แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ถ้าหากว่าผู้ใดคิดว่าจะต้องการทำอะไรสักอย่างหนึ่งนะคะเพื่อที่ได้มาอบรมคราวนี้ ก็ขอจงตั้งใจปฏิบัติ แล้วก็จะมองเห็นผลเองภายในอีกไม่กี่วันที่เราจะได้สิ้นสุดการอบรมแล้ว วันที่ 7,8,9,10,11 ก็เหลืออีก 5 วัน ถ้าไม่นับวันนี้ก็เหลืออีก 4 วันเท่านั้นเอง แล้วก็จะได้ไปพูดไปคุยไปทำอะไรตามใจของตนอย่างเต็มที่ แต่ขอจงได้ใช้เวลาที่เราอยู่ที่นี่ให้เกิดประโยชน์ให้เต็มที่เพื่อให้คุ้มค่าที่ได้อุตส่าห์เสียสละเวลามา แล้วก็จะได้รู้สึกว่าธรรมะที่เขาว่าครึ ที่เขาว่าใช้ไม่ได้ไม่เป็นเรื่อง เป็นเรื่องของคนแก่ จริงไหม ชีวิตนี้ต้องการธรรมะ จริงไหม ขอให้ใช้เวลา 4-5 วันย้ำอยู่จุดนี้ให้แน่ๆ ว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ต้องการจริงไหม เป็นปัจจัยที่5ของชีวิต จริงไหม
ถ้าหากว่าผู้ใดเห็นจริงก็คุ้มค่าแก่การที่มา เพราะจะได้นำสิ่งนี้ไปเพื่อไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิต จะได้อยู่บ้านอย่างเย็น และก็ทำงานอย่างเย็น ไม่ต้องมีชีวิตร้อนเหมือนอยู่ในนรกอีกต่อไป ก็หวังว่าจะได้พยายามฝึกปฏิบัติกันด้วยความตั้งใจ และก็ด้วยความสบายใจ ไม่ต้องวิตกกังวลและก็พยายามที่จะให้จิตอยู่ในจิต จิตอยู่ในจิตทำอย่างไร ก็ขอใช้คำของคุณแม่เขาสวนหลวงที่ท่านบอกว่า วิธีที่จะเอาจิตอยู่ในจิตก็คือว่าต้องดูจิต ดูจิตก็คือเอาจิตนี้แหละดูจิต ดูจิตแล้วก็รู้จิตให้ติดต่อ ดูจิตรู้จิตให้ติดต่ออย่างไร ก็ขอเล่าเรื่องพระภิกษุสามองค์ซึ่งหลายท่านคงได้ยินมาแล้วในสมัยพทุธกาล ในเรื่องนั้นเล่าว่า มีภิกษุ 3 องค์ตกลงกันก่อนเข้าพรรษาว่าจะไปปฏิบัติด้วยกัน แล้วก็จะปฏิบัติให้เต็มที่เลย ด้วยการอยู่เงียบ แยกกันอยู่ ไม่พูดไม่คุยกัน ต่างคนต่างปฏิบัติ พอออกพรรษาแล้วจึงค่อยมาพูดกัน คือมาพบกันมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการปฏิบัติ ตกลงกันแล้วต่างคนต่างก็แยกกัน ยกเว้นว่าองค์ใดเจ็บป่วยก็บอกกันได้จะได้ช่วยเหลือกัน ทีนี้พอออกพรรษาเสร็จท่านก็มาพบกันก็ถามว่าการปฏิบัติเป็นยังไงในระหว่างพรรษานี้ องค์ที่หนึ่งก็บอกว่า ผมไม่เคยปล่อยจิตของผมออกไปนอกวัดเลย องค์ที่สองบอกว่า ในพรรษานี้ผมไม่เคยปล่อยจิตออกนอกกุฏิอย่างมากก็อยู่ในกุฏิ องค์ที่สามก็บอกว่า ผมไม่เคยปล่อยจิตของผมออกนอกกายนี้เลย ในสามองค์นี้องค์ไหนที่ปฏิบัติเยี่ยม ปฏิบัติจริง ก็องค์ที่สามเพราะท่านไม่เคยปล่อยจิตนี้ให้ออกนอกกายนี้
ชีวิตประกอบด้วยกาย จิต จิตนั้นคงทำงานคิดค้นอยู่ภายในจิตตลอดเวลา นี้คือคำตอบหรือคำอธิบายว่า จิตอยู่ในจิตเป็นยังไง ไม่เคยให้ออกไปข้างนอก ดอกบัวสวยก็สักแต่ว่าดึงจิตกลับเข้าข้างใน ต้นไทรนี้งามก็สักแต่ว่างามดึงจิตเข้าข้างใน ตาจะไปเห็นอะไร หูจะได้ยินอะไร จมูกจะได้กลิ่นอะไรสักแต่ว่าดึงจิตเข้าข้างใน ฉะนั้นจิตจึงอยู่ในกายนี้ได้ตลอดเวลา ส่วนองค์ที่สองไม่ออกนอกกุฏิ ก็ไม่รู้ว่ากุฏิใหญ่เล็กแค่ไหน องค์ที่หนึ่งไม่ออกนอกวัด วัดนั้นกี่ไร่ สองไร่ สองร้อยไร่ พันไร่ มีที่เที่ยวมากมายก่ายกอง จิตออกไปที่เที่ยวมากมายก่ายกองเพราะฉะนั้นอย่างนั้นไม่ใช่การปฏิบัติ จิตมันออกข้างนอกมันไม่ได้อยู่ข้างใน ฉะนั้นจิตอยู่ข้างในคือต้องให้อยู่ภายในกายนี้ท่องเที่ยวอยู่ภายใน แล้วก็ท่องเที่ยวอยู่ในกายนี้ ดูความเปลี่ยนแปลงของกายนี้ ดูความไม่คงที่ ดูความเป็นอนัตตาของกายนี้ ดูที่มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย โดยใช้ลมหายใจเป็นเครื่องกำหนด สามวันนี้ควรจะทำให้ได้ด้วยการให้จิตอยู่ในจิต ไม่ต้องพูดไม่ต้องคุยแล้วจะได้คำตอบๆๆ มากขึ้นๆ ชัดขึ้นๆทุกที
ทีนี้คุณแม่เขาสวนหลวงท่านก็บอกว่า ต้องรู้จักวิธีที่จะดูจิตรู้จิตให้ติดต่อ นั่นก็คือดูข้างในอย่างที่ว่านี่นะคะเอาจิตย้อนเข้าไปข้างในคือเอาความรู้สึกเข้าไปข้างใน และก็รู้จิตก็คือรู้ว่าจิตนี้เป็นยังไง มันกำลังอยู่ในอาการอย่างไร อาการของจิตก็คือ เวทนาเป็นยังไง แล้วก็มีกิเลสนิวรณ์ ตัวไหนเข้ามารบกวน มันวุ่นวาย มันสับสน หรือว่ามันเรียบ มันสงบ มันว่าง นี่คือดูจิต และก็รู้จิตว่าจิตมันมีสภาวะอย่างนี้ ถ้ามันสงบ มันเงียบ มันว่าง รักษามันไว้ รักษาไว้และก็ทำมันให้ยิ่งขึ้น ให้สงบยิ่งขึ้น ให้เงียบยิ่งขึ้น ให้มั่นคงหนักแน่นยิ่งขึ้น ให้เยือกเย็นผ่องใสยิ่งขึ้น ถ้ามันไม่เงียบ ไม่สงบ มันวุ่นวาย ก็ใช้ลมหายใจที่ทราบแล้วที่เราปฏิบัติเป็นเครื่องมือที่จะกำจัดมันออกไป แล้วก็ดึงจิตนั้นกลับมาอยู่กับลมหายใจที่จะปรุงแต่งกายให้สบายแล้วก็ติดตามลมหายใจนั้นต่อไป จนกระทั่งถึงขั้นที่สี่ ควบคุมลมหายใจนั้นให้สงบระงับ แล้วท่านก็บอกว่า ดูจิตรู้จิตให้ติดต่อ ให้ติดต่อก็คือไม่ขาดตอน ต้องทำให้ตลอดเวลาไม่ขาดตอน จะบอกว่าเหนื่อยนักพักซะก่อน ง่วงนักพักซะก่อน หรือว่าทำโน่นก่อน ทำนี่ก่อน ไม่มีข้อแก้ตัว เพราะไม่ว่าจะทำอะไรเราก็หายใจอยู่ หายใจอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้ลมหายใจควบไปด้วย เพราะในขณะที่อยู่ที่นี่ไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่ได้อ่านหนังสือ ไม่ได้ทำงาน ฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะมีงานอะไรเสีย ไม่มีงานอะไรเสีย จะซักผ้าก็ให้รู้ลมหายใจไปด้วย จะเข้าห้องน้ำก็ให้รู้ลมหายใจไปด้วย จะรับประทานอาหาร จะเดินก็รู้ลมหายใจประกอบไปด้วย มันควบคู่กันไปได้ด้วยตลอดเวลาระหว่างที่อยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นก็เชื่อว่า การดูจิตรู้จิตให้ติดต่อผู้ปฏิบัติทุกคนสามารถทำได้เพราะเรามีเวลาเป็นของเราเต็มที่ ถ้าท่านผู้ใดสามารถบังคับใจ ควบคุมใจให้ทำได้จะรู้สึกมีความพอใจในการกระทำของตนเอง ถ้าพูดอย่างโลกๆ จะบอกว่าภูมิใจ ก็มีสิทธิที่จะภูมิใจ ถ้าเราสามารถทำได้อย่างนี้มีสิทธิที่จะภูมิใจ เพราะมันคุ้มค่าแก่การที่มาอย่างนี้ แล้วก็ทำอย่างนี้ ฉะนั้นจงใช้เวลาที่ยังเหลืออยู่นี้ให้เกิดประโยชน์ให้เต็มที่ ไม่ต้องให้มีผู้อื่นเตือน การเตือนตนเองเป็นประเสริฐที่สุดเพราะการที่ให้ผู้อื่นเตือนก็เหมือนกับเราทำตัวเป็นนักโทษต้องมีผู้คุม ซึ่งเป็นไม่สิ่งที่สมควรแก่มนุษย์ที่ชอบความเป็นอิสระ ชอบความเป็นไท
ฉะนั้นก็หวังว่าทุกท่านจะได้พยายามปฏิบัติด้วยการควบคุมใจของตนเองให้ได้ และก็ดูจิตรู้จิตให้ติดต่อจนจิตนั้นสามารถอยู่ในจิต แล้วถ้ามีคำถามก็เชิญเขียนในวันที่สิบ ที่ผ่านๆ มาพยายามจัดเวลาอาจมีสักวันหรือบางทีก็สามวันให้อยู่เงียบเฉยๆ ไม่มีการสอน ไม่มีการบรรยาย ไม่มีการทำอะไรทั้งนั้นให้ผู้ปฏิบัติปฏิบัติเอง แต่สำหรับคราวนี้เราไม่มีเวลาที่จะจัดอย่างนั้น เพราะถ้าจัดอย่างนั้นสิ่งที่จะต้องพูดต้องทำความเข้าใจเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่การปฏิบัติก็จะไม่มี ก็เลยจำต้องทั้งพูดไปด้วยสอนไปด้วย และขอให้ทำจิตเงียบให้เกิดขึ้นแก่ตนเองด้วย ก็หวังว่าทุกท่านจะพยายาม แล้วก็จงอยู่กับลมหายใจตั้งแต่เดี๋ยวนี้ อย่าลืม แล้วก็ปฏิบัติไปเรื่อย ขั้น 1 2 3 4 ถ้าผู้ใดรู้สึกว่ายังไม่ชำนาญ ขมักเขม้นขั้น 1 2 3 ให้มาก ท่านผู้ใดชำนาญแล้วก็ยังคงทำขั้น 1 2 3 อยู่แต่ใช้เวลาน้อยลงแล้วก็ไปหนักที่ขั้นที่ 4 เพื่อที่จะควบคุมลมหายใจให้สงบระงับจนกระทั่งสามารถทำจิตให้พร้อมอยู่ด้วยสติ สมาธิ และปัญญาก็จะเกิดขึ้นตามลำดับ ก็เชื่อว่าทุกท่านจะทำได้ด้วยศรัทธา ด้วยความตั้งใจที่เสียสละเวลามา ก็ขอให้คุ้มค่า เชิญพักได้ค่ะ แล้วก็เขียนเอาไว้ให้ดูอันนั้นที่เราจะพูดกันเรื่องมรรคในตอนบ่ายวันนี้ แล้วถ้ามีเวลาก็จะมีปฏิจจสมุปบาทต่อ...