตัวไหนที่รบกวนมากที่สุด เป็นกิเลสตัวโลภะคือโลภ มันมีแต่ความอยากดิ้นรนเพราะความอยาก อยากได้นั่นอยากได้นี่มาเป็นของเรา คว้าจะเอามาหมดทุกอย่างหรือเปล่า หรือความโลภไม่ปรากฏมากนัก แต่ปรากฏแต่ความอึดอัดขัดใจ ความโมโหโทโส ความช่างโกรธเกรี้ยวโกรธาไม่ได้หยุด อะไรนิดขัดใจไม่ถูกใจ อะไรนิดโกรธอันนี้หรือเปล่า หรือบางทีโลภก็ไม่มาก โกรธก็ไม่มาก แต่มันมีแต่ความวนเวียนคิดอะไรคิดซ้ำคิดซากอยู่นั่นแหละ คิดไม่รู้แล้ว นี่นะคะคือการดูจิตดูเข้าไปแล้วจะค่อยๆ รู้จักมันว่าจิตนี้มันมีลักษณะอาการอย่างไร ถ้าสมมติว่ามันดังอึกทึกอยู่ตลอดเวลา มันถูกรบกวนด้วยกิเลสตัณหาอุปาทานอยู่ตลอดเวลา ดูแล้วก็จ้องให้รู้จักว่าตัวไหนแน่ พร้อมกับกำหนดการแก้ไขที่จะกำจัดให้ออกไป ไม่ให้เข้ามารบกวนจิต ถ้าปล่อยให้มันมารบกวนจิต จิตนั้นจะไม่มีวันที่จะมีความวิเวก มีความสงบหรือความเงียบเกิดขึ้นเลย มันจะเป็นจิตที่ดังอึกทึก แล้วก็จะวุ่นวาย เพราะฉะนั้นจะไม่สามารถรักษาจิตให้อยู่ในธรรมหรือในความสงบเย็นได้
ถ้าหากว่าเป็นจิตที่สงบเย็นดีเงียบสงัดวิเวกก็ดูย้อนซ้ำลงไปอีกนะคะ เพ่งลงไปภายในความเงียบนั้นมันเงียบยังไง มันเงียบอย่างรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่หรือเปล่า และในความเงียบนั้นมันเงียบเฉยๆ เงียบทื่อๆ หรือมันมีความสว่างไสว มีความแหลมคมของปัญญานี่สอดแทรกอยู่ ถ้ามีความแหลมคมของปัญญาสอดแทรกอยู่ ปัญญานั้นกำลังพิจารณาในเรื่องอะไร ก็ดูลงไปเช่นนี้นะคะ จนรู้จักแล้วก็จะได้แก้ไขปรับปรุงในส่วนที่มันไม่งามหรือขรุขระ แล้วก็จะได้เพิ่มพูนในส่วนที่งามที่น่าพึงปรารถนา ที่กำลังเจริญงอกงามให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นๆ นี่คือความหมายที่ท่านบอกว่าดูจิต และก็รู้จิตว่าจิตนี้กำลังมีลักษณะอาการอย่างไร แล้วก็ดูให้ติดต่อด้วยนะคะ คือจะไปดูบ้างแล้วก็หยุด แล้วก็นึกขึ้นได้ มาดูใหม่จะไม่เกิดผล จะไม่มองเห็นสภาวะหรือความเป็นไปของจิตได้อย่างถี่ถ้วนต่อเนื่องและก็รอบด้าน เพราะฉะนั้นจึงต้องดู ดูจิตลงไปและก็รู้ลักษณะอาการและก็ดูให้ติดต่อ และท่านยังย้ำอีกด้วยว่าทุกกะพริบตา คือจะเว้นว่างไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อได้ฟังที่เจ้าพระคุณท่านอาจารย์ท่านบอกว่าให้อ่านหนังสือเล่มใน พอนึกถึงคำสอนของคุณแม่เขาสวนหลวงก็นึกได้ว่า ท่านคงหมายถึงว่าหยุดอ่านหนังสือเล่มข้างนอกคือหนังสือที่มีผู้อื่นเขียนขึ้นแต่งขึ้นให้อ่านต่างๆ นาๆน่ะ หยุดอ่านสักที แล้วก็มาอ่านหนังสือเล่มใน คือมาดูใจ ดูใจดูอาการความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายใน ให้รู้จักลักษณะภาวะของใจที่มักจะพูดอวดอยู่เสมอว่าเป็นใจของฉัน ฉันต้องรู้ใจของฉันสิ ดูซิว่ารู้จริงๆ หรือเปล่า เจ้าพระคุณท่านอาจารย์ท่านคงจะหมายอย่างนี้ ก็พยายามนะคะ พอท่านบอกว่าให้อ่านหนังสือเล่มในก็พยายาม พยายามที่จะมองเข้าไปเพื่อจะอ่านหนังสือเล่มใน แต่มันอ่านยากใช่ไหมคะ เชื่อว่าหลายคนคงได้พยายามที่จะอ่านหนังสือเล่มใน เมื่อหันเข้ามาหาในทางธรรม แต่ว่าใจนี้มันเป็นสิ่งที่ไม่มีรูป ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น พูดง่ายๆก็คือไม่มีตัวตนให้จับต้องได้เหมือนอย่างทางกาย
ฉะนั้นการที่จะมาอ่านใจจึงไม่ใช่ของง่าย ยากยิ่งกว่าการอ่านหนังสือในวิชาหรือในศาสตร์ใดที่เขาว่ายากที่สุดซะอีก อันนี้มันยากมากกว่าเพราะมันไม่มีรูป มันเป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้ อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ต้องมองเข้าไปเฉยๆ เหมือนกับมองไปในความมืด เหมือนอย่างที่มองไปในความมืดนี่คะ มองแล้วก็ไม่เห็นอะไร อย่างตอนหกทุ่มตีหนึ่งลุกขึ้นมาในคืนเดือนมืดจะมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ว่าพยายามจ้องออกไปจ้องอยู่นั่นแหละ จ้องไปโดยไม่หลับตานะ ไม่ต้องหลับตา จ้องไปดูเฉยๆอย่างงั้นแหละ แล้วก็ไม่ถอยออกไปด้วย จ้องไปๆ เพ่งออกไปที่จุดๆเดียว จะเป็นจุดไหนก็แล้วแต่ที่อยู่ตรงหน้า ไม่ช้าไม่นานก็จะค่อยๆ มองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นชัดขึ้น มองเห็นเป็นรูปร่างลางๆ ก่อน แล้วก็จะมองเห็นเป็นรูปร่างที่ชัดขึ้น พอจะบอกได้ว่านี่เป็นต้นไม้หรือนี่เป็นแผ่นลูกกรงซี่ลูกกรง และเมื่อมันชัดขึ้น ถ้าหากว่าเป็นซี่ลูกกรงหรือเป็นขอบระเบียง ก็จะมองเห็นขอบของระเบียงชัดเจน มองเห็นซี่ลูกกรงแต่ละซี่ชัดเจนยิ่งขึ้นๆ แล้วก็จะมองเห็นพื้น เห็นภายนอกที่ปรากฏเป็นความว่างชัดทั้งๆ ที่ไม่มีแสงสว่างปรากฏเพิ่มขึ้นเลย ก็เปรียบเหมือนอย่างนี้ค่ะ เหมือนอย่างการดูใจก็ต้องมองเพ่งเข้าไปทั้งๆที่ไม่มีรูปร่างให้ดู ไม่มีแสงสว่างส่อง ไม่มีอะไรให้จับต้องได้ แต่เอาความรู้สึกสอดส่องเข้าไปในความรู้สึกก็จะค่อยชัดขึ้น ชัดขึ้น ชัดขึ้น เช่นเดียวกับการอ่านหนังสือเล่มใน ที่ไม่มีอะไรให้ดู ก็คืออ่านใจ มันไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือเล่มนอก ที่มีตัวหนังสือเป็นบรรทัดบรรทัดบรรทัดทุกหน้า แต่ผู้ที่อ่านหนังสือเป็น ก็ย่อมจะทราบนะคะว่าการอ่านหนังสือที่จะให้เข้าถึงหัวใจของหนังสือ ก็จะต้องอ่านสิ่งที่ซ่อนอยู่ในระหว่างบรรทัด หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเมื่ออ่านตัวหนังสือที่เป็นบรรทัดบรรทัดแล้ว ต้องสามารถเข้าใจความหมายที่ผู้เขียนซ่อนเอาไว้ในระหว่างบรรทัด ในระหว่างบรรทัดก็คือที่ว่างๆ ใช่ไหมคะ ที่ว่างๆ ระหว่างบรรทัดนั่นแหละ อะไรที่ผู้เขียนซ่อนเอาไว้อันเป็นความหมายที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อให้ผู้อ่าน ถ้าสามารถเข้าถึงได้ ก็จะจับหัวใจของเรื่องหรือจับใจความสำคัญของเรื่องได้ เข้าถึงหัวใจของผู้เขียนได้ ฉะนั้นก็เมื่อท่านอาจารย์บอกว่า ต่อไปนี้ไม่ต้องอ่านแล้วหนังสือเล่มนอกนี่ อ่านแต่หนังสือเล่มใน ก็ได้พยายามที่จะฝึกอ่าน แต่ว่าก็ไม่ใช่ของง่ายแล้วก็ไม่ได้ใช้เวลา ไม่สามารถจะใช้เวลาอ่านให้จบหรือให้รู้เรื่องได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ถ้าจะนึกว่าเวลาสักเท่าไหร่ก็ยิ่งตอบไม่ได้ใหญ่ มันขึ้นอยู่กับความพากเพียร ความอุตสาหะพยายาม ความมุ่งมั่นบุกบั่นเอาจริงเอาจังในการที่จะจดจ่ออ่านหนังสือเล่มในด้วยการดูสอดส่องดูเข้าไปด้วยความรู้สึกเพ่งลงไปอยู่ที่เดียวอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานๆ ผู้ใดทำได้อย่างต่อเนื่องอย่างไม่ละลด ไม่ย่อท้อ ไม่มีความหวั่นไหวและก็ไม่ต้องตั้งความหวังด้วย ไม่ต้องตั้งความหวังว่าจะรู้เรื่องเมื่อไหร่ เพราะยิ่งหวังก็จะยิ่งห่างไกลความสำเร็จเพราะเมื่อมีความหวังเกิดขึ้น มันเกิดความกระวนกระวายแล้วเพราะอยากจะรู้ว่ามันจะเสร็จสิ้นได้เมื่อใด จะรู้เรื่องได้เมื่อใดนะคะ เพราะฉะนั้นอันนี้ไม่ต้องหวัง แต่ว่าพยายามหมั่นทำไป แต่กระนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่ต้องมีอะไรไปกราบเรียนถามซักถามเจ้าพระคุณท่านอาจารย์อยู่เรื่อยๆ เรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง
เมื่อมาคิดดูทีหลังก็รู้สึกว่าเรื่องที่ได้กราบเรียนถามท่านอาจารย์นั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องที่มีความจำเป็นจะต้องไปกราบเรียนถามท่านเลย เพราะอะไร ก็เพราะว่าแม้จะได้รับคำตอบมา คำตอบนั้นก็หาได้ช่วยให้เพื่อเกิดความสว่างไสวหรือเป็นประโยชน์แก่ชีวิตในปัจจุบันขณะนี้ไม่ ล้วนแล้วแต่เป็นคำถามที่ถามในสิ่งที่เกินความจำเป็นที่จะต้องรู้ และก็ไม่ใช่สิ่งที่จะมาส่งเสริมการศึกษาหรือปฏิบัติธรรมในขณะแห่งปัจจุบันนั้น เจ้าพระคุณท่านอาจารย์ท่านจึงมักจะย้อนถามว่า คุณจะอยากรู้ไปทำไม ที่ถามๆมานี่จะอยากรู้ไปทำไม พอมานึกดูก็จริงของท่านอาจารย์เพราะว่าเรามานี้เพื่อที่จะมาศึกษาฝึกอบรมธรรมะ การศึกษาอบรมธรรมที่จะได้ผลอย่างชะงักทีเดียวก็คือการเฝ้าดูจิต ดูลงไปด้วยสติ ด้วยความรู้สึกจดจ่อลงไป จนมองเห็นลักษณะอาการของจิตดังกล่าวแล้ว อันนี้สิเป็นหน้าที่ เป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติธรรม แล้วจะไปเฝ้าถามโน่นถามนี่เพื่อประโยชน์อะไรเสียเวลาเปล่าๆ เมื่อโดนท่านอาจารย์ห้ามอย่างนี้ ก็หยุด แล้วก็พยายามที่จะฝึกดูภายในคือดูจิตดูใจของตนให้ยิ่งขึ้น แล้วในขณะใดที่มีความรู้สึกว่าค่อนข้างจะท้อถอยและหมดกำลังใจ ก็พยายามที่จะรำลึกถึงการเสียสละเพื่ออุทิศชีวิตในการปฏิบัติเพื่อแสวงหาธรรมะหรือเพื่อแสวงหาโมกขธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่สมัยที่พระองค์เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จละจากวังหรือว่าเสด็จทิ้งพระราชปราสาทราชมณเฑียรทั้งหลายที่อุดมไปด้วยความสุข ซึ่งคนโลกไขว่คว้าหาและก็ยึดมั่นว่าสิ่งเหล่านี้แหละคือสิ่งที่อำนวยความสุข แต่พระองค์สลัด สลัดไปอย่างไม่ใยดี เสด็จมุ่งหน้าเข้าป่าเพื่อหาโมกขธรรม พระองค์เสด็จเข้าป่าทำไม
คำตอบก็ทราบแล้วใช่ไหมคะ เพื่อไปแสวงหาสถานที่อันสงบสงัดอันเป็นธรรมชาติ ซึ่งคำตอบที่พระองค์ทรงประสงค์จะต้องการนั่นก็คือเรื่องของความทุกข์ เรื่องของความดับทุกข์ พระองค์แสวงหาคำตอบเพื่อให้รู้จักเรื่องของความทุกข์และการดับทุกข์ให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง พระองค์ได้ทรงมีชีวิตอยู่ภายในเมือง ประทับอยู่ในพระราชวังเป็นเวลานานตั้ง 20 กว่าพรรษา แต่ตลอดเวลาเหล่านั้น พระองค์ไม่เคยทรงมองเห็นเลยว่า จะมีสิ่งใดคนใดจะมาอธิบายให้ทราบว่าสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์นี่มันคืออย่างนี้ๆ หรือถ้าจะต้องการดับความทุกข์แล้วล่ะก็ต้องปฏิบัติอย่างนี้ๆ ยังไม่มี เพราะฉะนั้นเมื่อทรงเห็นแล้วว่าสิ่งที่ทรงล้อมรอบพระองค์อยู่ ตลอดจนบุคคลที่รายรอบอยู่นั้น หาผู้ใดมีคำตอบในเรื่องนี้ไม่ จึงได้เสด็จไปยังสถานที่ซึ่งมีบรรยากาศที่ตรงกันข้ามกับในเมือง โดยเฉพาะในพระราชวังนั่นก็คือในป่า ในป่าอันเป็นธรรมชาติที่ธรรมชาติสร้างมาเป็นป่าที่มิได้มีการตกแต่ง มีความสงบสงัด มีความชุ่มชื่นเบิกบาน มีความเขียวชอุ่มที่ชวนใจให้ไม่ห่อเหี่ยว แต่ทว่าจะบังเกิดความแจ่มใสความฉับไวในการคิด เพราะว่ามีความชุ่มชื่นเบิกบานซ่อนอยู่ในนั้น พระองค์จึงเสด็จไปป่า ไปประทับอยู่แต่พระองค์เดียว เพื่อแสวงหาความวิเวก ความสงบสงัด เพื่อช่วยล้อมรอบให้จิตใจของพระองค์นั้นเข้าสู่ความวิเวก ความสงบสงัดภายในให้ยิ่งขึ้นๆๆ พอนึกถึงตัวอย่างอย่างนี้ที่พระองค์ได้เสด็จไปแล้วก็ประทับอยู่ในป่าเป็นเวลาถึง 6 ปีด้วยความยากลำบาก เรียกว่ายากลำบากตรากตรำทั้งพระวรกาย ทั้งการที่ทรงขุดคุ้ยแสวงหาโมกขธรรมด้วยการประพฤติปฏิบัติที่ทรมานพระวรกายอย่างยิ่งอย่างที่เราทราบกันแล้ว อย่างที่ได้เคยเห็นพระพุทธรูปปางทรมานใช่ไหมคะ
ดังนั้นเมื่อเรานึกถึงตัวอย่างเช่นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้แสวงหาโมกขธรรมในป่า เพื่อที่จะให้มีความวิเวกบังเกิดขึ้น เป็นปัจจัยที่จะเสริมการประพฤติปฏิบัติธรรมให้ดำเนินไปได้โดยง่าย หรือเมื่อสวดมนต์บทอานาปานสติ ก็จะได้มีคำพูดที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับพระพุทธสาวกว่า เมื่อได้รับฟังคำสอนแล้วก็จงออกไปป่า ไปหาโคนไม้ ไปหาเรือนว่าง ไปอยู่ที่ในป่านั้นเพื่อฝึกปฏิบัติ เพราะฉะนั้นการที่จะฝึกปฏิบัติธรรมหรือการที่จะศึกษาปฏิบัติธรรมจนสามารถรักษาใจให้อยู่ในธรรมได้ ไม่ใช่ปฏิบัติในเมือง หรือบางทีบางท่านอาจจะไม่มีโอกาสที่จะไปแสวงหาความวิเวกในทางกายเพราะยังมีภาระหน้าที่อยู่ ก็ต้องทำงานหนักมากยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยการที่จะแสวงหาความวิเวกให้บังเกิดขึ้นในใจ เมื่อนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นตัวอย่างแห่งผู้ประพฤติปฏิบัติอย่างเข้มงวดกวดขันสูงสุด มีความประเสริฐสุดแห่งการปฏิบัติในชีวิตพรหมจรรย์ เป็นแบบอย่างอันประเสริฐแก่บรรดาพระพุทธสาวกและแก่มนุษย์ทั้งหลายที่ประสงค์จะเจริญรอยตามพระยุคลบาทนั้น ก็ให้มีกำลังใจใช่ไหมคะ หรือเมื่อนึกถึงเจ้าพระคุณท่านอาจารย์สวนโมกข์เมื่อครั้งก่อนที่ท่านจะมาสร้างสวนโมกข์ในปัจจุบันนี้ ท่านก็ได้สละเวลาของท่าน 2 ปีเต็มไปอยู่ในป่าในวัดร้างที่พุมเรียงอยู่แต่ลำพังองค์เดียว ไม่ยอมที่จะเปิดรับบรรดาพระภิกษุองค์อื่นให้มาอยู่ร่วม ฉันอาหารแต่มื้อเดียว ตอนเช้าที่จะพบผู้คนก็ตอนเวลาที่ออกไปบิณฑบาต พอบิณฑบาตเสร็จก็กลับเข้ามาอยู่ที่วัดร้าง ปิดประตูสนิทแน่นเพื่อที่จะรักษาความวิเวกเฉพาะองค์ท่าน แล้วก็เพิ่มพูนความสงัดความวิเวกให้บังเกิดขึ้นภายในให้ยิ่งขึ้นๆ แล้วเจ้าพระคุณท่านอาจารย์ก็ใช้เวลา 2 ปีเต็มนั้นศึกษาธรรมะ ให้มีความรู้ความเข้าใจในสัจธรรมในทางปริยัติให้ยิ่งขึ้น พร้อมๆ กับนำปริยัตินั้นมาฝึกปฏิบัติได้พยายามที่จะทรมานสังขารร่างกายเพื่อการปฏิบัติธรรมให้เข้มงวดกวดขันให้ยิ่งขึ้นๆ ตามลำดับ มิได้ใช้เวลาทั้ง 2 ปีนั้นเพื่อการพูดคุยหรือว่าเพื่อการคิดปรุงแต่งที่ไม่จำเป็น
ท่านพยายามตัดสิ่งเหล่านี้ออกไปให้หมด เพราะฉะนั้น 2 ปีแห่งการแสวงหาจึงเป็น 2 ปีที่มีคุณค่าที่ท่านสามารถนำมาสอนและอบรมแก่เพื่อนมนุษย์ได้มาก และเมื่อท่านมาสร้างสวนโมกขพลารามขึ้น ท่านก็ยังได้ใช้เวลาเหล่านั้นเพื่อการเพิ่มพูนความวิเวก ดังที่ท่านจัดสถานที่ให้เป็นความวิเวกสงบสงัดแก่ผู้สนใจจะไปปฏิบัติธรรม และในขณะเดียวกันก็ฝึกฝนอบรมองค์ท่านเองให้ยิ่งขึ้นๆ ท่านมิได้เคยไปเป็นพระเมือง แต่สนใจที่จะเป็นพระป่า หรือบางทีท่านก็เรียกว่าเป็นพระเถื่อน ถึงกับขอร้องว่าเขียนเป็นกลอนขอร้องว่าขอให้ปล่อยท่านไปเถอะ เป็นพระเถื่อนเหมือนวิหคคือเหมือนนกที่จะบินไปได้อย่างอิสระ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วล่ะก็หนทางแห่งการปฏิบัติธรรมก็จะเป็นไปได้โดยความราบรื่นยิ่งขึ้น หรือถ้าจะไปนึกถึงท่านครูบาอาจารย์อื่นๆนะคะ ที่ท่านได้เป็นครูบาอาจารย์ที่เป็นที่เคารพยกย่องบูชาของลูกศิษย์ลูกหาในสมัยปัจจุบัน ไปเรียนถามท่านหรือศึกษาวิธีการใช้ชีวิตการปฏิบัติธรรมในระยะต้นๆของท่าน ก็จะพบว่าแต่ละองค์แต่ละองค์ล้วนแล้วแต่ได้ไปศึกษาหาความวิเวกที่ในป่ามาแล้วทั้งนั้น ประสงค์จะอยู่ด้วยองค์ท่านเองเพื่อที่จะคิดขุดคุ้ยหาธรรมะ พร้อมๆกับนำมาฝึกปฏิบัติเข้มงวดกวดขันข่มขี่บังคับใจได้อย่างสะดวกมากขึ้น มากกว่าการที่จะอยู่คลุกคลีกับหมู่พวก เมื่อนึกอย่างนี้นะคะ ว่าท่านอาจารย์ทั้งหลายนี่ท่านล้วนแล้วแต่ไปศึกษาหาธรรมเริ่มต้นด้วยการพาชีวิตให้อยู่ในความวิเวกด้วยกันทั้งนั้น ก็จะทำให้มีกำลังใจในการที่จะอ่านหนังสือเล่มในให้มากขึ้น แล้วก็พยายามที่จะมีธรรมชาติเป็นเพื่อนยิ่งขึ้น หรือถ้าจะดูต่อไปถึงท่านพระพุทธสาวก เชื่อว่าทุกคนก็คงจะเคยได้ยินชื่อท่านพระอัญญาโกณฑัญญะใช่ไหมคะ ที่เป็นผู้หนึ่งในปัญจวัคคีย์ที่ได้รับฟังพระธรรมเทศนากัณฑ์แรกจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลังจากการตรัสรู้แล้ว คือพระธรรมเทศนาที่มีชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นองค์แรกที่ได้บรรลุธรรม คือหมายความว่ามีดวงตาเห็นธรรม และนับตั้งแต่ท่านได้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้ว ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะมิได้เคยเข้ามาอยู่ร่วมกับพระพุทธสาวกอื่นๆ ในเมือง คงขอประทานพระพุทธานุญาตใช้ชีวิตอยู่ในป่ามาโดยตลอด ซึ่งเมื่อเวลาที่ท่านจะดับขันธปรินิพพาน โดยมากพระพุทธสาวกเมื่อเวลาจะดับขันธปรินิพพานก็จะต้องเข้ามากราบทูลลาว่าขออนุญาตที่จะปรินิพพานแล้ว ถึงเวลาที่จะนิพพานสักที
ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะก็เดินทางจากป่าเข้ามาสู่เมืองเพื่อที่จะมากราบพระบาทขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วขอทูลลาไปนิพพาน เมื่อท่านเดินทางเข้ามาในเมืองนั้น พอมองเห็นรูปร่างของท่าน ก็จริงล่ะท่านก็ครองผ้าในลักษณะของการเป็นพระภิกษุ แต่บรรดาพระพุทธสาวกในปัจจุบันในขณะนั้นนะคะ ต่างมองดูรู้สึกแปลกเพราะท่านมีลักษณะอาการของความเป็นผู้อยู่ป่าปรากฏชัด บรรดาพระพุทธสาวกเหล่านั้นก็ไม่รู้จักว่านั่นคือใคร องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็จึงรับสั่งกับพระสาวกว่า นี่แหละพี่คนใหญ่ของเธอคือเป็นผู้ที่บรรลุธรรมเป็นองค์แรก แล้วก็ได้ใช้เวลาทั้งหมดนั้นอยู่ในป่าเพื่อการศึกษาควบคุมใจและการปฏิบัติธรรมทั้งๆที่บรรลุแล้วนี้ให้คงอยู่อย่างสม่ำเสมอเหมือนอย่างเดิม เรียกว่าถ้าจะเปรียบเหมือนกับกระจก ใจที่บรรลุธรรมแล้วนี่นะคะ ถ้าจะเปรียบเหมือนกับกระจกที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ แต่ถ้าหากว่าปล่อยเอาไว้ก็อาจจะมีลมพัดเอาธุลีฝุ่นละอองอะไรบ้างปะปนเข้ามาก็ต้องมีการเช็ดการถูกันอยู่บ้าง ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะหรือบรรดาพระอรหันตสาวกส่วนมากก็จะต้องหมั่นเช็ดถูปัดกวาด เพื่อให้กระจกนั้นมีความใส มีความสะอาดหมดจดไร้ฝ้าไร้มลทินอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าท่านเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่ตลอดเวลา นี่ก็เป็นกำลังใจอีกเหมือนกันนะคะว่า ทั้งๆที่ท่านบรรลุแล้ว ทำไมท่านไม่นอนให้สบาย นึ่ถ้านึกอย่างคนโลกท่านจะยังไปลำบากอยู่ทำไมอีกในป่า ก็เพราะท่านได้มองเห็นแล้วว่าการมีธรรมชาติเป็นเพื่อนจะสามารถรักษาความวิเวกความสงบแห่งใจไว้ได้อย่างดีที่สุดอย่างนี้เองนะคะ นอกจากนั้นถ้าจะอ่าน เมื่อได้อ่านศึกษาพระไตรปิฎกก็จะเห็นว่า พระพุทธสาวกทั้งหลายเมื่อเวลาที่ได้อยู่เฝ้าหรือว่าอยู่ล้อมรอบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในระยะหนึ่งแล้ว ก็มักจะมาทูลลาเพื่อจะออกไปแสวงหาความวิเวกในป่า โดยกราบทูลว่าจะขอประทานพระพุทธโอวาทแต่สั้นๆ หรือบางทีก็ขอประทานพระพุทธโอวาทเพื่อที่จะออกไปแสวงหาธรรม ไปอยู่ปฏิบัติวิเวกในป่าโดยมีจิตมุ่งพระนิพพานเป็นอารมณ์ ที่พูดอย่างนี้ก็เป็นการแสดงว่าทุกอย่างทีเดียวในการปฏิบัตินั้น จะทิ้งเสียซึ่งความวิเวกไม่ได้ และความวิเวกนั้นจะบังเกิดขึ้นได้ง่ายก็ต่อเมื่อผู้นั้นสามารถที่จะรักษาความวิเวกภายใน และความวิเวกภายในนั้น สภาวะของความเป็นเดี่ยวที่อยู่ในป่าอันอยู่กับธรรมชาติจะส่งเสริมให้สามารถสร้างความวิเวกนี้ได้อย่างรวดเร็วหรือว่าดีขึ้นง่ายขึ้น
ในส่วนตนนั้นก็ได้เคยนึกเหมือนกันนะคะว่า ที่พูดอย่างนี้นี่มีความเป็นจริงในการปฏิบัติจริงๆสักเพียงใด ก็อยากจะขอเล่าสักเล็กน้อยว่า เมื่อตอนที่ยังเริ่มเรียกว่าเริ่มฝึกปฏิบัติใหม่ๆ ทั้งๆที่ยังอยู่บ้านอยู่ แต่ว่าก็มีความสนใจในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ก็ได้ไปที่วัดที่ได้ชื่อว่าเป็นวัดป่ากรรมฐาน แล้วก็เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนริมฝั่งโขง มีบรรยากาศที่สวยงามสะอาดสะอ้านในสมัยเมื่อสาม-สี่สิบปีมาแล้วนะคะ สะอาดสะอ้านแล้วก็น่าอยู่มาก มีความวิเวกอยู่ในตัวเอง บรรยากาศของความวิเวกนี่ปรากฏทั่ว แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนสภาพไปแล้วเพราะว่าอาจจะมีผู้นิยมไปมากขึ้น ความแออัดก็มากขึ้น เรือนไม้ที่เคยมีอยู่ตามริมฝั่งโขงก็เปลี่ยนสภาพไปเป็นเรือนซีเมนต์ เรือนคอนกรีตอะไรทำนองนั้น แล้วก็มีมากจนกระทั่งติดๆ กัน ก็บังฝั่งโขงที่เคยมองเห็นสายนํ้าโขงกว้างไกล พาให้จิตนี้กว้างไกลไปด้วย ก็ค่อยๆคับแคบเข้านะคะ แต่อย่างไรก็ตาม ในสมัยที่ไปนั้น เป็นสมัยที่วัดหินหมากเป้งเป็นวัดที่ชวนส่งเสริมให้เกิดการปฏิบัติธรรมเป็นที่สุด แต่ก็เพราะบรรยากาศที่งดงาม มีทัศนียภาพให้ชมอย่างที่กล่าวแล้ว ก็มีผู้นิยมไปกันมาก แม้ในสมัยโน้นก็ยังมีมาก แล้วก็เมื่อมีมากก็อดไม่ได้ ไปกันเป็นกลุ่มเป็นพวกที่จะพูดคุยสนทนากันและเพราะทัศนียภาพที่น่าชมอย่างนั้นน่ะ บางกลุ่มก็อาจจะถือว่าเป็นการไปเหมือนกับไปเป็นการพักผ่อนด้วย ก็อดไม่ได้ที่จะมีการพูดคุยสนุกสนานกัน ในส่วนตนนั้นน่ะก็เป็นผู้ฝึกปฏิบัติใหม่ แต่ก็มีจิตใจมุ่งมั่น ศรัทธาจะต้องฝึกปฏิบัติไม่อยากจะได้ยินเสียงอะไรที่เอะอะตึงตังเลยนะคะ ก็ต้องบอกว่าขณะนั้นเป็นจิตใจที่เต็มไปด้วยกิเลส มีกิเลสของความอยากที่จะเอาแต่ใจตัว ฉันอยากจะมาปฏิบัติธรรม ไม่อยากถูกรบกวน ลืมนึกไปว่าสถานที่วัดนั้นเป็นสถานที่กลางคือเป็นของกลาง ไม่ใช่ของใคร แต่ความเห็นแก่ตัวที่มีอยู่ตามสัญชาตญาณที่ยังไม่ได้รับการขัดเกลาก็อุตส่าห์ไปผุดโผล่ขึ้นที่วัดอีก มีความไม่ถูกใจ ไม่ชอบใจเมื่อได้ยินเสียงคุยกันหนวกหู ก็ไปกราบเรียนท่านอาจารย์บอกว่าขออนุญาตไปอยู่ที่วัดสาขาของท่านอาจารย์ ที่ตอนนั้นมีชื่อว่าวังนํ้ามอก อยู่ห่างไกลออกไปอีกสัก 6-7 กิโล เป็นที่วิเวกมากทีเดียว อยากจะขอไปพักอยู่ที่นั่นเพราะว่าอยู่ที่นี่นี่เรียกว่าทนเสียงหนวกหูไม่ไหว ท่านก็ไม่ค่อยอยากจะอนุญาตให้ไปเพราะว่าที่วังนํ้ามอกนั้นเป็นป่าจริงๆ เป็นป่าเขาที่มองไม่เห็นสิ่งใดที่เป็นสัญลักษณ์ของบ้านเมืองสอดแทรกอยู่ ยกเว้นกุฏิของพระ แล้วก็ศาลาไม้ ซึ่งก็เป็นศาลาไม้พื้นๆธรรมดา อันเป็นสิ่งจำเป็นที่เป็นเสนาสนะที่จำเป็นที่จะต้องมีเพียงเท่านั้นเอง นอกนั้นก็เป็นป่าเป็นเขาเป็นลำธารโดยธรรมชาติ
ท่านอาจารย์ก็ไม่อยากจะให้ไปเพราะว่าเห็นว่ายังใหม่อยู่ แล้วก็ยังไม่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติ ไม่ทราบว่าจะสามารถช่วยเหลือตัวเองหรือควบคุมตัวเองในสถานที่อันเงียบสงัดขนาดนั้นได้เพียงใด แต่ก็ได้อ้อนวอนท่าน และก็อ้อนวอนแล้วอ้อนวอนเล่า จนท่านก็ขัดไม่ได้ ท่านก็เขียนจดหมายฝากฝังไปยังอาจารย์ที่อยู่ดูแลที่วังนํ้ามอก ว่าขอให้ช่วยดูแลด้วย จัดที่พักอาศัยให้อยู่กับแม่ชี อย่าให้ไปอยู่คนเดียว ถึงเวลากลางคืนก็ต้องนอนที่กุฏิของแม่ชี แต่ส่วนกลางวันจะไปเดินเที่ยวป่าหรือจะไปนั่งภาวนาเจริญสมาธิที่ไหนก็ไม่ห้าม แต่ว่าตอนกลางคืนตอนค่ำจะต้องกลับมาที่พัก และท่านก็ให้พระช่วยนำไปส่ง พาไปส่ง ก็มีฆราวาสตามไปด้วยนะคะแต่ว่าไปพักอยู่คนเดียว เมื่อไปถึงก็คืนแรกก็ได้ไปพักอยู่ที่กุฏของแม่ชีตามที่ท่านอาจารย์ท่านสั่ง แต่พอถึงตอนเช้าก็พอรับประทานอาหารเช้าเสร็จมื้อเดียว ก็จะเดินออกไปตามราวป่า แล้วก็ไปถึงลำธาร ก็จะไปอาบนํ้าที่ลำธาร ตากผ้าตามยอดหญ้า แล้วก็เดินไปถึงถํ้าคูหาที่ไหน ก็ไปนั่งสมาธิ เรียกว่าพยายามที่จะนั่งหลับตา แล้วก็ควบคุมจิตให้เป็นสมาธิ ถ้าจะสารภาพตามความเป็นจริงก็ต้องบอกว่าจริงๆ แล้วมันไม่เป็นสมาธิเลยนะคะ นั่งท่าทางในท่านั่งสมาธิตาก็หลับ มองดูข้างนอกก็สงบดี แต่จิตใจไม่ได้สงบเลย สถานที่ก็วิเวกคือสถานที่สิ่งแวดล้อมภายนอกก็วิเวก แต่ภายในนั้นมันดิ้นตึงตังอึกทึกวุ่นวายสับสนอลหม่านไปหมด ไม่สามารถจะบังคับได้ เพราะฉะนั้นพอวันหนึ่งนั่งอยู่นี่ก็มีผู้ที่มาเยี่ยมคือก็มาเยี่ยมชมเพราะว่าธรรมดาของผู้สนใจปฏิบัติธรรม เมื่อรู้ว่ามีที่ใดเป็นที่ปฏิบัติธรรมดีๆ สงบสงัดก็ไปดูไปชมไปแสวงหาเอาไว้เผื่อโอกาสเหมาะก็จะได้ขออนุญาตมาปฏิบัติบ้าง ตอนนั้นก็มีผู้ไปชมคือไปเที่ยวชมสถานที่ ก็เป็นท่านพระภิกษุองค์นึง ซึ่งก็ไม่รู้จักว่าท่านเป็นใคร มีฆราวาสพาไป ก็แน่นอนต้องมีการพูดการแนะนำอธิบายสถานที่บ้าง ก็เป็นธรรมดานะคะ แต่จิตกิเลสนี่ จิตกิเลสที่เห็นแก่ตัวของตัวเองมีความขัดเคืองมาก ขัดเคืองใจเหลือเกินที่มีผู้มาทำลายความวิเวก แล้วก็คงจะแสดงอาการขัดเคืองออกมาทางสีหน้าหรือทางใบหน้า ซึ่งท่านพระภิกษุองค์นั้นท่านก็คงต้องมองเห็น ท่านก็ไม่ว่าอะไร ท่านก็ยืนหน้ายิ้มๆ พอท่านเสร็จแล้ว ท่านจะกลับไป ท่านก็บอกขอโทษด้วยนะที่มารบกวน ทำลายความสงบ ก็ยังไม่รู้สึก ก็ยังนึกแต่เพียงว่าก็ดีแล้วที่ท่านกลับไป เราจะได้สงบต่อไป ทั้งๆที่หลอกลวงตัวเองตลอดเวลาใช่ไหมคะ หลอกลวงว่าเราสงบเรานั่งสมาธิ แต่ภายในไม่ได้สงบเลย ถ้าสงบนิ่งเป็นจิตที่ว่างจากกิเลสได้สักขณะหนึ่งล่ะก็ เราจะไปขัดเคืองทำไม ขัดเคืองท่านอาคันตุกะที่มาเยี่ยมวัดทำไม แต่ก็ยังไม่รู้สึก แล้วตอนหลังถึงได้ทราบว่าท่านพระภิกษุองค์นั้นนี่ท่านเป็นพระอาจารย์ที่ควรแก่การเคารพบูชามากองค์หนึ่งทีเดียว
แล้วก็ปีต่อๆมาก็ได้เคยไปอาศัยพักที่วัดของท่าน แต่ในขณะที่จิตกำลังดิ้นรนอึกทึกด้วยกิเลสตัณหาอุปาทาน ด้วยความเห็นแก่ตัว เพราะยึดมั่นในอัตตาตัวตนว่าฉันกำลังทำสมาธิ ไม่รู้หรอกค่ะ แล้วก็ไม่สำนึก แล้วก็ไม่รู้จักละอายด้วย ต่อมาอีกนานกว่าจะรู้จักละอาย เห็นไหมคะจิตที่ขาดความวิเวก อุตส่าห์ไปอยู่ในที่วิเวกข้างนอก แต่ก็ยังจะต้องใช้เวลาและอาศัยเวลาเพื่อควบคุมจิตใจภายในให้เกิดความวิเวกขึ้น แล้วก็ตอบไม่ได้ว่าจะเป็นเวลานานสักเท่าใดเพราะจิตนั้นได้คุ้นเคยกับความอึกทึกความอลหม่านชุลมุนวุ่นวายเพราะกิเลสตัณหาอุปาทานมาเกือบตลอดชีวิต แล้วจะมาให้สงบเย็นได้ภายในเวลาไม่นานสักอาทิตย์สองอาทิตย์หรือเดือนนึงเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่รู้สึกตัวเพราะสติที่จะควบคุมจิตนั้นมันน้อยเต็มที ไม่ค่อยจะได้ฝึกอบรมสมาธิ อุตส่าห์ไปนั่งหลับตาก็ยังไม่บังเกิดขึ้น นี่ก็เป็นตัวอย่างที่เล่าให้ฟังเพื่อที่จะได้ทราบว่าการฝึกปฏิบัติธรรมเพื่อรักษาใจให้อยู่ในธรรมไม่ใช่ของง่าย จะได้เกิดมานะพยายามนะคะ แล้วก็ไม่ตั้งความหวังว่าจะให้สำเร็จเร็วเกินไป เพื่อจะได้ไม่ผิดหวังไม่เสียหวัง แล้วก็ไม่เสียใจ แต่เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งถูกต้องปฏิบัติไปทำไปแล้ว วันหนึ่งก็จะบังเกิดผลขึ้นเองโดยไม่คาดหวัง หรือเกิดผลตามมาโดยอัตโนมัติของเหตุปัจจัยที่ได้กระทำแล้ว ทีนี้ก็จะขอเล่าถึงการที่ได้ไปอยู่ที่วังนํ้ามอกต่อไป คืนแรกก็พักอยู่ที่กุฏแม่ชี พอคืนที่ 2 ก็รู้สึกอึดอัดไม่อยากอยู่ เพราะว่าในใจนั้นมันยึดมั่นถือมั่นว่าเรามานี่มาปฏิบัติธรรมที่วัด แล้วก็มาอยู่ที่วังนํ้ามอกโดยเฉพาะนี่ ต้องการความสงบสงัด เพราะเป็นที่สงัดมากจริงๆในสมัยโน้น เพราะฉะนั้นก็รู้สึกว่าการที่จะอยู่ในกุฏิเล็กๆ แล้วก็รู้ว่ามีใครอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย ยังไม่สงบ ก็บอกแม่ชีว่าจะไม่ขอนอนที่กุฏแม่ชีล่ะ แต่จะขอไปนั่งที่ระเบียงของที่ศาลา แล้วก็จะไปอยู่คนเดียว จะไปนั่งอยู่ข้างบนนั่นแหละ แม่ชีก็เกรงใจไม่กล้าขัดใจก็ปล่อยให้ไป พอตอนค่ำก็ขึ้นไปขึ้นไปนั่งอยู่ที่บนศาลาโดยบอกตัวเองว่า จะไม่ยอมนอนเลย จะนั่งอยู่อย่างนี้ให้ตลอดคืน ไม่ใช่นั่งตลอดคืนเพื่อจะปฏิบัติเนสัชชิกคือเจริญสติสมาธิภาวนาตลอดคืนไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ แต่ต้องสารภาพว่าที่บอกว่าจะนั่งตลอดคืนนี่เพราะกลัว มีความกลัว พอมืดเข้าแล้วเป็นคืนเดือนมืดด้วย ไม่ใช่คืนเดือนหงาย จะมองไปทางไหนล้อมรอบตัวไม่เห็นอะไรเลย มีแต่ความมืดสนิท แล้วก็มีแต่สิ่งดำทะมึน ดำทะมึนนั่นก็คือร่มไม้ต้นไม้เงาไม้ต่างๆที่ล้อมรอบตัวอยู่เพราะเป็นป่าจริงๆ ก็บังเกิดความกลัว เป็นคนอยู่ในบ้านในเมือง มีผู้คนล้อมรอบมาตลอดชีวิต ไปอยู่อย่างนั้นแต่ลำพังคนเดียวก็กลัว กลัวมากทีเดียว
ทีนี้แก้ความกลัวยังไง ก็อาศัยคำภาวนา ในสมัยโน้นก็ยังเมื่อเริ่มฝึกปฏิบัติใหม่ๆก็ใช้คำบริกรรมว่าพุทโธ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ก็รู้ลมหายใจ แต่บริกรรมคำว่าพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทเข้า โธออก อยู่อย่างนี้ และเมื่อความกลัวบังเกิดจับใจมากยิ่งขึ้นก็จะพุทโธพุทโธพุทโธนี่ติดๆๆกันเหมือนกับท่องอย่างถี่ยิบเชียว ไม่ให้ขาดสายเพื่ออะไร ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือเพื่อเอาพระพุทโธเป็นเพื่อน ท่องพุทโธพุทโธพุทโธให้เกิดความเข้มแข็งหนักแน่นในใจ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นก็ความรู้ความเข้าใจในธรรมะน้อยเต็มที ถ้าหากว่าจะบริกรรมพุทโธอย่างชนิดให้เป็นปัญญาคือมีสัมมาทิฏฐิ ก็ต้องรำลึกถึงพระพุทธคุณใช่ไหมคะ ในฐานะเป็นพระผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานและจิตใจนี้ก็จะมีความแช่มช้าลง สงบเยือกเย็นผ่องใสขึ้นเพราะมีความซาบซึ้งศรัทธาในพระบริสุทธิคุณ พระเมตตากรุณาคุณ พระปัญญาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนกระทั่งพระองค์ทรงเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานและก็มาสอนมนุษย์ทั้งหลาย แต่ตอนนั้นเอาแต่เพียงท่องอย่างเดียว ก็ท่องอยู่อย่างนั้นละค่ะจนตลอดคืน คือตั้งแต่ค่ำจนเช้าก็ท่องท่อง แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น คำว่าเกิดขึ้นนั้นน่ะหมายความว่า แม้แต่จะบังคับจิตให้อยู่ในความเป็นสมาธิสัก 1 ชั่วโมงจริงๆ ก็ยังทำไม่ได้เลย นอกจากจะเป็นสมาธิซักเรียกว่าวับๆ แวมๆ ในขณะขณิกสมาธินิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ที่ได้ก็คือความอดทน ได้ขันติ ความอดทนที่จะต้องกัดฟันอยู่ให้ตลอด จะไม่ยอมลุกออกไปจากที่ นี่ก็คืนที่ 1 ผ่านไป แล้วคืนที่ 2 ก็เป็นอย่างนั้นอีก ถ้าเหน็ดเหนื่อยเพลียมากก็จะเพียงแต่เอนตัวลงพัก แต่จะไม่ยอมหลับ พอพักหายเหนื่อยคือหายเมื่อย ก็จะลุกขึ้นนั่งพุทโธพุทโธต่อไปอีกเช่นเคย ก็ไม่ปรากฏอะไรขึ้น ก็คงเป็นอย่างเดิมนั่นอีก คำว่าปรากฏนี่คือผลของการปฏิบัตินะคะ ที่จะเป็นผลของการปฏิบัติที่ชัดเจนไม่ปรากฏ คืนที่ 3 ก็ขึ้นไปนั่งอย่างนั้นอีก ตอนนี้ก็อาจจะมีความเคยชินมากขึ้นก็ได้นะคะ ค่อยๆ ชินกับความมืดมากขึ้นก็ได้ แต่ความกลัวก็ยังไม่ได้ลดลงสักเท่าใด เพราะฉะนั้นก็คงนั่งในท่าของสมาธิพร้อมๆกับบริกรรมคำว่าพุทโธพุทโธพุทโธนี่ไปด้วย แต่ต่อมาการที่จะออกเสียงพุทโธก็ลดลงคือไม่เป็นเสียงดังค่อยๆเป็นการบริกรรมพุทโธอยู่แต่ภายในใจ พอประมาณซักตี 1 ตี 2 หรืออะไรประมาณนี้ค่ะ มีความรู้สึกว่าจิตนี้สงบนิ่ง คำว่าสงบนิ่งนี่คือสงบอย่างชนิดที่รวมเป็นสมาธิอย่างดิ่งแน่ว แต่ในขณะนั้นก็ยังไม่รู้อีกเหมือนกันว่า ที่เขาบอกว่าจิตดิ่งแน่วแน่รวมสนิทลึกเป็นเอกัคคตาคืออย่างไร ที่เรียกว่าชื่อเอกัคคตา ก็ยังไม่รู้จัก ไม่รู้จักชื่อเอกัคคตา แต่ในขณะนั้นนี่ รู้แต่เพียงว่าจิตนี้รวมดิ่งแน่วแน่แล้ว พอมองไปในทางทิศทางใด จะมองซ้ายก็มีแสงสว่างออกไปทางซ้ายกระจายกว้างไปหมด มองขวาก็มีแสงสว่างออกไปทางขวา มองตรงแสงสว่างก็ออกไปทางด้านตรงกว้างกระจายไปหมด
ก็มีความรู้สึกเหมือนกับแทรกขึ้นมาว่า เออเรานี่มีอะไรพิเศษพิเศษหรือจนกระทั่งจะเป็นผู้วิเศษคนหนึ่งเหมือนกันนะ เพราะมีแสงสว่างนี่พุ่งออกไปจากตัวอย่างกว้างขวางรอบด้านเลย ไม่ว่าจะหันหน้ามองไปทางไหน ในขณะนั้นก็มีคำพูดปรากฏขึ้นในใจ ไม่ได้พูดเป็นคำพูดดังๆนะคะว่านี่คือจักรวาล ก็ยังเกิดความรู้สึกว่าแหมเรานี่เป็นตัวจักรวาลแล้วนะ นี่เพราะไม่มีสติปัญญา มีแต่จิตมันรวมเพราะความที่เพ่งภาวนาอยู่ด้วยคำว่าพุทโธไม่ขาดสาย แล้วก็ต่อเนื่อง แล้วก็เป็นเวลา 2 คืนมาแล้ว นี่เป็นคืนที่ 3 ก็คงจะเป็นผลของเหตุปัจจัยที่ได้ภาวนาอยู่แต่พุทโธเรียกว่าเพ่งจดจ่ออยู่อย่างเดียวในอารมณ์เดียวไม่มีอารมณ์อื่นขึ้นมาแทรก แล้วก็ในขณะนั้นนี่นอกจากว่ามีความรู้สึกว่ามีแสงสว่างพุ่งออกไปกระจายออกไปอย่างทุกด้านแล้ว ก็ยังมีความรู้สึกที่อาจหาญเรียกว่ากล้าหาญมาก บังเกิดขึ้นในใจในขณะนั้นมีความรู้สึกเหมือนกับว่าอะไรที่น่ากลัวที่สุดในโลก ที่เขาว่าน่ากลัวที่สุดในโลกนี่ให้เข้ามาเถอะตอนนั้นไม่มีความกลัวเลย ไม่มีความเกรงกลัวหรือว่ากริ่งเกรงประหวั่นพรั่นใจแม้แต่น้อย มันมีความกล้าอาจหาญอย่างบอกไม่ถูก ไม่เคยเป็นในชีวิต แต่ก็ไม่นาน คือลักษณะภาวะของจิตเป็นอยู่อย่างนั้นชั่วครู่เดียวครู่สั้นๆ แล้วก็หายไป แต่ทว่าหลังจากนั้นแล้วก็เกิดความชุ่มชื่นเบิกบาน แล้วก็ความกลัวที่มีอยู่มาตั้งแต่คืนแรกจนบัดนี้หายไป ไม่มีความกลัวอีกแล้ว ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกยึดมั่นขึ้นมาในความเป็นพิเศษของตัวเองว่าเรานี่มีอะไรเป็นพิเศษแล้วก็จะเหมือนกับเป็นคนที่เป็นจักรวาลซะด้วย แล้วก็ยึดมั่นเอาสิ่งนี้เป็นความภูมิใจในผลของการปฏิบัติสมาธิภาวนา แต่มิใช่เป็นสิ่งถูกต้องนะคะ เพราะตอนนั้นนี่เรียกว่าปฏิบัติหลงหล่มไป โดยยังไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร เพราะว่าเพิ่งเริ่มปฏิบัติเท่านั้น
แต่ที่เล่าให้ฟังนี้ด้วยจุดมุ่งหมายเพียงแต่จะบอกว่า ถ้าสามารถรักษาความวิเวกเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่องจดจ่อ แล้วก็ให้ติดต่ออยู่จุดเดียวไม่ไปอย่างอื่นเลยผลก็จะเกิดขึ้นได้ แต่จะสามารถใช้ผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัตินั้นให้เกิดประโยชน์ต่อเนื่องต่อไป หรือพัฒนาต่อไปให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นอย่างไรนั้น ก็ต้องอาศัยการศึกษาที่จะให้เข้าใจในวิธีการของการปฏิบัติที่ถูกต้อง ก็จะสามารถใช้จังหวะของความมีสมาธิที่ดิ่งแน่วแน่ในขณะนั้นเป็นบาทฐานที่จะใคร่ครวญปัญญาต่อไป แต่ก็น่าเสียดายตอนนั้นไม่สามารถจะมีปัญญาหรือความรู้ในการปฏิบัติอย่างอื่นได้ก็ได้เพียงแค่นั้น แต่ก็เป็นที่ประจักษ์ใจว่าความวิเวกนี้เป็นสิ่งสำคัญใช่ไหมคะ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากในการปฏิบัติ ความวิเวกจากสิ่งแวดล้อมภายนอกจะช่วยตะล่อมใจ ตะล่อมใจที่อยู่ภายในนั้นให้ค่อยๆบังเกิดความรู้สึกวิเวก อันเป็นความสงบสงัดขึ้นทีละน้อยละน้อย เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมนี้จึงจะทิ้งธรรมชาติไม่ได้ ถ้าสามารถอยู่ใกล้ธรรมชาติได้มากเพียงใด ความวิเวกภายในจะค่อยๆสะสมแล้วก็เพิ่มพูนมากได้มากขึ้นได้เพียงนั้น และต่อมาก็ได้เคยมาเล่าความรู้สึกที่ว่าวิเศษของตัวเองนี่ที่ไปเล่าอวดมากับใครๆ มาหลายคนแล้ว พอเขาคุยกันเรื่องของผลการปฏิบัติสมาธิ ก็อดที่จะอวดของตัวเองบ้างไม่ได้ ก็เรียกว่าอวดไปอย่างโง่ๆ นะคะ เพราะมันไม่ใช่ผลดีอะไรนักหนา แล้ววันหนึ่งก็มาเล่าให้เจ้าพระคุณท่านอาจารย์สวนโมกข์ฟัง ตอนแรกๆ นี่ที่มาเป็นลูกศิษย์ท่าน ท่านจะไม่พูดคุยด้วยในเรื่องการปฏิบัติสมาธิภาวนาอะไร เพราะท่านรู้ว่ามันยังไม่ไปถึงไหน แต่ในตอนนั้นท่านคงจะเห็นว่าอยู่มานานพอสมควรแล้ว ก็พอจะไม่ค่อยเตลิดเหมือนอย่างเมื่อก่อนแล้ว ท่านก็เลยพอฟังฟังบ้าง แล้วก็คุยด้วยบ้าง วันนั้นพอคุยเรื่องสมาธิ ก็เล่าให้ท่านฟังอันนี้ ท่านก็นั่งฟังเฉยๆ พอถึงตอนที่เรียนท่านว่ามีคำพูดปรากฏขึ้นมาในใจว่านี่คือจักรวาล ท่านก็ถามว่าจักรวาลอะไร พอได้ยินท่านถามอย่างนั้นด้วยเสียงเข้มๆ
ก็รู้สึกสะดุดขึ้นมาทีเดียวว่า เอ.ที่เราพูดนี่มันคงจะไม่ค่อยถูกต้องแล้วนะ นี่แสดงถึงความอวดตัวอย่างเดียวละมั้ง ถามตัวเอง แล้วก็บอกตัวเอง แล้วก็นิ่งคิดสักครู่ ก็กราบเรียนท่านว่าจักรวาลของความว่างเจ้าค่ะ ทำไมถึงพูดจักรวาลของความว่างเพราะตอนนั้นเจ้าพระคุณท่านอาจารย์ท่านกำลังสอนถึงเรื่องสุญญตา ท่านได้พูดเรื่องสุญญตามานานแล้วนะคะ แต่ในระยะนั้นท่านก็พูดอีก แล้วท่านก็พูดถึงเรื่องของสุญญตาความหมายตลอดจนกระทั่งคืออะไร อย่างไร ปฏิบัติอย่างไร สุญญตาวิหารจึงจะเกิดขึ้น ก็เลยกราบเรียนท่านว่า จักรวาลของความว่างเจ้าค่ะ พอพูดอย่างนั้น ท่านก็เลยนิ่ง นิ่งก็คือเจ้าพระคุณท่านอาจารย์ท่านจะมีวิธีว่า ถ้าหากว่าสิ่งใดที่พูดผิด ท่านก็จะช่วยแก้ให้หรือว่าชี้แจงให้ฟัง แต่ท่านไม่ค่อยชี้แจงตรงๆ ท่านมักจะพูดอ้อมๆ หรือบางทีก็เป็นปริศนาธรรมให้คิดเอาเอง แต่คราวนี้พอเรียนตอบว่าจักรวาลของความว่างเจ้าค่ะ ท่านก็นิ่ง ก็แสดงว่าที่พูดนี่ไม่ผิด เพราะว่าความเป็นจริงแล้ว ในการศึกษาปฏิบัติธรรมนั้น จากที่พยายามตะล่อมจิตให้อยู่ในความวิเวก จนเป็นจิตที่วิเวกเดี๋ยวเพื่ออะไร ก็เพื่อผลที่สุดให้สามารถเป็นจิตที่ปรากฏหรือบังเกิดขึ้นแต่ความว่างคือสุญญตาธรรม เป็นความว่างจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน เป็นความว่างเหนือความว่างอื่นใด เป็นความว่างที่เป็นโลกุตรธรรม ฉะนั้นที่เรียนตอบท่านไปก็ไม่ผิด เจ้าพระคุณท่านอาจารย์จึงเฉย ตั้งแต่นั้นมาน่ะค่ะก็เลยหยุด หยุดคุยเรื่องที่ว่าได้ไปมีแสงสว่างเกิดขึ้น มีอะไรเกิดขึ้นจากที่ปฏิบัติที่วังนํ้ามอก เพราะมองเห็นแล้วว่ามันไม่ใช่เป็นสิ่งสาระแก่นสารหรือไม่ใช่จุดหมายปลายทางของการฝึกปฏิบัติ เมื่ออุตส่าห์ไปฝึกปฏิบัติใจจนกระทั่งค่อยมีความวิเวกขึ้น ก็น่าที่จะรู้จักวิธีใช้ความวิเวกที่บังเกิดขึ้นภายในนั้น ให้เป็นความวิเวกที่เป็นประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมต่อไป นี่ก็เป็นตัวอย่างที่อยากจะเล่าให้ฟัง ในเรื่องของการที่จะต้องรักษาความวิเวกด้วยการหยุดพูดคุย หยุดคิดเรื่องข้างนอกคือการปรุงแต่ง อีกตัวอย่างหนึ่งในส่วนตัวที่ได้พบก็จะกล่าวถึงคุณแม่เขาสวนหลวงนะคะ ที่ได้เคยไปฝึกปฏิบัติอยู่กับท่านระยะหนึ่ง ถึงแม้จะไม่นาน ก็เป็นระยะนานพอที่จะได้รับคำสอนจากท่าน และก็แนวของการปฏิบัติจากท่านมาใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไปได้พอสมควรทีเดียว ตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ที่บ้าน คือยังไม่ได้มาเป็นผู้ที่บวชอยู่ที่วัด ก็ได้ทราบข่าวว่าคุณแม่เขาสวนหลวงได้สิ้นชีวิตแล้ว แต่ท่านได้ไปสิ้นชีวิตในที่อื่นที่ไม่ใช่ที่เขาสวนหลวง ก็ต้องมีการนำศพท่านมาจากสถานที่นั้นมาทางนํ้า และก็พาท่านมาโดยเรือหางยาว เขาก็นำศพท่านมาถึงสถานที่ที่เป็นที่นัดกันว่าจะได้นำรถมารับท่านเพื่อนำไปส่งที่เขาสวนหลวง
เมื่อได้รับข่าว ก็ได้เตรียมตัวไปคอยรับศพคุณแม่ที่ตรงท่านํ้าที่นัดแนะกันเอาไว้ พอไปถึงก็มองเห็นคุณแม่นอนอยู่ในเรือ เรียกว่านอนสงบอยู่ในเรือ แล้วก็มีลูกศิษย์ท่านหนึ่งนั่งเฝ้าอยู่ที่ปลายเท้าท่าน พอมองเห็นในขณะนั้น จิตนี้คือตั้งแต่ได้ข่าวตั้งแต่ตอนกลางวันนะคะ จิตนี้ก็มีความรำลึกถึงท่านและรำลึกถึงพระคุณ รำลึกถึงคำสอน แต่ว่ามิใช่ด้วยความฟูมฟายหรือว่าเศร้าหมองเสียใจร้องห่มร้องไห้ ไม่มีอาการอย่างนั้น จิตนี้คงอยู่กับคำสอนที่ท่านสอนว่า ดูจิตรู้จิตให้ติดต่อทุกกะพริบตา คำสอนอันนี้เป็นคำสอนที่ติดใจมาก ก็นึกอยู่แต่ในเรื่องนั้น พอมาเห็นท่านนอนอยู่ในเรือหางยาว จิตก็ไม่ออกเป็นอื่น มองดูแต่ความตาย คือศพที่ปรากฏสภาวะของความตายที่เกิดขึ้น แล้วก็นึกถึงแต่เรื่องของความตายอย่างเดียว มีความตายเป็นมรณสติในขณะนั้น ดูแต่ความตายที่เกิดขึ้น อันบังเกิดอยู่ที่ร่างของคุณแม่ แสดงให้เห็นถึงความไม่เที่ยง ความคงทนอยู่ไม่ได้ของชีวิต ผลที่สุดแล้วก็ต้องแตกสลายไปสู่ความเป็นอนัตตา และความตายนี้ก็เป็นสภาวะธรรมที่เป็นไปตามธรรมดา ธรรมชาติ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีผู้ใดที่จะหลีกเลี่ยงได้ ขณะนั้นจิตไม่ออกข้างนอกเลย มุ่งจดจ่ออยู่แต่กับเรื่องความตายอย่างเดียว ถ้าจะพูดก็เมื่อจิตจดจ่ออยู่อย่างนี้ แม้ข้างนอกจะมีเสียงผู้คนคือที่ผู้คนลูกศิษย์ที่พากันไปรับศพต่างก็พูดคุยซักถามกัน คุณแม่เป็นอะไร คุณแม่สิ้นที่ไหน สิ้นเพราะอะไร สิ้นอย่างไร อะไรเป็นสาเหตุ ก็อยากจะรู้ลักษณะอาการที่คุณแม่สิ้นในขณะนั้นอย่างไร ก็มีเสียงพูดคุยกันอยู่รอบนอกตัวนะคะดังพอสมควร แต่จิตข้างในไม่ออกไปเกี่ยวเกาะเลย ในขณะนั้นก็ยังไม่รู้ว่านี่คือความวิเวกนะคะ แต่พอมาทีหลัง บัดนี้ก็คิดว่า เล่าได้ว่ามันคือความวิเวกที่เกิดขึ้นในจิต เพราะอะไรจึงเป็นความวิเวก เพราะจิตนั้นจดจ่ออยู่สิ่งเดียวกับเรื่องของความตาย ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นเลย อยู่กับเรื่องของความตายอย่างเดียว พิจารณาแต่ความตายจดจ่ออยู่อย่างนั้น จิตก็นิ่ง แล้วก็สงบ แล้วก็ไม่มีความรู้สึกเศร้าหมองเสียใจหรือร้องห่มร้องไห้ นํ้าตาไม่ได้ไหลเลยสักหยดเดียว คงนิ่งมองดูเห็นความตายเป็นธรรมดา มองเห็นความตายเป็นธรรมดาอยู่อย่างนั้น พูดง่ายๆก็คือจิตนี้คงจะมีความกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความตาย เหมือนกับว่าความตายกับจิตนี้เป็นอันหนึ่งอันเดียว ไม่แตกแยกจากกัน จิตจึงนิ่ง แล้วคงดูอยู่อย่างนั้นตลอดไม่หันเหไปพูดกับใคร หรือใจนี่ไม่เคยออกไปจากภาพที่จ่ออยู่ตรงหน้าเลย จริงแหละตาเนื้อมองเห็น แต่ตาในนั้นคลุกคลีกลมกลืนอยู่กับภาพศพของคุณแม่เขาสวนหลวง ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะจะเป็นเหตุปัจจัยต่อเนื่องไปอีกนิดนึง
เมื่อถึงเวลาที่รถมารับศพคุณแม่ เขาก็นำศพอุ้มคุณแม่ขึ้นสู่รถ แล้วก็ให้ผู้ที่ไปอยู่นี่ ขึ้นไปกราบลาคุณแม่ ก็ได้ขึ้นไปกราบลาคุณแม่เป็นคนแรก ก็ก้มลงกราบไปที่ร่างของท่าน พอในขณะที่ก้มลงกราบไปที่ร่างของท่านนั้นน่ะ ก็ได้กลิ่นกลิ่นแรงมากก็เรียกว่าเป็นกลิ่นปฏิกูลนะคะ จนกระทั่งตัวเองรู้สึกผงะออกมาทีเดียว ในใจก็บอกว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนี้เพราะว่าคุณแม่เป็นผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติคือไม่รับประทานเนื้อสัตว์เลยมาตลอดชีวิตของท่านที่อยู่ในหนทางธรรม แล้วก็เมื่อนำท่านมานี่ ก็นำท่านมาโดยเร็วเรียกว่าไม่ได้ทิ้งเอาไว้นาน ไม่ทันข้ามวันข้ามคืน แล้วก็เนื้อตัวของท่านก็ยังอ่อนนุ่มอยู่ เพราะฉะนั้นที่จะมีกลิ่นออกมาอย่างนี้ ไม่น่าจะเป็นไปได้ ในขณะนั้นเองก็มีความคิดคือเหมือนกับเป็นคำบอกขึ้นมาในใจว่า นี่แหละเท่ากับจะบอกให้รู้ว่าร่างกายที่รักนักหวงนักทะนุถนอมนักนี่ มันไม่ใช่แต่เพียงว่ามันจะหยุดเคลื่อนไหวเท่านั้นนะ คือหยุดลมหายใจแล้วก็หยุดการเคลื่อนไหวเท่านั้นนะ คือตายเท่านั้นนะ แท้จริงนี่ในร่างกายนี้ยังเป็นปฏิกูลอีกด้วย สิ่งใดที่เป็นปฏิกูล สิ่งนั้นย่อมไม่เป็นที่พึงปรารถนาใช่ไหมคะ ไม่พึงปรารถนา ไม่อยากเข้าใกล้ แม้จะรักใคร่กันสักเพียงใด เหมือนอย่างสามีภรรยานอนอยู่ด้วยกันทุกคืน แต่พออีกฝ่ายหนึ่งทำกาละจากไป อีกฝ่ายหนึ่งไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่กล้าไปนอนเคียงข้างหรือว่าเอื้อมมือไปกอดอย่างที่เคยกระทำ ไม่กล้าแล้ว และนี่เป็นปฏิกูลที่ส่งกลิ่นด้วย ก็บอกให้รู้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่สิ่งที่พึงน่ารักน่าชมน่าทะนุถนอมหวงแหนหรือยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา ในขณะนั้นนี่จิตก็บอก อ๋อนี่เป็นคำสอนสุดท้ายของคุณแม่ ท่านสอนเพื่อจะบอกให้รู้ว่าร่างกายนี้นอกจากว่าจะต้องพบกับความตาย หนีความตายไม่ได้ ก็ยังเป็นปฏิกูลอีกด้วยนะ และในขณะนั้นจิตก็อยู่แต่เรียกว่าอิงอยู่หรือว่ากลมกลืนอยู่แต่กับเรื่องของความตาย แล้วก็ร่างกายนี้เป็นปฏิกูลอยู่ตลอดไป เพราะฉะนั้นก็นำเอาความเป็นปฏิกูลนี่มาพิจารณาให้เป็นธรรมะต่อไป ฉะนั้นที่เล่าให้ฟังนี่นะคะ ก็เพื่อจะเน้นให้เห็นว่า ความวิเวกนี้เป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ ใช่ไหมคะ ที่ต้องเป็นปัจจัยสำคัญที่จะต้องตะล่อมใจให้เข้าสู่ความวิเวกให้ได้ เพื่อที่จะได้สามารถใช้จิตที่เดี่ยวนิ่งสงบนั้นใคร่ครวญพิจารณาธรรมตามที่ท่านเรียกว่าเป็นการวิปัสสนา หลังจากที่จิตนี้มีความสงบ ถ้าปราศจากความสงบย่อมไม่สามารถจะพิจารณาธรรมในรูปแบบของวิปัสสนาได้เลยเพราะจิตนั้นเมื่อยังวุ่นวายอยู่
ก็เหมือนกับสระนํ้าที่มีนํ้ากระเพื่อมตูมตาม ไม่สามารถจะมองเห็นภายใต้นํ้าว่ามีอะไรบ้าง ทั้งนี้ก็อยากจะพูดว่าล้วนแล้วเป็นผลที่เกิดขึ้นหรือได้รับจากการรักษาความวิเวกเท่าที่เหตุปัจจัยในขณะนั้นอำนวยให้ ก็อยากจะลองชวนให้ดูอีกสักหน่อยนะคะ ว่าในการที่เราจะปฏิบัติธรรมเพื่อสามารถรักษาใจให้อยู่ในธรรมให้ได้ตลอดนี่ จะทำอย่างไรนะคะ ก็คือต้องกลมกลืนกับความสงบวิเวกที่มีอยู่ให้ตลอดเวลาที่สามารถทำได้ นอกจากว่าจะกลมกลืนให้ตลอดเวลาแล้วก็ อย่าอยากสงบ ทำแต่เพียงว่าให้จิตนั้นกลมกลืนอยู่กับความวิเวก ให้มีความสงบเป็นหนึ่งเดียวด้วยลมหายใจจนกระทั่งถึงจะสามารถวิปัสสนาได้ แต่ก่อนนั้นอย่าอยากสงบ ในขณะที่จะพยายามทำใจให้สงบนี้อย่าอยากสงบ ถ้าเกิดความอยากสงบขึ้นมมาแล้ว มันไม่สงบแล้ว ทำไมถึงไม่สงบเพราะว่าอยากคือตัณหาใช่ไหมคะ อย่าพามันเข้ามาเลย เจ้าตัณหานี้ถ้าไปสอดแทรกเข้าที่ไหน มันล้วนแล้วแต่ทำลายทำลายสิ่งที่กำลังจะดีงาม ให้มันแตกไป กำลังตะล่อมจิตจะให้อยู่ในความวิเวก เป็นการกระทำที่กำลังจะทำความดีงาม มันก็จะต้องแตกออกไปอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นอย่าอยาก แต่ทว่าพยายามขัดเกลาชำระล้างสิ่งที่เป็นตะกอนหรือเป็นสนิม เป็นสิ่งโสโครกที่หมักดองอยู่ภายในใจ ให้สะอาดเกลี้ยงเกลาจนกระทั่งสามารถเห็นเช่นนั้นเอง หรือสามารถอโหสิ แล้วก็ให้อภัยแก่กันได้ ฝึกอย่างนี้จะดีกว่า นอกจากนั้นก็ฝึกความเข้มแข็งหนักแน่นแห่งจิตให้อยู่ในความมั่นคงให้ยิ่งขึ้น เจ้าพระคุณท่านอาจารย์สวนโมกข์ท่านมีบอกว่า มาให้รักก็ไม่รัก มาให้เกลียดก็ไม่เกลียด นี่คำธรรมดาธรรมดานะคะ ท่านบอกให้ฝึกอย่างนี้ ฝึกว่า มาให้รักก็ไม่รักมาให้เกลียดก็ไม่เกลียด พอเข้าใจไหมคะว่าหมายความว่าอะไร เพราะว่าจิตที่วุ่นวายนี่มันก็ไม่หนีไม่พ้น 2 อย่างนี้ ไม่รักก็เกลียด ไม่เกลียดก็รัก ใช่ไหมคะ เรียกว่าตกอยู่ในสิ่งคู่ พอรักก็ดีวุ่นแล้ว เกลียดก็ดีวุ่นแล้ว มันวุ่นทั้ง 2 อย่างเพราะฉะนั้นมาให้รัก คือจะทำอะไรอะไรให้น่ารักให้ถูกใจหรือว่ารูปร่างสวยสะสวยมีเสน่ห์น่าติดใจ ก็พยายามให้เห็นเช่นนั้นเอง เห็นความเป็นธรรมดาของมัน มันเป็นเพียงสิ่งสักว่าธาตุตามธรรมชาติ มาให้รักก็อย่ารัก คือ อย่าไปหลงรัก อย่าไปปล่อยใจให้ตกเป็นทาสของความรัก มาให้เกลียดก็ไม่เกลียด ถึงจะรูปร่างหน้าตาน่าเกลียด เหมือนอย่างเห็นคางคกนี่ หรือเห็นผู้คนที่ได้เคยประสบอุบัติเหตุอย่างสมมติว่าไฟไหม้ถลอกปอกเปิกหน้าตาก็ดูไม่ได้กระด่างกระดำ มาให้เกลียดก็ไม่เกลียด มองเห็นเป็นธรรมดา มันเป็นเช่นนั้นเอง หรือว่าจะแผ่เมตตาอีกก็ได้ หรือจะทำอะไรๆให้น่าเกลียดด้วยกิริยาท่าทางก็ดี วาจาก็ดีมันก็เช่นนั้นเองอีกเหมือนกัน วันนี้พูดไม่ดี วันหน้าพูดดีก็ได้หรือวันที่ผ่านมาก็เคยพูดจาน่าฟัง เห็นไหมคะ ไม่มีอะไรมันคงที่ มาให้รักก็เป็นผัสสะ มาให้เกลียดก็เป็นผัสสะ ถ้าเห็นเท่าทันจะว่ามันคือผัสสะ ด้วยสติและปัญญาก็จะเห็น เป็นเช่นนั้นเอง เห็นแล้วมันก็เป็นเพียงสิ่งสักว่า
เพราะฉะนั้นลองพยายามฝึกใจ มาให้รักก็ไม่รัก มาให้เกลียดก็ไม่เกลียด ในชั้นแรกจะท่องเอาไว้ก็ได้นะคะทำไมถึงไม่ควรรัก ทำไมถึงไม่ควรเกลียด ก็จริงๆแล้วมันไม่มีสิ่งใดที่น่าจะอยากรักหรือน่าจะอยากเกลียดใช่ไหมคะ ทำไมถึงไม่น่าจะอยากรักหรือไม่น่าจะอยากเกลียดเพราะรักก็เก็บไว้ไม่ได้ เกลียดก็ผลักไปไม่ได้ มันจะไปก็ตามเหตุปัจจัย มันจะอยู่ก็ตามเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นจะต้องไปเหนื่อยด้วยการยึดมั่นถือมั่นทำไม เมื่อมีอยู่ก็ใช้ไป เมื่อไม่มีก็เห็นเป็นธรรมดา พยายามฝึกจิตให้มั่นคงอยู่อย่างนี้ รักมาให้รัก ก็ไม่รัก มาให้เกลียด ก็ไม่เกลียด จนเห็นเป็นเช่นนั้นเองเป็นธรรมดาก็เชื่อว่าจิตนี้จะค่อยๆ สามารถมีความมั่นคงเเข้มแข็ง แล้วก็เป็นจิตที่วิเวกเดี่ยวยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น นอกจากนี้การพิจารณาความตายให้ทุกขณะ ก็เป็นสิ่งที่จะช่วยได้มากทีเดียวใช่ไหมคะ อย่างที่ได้พูดมาแล้วนะคะ หรือการสาธยายธรรมจากบทสวดมนต์ก็อีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน ที่จะช่วยให้จิตนี้อยู่ในความวิเวก แม้ว่าจะวุ่นวาย จะสับสนหรือบางทีอาจจะอึดอัดขัดเคือง แต่พอฝึกใจให้ใจน้อมไปในการสาธยายธรรม ยกตัวอย่างก็อย่างเช่นทำวัตรเช้า ทุกคนเคยสวดทำวัตรเช้า พอมาถึงบทสรรเสริญพระรัตนตรัย ตอนที่กล่าวถึงสังเวคปริกิตตนปาฐะ ก็คือการพิจารณาความให้เกิดความสลดสังเวชในลักษณะต่างๆ นึกออกไหมคะ ที่บอกว่า อิธะ ตะถาคะโต โลเก อุปปันโน พระตถาคตเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลกนี้ สวดช้าๆ บทนี้เป็นบทที่ไพเราะมาก สวดช้าๆ เอาใจใคร่ครวญตามไปทุกคำพูด อะระหังสัมมาสัมพุทโธ เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ในขณะที่พูดอย่างนี้ ใจก็ย่อมจะซึมซาบ แล้วก็บังเกิดศรัทธาปสาทะ ด้วยความชื่นชมยกย่องบูชาเหนือเศียรไปในตัวเองโดยไม่รู้ตัวนะคะ ธัมโม จะ เทสิโต นิยานิโก และพระธรรมที่ทรงแสดงเป็นธรรมเครื่องออกจากทุกข์ ถูกใจไหมคะ เพราะเราหันเข้ามาหาธรรมะ มาร่วมโครงการฝึกอบรมตน ก็เพื่อจะหาหนทางออกจากทุกข์ พระธรรมที่ทรงแสดงล้วนเป็นธรรมเครื่องออกจากทุกข์ อุปะสะมิโก ปะรินิพพานิโก เป็นเครื่องสงบกิเลสที่ทำให้วุ่นวายมานักหนาเป็นไปเพื่อปรินิพพานความเย็นสงบ สัมโพธะคามี สุคะตัปปะเวทิโต เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม เป็นธรรมที่พระสุคตประกาศรู้พร้อม พร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ พร้อมด้วยความรู้อย่างจะแจ้งในพระธรรม มะยันตัง ธัมมัง สุตวา เอวัง ชานามะ พวกเราเมื่อได้ฟังธรรมนั้นแล้วจึงได้รู้อย่างนี้ว่า เมื่อก่อนไม่เคยรู้นะคะ บัดนี้รู้แล้วว่า ชาติปิ ทุกขา แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์ ไม่มีใครนึกความเกิดก็เป็นทุกข์ ส่วนมากมักจะเห็นว่าเมื่อมีความเกิดขึ้นในบ้านใด นั่นเป็นมงคลเพราะมีชีวิตใหม่เกิดขึ้นมา มีการทำบุญรับขวัญนำของขวัญไปอวยพรกันต่างๆ นาๆ หารู้ไม่ว่าเมื่อมีความเกิด มันก็ต้องมีความตายตามมาใช่ไหมคะ ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นออกไปจากความตายได้ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าไม่อยากตาย อยากให้อยู่เหนือความตาย ก็ต้องพยายามให้อยู่เหนือความเกิด ความเกิดอะไรก็คือความเกิดของความรู้สึกเป็นตัวเป็นตนยึดมั่นในตัว เป็นตัวเป็นตนนี่แหละที่มันทำให้เกิด แล้วก็เป็นทุกข์ ชะราปิ ทุกขา แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์ อันนี้พอจะมองเห็น พอแก่เข้าก็งุ่มง่าม ผิวพรรณก็เหี่ยวย่น หน้าตาก็ไม่น่าดู ซุ่มเสียงก็ไม่กังวานเหมือนเดิม อะไรๆ มันก็ไม่น่าดู
เพราะฉะนั้นความแก่ก็เป็นทุกข์ พอจะมองเห็น มะระณัมปิ ทุกขัง แม้ความตายก็เป็นทุกข์ ก็ยิ่งชัดเจนเพราะกลัวตายกันอยู่ทุกรูปทุกนาม ที่กลัวก็เพราะไม่รู้ว่าหรือไม่ยอมรับว่ามันเป็นสภาวะธรรมอันเป็นธรรมดานั่นเอง ตลอดจนกระทั่ง โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา ความโศกความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์ แต่ส่วนมากมักจะพูดกันว่า มันก็เป็นธรรมดาใครๆ ก็เป็นกัน จริงหรือเปล่า ที่จริงมันไม่ธรรมดา เพราะความเป็นธรรมดานั่นคือความปกติ ความปกติสงบเย็นต่างหากที่เป็นธรรมดา แต่เราละเลยความเป็นธรรมดาอันเป็นธรรมดาจริงๆของธรรมชาติเสียนมนานจนเกือบจะลืมไม่รู้ก็เลยมาถือเอาความไม่เป็นธรรมดาคือความโศกความร่ำไรความร้องไห้คร่ำครวญหาว่าเป็นธรรมดา คนนั้นก็ร้องไห้คนนี้ก็ร้องไห้เพราะความไม่ปกติความวุ่นวายจึงทำให้ร้องไห้ อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ เห็นไหมคะจะเอาแต่ใจตัว จะเอาให้ได้อย่างใจ เพราะยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน พอไม่ได้อย่างใจ ไม่ถูกใจเป็นทุกข์แล้ว หรือ ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง มีความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นนั่นก็เป็นทุกข์ ท่านก็บอกแล้วใช่ไหมคะในอริยสัจ 4 ความอยากหรือตัณหาเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นนั่นก็เป็นทุกข์ นี่เพราะอยากจะอะไรอะไรก็ได้ให้เป็นทิพย์ พออยากก็ขอให้หล่นลงมาเลย มันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลอยๆ จำเป็นที่จะต้องกระทำเหตุปัจจัยให้ถูกต้องแล้วก็จะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์ สังขิตเตนะ ปัญจุปาทา นักขันธา ทุกขา ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง 5 เป็นตัวทุกข์ ขันธ์ 5 ก็สักแต่ว่าขันธ์ 5 ตามธรรมดาธรรมชาติ
แต่พอมีอุปาทานไปยึดมั่นถือมั่นมันเลยกลายเป็นทุกข์ เสยยะถีทัง ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ รูปูปาทานักขันโธ ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือรูป คือยึดรูป รูปกายที่มองเห็นนี้ไปยึดมั่นว่าเป็นเราก็เป็นทุกข์ ทุกข์เพราะหวงแหนระมัดระวังแล้วก็เห็นแก่ตัว เวทะนูปาทานักขันธา เวทะนูปาทานักขันโธ ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือเวทนา รวมความก็คือว่ารูปก็เป็นทุกข์ เวทนาก็เป็นทุกข์ สัญญาคือความจำหมายมั่นก็เป็นทุกข์ สังขารความนึกคิดก็เป็นทุกข์ วิญญาณการตามรู้ก็เป็นทุกข์ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ธรรมชาติไม่ได้บอกให้เป็นทุกข์แต่ความเขลาความโง่ไปยึดมั่นถือมั่นเลยกลายเป็นทุกข์ ถ้าไม่ไปยึดมั่นถือมั่นมันก็เป็นเพียงสิ่งสักว่ารูป สักว่าเวทนา สักว่าสัญญา สักว่าสังขาร แล้วก็สักว่าวิญญาณตามธรรมชาติ ก็ใช้ประโยชน์มันไป ต้องการใช้ขันธ์ 5 แบบไหน ใช้เวทนาก็ใช้ ใช้สัญญาก็ใช้ ใช่ไหมคะ แล้วก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นท่านก็ในบทสวดมนต์นี้ก็จึงบอกต่อไปอีกว่าในขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อยังทรงพระชนม์อยู่นั้นย่อมทรงแนะนำสาวกทั้งหลายเป็นส่วนมากเพื่อให้รู้ว่า รูปัง อนิจจัง รูปไม่เที่ยง รูปไม่เที่ยง กายนี้ไม่เที่ยงนะคะ ได้ทรงแนะนำไว้รูปไม่เที่ยง แต่ผู้ที่ไม่สนใจจะศึกษาก็จะคิดแต่ว่ารูปนี้เที่ยงรูปนี้เที่ยง พอมีการเปลี่ยนแปลงตามกฎธรรมชาติเศร้าหมองเสียใจทนไม่ได้ นี่ในขณะที่สวดสาธยายมนต์คือทำวัตรเช้า จิตที่เดี่ยวแล้วก็วิเวกย่อมจะซึมซาบคลุกเคล้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รูปไม่เที่ยง แล้วก็จะพูดด้วยเสียงที่เรียกว่าเย็นๆ อ่อนโยนแช่มช้า รูปไม่เที่ยง เวทนา อนิจจา เวทนาไม่เที่ยง สัญญา อนิจจา สัญญาไม่เที่ยง สังขารา อนิจจา สังขารไม่เที่ยง วิญญานัง อนิจจัง วิญญาณไม่เที่ยง รูปัง อนัตตา รูปไม่ใช่ตัวตน ท่านย้ำให้ฟังอีกรูปนี้ไม่ใช่ตัวตนนะ อย่าไปยึดถือเป็นตัวเป็นตนเป็นอัตตาไม่ใช่ มันเป็นตัวตนก็แต่เพียงสมมติเท่านั้นเอง เวทนาก็อนัตตาความรู้สึกสุขทุกข์ดีชั่วอะไรที่เกิดขึ้น รักชังถูกใจไม่ถูกใจมันก็เกิดดับมันเป็นอนัตตามันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน สัญญาอนัตตา ความจำได้หมายมั่น ก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอีกเหมือนกัน สังขารา อนัตตา สังขารความนึกคิดต่างๆ ที่ว่าฉันนึกอย่างนั้นฉันคิดอย่างนี้แล้วก็ฟุ้งซ่าน เพ้อเจ้อ
ไปอดีตบ้างอนาคตบ้างก็ไม่ใช่ตัวตนไปยึดมั่นเป็นตัวตนนี่หลงแท้ๆ นะหาเรื่องให้ตัวเป็นทุกข์แท้ๆ ในขณะที่สวดไปอย่างนี้ถ้าจิตสำนึกได้มีความรู้สึกแล้วใช่ไหมคะถึงความที่เข้าใจผิดแห่งตน วิญญานัง อนัตตา วิญญาณก็ไม่ใช่ตัวตน สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง ควรจะท่องเอาไว้ จนกระทั่งมันซึมซาบกลมกลืนอยู่ในใจ สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวตนเลยสักอย่างเดียว ตา มะยัง โอติณณามะหะ พวกเราทั้งหลายเป็นผู้ถูกครอบงำแล้วถูกครอบงำด้วยอะไร อวิชชาความเขลา ความเขลาที่มันสิงอยู่โดยที่ไม่เปิดโอกาสให้ความสว่างเข้ามามันก็เลยครอบงำทำให้เห็นไปว่า ชาติยา โดยความเกิด ชะรามะระเณนะ โดยความแก่และความตาย โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ โดยความโศก ความร่ำไรรำพันความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจทั้งหลาย ทุกโขติณณา เป็นผู้ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว ทุกขะปะเรตา เป็นผู้มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว เห็นไหมคะ เพราะ ความเขลาแท้ๆ ทำให้ตกอยู่ในความทุกข์ ทั้งๆ ที่ไม่ควรจะทุกข์ ธรรมชาติไม่ได้บอกให้เป็นทุกข์เลย ให้ทุกอย่างมา โดยไม่ได้บอกให้เป็นทุกข์ ให้ใช้ไปตามที่ควรจะใช้ เพื่อความสะดวกสบายแก่ชีวิต แต่พอความเขลาอวิชชาเข้ามาครอบงำ ตกภายใต้กิเลสตัณหาอุปาทาน เลยมีแต่ความทุกข์ มีความทุกข์หยั่งเอาแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว จนวันหนึ่งนะคะ อย่างที่ได้เคยพูดว่า หันหลังให้โลกเพราะถูกกัด ถูกกัดมากเข้าจนยับเยิน เรียกว่าปรุไปหมดทั้งตัวเลือดไหลโทรมไปหมด สำนึกขึ้นมาได้ ถึงจะมานึกว่าทำไฉน การทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้จะพึงปรากฏชัดแก่เราได้ จะปรากฏชัดแล้วค่ะถ้าสามารถจะรักษาความวิเวกภายในจิต แล้วก็พยายามที่จะใคร่ครวญในธรรมให้อยู่ทุกขณะ ก็จะสามารถถึงซึ่งความสิ้นทุกข์หรือความดับทุกข์ได้ จะสังเกตได้อย่างไรว่าขณะนี้ความสงบหรือว่าความรักษาใจให้อยู่ในธรรมเริ่มบังเกิดขึ้นแล้ว ก็จะสังเกตได้จากโดยรูปธรรมนะคะ ก็จะสังเกตได้ว่ามีการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อเริ่มตั้งแต่ใบหน้าและลำคอ แล้วก็ต้นแขนลำตัวไปจนกระทั่งถึงแขนขามันมีความผ่อนคลาย ไม่มีความเกร็ง มันมีความสบาย
นั่นแหละค่ะนี่เป็นสัญญาณหรือสัญลักษณ์บอกแล้วว่าความสงบเย็นกำลังบังเกิดขึ้น ความเป็นธรรมกำลังเริ่มมีขึ้นในใจ นอกจากนั้นก็จะมีความช้าลง อิริยาบถต่างๆ เช่น อิริยาบถในการเดินที่เดินพรวดๆๆ ที่เรียกว่าจํ้าเอาจํ้าเอา ไม่ดูเหนือดูใต้เริ่มช้าลงๆ เดินอย่างสงบเย็นมีจังหวะ แต่มิใช่ช้านะคะ มีความเร็วอยู่ในนั้น แต่เป็นความเร็วที่สงบเย็น แล้วก็มีความสง่าด้วย การกินที่เคยกินอย่างเร็วๆ ก็จะช้าลงช้าลงโดยอัตโนมัติ ไม่มีใครบังคับ การเคี้ยวเคยเคี้ยวรวดเร็วมากนับไม่ถ้วนในทันที ก็จะเคี้ยวช้าๆ การนอนที่เคยนอนอย่างที่เรียกว่าหัวไปทางเท้าไปทาง ก็จะเริ่มมีการนอนที่มีสติมากขึ้น ความวุ่นวายสับสนดังอึกทึกในจิตจะลดลงลดลงจนกระทั่งจางคลายหายไป ความสงบเย็นจะเกิดมากขึ้น นี่แหละค่ะจะเป็นสิ่งที่สังเกตได้ว่าในขณะนั้นเป็นจิตที่มองเห็นแต่ความเป็นเช่นนั้นเอง มองเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แล้วก็มองเห็นชีวิตที่มีอยู่นี้เป็นเพียงกระแสของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไปตามธรรมดาของธรรมชาติเช่นนั้นเอง ถ้าสามารถรักษาจิตให้อยู่ในความวิเวก จนบรรลุถึงจุดนี้ได้ ก็ไม่ต้องสงสัยว่าจะไม่สามารถรักษาใจให้อยู่ในธรรมและความสงบเย็นได้ตลอดไป ก็ขออนุโมทนาไว้ล่วงหน้านะคะว่าทุกท่านจะสามารถทำได้ แล้วก็มีความสุขสงบในชีวิตการประพฤติพรหมจรรย์ให้ยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น ธรรมะสวัสดีค่ะ