แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ทีนี้ลองมาดูย้ำถึงความสำคัญของการศึกษา ว่าการศึกษานั้นมีความสำคัญต่อชีวิตอย่างไรบ้าง หรือเจ้าประคุณท่านอาจารย์สวนโมกข์ท่านชอบเรียกว่า ความลับของการศึกษา ทุกอย่างที่เราทำอะไรนี่ มันมีความลับซ่อนเร้นอยู่ทั้งนั้น ความลับของการศึกษาข้อแรกก็คือ การศึกษาคือสิ่งที่ต้องคู่กับสิ่งที่มีชีวิต สิ่งมีชีวิตทุกอย่าง จะเป็นแมว เป็นสุนัข เป็นไก่ เป็นหมู เป็นงู เป็นอะไรทั้งนั้นล่ะค่ะ ตลอดจนกระทั่งถึงมนุษย์ มันมีการศึกษาโดยอัตโนมัติ โดยสัญชาตญาณ โดยตามธรรมชาติ จริงไหมคะ ท่านผู้ใดที่เลี้ยงสัตว์ที่บ้าน จะเลี้ยงสุนัข จะเลี้ยงแมว จะเลี้ยงไก่ จะเลี้ยงอะไรก็แล้วแต่ เลี้ยงนก จะมองเห็นเลยว่ามันมีวิธีการที่จะให้การศึกษาแก่ชีวิตของมันเอง หรือแม้แต่คนก็เถอะ มีวิธีการหาการศึกษากันต่าง ๆ เอาอย่างพื้น ๆ อย่างคนโลก ๆ เช่น ศึกษาเรื่องการกิน ใช่ไหมคะ กินอย่างไหนมันถึงจะอร่อย กินอย่างไหนมันถึงจะแปลก มันถึงจะมหัศจรรย์ อย่างที่มีเรียกว่ากินพิสดาร นั่นแหละ ที่ไหนที่เขากินกันอร่อย เอาล่ะขับรถสักสองร้อยกิโลเมตรก็จะเอา เพื่อจะไปลิ้มชิมซิว่าการกินที่พิเศษมันเป็นยังไง ขึ้นเครื่องบินไปกินฮ่องกง ขึ้นเครื่องบินไปกินเมืองโน้นเมืองนี้ นี่แหละหาความรู้เรื่องการกิน มันก็อยู่ในเรื่องการศึกษาเพื่อการกิน นี่อย่างพื้น ๆ ที่พูดอย่างนี้ก็เพื่อที่จะบอกว่า ที่ท่านว่าการศึกษานั้นมันต้องคู่กับชีวิต จริงไหมคะ แม้แต่แค่เรื่องกิน ข้าวแกงจานละสิบบาท ก๋วยเตี๋ยวชามละสิบบาท มันก็อิ่มเท่ากับอาหารฮ่องเต้คำละพันบาท มันอิ่มเท่ากัน แต่ว่าแหม มันแพงกว่ากันเยอะแยะหลายอย่างเหลือเกิน แต่ทำไมคนเราถึงดิ้นรนทุรนทุราย หาความรู้จากการกิน หาความรู้จากการเล่น เล่นพิสดารต่าง ๆ เกมพิสดารต่าง ๆ อย่างที่ข่าววันสงกรานต์ที่น่าเศร้าสลดใจ ที่เด็กน้อยเล่นกันวันสงกรานต์ คงได้ข่าวใช่ไหมคะ เล่นยิงปืน แล้วก็ไปพบปืนของตาหรือของปู่อะไรอยู่ใต้หมอนก็นึกว่านี่คือปืนเด็กเล่น ก็เอามาเล่นยิงกันให้สนุกวันสงกรานต์กับเพื่อนลูกพี่ลูกน้อง ยิงโป้งเข้าไป อ้าว คราวนี้ทำไมไม่หันมาเล่นกับเรา มันกลับล้มสลบ แล้วก็สิ้นใจหยุดหายใจไปเลย
นี่ก็คือวิธีหาความรู้จากการเล่น เล่นสมัยก่อนโน้น เล่นหมากเก็บ เล่นก้อนกรวด เล่นตังเต ซึ่งไม่ต้องใช้อะไรมาก แต่เดี๋ยวนี้เล่นอย่างนั้นมันพื้นซะแล้ว มันธรรมดา ก็หาการเล่นที่พิสดารต่าง ๆ ไปอีก แล้วก็ยิ่งอายุมากเข้าก็ใช้สติปัญญา แต่เผอิญน่าเสียดายมันเป็นมิจฉาปัญญา คือหาวิธีการเล่นต่าง ๆ นานาที่ทำความเดือดร้อนให้แก่ตัวเอง เช่น สร้างโน่น สร้างนี่ ด้วยการไปยึดเอาที่ดินตรงโน้นตรงนี้ของธรรมชาติมาเป็นของตน นี่คือวิธีการหาความรู้เรื่องการเล่น หาความรู้เรื่องการเที่ยว ที่ไหน ๆ ที่เขามีเที่ยวแปลก ๆ พิสดาร วิตถารเท่าไรยิ่งดีมีบ้างไม๊ นี่คือวิธีหาความรู้ที่เขาบอกว่ามันเป็นสิ่งคู่กับชีวิตมนุษย์ แต่น่าเสียดายที่ไม่หาความรู้ในทางที่ถูก พอมากขึ้นไปอีกหน่อย เข้ามาในหนทางสักหน่อย ก็หาความรู้จากการเรียน หาความรู้จากการทำงาน จากการหาเงิน จากการหาความสำเร็จในวิธีการต่าง ๆ จากการหาความสุขด้วยวิธีการต่าง ๆ เพราะฉะนั้นนี่คือที่ท่านบอกว่า การศึกษานั้นเป็นสิ่งที่คู่กับชีวิต มันก็เป็นจริงอย่างนี้นะคะ และก็เป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ประเด็นที่น่าคิดก็คือว่า การศึกษาอะไรล่ะ มันถึงจะเป็นการศึกษาที่คู่กับชีวิต และก็นำชีวิตนั้นไปสู่ความมีคุณค่าของชีวิตอย่างสมแก่การเกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ให้เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ นี่เป็นสิ่งที่เราควรคิดกัน ข้อที่สองความลับของการศึกษาข้อที่สองก็คือ การศึกษาเป็นบ่อเกิดของทิฏฐิ ทิฏฐิก็คือความเห็น มนุษย์เรามีความเห็นกันทุกคน เรียกว่ามันมีอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์นะคะ เรามีความเห็นกันทุกคน ตาเห็นอะไร เราก็มีทิฏฐิเกี่ยวกับเรื่องนั้น ดีหรือไม่ดี ใช้ได้หรือไม่ได้ จากทิฏฐิความเห็นนี้ก็ชวนให้วิเคราะห์วิจารณ์ แยกแยะไปตามความรู้ประสบการณ์ของแต่ละคน เพราะฉะนั้นทิฏฐินี่มีอยู่ด้วยกันทุกคน เป็นบ่อเกิดของทิฏฐิ และก็ทิฏฐินี่แหละคือต้นเหตุแห่งปัญหาในชีวิตของมนุษย์ ทั้งส่วนตัวแล้วก็ส่วนรวม ทั้งในสังคม ทั้งในโลก ใช่ไหมคะ ที่ทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ทุกวันนี้ ตลอดจนกระทั่งใช้คำพูดที่เผ็ดร้อนด่าทอกันหรือทำลายล้างกัน ในหน้าหนังสือพิมพ์ที่เราพบ ก็เพราะทิฏฐิ แต่ทิฏฐิที่มันก่อให้เกิดปัญหาก็คือทิฏฐิที่มันไม่ถูกใจฉัน เอาอย่างใจฉัน และมันไม่ได้อย่างใจฉัน
เพราะฉะนั้นทิฏฐินี้ก็ยึดมั่น คือยึดมั่นในทิฏฐินี้ ยอมรับทิฏฐิของคนอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันก็เกิดเป็นปัญหา เกิดเป็นศัตรูกันขึ้น ทิฏฐิที่เราเห็นแล้วก็รู้สึกว่าเป็นทิฏฐิที่เป็นอันตรายแก่ชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่ผู้ที่อยู่ในวัยเยาว์ นั่นก็คือทิฏฐิเกี่ยวกับค่านิยม ดิฉันเชื่อว่าท่านที่เป็นครูบาอาจารย์มีความสำนึกในเรื่องค่านิยมเป็นอย่างมากเลย ว่ามันเป็นจุดของการนำปัญหา นำอันตรายมาสู่เยาวชนของเรา ทิฏฐิเกี่ยวกับค่านิยมที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้น ดิฉันอยากจะบอกว่า มันเป็นค่านิยมที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นความนิยมที่นำชีวิตไปสู่ปัญหา สู่ปัญหาของความดิ้นรนกระเสือกกระสน เพื่อการแย่งชิง เพื่อการเบียดเบียนให้ได้มากกว่าเขา มีมากกว่าเขา เก่งมากกว่าเขา วิเศษกว่าเขา ตั้งแต่เล็ก ๆ ไปจนโต แล้วมันก็สั่งสมไว้ในใจ จนเพิ่มอัตรากำลังของความต้องการมากยิ่งขึ้น ๆ น่ากลัวเหลือเกินที่เกี่ยวกับค่านิยม ที่เกิดค่านิยมมิจฉาทิฏฐิ ดิฉันอยากจะพูดว่า เพราะคนทุกวันนี้พากันเมินมองปัจจัยสี่ ปัจจัยสี่ที่เราพูดมาแต่โบราณ ได้รับคำสอนมาแต่โบราณว่า ชีวิตมนุษย์อยู่ได้เพราะปัจจัยสี่ คือ ที่อยู่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ซึ่งเราก็อยู่กันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวดแต่บรรพบุรุษของเรา ก็มีความสุขดำรงชีวิตมาด้วยปัจจัยสี่ แต่ยิ่งโลกเจริญ มีอารยธรรมมากขึ้น เป็นชาวศรีวิไลมากขึ้น ปัจจัยสี่ดูจะไร้ความหมาย ไม่เพียงพอ เพราะปัจจัยสี่นั้น ในความหมายของปัจจัยสี่ ที่อยู่อาศัยก็พออยู่ พออยู่พอเป็นพอไป พอมีความสะดวกสบายตามสมควร ตามความจำเป็นของชีวิต เครื่องนุ่งห่มก็พอกันร้อนกันหนาว พอสุภาพ สะอาด พอดู อาหารก็พอเลี้ยงร่างกายให้แข็งแรง มีชีวิตเป็นไปอยู่ได้ ยารักษาโรค ก็เมื่อมีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้น แต่เดี๋ยวนี้ที่ดิฉันพูดว่าปัจจัยสี่ขั้นพื้นฐานที่เราได้รับการบอกเล่ากันมาแต่ปู่ย่าตายาย มันดูกลายเป็นพื้นฐานธรรมดาไปเสียแล้ว เหมือนอย่างยารักษาโรค ตัวอย่างง่าย ๆ เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่ยารักษาโรคที่ไปแสวงหากัน เพราะโรคยังไม่ทันเกิด แต่มันกลายเป็นชะลอความสวย ชะลอความสาว คือเป็นยาชะลอความสวย ชะลอความสาว ชะลอความแก่ เพื่อจะให้หนุ่มเสมอ สาวเสมอ ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นบรรดาบุคคลเหล่านี้ที่หากินทางนี้จึงร่ำรวย อาหารก็เหมือนกันอย่างที่พูดเมื่อกี้นี้
สมัยก่อนโน้นเราอยู่เย็นเป็นสุขกันเพราะอะไร เพราะน้ำพริกถ้วยเดียว มีสำรับเอามาวางรวมกันเข้า มีผัก มีน้ำพริก มีปลา มีแกง มีผัด อย่างมาก พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ลูกหลาน ล้อมวงกันกินคนละหมุบคนละหมับ แม้จะบางทีแย่งกันนิดหน่อย ไม่มีว่าพ่อทำไมถึงถือสิทธิ์ออกไปกินข้างนอกบ่อย ๆ ไปกินข้างนอก แหม กินอาหารใหญ่ ๆ กินไม่พอ ยังดื่ม ยังมีคลุกเคล้าเสียงดนตรีนารีประกอบอีกด้วย แล้วปล่อยให้ลูกกินอด ๆ อยาก ๆ อยู่ที่บ้าน ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงมันเกิดขึ้น มันไม่มีความเสมอภาคในการกิน แต่สมัยก่อนโน้นมันไม่มี เพราะฉะนั้นปัจจัยสี่ที่มีอยู่มันจึงเพียงพอสำหรับสมัยก่อนโน้น เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มไม่ต้องบรรยายนะคะ ดูจากหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวันนี้เราก็มองเห็นแล้วว่ามันพอเพียงแก่ความจำเป็นหรือมันเกินความจำเป็น หรือบางทีมันขาดทั้ง ๆ ที่เสื้อผ้ามันแพง แต่เรามองดูแล้วนี่มันขาด เพราะมันปิดไม่มิด เห็นไหมคะ นี่ปัจจัยสี่ที่ใช้กันอยู่ที่มีกันอยู่มันเกินความจำเป็น เกินความจำเป็นทั้งสิ้น มันจึงเกิดเป็นค่านิยมที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่แล้วคนในสังคมปัจจุบันก็เห็นว่า นี่แหละมันถูกต้องแล้ว มันเป็นความธรรมดา ใคร ๆ เขาก็แต่งกันอย่างนี้ ใคร ๆ เขาก็เป็นกันอย่างนี้ เขากินกันอย่างนี้ เขาอยู่กันอย่างนี้ บ้านราคาที่พอสบาย ๆ ไม่พอ ต้องหลังใหญ่ยิ่งขึ้น ๆ แล้วก็ประกวดประขันกัน รถยนต์เขามีไว้เพียงเพื่อเป็นพาหนะ แต่ก็มีเห็นประกาศในข่าวสังคม รถยนต์คันละสามสิบกว่าล้าน ห้าสิบล้าน ก็ไม่ทราบว่านั่งแล้วจะมีชีวิตที่เป็นทิพย์หรืออย่างไร เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เรียกว่า เพราะคนเดี๋ยวนี้เมินปัจจัยสี่ ก็เลยเกิดปัญหาที่แสวงหาปัจจัยอื่น ๆ เพื่อสนองตัณหาความอยาก กลายเป็นปัจจัยที่ห้าหกเจ็ดแปดเก้าสิบยี่สิบขึ้นมาเข้าแล้วเดี๋ยวนี้ ถ้าเราจะนั่งลองเขียนดูเราจะเห็นว่ามีมากเกินความจำเป็น แต่ทั้ง ๆ ที่เที่ยวเพิ่มเติมปัจจัย ก็ไม่มีใครที่จะนึกถึงปัจจัยที่ห้า ถ้าอยากจะเติม อันเป็นปัจจัยที่สำคัญและมีค่าที่สุดต่อชีวิต ปัจจัยที่ห้าที่มนุษย์พึงแสวงหานั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ หรือคุณธรรมในจิต ฉะนั้นที่บอกว่าการศึกษาเป็นบ่อเกิดแห่งทิฏฐิ จึงเป็นคำพูดที่ดิฉันมีความรู้สึกว่าไม่รู้จะเถียงที่ตรงไหน เป็นคำพูดที่มีความถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะทิฏฐินั้นจะเป็นทิฏฐิที่ถูกต้อง คือเป็นสัมมาทิฏฐิ ความคิดเห็นที่ถูกต้อง หรือเป็นมิจฉาทิฏฐิ ความคิดเห็นที่ไม่ถูกต้อง มันก็มาจากการศึกษา การศึกษาที่ได้รับทั้งจากทางบ้าน ทางโรงเรียน จากสิ่งแวดล้อม แต่อย่างไรก็ตามมันต้องเริ่มมาจากการให้การศึกษาในจุดแรก แล้วมันก็กระจายออกไปในสิ่งแวดล้อมรอบตัว สังคม และก็ครอบครัว