แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพราะฉะนั้น คุณค่าของสติมีมากถ้าจะแยกออกเป็นข้อๆ ก็อยากจะกล่าวว่า
ข้อแรก สตินี้เป็นอริยทรัพย์ อริยะก็คือประเสริฐ ทรัพย์อันประเสริฐ เห็นด้วยไหมค่ะ คนที่มั่งมีร่ำรวยล้นฟ้าแต่ถ้าขาดสติ ทรัพย์นั้นก็รักษาไว้ไม่ได้ แต่ถ้าคนที่ไม่มั่งมีร่ำรวยมาแต่ดั้งแต่เดิม แต่ถ้ามีสติ สามารถหาทรัพย์สินเงินทองได้ และก็สามารถรักษาไว้ได้เพราะสตินี้เป็นอริยทรัพย์
ทำไมถึงว่าเป็นทรัพย์อันประเสริฐ เพราะจะช่วยกำกับชีวิตนี้ให้ได้พ้นจากความทุกข์หรือปัญหา หรือช่วยกำกับชีวิตนี้ให้มีความรอดอยู่ทุกขณะ ให้สามารถถึงซึ่งความมีชีวิตเย็นและเป็นประโยชน์ซึ่งเรียกว่าเป็นการมีชีวิตที่คุ้มค่าแก่การเกิดมาเป็นมนุษย์อย่างยิ่ง มนุษย์คือผู้มีใจสูง มนะใจ อุษยะสูง ประเสริฐ มนุษย์คือผู้มีใจสูง มีใจประเสริฐ สูงประเสริฐตรงไหน ก็ตรงที่ไม่เป็นทุกข์ ถ้ายังไม่สามารถรักษาใจให้พ้นความทุกข์ได้ ยังกระเสือกกระสน อยู่กับความทุกข์ เกลือกกลิ้งอยู่กับความทุกข์ เพราะความที่จะเอาให้ได้อย่างใจตัว นั่นคือชีวิตที่ปราศจากสติ แต่เมื่อใดพัฒนาสติให้เกิดขึ้นโดยวิธีการปฏิบัติดังที่เราพูดกัน นั่นคือการสะสมอริยทรัพย์ให้เกิดขึ้นแก่ชีวิตแล้ว
ข้อที่ 2 สตินี้แหละเป็นเครื่องรางของขลังที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดเลย ห้อยพระสติดีกว่าไปห้อยตระกรุดพระเครื่องที่ต้องซื้อกันเป็นแสนๆ ล้านๆ ห้อยพระสติอย่างเดียว ที่เขาห้อยพระ ห้อยเครื่องรางของขลังเพื่ออะไร ก็เพื่อเตือนสตินั่นเองทางที่ถูกนะค่ะ ถ้าเป็นพุทธศาสตร์ ถ้าห้อยเครื่องรางของขลังอย่างพุทธศาสตร์คือห้อยเพื่อให้เตือนสติ เตือนสติยับยั้งใจ ระลึกรู้ว่าสิ่งที่ถูกต้องควรจะทำอย่างไร ควรจะพูดอย่างไร ไม่คิดผิด พูดผิด ทำผิด นี่กลับไปกำพระไว้อย่างเดียว หรือ กำตระกุดไว้อย่างเดียว และก็มองเห็นไหมคะ เสือที่พวงโตๆและก็ตาย ถูกยิงตาย นั่นอะ กำกับไม่ได้ คือช่วยไม่ได้ ถ้าชีวิตนั้นขาดสติ ถ้าจิตนั้นขาดสติ เพราะฉะนั้นเครื่องรางของขลังที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด หรือ จะเรียกว่าเป็นยันต์กันผีก็ได้ ถ้ามีสติ ก็เหมือนมียันต์กันผี เดินไปได้ไม่ต้องกลัว มันจะมีวิธีที่จะคิดแก้ มีอุบายที่จะคิดแก้ ในขณะที่จิตยังไม่สามารถเห็นของจริง หรือสัจธรรมได้ สติจะช่วยป้องกันอันตราย ในทุกที่ทุกสถาน ผ่อนหนักให้เป็นเบา สิ่งที่เบาก็จะแก้ไขให้ได้หายไปได้เลย
ข้อที่ 3 สติจะช่วยสามารถรักษาความถูกต้องของชีวิตไว้ได้ ทุกขั้นตอนของ ชีวิต ตั้งแต่เด็ก จนเป็นหนุ่มสาว จนเป็นผู้ใหญ่ จนเฒ่าชะแล แก่ชรา ก็จะสามารถรักษาความถูกต้องของชีวิตไว้ได้ เป็นลูกที่ถูกต้อง พ่อแม่ที่ถูกต้อง ปู่ย่าตายายที่ถูกต้อง หัวหน้างานที่ถูกต้องเป็นอะไรก็ถูกต้อง นั่นคือรักษาความถูกต้องของชีวิตไว้ได้ ทุกลำดับขั้นตอนของชีวิต ไม่ต้องสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รัก นี่คุณค่าของสติ ประเสริฐอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ต้องสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รัก เข้าใจใช่ไหมคะ บางคนเสียลูก ไม่ใช่ตาย ยังอยู่ ลูกหนีไม่ยอมอยู่กับพ่อแม่ เพราะได้ฟังถ้อยคำที่รู้สึกว่า แหมมันบีบคั้นหัวใจ มันรังแกเหลือเกิน คำของพ่ออย่างนี้ คำของแม่อย่างนี้ ทนไม่ได้ หนีไม่ย้อนกลับมา พ่อแม่ก็หัวใจแทบจะแตกดับใจจะขาด ก็เพราะขาดสติ หรือคู่รักที่แยกจากกัน ก็เพราะขาดสติดูชีวิตของตัวละคร เวลาในขวดแก้วเถอะ พ่อแม่ของหนิง ของนัท นั่นแหละขาดสติอย่างยิ่งทั้งคู่เลย ไม่ใช่พ่อที่ถูกต้องไม่ใช่แม่ที่ถูกต้อง ครอบครัวมันถึงเป็นอย่างนั้น เพราะไม่มีสติ ต่างก็จะเอาแต่ใจของตน ชีวิตมันจะมีแต่ความเครียด และต่างก็สูญเสียซึ่งกันและกัน สูญเสียความรักซึ่งกันและกัน สูญเสียความรักความไว้วางใจจากลูก มีแต่ความเปล่าเปลี่ยว รู้สึกเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ทั้งที่ก็ไม่ได้ขัดสน เพราะฉะนั้นไม่ต้องสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รัก อย่างชนิดที่จะเรียกคืนกลับมาไม่ได้ บางทีก็เสียไปอย่างลับหาย บางทีก็เสียไปอย่างสิ้นลมหายใจ เพราะสติตัวเดียว มันทำให้พูดในสิ่งที่ไม่ได้ใจอยากพูด ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้หมายอย่างนั้น นอกจากนี้สติจะช่วยให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความไม่ประมาท นี่คือคุณค่าของสติ ความประมาทคือทางแห่งความตาย ฟังดูแล้วมันโบราณ มันเก่า แต่ก็ฟังไว้เถอะคะ และก็เอามาใช้กับชีวิตไม่มีขาดทุน มีแต่ความปลอดภัย ความประมาทคือทางแห่งความตาย สตินี่แหละที่จะช่วยให้รอดพ้นจากความประมาท
ที่นี้เมื่อเราพูดถึงคุณค่าของสตินะคะ ก็ลองมาดูโทษทุกข์ของจิตที่ปราศจากสติบ้างเป็นอย่างไรจะได้เห็นชัดดี
โทษทุกข์ของจิตที่ปราศจากสติ
ข้อแรกที่ดิฉันรู้สึกก็คือ จะต้องมีชีวิตที่ต้องสำนึกบาปอยู่ตลอดเวลา จะต้องมีชีวิตที่ต้องสำนึกบาปอยู่ตลอดเวลา มันช้ำไหมคะ มันช้ำไหม ผู้ใดที่มีประสบการณ์แล้วก็ต้องสำนึกบาป นึกคิดมาที่ไรมันอาย มันรู้สึกละอายแทบจะขุดหลุมฝังตัวเอง แทบจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ มันแก้ไขไม่ได้ ต้องสำนึกบาป นึกที่ไรมันก็ชอกช้ำๆ ๆ ความชอกช้ำที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง เหมือนกับ ลงแส้ ๆ ลงไป ลงแส้ลงไปในชีวิตของตัวเอง มีแต่ความเจ็บปวด เกรอะกรังไปด้วยเลือดด้วยหนอง เช็ดเท่าไหร่ก็ไม่หมด มีชีวิตที่ต้องสำนึกบาป เป็นชีวิตที่ทรมานที่สุด เงินทอง เกียรติยศอำนาจ ก็ล้างไม่ได้ๆ เพราะฉะนั้นจงระมัดระวังที่จะรักษาสติ นอกจากนี้ชีวิตที่ขาดสติ ก็จะเป็นชีวิตที่หวั่นไหว เจ็บปวดทรมานด้วยการถูกกัดตลอดเวลา อันที่จริงก็ไม่ใช่กัดเพราะอะไร เพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเอง ความที่จะเอาให้ได้อย่างใจตัว สติมาไม่ทัน มันก็เลยถูกกัด ถูกกัดเพราะความทุกข์ ความเครียด ด้วยประการทั้งปวง นอกจากนี้ถ้าชีวิตที่ปราศจากสติ ก็จะทำให้มีชีวิตเครียด เป็นบ่อเกิดแห่งโรค อย่างที่เราพูดกันแล้วเมื่อวานนี้
นอกจากนั้นจะมีชีวิตที่ถูกหยามหยัน คนขาดสติเขาจะหัวเราะเยอะ เด็กเขาก็หัวเราะเยอะ ถูกหยามหยัน ไร้ศักดิ์ศรี ไม่มีคนอยากเข้าใกล้ เพราะชอบทำผิด พูดผิด ให้คนอื่นเดือดร้อน ให้ตัวเองหน้าอายอยู่ตลอดเวลา แม้จะมีตำแหน่งการงาน ลูกน้องก็ไหว้หรอก แต่ก็ไหว้แต่มือ ใจไม่ไหว้ เพราะมันนึกดูถูกอยู่ในใจ นอกจากนี้ที่ร้ายมากก็คือ เป็นการส่งเสริมความเห็นแก่ตัวให้มากขึ้นมากขึ้น โดยไม่รู้ตัว การขาดสติ เพราะมันทำให้เกิดความหลง หลงในความเก่งของตัวเอง หลงในความสวย หลงในความรวย ความดี ความพิเศษต่างๆ ของตัวเอง อีโก้มันก็โตขึ้น โตขึ้น จนจมไม่ลง น่ากลัวมาก เพราะฉะนั้น ท่านผู้รู้ ท่านจึงบอกว่า สตินี้เป็นสิ่งที่จำปรารถนา คำว่าจำปรารถนาคือว่า ต้องปรารถนาในสิ่งที่จำเป็นจริงๆ เป็นสิ่งที่จำปรารถนาในที่ทั้งปวง ท่านผู้รู้ท่านบอกว่า สติเป็นสิ่งที่จำปรารถนาในที่ทั้งปวง ทุกอิริยาบถด้วย ทุกการกระทำด้วย แม้แต่การรักษาศีลให้ถูกต้อง ก็ต้องมีสติ ใช่ไหมคะ เราเคยเห็นคน ๆทะเลาะกันเพราะรักษาศีลใช่ไหม ไปวัดด้วยกันกลับมาทะเลาะ “แหม เธอไม่บริสุทธิ์เลยนะรักษาศีล สู้ของฉันไม่ได้ “ กลายเป็นรักษาศีลมาอวดกัน และก็มาทะเลาะกัน มาแข่งกัน ซึ่งท่านเรียกว่าเป็นการรักษาศีลด้วยอุปาทาน อุปาทานก็คือการยึดมั่นถือมั่นในศีลของตัว กลายเป็นเอาศีลมาประดับตัว ประดับเกียรติ ทางที่ยึดมั่นก็เพราะขาดสติ ถ้ามีสติก็จะรักษาศีลด้วยสมาทาน ที่เขาเรียกว่าสมาทานศีล เวลาที่จะขอให้พระท่านให้ศีล ท่านก็บอกให้สมาทานศีล นั่นคือรับรักษาศีลอย่างถูกต้อง เพื่อให้ศีลนั้นช่วยเข้ามาเป็นเครื่องควบคุม ควบคุมวาจา ควบคุมการกระทำ ไม่ให้เบียดเบียนผู้อื่น กล่าวโดยสรุปนะคะ ไม่ให้เบียดเบียนผู้อื่นตั้งแต่ข้อ 1-5 ไม่ให้เบียดเบียนผู้อื่น และที่สำคัญไม่เบียดเบียนตนเอง นี่เป็นการรักษาศีลด้วยสติ ต้องการสติทุกแห่งทุกหน ฉะนั้นสติจึงเป็นทั้งเครื่องป้องกัน ป้องกันมิให้เกิดความผิดพลาด ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา ไม่ให้เกิดความทุกข์ และก็เป็นเครื่องพิทักษ์รักษาด้วย และก็เป็นเครื่องทำความเจริญก้าวหน้าพร้อมกันไปในตัว นี่กล่าวถึงคุณค่าของสติโดยสรุป เป็นเครื่องป้องกัน เป็นเครื่องพิทักษ์รักษา เป็นเครื่องทำความเจริญก้าวหน้าพร้อมกันไปในตัว ผู้ใดมีสติ ย่อมถึงซึ่งความเจริญก้าวหน้า ทั้งทางโลกและทางธรรมเป็นการแน่นอน นี่คืออานิสงค์ของการปฏิบัติ การปฏิบัติธรรมเพื่อให้มีชีวิตที่พร้อมอยู่ด้วยสติทุกขณะ และจะเป็นชีวิตที่มีแต่ความรอดจากปัญหามีแต่ความสุข สงบ เย็น ที่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตัวเองและผู้อื่น