แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพราะฉะนั้นท่านจึงบอกว่า เวทนานี้เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์นักหนา ที่มนุษย์ต้องมีชีวิตที่ไม่ว่าง มีแต่ความวุ่นวาย สับสน เกลือกกลิ้ง ซัดส่ายไปมา ไม่มีชีวิตที่ว่าง สงบเย็นได้ก็เพราะตกเป็นทาสของอิทธิพลของเวทนา คือยอมใจให้เป็นตกอยู่ในใต้อิทธิพลของเวทนา ท่านจึงกล่าวว่า ถ้าหากว่าบุคคลใดสามารถฝึกฝนอบรมใจจนกระทั่งเป็นนายเหนือเวทนาได้คือไม่ให้เวทนามามีอิทธิพล ผลักไส ชักเย่อจิตใจซ้ายขวาไปมาได้แล้ว บุคคลนั้นจะสามารถมีอิทธิพลเหนือโลก หรือพูดง่ายๆ ก็คือว่า สามารถจะเหยียบโลกนี่เอาไว้ใต้อุ้งเท้าได้ ถ้าผู้ใดสามารถฝึกฝนอบรมใจอยู่เหนือเวทนา ก็จะสามารถเหยียบโลกเอาไว้ใต้อุ้งเท้าได้
โลก ล.ลิงนี่ ก็เชื่อว่าทุกท่านเข้าใจดีว่าโลกที่ท่านพูดถึงในที่นี้ มิใช่โลกกลมๆ เบี้ยวๆ ที่เราอยู่ ขรุขระข้างนอก นั่นมันเป็นโลกวัตถุ เป็นโลกตามที่เราเรียนจากวิชาภูมิศาสตร์ ว่ามีลักษณะอย่างนั้น ไม่ได้หมายถึงโลกอย่างนั้น โลกอย่างนั้นมันก็เป็นของมันอย่างนั้นตามธรรมชาติ แต่ท่านบอกว่าที่สามารถเหยียบโลกได้คือโลกอะไร โลกที่อยู่ที่ไหนคะ นึกออกไหมคะ โลกนี้อยู่ที่ไหน ที่เราจะเหยียบโลกได้น่ะโลกนี้อยู่ที่ไหนนึกออกไหมคะ อยู่ข้างใน ก็ลองนึกดู ตั้งแต่เช้าลืมตาขึ้นจนเดี๋ยวนี้ มีโลกกี่ใบ มีโลกกี่ใบ หรือว่าเผอิญมาอยู่ที่นี่ นี่เข้าวันที่7แล้ว ที่มันมีวันละ10ใบ 20ใบ มันก็เลยค่อยๆ ลดลงๆ แต่ถ้าอยู่บ้านจะสังเกตเห็นชัดเลย พอลืมตาขึ้นมา ทั้งที่พระอาทิตย์ส่องแสงจ้า แต่วันนี้โลกมันหม่นมัว พระอาทิตย์ก็ส่องแสงจ้า แดดก็จ้า แต่โลกมันหม่นมัว ความหม่นมัวนั้นมันอยู่ที่ไหนคะ เกิดขึ้นที่ไหน เกิดขึ้นที่ข้างใน คือภายในใจ ที่มันเกิดเป็นโลกหม่นมัวก็เพราะอะไรล่ะมารบกวน คะ ก็เวทนา ก็เวทนานั่นแหละมันมารบกวน และก็เป็นเวทนาชนิดไหน ทุกขเวทนา คือเวทนาที่เกิดจากความรู้สึกไม่ถูกใจ ไม่ชอบใจ ไม่ได้อย่างใจ จนเป็นความสูญเสีย เสียตำแหน่งการงาน เสียเพื่อน เสียคู่รัก หรือบางทีก็เสียลูก เสียเงิน เสียสิ่งที่ตัวรักตัวพอใจด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของฉัน เพราะฉะนั้นพอลืมตาขึ้น เช้าวันนี้มันอ่อนเปลี้ยเพลียแรง อะไรๆ มันหมองมัวดูมันมืดไปหมด แข็งใจลุกขึ้น ทั้งๆ ที่โลกหม่นมัวนั่นน่ะ พอตอนสายๆ รับประทานข้าวแล้ว มีคนเขามาบอก ตำแหน่งนั้นที่เขาว่าเขาจะย้ายคุณไปเขาจะไม่ให้ ตอนนี้เขาให้คืนคุณแล้ว ให้คุณอยู่ที่เดิม โลกที่หม่นมัวเป็นยังไง ค่อยๆ สว่าง ค่อยๆ สว่าง แสงอาทิตย์ก็คงแสงอาทิตย์ ถึงแม้ฝนจะตก เมฆจะครึ้ม โลกนี้ก็ยังสว่างอยู่นั่นเอง เพราะอะไร เพราะมันเกิดจาก สุขเวทนา จากทุกขเวทนามันเปลี่ยนเป็นสุขเวทนา เพราะเกิดความรู้สึกพอใจ ดีใจ ที่ได้สิ่งที่ได้คิดว่ามันสูญเสียกลับคืนมา เพราะเรายึดมั่นว่าถ้าได้อันนี้มามันต้องดีแน่ เห็นไหมคะ เวทนามันทำให้จิตใจนี่แหละซัดส่ายไปซ้ายไปขวา ตกอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าสิ่งคู่ ตกอยู่ในระหว่างสิ่งคู่
เมื่อวานนี้เราพูดถึงว่า นิโรธจะเกิดขึ้นได้ ต้องสามารถฝึกอบรมจิตให้อยู่เหนือสิ่งคู่ สิ่งคู่นี่แหละมันกระตุ้นให้เป็นเวทนา แล้วก็เข้ามายึดหน่วงอยู่ในอารมณ์ ฉะนั้นโลกมันก็ใส แต่ประเดี๋ยวสักบ่ายๆ มีโทรศัพท์มาว่า ที่มาส่งข่าวไว้เมื่อตอนสายๆ ไม่ค่อยจะแน่นักนะ มันอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ เป็นยังไงอีกแล้วโลกนี่ โลก ล.ลิง ใจเป็นไงอีกแล้ว เริ่มจะค่อยๆ มัวสลัวลงนิดหน่อยแล้ว เพราะตอนนี้มันจะเป็นยังไง มันจะอยู่ในเวทนาอย่างไหน คะ มันไม่แน่นะ อทุกขมสุขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา เขาจะย้ายเรา หรือเขาจะไม่ย้าย หรือเขาจะให้อยู่ที่เดิม เขาจะว่ายังไง อยู่อย่างนี้ หม่นมัวสลัวเพราะความลังเลสงสัย ความไม่แน่ใจ จนกระทั่งเป็นความกลัว กลัวจะสูญเสีย กลัวจะไม่ได้ เห็นไหมคะ อันที่จริงแล้ว โลกก็คือโลก สิ่งใดที่เกิดขึ้นมันก็ต้องเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แต่นี่เพราะความยึดมั่นถือมั่น จึงทำให้จิตใจของมนุษย์นั้น ถูกยึดหน่วงอยู่ด้วยเวทนา จนกระทั่งกลายเป็นจิตใจที่หาใช่ของตนไม่ ถึงแม้จะร้องบอกว่าเป็นใจของฉัน แต่ก็หาใช่ใจของตนไม่ เพราะปล่อยใจนั้นไปเป็นทาสของเวทนา ด้วยอำนาจของอวิชชา คือสภาวะของจิตที่ไม่รู้ในสิ่งที่ควรรู้ แล้วก็ยอมปล่อยให้มันงมงายตกเป็นเหยื่อของสิ่งนั้นตลอดไป ท่านจึงบอกว่า เวทนานี้มีอิทธิพลต่อชีวิตของมนุษย์นักหนาเลย จงศึกษาเวทนา ถ้าสามารถศึกษาเวทนาได้จนเห็นชัดประจักษ์แจ้งในเรื่องของเวทนาว่ามันหาใช่จริงไม่ เมื่อนั้นก็จะสามารถควบคุมโลกได้ เหยียบโลกไว้ในอุ้งเท้าได้
ทำไมเวทนามันจึงน่ากลัว เป็นอันตรายแล้วก็ร้ายกาจ ก็เพราะเมื่อเวทนาเกิดขึ้น พอมีความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ ถูกใจ ไม่ถูกใจ เกิดขึ้น มันจะพาอะไรตามมาด้วย นึกออกไหมคะ จะพาอะไรตามมาด้วย ถ้าสมมติว่าผู้ใดเคยมีประสบการณ์ลงท้อง ท้องร่วงอย่างแรงด้วยการรับประทานเห็ด ทั้งที่เป็นของชอบ เพราะชอบมากก็เลยกินมาก ก็เลยท้องร่วงเสียเกือบจะตาย ทีนี้อันนี้ เราเรียกว่าเป็นอะไร สิ่งที่เราได้ประสบมา มันเป็นอะไรอยู่ในใจ เป็นสัญญา ใช่ไหมคะ เป็นความสำคัญมั่นหมายความจำได้อยู่ในใจ พอวันนี้กำลังจะรับประทานข้าว แหมก็มีของโปรดออกมาอีกแล้ว เจ้าเห็ดน่ะ ยำเห็ด อร่อย น่ากลัว ในขณะนั้นจิตปกติไหม พอมองเห็นเห็ด ปกติไหม ไม่ปกติ อะไรเกิดขึ้น ที่จิตมันเริ่มซัดส่าย จงทราบเถิดว่าไม่มีอะไรที่มากระตุ้นให้มันซัดส่ายนอกจากอะไร เวทนา เวทนาเกิดขึ้นแล้วใช่ไหมคะ อันแรกก็คือเป็นอะไร พอใจหรือไม่พอใจ พอใจ ชอบใจ เอื้อมมือจะไปตัก สติมีนิดหน่อย เวทนาอันนี้ที่มันเกิดขึ้น มันก็จะนำเอาอะไรมา สัญญา นำเอาสัญญาที่ไม่ช้าไม่นานนี่เองนะ เราท้องร่วงใหญ่เพราะเห็ดของชอบนี่แหละ มือที่จะเอื้อมไปตักก็ชักหยุดมาก่อน ทีนี้พอมันทำมันนำสัญญามา เวทนามันจะนำสัญญา พอนำสัญญามาแล้ว สิ่งที่ตามมาต่อจากสัญญาก็คือสังขาร คือคิดนึกปรุงแต่งขึ้นมาทันที แต่คราวนี้เขาคงทำสะอาด เรียบร้อยไม่มีพิษ ปรุงแต่ง ปรุงแต่ง เพราะ เข้าข้างใคร เข้าข้างตัวเอง มีความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้งเพราะของชอบ ถึงจะจำได้ แต่ก็มีการปรุงแต่ง ต่อไป ปรุงแต่งด้วยความยึดมั่นถือมั่น เชื่อมั่นว่าคราวนี้คงไม่ต้องเป็นอะไรแน่เพราะแม่ครัวคนนี้ได้ยินชื่อใครๆ ชม ว่าเขาสะอาดเขารอบคอบ เขาจะไม่ทำอะไรที่สกปรกที่ไม่แน่ได้เลย เพราะฉะนั้นจากสัญญา มันก็พาเอาสังขาร แล้วก็พาเอาอุปาทานตามมา พออุปาทานมาแล้วมันยึดมั่นในอย่างนั้นแล้ว ก็จะเกิดตัณหา คือความอยาก ตามแต่ว่าเวทนานั้นชอบหรือไม่ชอบ ถูกใจหรือไม่ถูกใจ มันก็จะเป็นตัณหาตามขึ้นมาทันที ฉะนั้นพอสัญญาอะไรเกิดขึ้นละก็ พอเวทนาอะไรเกิดขึ้น ที่ว่ามันร้ายก็เพราะว่าไม่มาคนเดียว มันจะนำเอาสัญญา นำเอาสังขาร นำเอาอุปาทาน นำเอาตัณหา เข้ามาร่วมกันช่วยทำงาน ผลักดันให้อัตราของเวทนานั้นสูงขึ้น มากขึ้น รุนแรงขึ้น มันไม่ได้มีแต่ตัวมันคนเดียว มันมีพรรคพวกเยอะ
ฉะนั้นจึงต้องศึกษา เรื่องของเวทนา ให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง โดยเฉพาะเวทนาที่ชื่อว่า สุขเวทนา ทำไมจึงต้องศึกษาสุขเวทนาให้แจ่มแจ้ง ก็เพราะว่ามนุษย์เราตกเป็นทาสของสุขเวทนาอยู่แล้วโดยธรรมชาติ หรืออีกในหนึ่งก็คือว่าสุขเวทนาเป็นยอดปรารถนาของมนุษย์ ใช่ไหมคะ ที่พยายามตะเกียกตะกายกระทำทุกสิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำเพื่อสุขเวทนา เราดูจากเหตุการณ์ที่เกิดในชีวิตของเรา หรือจากผู้ที่เรารู้จัก จากเหตุการณ์ที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์สื่อมวลชน ดูเถอะ ทำไมเขาจึงทำอย่างนั้นๆ ทั้งในทางบวกทางลบ เพราะเขาอยากได้สุขเวทนา แล้วก็สุขเวทนาของคนก็มีแตกต่างกันไปตามทิฐิ ไปตามสติปัญญา ไปตามพื้นภูมิของแต่ละคน มันจึงมีสิ่งที่น่ากลัว เป็นปัญหาเกิดขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นท่านจึงบอกว่า ต้องรู้จักสุขเวทนาให้ดี มีสติตามดูจนรู้เท่าทันความเป็นมายาของมัน
ฉะนั้นการที่จะดูสุขเวทนาหรือให้รู้เท่าทันความเป็นมายาของเวทนานั้น อันแรกก็ต้องรู้จักลักษณะอาการของเวทนาแต่ละอย่างว่ามันเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าเป็นสุขเวทนามีลักษณะอาการยังไงคะ ลิงโลด ตื่นเต้น หัวเราะร่า บาน ไม่ใช่เบิกบาน มันบาน เข้าใจไหมคะที่ดิฉันใช้คำว่าบาน กับเบิกบานมันต่างกันยังไง มันบาน มันบานด้วยความหลง ว่าเราได้อย่างที่ต้องการโดยหารู้ไม่ว่า มันจะเหี่ยวมันจะร่วงได้ในบัดดลเลย มันไม่ได้อยู่นานอะไรนักหนา นะคะ เพราะฉะนั้น มันก็มีอาการลิงโลด ตื่นเต้น เริงร่า แล้วก็บางทีอาจจะปนกับความ ทระนง ยโส เพราะหลงไปว่าเราได้อย่างที่เราคิด เราได้อย่างที่เราต้องการ เรามีอะไรวิเศษเหนือกว่าคนอื่น เป็นต้น ซึ่งแล้วแต่อัตราของความหลงที่มีอยู่ในใจว่าจะมากเพียงใด แต่ถ้าหากเป็นความรู้สึกอึดอัด หงุดหงิด หดหู่ เศร้าหมอง มึนซึม นี่ก็เป็นอาการของทุกขเวทนาที่มันตรงกันข้าม
ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติที่ได้พยายามศึกษาเรื่องของความทุกข์ตามอริยสัจสี่ และก็เมื่อมาศึกษาเรื่องของเวทนา ก็จะเห็นชัดเองว่าอาการที่มันเกิดขึ้นในจิตที่เรียกว่าเป็นอาการของความทุกข์ มันก็มาจากเวทนา แต่ทีนี้เมื่อเราพูดถึงสมุทัยของความทุกข์ เราก็บอกว่าตัณหา มันก็คือสิ่งที่มันมาด้วยกัน แต่ตอนนี้เรากำลังจะใช้ เวทนาเพื่อเป็นเครื่องมือในการที่จะศึกษาพัฒนาจิต ให้ยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นเราก็หยิบเอาเวทนามาศึกษาโดยเฉพาะ