แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อยากจะขอพักตอนนี้ เพื่อให้โอกาสยืดแข้งขาสักก่อนนะคะ แล้วถ้าหากมีคำถามใด มีกระดาษอยู่ในตะกร้านี้ค่ะ เชิญเขียนคำถามได้ แล้วก็ใส่ไว้ แล้วดิฉันจะรวบรวมตอบ ทั้งคำถามในการบรรยายธรรม แล้วก็ในการฝึกปฏิบัติ โปรดเขียนได้ตลอดเวลา แล้วก็ใส่ไว้ในนี้ เชิญพักสัก 10 นาที นะคะ
การมีชีวิตธรรมชาติหรือเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ จะนำความสุขมาสู่ตน แต่เพราะเหตุใด การมีคู่ครองอันเป็นเรื่องธรรมชาติอย่างหนึ่งผู้ปฏิบัติธรรมที่มิใช่ฆราวาสจึงควรเลี่ยง เช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการฝืนธรรมชาติหรือ? พูดง่าย ๆ ว่า การมีคู่ครองเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่ว่า ผู้ที่บวชหน่ะไม่มีคู่ครอง อย่างนี้เป็นการฝืนธรรมชาติหรือ? เข้าใจว่านี่เป็นคำถามนะคะ
ก็อยากจะตอบว่า ไม่เป็นการฝืนธรรมชาติค่ะ เพราะเหตุว่า ผู้ที่อยู่ในโลก เป็นฆราวาส ชาวบ้าน ไม่มีคู่ครอง ก็เยอะแยะไป เพราะการที่จะมีคู่ครองนี่ มันมีเหตุปัจจัยหลายอย่าง จะไม่พูดละเอียด ในเมื่อเราพูดถึงเรื่องของสัปปุริสธรรม นะคะ เอาไว้คอยฟังตอนนั้น ตอนนี้ก็ขอตอบสั้น ๆ ว่าไม่ผิด
ที่ว่าไม่ผิดนี่ เพราะว่ามันเป็นเหตุปัจจัยหลายอย่างประกอบนั่นเอง คำถามต่อไปว่า การควบคุมอารมณ์โกรธ ความรำคาญ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ ครั้ง ในระหว่างการประชุม ในขณะปฏิบัติงาน มีข้อแนะนำในการคุมสติในกรณีนี้ อย่างไรบ้าง?
นี่ก็ ที่จริงจะพูดต่อไป เมื่อเราพูดถึงอานาปานสตินะคะ แต่ที่นำมาตอบสักตอนนี้ ก็เพื่อเป็นการป้องกันอารมณ์ ที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่าง 11 วันนี้ เพราะว่าเราอยู่กันอย่างหนาแน่น อาจจะกระทบทางกายบ้างอาจจะกระทบ แล้วก็ทำให้กระทบทางใจบ้าง วิธีที่จะควบคุมได้ดีที่สุดนะคะ ก็คือการลืมตัว เข้าใจไหมคะ ลืมตัว หมายความว่าอะไร
ถ้าลืมตัวทางโลก แปลว่าอะไรคะ คนลืมตัวทางโลกเป็นไงคะ คนหยิ่งยโส โอหัง ไม่มีใครชอบ มีแต่คนเกลียด เพราะเรียกว่าเป็นคน คิดว่าตัวเป็นคนวิเศษกว่าคนอื่น ยกตนข่มท่าน นั่นคือลืมตัวในภาษาโลก แต่ลืมตัวในภาษาธรรมนั้นหมายความว่า ลืมเสียว่า เราเป็นใคร ก่อนจะมานี่นะคะ จะเป็นใครก็ช่าง โปรดทิ้งเอาไว้เสียที่ประตูเสถียรธรรมสถาน ข้างนอกประตู ไม่ต้องเอาความเป็นครู ความเป็นหมอ ความเป็นนิสิต นักศึกษา ความเป็นนายช่าง ความเป็นอะไรที่ ทำให้ที่ตัวตนมียิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ตลอดจนกระทั่ง ลืมเสียว่า เราเป็นหญิง หรือ เราเป็นชาย ได้ยิ่งดี รู้แต่ว่ามันมีการกระทำ แต่อย่างนั่น มันอาจจะมากไปนะคะ เอาแต่เพียงว่า ลืมว่าฉันเป็นใคร
อย่างน้อยที่สุด ที่อยากจะเป็นก็เป็นผู้ปฏิบัติธรรม ขณะนี้ทุกท่านเป็นผู้ปฏิบัติธรรม อันที่จริงแม้แต่ผู้ปฏิบัติธรรม ก็ไม่ต้องมีก็ได้ ถ้าเอาถึงที่สุดละก็ แต่ตอนนี้มีไว้ก่อนก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยพอนึกว่า เรามาปฏิบัติธรรม เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรม คำนี้ก็จะเตือน เตือนใจที่กำลังอยากจะโกรธ อยากจะขัดใจ อยากจะรำคาญ นะคะ
เพราะฉะนั้น ในการอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าในที่ประชุม หรือ ในที่ทำงาน หรือ แม้แต่ที่บ้าน ถ้าเราใช้วิธีลืมเสีย อย่างอยู่บ้าน ฉันเป็นแม่ ถ้างั้น นี่แกเป็นลูก ใช่ไหมคะ นี่พูดอย่างเสียงอ่อน ๆ แกเป็นลูก แกต้องฟังฉันหน่อยสิ ว่าฉันเป็นแม่ ถ้าพอดีกรีของความขัดใจมันมาก เสียงมันก็สูง มันก็ดัง มันก็กราดเกรี้ยวไปด้วย นี่คือ เพราะถือว่าฉันเป็นแม่
ข้างลูก ก็ฉันเป็นลูกนะแม่ ลูกของแม่นะนี่ ไม่ใช่คนอื่นนะ แม่ทำกับฉันได้ยังไง นี่ยึดมั่น เพราะฉะนั้น ถ้ายึดมั่นว่าเป็นอะไรเมื่อไหร่ มันมีแต่ปัญหาตามมา เพราะฉะนั้น คำแนะนำที่สั้นที่สุด ก็คือโปรดลืมเสีย ว่าเราเป็นใคร
สำหรับในขณะนี้ เราคือผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าเรากลับไปบ้านแล้ว เราก็คือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งเราจะพูดรายละเอียดกันต่อไปนะคะ ส่วนคำถามที่เกี่ยวกับเรื่องของการปฏิบัติทางจิตนะคะ ว่าจะควบคุมจิตอย่างไร จะดูจิตอย่างไรนั้น กรุณาอดใจรออีกนิดนึงค่ะ เพราะว่าในวันพรุ่งนี้ จะได้เริ่มต้นในเรื่องของทางจิตโดยตรงนะคะ
ส่วนข้อเสนอแนะของท่านที่เขียนมาบอกว่า เรื่องพูดเรื่องของชีวิตนี้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจและก็น่าที่จะเผยแผ่ เผยแพร่ให้ใคร ๆ ได้ทราบทั่วกัน ทางสื่อมวลชน เช่น หนังสือพิมพ์ หรือวิทยุ โทรทัศน์ อะไรอย่างนี่ ก็เห็นด้วยค่ะ เห็นด้วยว่าควรจะได้มีการทำก็ต้องช่วยกันคนละไม้ คนละมือ อยากจะขอกลับมาพูดถึงช่วงชีวิตที่สำคัญของมนุษย์ นั่นคือช่วงชีวิตเบื้องต้น
คือช่วงชีวิตแห่งการศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่ของท่านที่นั่งอยู่ในที่นี่ เป็นนิสิต นักศึกษา อยู่ในช่วงของการศึกษา แล้วก็ท่านครูบาอาจารย์ ท่านผู้ที่ทำงานแล้วที่ผ่านช่วงของการศึกษามา ถึงแม้จะผ่านมาแล้ว แต่ก็อาจจะย้อนหลังเพื่อใคร่ครวญดูว่าการศึกษาในช่วงชีวิตที่ผ่านมานั้น เป็นยังไง มีสิ่งใดเป็นปัญหา เป็นอุปสรรคบ้างหรือไม่ แล้วก็จะแน่ใจได้อย่างไร ว่าช่วงชีวิตของการศึกษาที่ผ่านมานั้น จะเป็นแนวส่งไปให้สู่ช่วงชีวิตสุดท้าย แห่งความสุข สงบเย็นได้ สมปรารถนา ถ้าไม่ได้ เพราะอะไร มันมีอะไรที่เราควรจะใคร่ครวญ คิด เพื่อแก้ไขปรับปรุงในเรื่องของการศึกษาบ้างไหม
ช่วงชีวิตของการศึกษานั้น เราก็ต้องดูตั้งแต่เริ่มต้น ว่าอะไรคือจุดมุ่งหมายของการศึกษา หรือ อุดมคติของการศึกษา นี่เราไม่ดูการศึกษาที่จัดการศึกษากันในบ้านในเมือง แต่เรามาดูจากความเป็นจริงของชีวิต ดังที่ชีวิตต้องการนี่ อะไร นะคะ
จุดมุ่งหมายหรืออุดมคติของการศึกษาก็คือ เพื่อให้เกิดความรอดแก่ชีวิตในทุกความหมาย ให้เกิดความรอดแก่ชีวิตในทุกความหมาย นี่เป็นเป้าหมายสูงสุด หรือ เป็นอุดมคติสูงสุดของการให้การศึกษา คำว่าเพื่อความรอดในทุกความหมาย หมายถึงอะไรบ้าง ก็คือความรอดทางกาย ความรอดทางจิต ความรอดทางวิญญาณ การศึกษาที่เราได้รับจากทางบ้านก็ดี จากสถาบันการศึกษา โรงเรียน วิทยาลัยมหาวิทยาลัยก็ดี ส่วนมากเน้นไปที่ความรอดทางกาย ใช่ไหมคะ เราให้ความรู้ในวิชาการต่าง ๆ แก่ลูกศิษย์ แก่นักเรียน อย่างเต็มที่ ศาสตร์ต่าง ๆ มีมากมาย เพิ่มเติมขึ้นทุกวัน เพื่อให้เป็นคนมีความรู้มีความรู้มากเท่าไหร่ ก็จะได้เปรียบในการที่จะไปหางานการทำ เพื่อที่จะได้มีตำแหน่งการงาน มีเงินเดือน สำหรับที่จะเลี้ยงดูชีวิตนี้ ให้ได้มีความสะดวก มีความสบาย และส่วนมาก เราก็ได้รับผลจากการศึกษาในโรงเรียน ในวิทยาลัย มหาวิทยาลัย ในลักษณะนี้ คือพอเรียนจบมา ก็สามารถหางาน หาการทำ เลี้ยงชีวิต เลี้ยงตัวได้ เลี้ยงครอบครัวได้ แล้วแต่จะทำงานส่วนตัว ทำงานราชการ หรือจะทำงานในด้านไหน แต่ก็สามารถจะเลี้ยงไปได้ ตามอรรถภาพของตน
แต่เมื่อหันมามองดูทางจิต รอดไหม รอดไหมคะ ทุกท่าน โดยเฉพาะท่านที่ทำการงานแล้วจะตอบได้เอง รอดไหม คำว่ารอดในที่นี่ รอดทางจิต หมายความว่าอย่างไร ก็คือ หมายความว่าการศึกษานั้น ได้ช่วยให้จิตนี้รอดพ้นจากปัญหา จากสิ่งที่เป็นปัญหา หรืออีกนัยย์หนึ่ง ก็คือจากสิ่งที่เป็นความทุกข์ ถ้าพูดตามทางธรรม ทางธรรมะ ก็เรียกว่าความทุกข์ ที่มนุษย์เกลียดกลัว ไม่อยากเข้าใกล้ พยามที่จะดิ้นรนหนีความทุกข์ แต่เมื่อพูดตามทางโลก ทำไมจึงทุกข์ มันทุกข์เพราะชีวิตมีปัญหา ใช่ไหมคะ
ปัญหาทางบ้าน ทางครอบครัว เช่น ทางเศรษฐกิจ การเงินไม่พอใช้ พ่อบ้านแม่บ้านไม่ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง ลูกหลานไม่ดีดังต้องการ คนใช้ไม่ได้อย่างใจ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ข้าวไม่อร่อย นอนไม่สบายนี่คือปัญหา ที่เราพบอยู่ในชีวิต แล้วทำให้จิตนี้มันขุ่นมัว อึดอัด หงุดหงิด ไม่สบายตลอดเวลา นี่คือปัญหาทางจิต ที่เราไม่รอด ยิ่งพอไปถึงที่ทำงาน หลายคนจะบอกว่าเหมือนนรก ที่ทำงานฉันน่ะ พอย่างเท้าเข้าไปเหมือนนรก ร้อน ร้อน ร้อนเพราะอะไร ก็เพราะปัญหา ปัญหากับเพื่อนร่วมงาน ผู้บังคับบัญชา ลูกน้อง ลูกศิษย์ นักเรียน นิสิต สารพัดน่ะ แต่ลืม ลืมที่จะนึกว่า แล้วปัญหาที่เกิดนี่ เรามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยไหม เรามักจะมองไปที่อื่น เพราะฉะนั้น ก็พูดได้ว่าการศึกษาที่จัดในสถาบันการศึกษาทุกระดับ
ในปัจจุบันนี้ ไม่ได้ช่วยให้มนุษย์เกิดความรอดในทางจิต พูดได้ยังไง ก็พูดได้จากเราดูจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับสังคมทุกวันนี้ ที่เราพบในสังคมทุกวันนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกรูปแบบ แล้วก็ในทุกวงการด้วย ปัญหาผู้หญิง ที่จะเรียกว่าเป็นโสเภณี บางทีก็ไม่ใช่เพราะถูกบังคับหรือล่อลวง เพราะสมัครใจก็มีไม่เยอะ เพราะถูกบังคับ ถูกล่อลวง ในฐานะที่ยังเป็นผู้วัยเยาว์ ก็มีอีกมาก มีปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น ก็เพราะเหตุว่า ในทางจิตมันมีปัญหา ทางจิตของคนแต่ละคน มันมีมลพิษอยู่ มลพิษที่เกิดขึ้นในจิตนี่ มันก็เลยพ่นออกข้างนอก ทำให้เกิดมลพิษภาวะทางอากาศ ทางน้ำ ทางอาหาร แม้กระทั่งบนบก ทั้งในน้ำ ทั้งบนดิน มันเกิดมลพิษภาวะไปหมดเลย เพราะจากจิตของคนที่มันมีมลพิษภาวะ แห่งตัณหา ความอยากแห่งการตกเป็นทาสของความโลภ ความโกรธ ความหลง จริงไหม
นี่ไม่ได้เอาอะไรมาพูดข่มขู่ แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้น เพราะอย่างนี้ใช่ไหม นี่คือจุดอ่อน หรือช่องโหว่ของการจัดการศึกษาในปัจจุบัน ที่ไม่ได้ช่วยเน้นให้เกิดความรอดทางจิต เพราะฉะนั้นที่ครอบครัว คนที่เป็นพ่อ เป็นแม่ แม้แต่เป็นปู่ย่า ตายาย ก็ยังหนีไม่พ้นปัญหา แล้วเมื่อปู่ย่า ตายาย พ่อแม่มีปัญหาจะให้ลูกหลานรอดพ้นไปจากปัญหาได้อย่างไร อย่างน้อยก็ต้องพบความกราดเกรี้ยว ความเอาแต่ใจตัว ของพ่อ ของแม่ ของปู่ย่า ตายาย มันก็ตกทอดกันมาตลอด นี่คือจุดโหว่ ช่องโหว่ของการให้การศึกษาในปัจจุบัน เพราะไปเน้นแต่การให้ความสำเร็จในอาชีพ ให้มีชื่อ มีเสียง ให้มีหน้า มีตา ให้เป็นอะไรได้มากกว่าเพื่อนฝูงในรุ่นเดียวกัน นั่นคือความสำเร็จของชีวิต นี่คือ สิ่งที่เน้นในสถาบันการศึกษาทุกระดับ
เพราะฉะนั้น ผู้ที่จบออกมาจากวิทยาลัย จากมหาวิทยาลัย จึงเต็มไปด้วยเป้าหมายหรือความยึดมั่นในอุดมคติอันนี้ ฉันจะต้องมีความสำเร็จในชีวิต แล้วจากสัญชาติญาณที่มีอยู่ ที่ต้องการมีมากกว่าเขา ก็ใช้สัญชาติญาณอันนี่กระตุ้น ที่จะเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ กวาดคนอื่นออกไปให้พ้นนอกทาง เพื่อฉันจะได้ก้าวหน้า ออกไปเร็ว ว่องไวกว่าคนอื่นเขา นี่คือจุดโหว่ของการศึกษา ที่ดิฉันขอเน้นว่าเราต้องแก้ไข แม้จะแก้ไขกันอยู่ในขณะนี้ เอาพระไปเทศน์ เอาเด็กไปวัด นั่นคือเอาตัวไป ใช่ไหมคะ นิมนต์พระมาเทศน์ ถูกบังคับให้มาฟัง เครียด ในขณะที่ฟังไม่ได้ชุ่มชื่น เบิกบาน เครียด ง่วง แล้วบางทีแช่งด่าอยู่ในใจ ใครน๊า มันหัวคิดดี จัดรายการอย่างนี้ บังคับกันชัด ๆ ธรรมะไม่ได้เข้าไปสู่ใจเลย นี่คือวิธีแก้ปัญหาที่นักการศึกษาทำกันอยู่ในปัจจุบันนี้
มันจึงเป็นการแก้ การแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด แต่กลับยิ่งเพิ่มปัญหา อย่างเราเห็นข่าวหนังสือพิมพ์ ทบวงส่งประกาศ แสดงอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่พวกนักเรียนใช้ เพื่อที่จะคิดทุจริตในการสอบเข้า สอบเอ็นทรานซ์ นี่อ่านพบจากหนังสือพิมพ์ นี่มันอะไร นี่คือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุหรือที่ปลายเหตุ แล้วที่เหตุมันเกิดขึ้นอย่างนี้ เพราะอะไร
เห็นไหมคะ จนกระทั่งจะสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย ก็ยังต้องมีการบอกผู้คุมสอบให้รู้ว่าอุปกรณ์มีอย่างนี้นะ เป็นปากกาบ้าง เป็นคอมพิวเตอร์บ้าง เป็นโทรศัพท์ติดตัวบ้าง ดูให้ดี นี่มันเพิ่มงานทั้งนั้น ไม่เป็นการประหยัดเลย คนคุมสอบก็พยายามหนี ไม่อยากคุมสอบ เพราะไหนจะเหนื่อย แล้วไหนอาจจะถูกหาว่าเป็นใจควบคุมสอบไม่เรียบร้อย ทำหน้าที่ไม่ถูกต้อง โดนวินัยต่อไปอีก
แก้ไขยังไง เพิ่มเงินค่าคุมสอบ เอาวัตถุเข้ามาล่อ เกิดผลไหม ไม่ได้เกิดผล กำลังความจำกัดในการทำงานของคน ก็มีเท่านี้ เพราะฉะนั้น นี่คือจุดโหว่ของการศึกษา ไม่ได้ช่วยให้เกิดความรอดในทางจิต ชีวิตนี้พบปัญหา คือความทุกข์ทุกรูปแบบ ตั้งแต่เล็ก ๆ น้อย ๆ จนกระทั่งถึงใหญ่ ยิ่งความรอดทางวิญญาณ ยาก
วิญญาณในที่นี่ ก็โปรดอย่าเข้าใจว่า รอดจากการถูกผีหลอก ไม่ใช่นะคะ พวกเด็ก ๆ สาว ๆ หนุ่ม ๆ ไม่ใช่ วิญญาณในพุทธศาสนา ท่านหมายถึงสติปัญญา นี่คือวิญญาณในพุทธศาสนา หมายถึงสติปัญญาเพราะฉะนั้น เพื่อความรอดในทุกความหมาย ก็คือ กายก็รอด รอดด้วยการที่สามารถใช้กายนี้ทำมาหากิน ตั้งหลักฐาน เลี้ยงตัวเอง ให้ความสะดวกสบายแก่ตัวเอง และครอบครัวได้ ช่วยให้จิต ไม่ต้องผจญกับปัญหาอยู่ทุกวี่ทุกวัน ถึงแม้ปัญหามันจะเกิด ก็ไม่ถือเป็นปัญหา ให้เป็นความทุกข์ แต่ใช้สติปัญญา จะแก้ไขปัญหานั้น ให้ลุล่วงไปด้วยดี เพราะฉะนั้น ความรอดทางวิญญาณ
จึงหมายถึง ความรอดทางสติปัญญา ที่การศึกษาจะต้องให้ ให้ ๆ ถูกต้อง ที่ไม่สามารถจะหลีกรอดจากปัญญาหาได้ ก็เพราะเหตุว่า สติปัญญานั้น มันคิดไม่ถูกต้อง ไม่อยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง สติปัญญาที่ถูกต้อง ก็คือ สติปัญญาที่เมื่อคิดแล้ว ไม่นำใจให้เกิดความทุกข์ ถ้าหาก เมื่อคิดเรื่องใด แล้วก็พูดออกมา แล้วก็ทำตามความคิดทำ ตามคำพูดนั้น แล้วทำให้ชีวิตนี้พบปัญหา เกิดความทุกข์ นั่นเป็นสติปัญญาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ต้องการนี้ก็คือ สติปัญญาที่ถูกต้อง
ฉะนั้นจุดมุ่งหมาย หรือ อุดมคติของการศึกษา จึงต้องให้การศึกษาทั้ง 3 อย่าง เพื่อความรอดของทั้ง 3 อย่าง ชีวิตนั้นจึงจะสมดุล เป็นชีวิตที่ร่มเย็นเป็นสุข เป็นชีวิตที่ไม่เบียดเบียนตนเอง เมื่อไม่เบียดเบียนตนเองก็ไม่คิดเบียดเบียนคนอื่น มีแต่จะแบ่งปันกัน ให้กัน ฉะนั้น ดิฉันจึงอยากจะเสนอแนะสิทธิของมนุษยชนที่ถูกต้อง แล้วก็เป็นสิทธิของมนุษยชนที่เป็นสากลด้วย เป็นสากลอย่างชนิดฝรั่ง ที่ถือว่าเจริญนักก็เถียงไม่ได้ นั่นก็คือสิทธิมนุษยชน ที่จะต้องรอดพ้นจากปัญหา หรือ ความทุกข์
มนุษย์ทุกคนมีสิทธิมนุษยชน ที่จะรอดพ้นจากปัญหา และความทุกข์อย่างเท่าเทียมกันนี่เป็นสิทธิของทุกคน และเป็นสิทธิที่ไม่ต้องแย่งกันด้วย แต่เราไม่ได้เคยให้สิทธิ หรือ หยิบยื่นสิทธิเช่นนี้แก่เพื่อนมนุษย์เลย เรามัวแต่ไปขอสิทธิสตรี สิทธิบุรุษ สิทธินายจ้าง สิทธิคนทำงาน สิทธิกรรมกร สิทธิของประเทศด้อยพัฒนา สิทธิสารพัด สิทธิแบบนั้นเท่าไหร่ก็ไม่จบ เพราะตัณหาของมนุษย์ ไม่มีขอบเขต
ความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่มีขอบเขต แต่ว่าสิทธิที่มีขอบเขต เป็นสิทธิที่ถูกต้อง เป็นสิทธิที่มนุษย์ทุกคนพึงมี นั่นคือสิทธิของมนุษยชน ที่จะต้องมีความรอดพ้นจากปัญหา ทุกปัญหา หรือมีความรอดจากความทุกข์ อย่างเท่าเทียมกัน
ฉะนั้น จุดมุ่งหมายหรืออุดมคติของการศึกษา จึงเป็นสิ่งที่เราน่าจะนำมาพูดกันให้ชัดเจน แล้วก็มองดูสิว่า ในระบบของการให้การศึกษา ตั้งแต่แผนการศึกษาแห่งชาติเป็นต้นมา จนถึงหลักสูตร ได้พูดถึงเรื่องอุดมคติของการศึกษา หรือ จุดมุ่งหมายของการศึกษา เพื่อพัฒนาเด็กให้มีความรอดครบทั้ง 3 อย่างนี้หรือเปล่า ความรอดทางวิญญาณ คือทางสติปัญญา เป็นสิ่งนำชีวิต ถ้าสติปัญญาถูกต้อง จะรู้จักพัฒนาจิตให้ถูกต้อง รู้จักพัฒนากายให้ถูกต้อง เพราฉะนั้น สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก
ดิฉันจะหยุดตรงนี้ก่อน เพราะเรายังจะพูดต่อไปในเรื่องนี้อีก