แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นอกจากนี้ที่ว่าสติจะควบคุมการคิดถูกต้อง พูดถูกต้อง ทำถูกต้องไม่ให้เกิดความเครียดเพราะเหตุต่างๆ เช่น เพราะความรัก เพราะความโกรธ เพราะความเกลียด เพราะความกลัว เพราะความอาลัยอาวรณ์ ความวิตกกังวลต่างๆ นี่คือต้นเหตุของความเครียด และในบรรดาความทั้งหลายที่พูดมาแล้วนี่นะคะ เคยนึกบ้างไหมคะว่าความอะไรที่มันสำคัญที่สุด ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความวิตกกังวล ความอาลัยอาวรณ์ ความห่วงหา ริษยา อะไรทั้งหลายนี่ ความอะไรสำคัญที่สุด ลองนึกนะคะ ความอะไรสำคัญที่สุด ความรัก ความรักนี่แหละสำคัญที่สุดเลยที่ว่ามันสำคัญน่ะ มันไม่ได้สำคัญให้ประโยชน์อะไรหรอกนะคะ มันสำคัญเพราะมันเป็นต้นเหตุ ต้นเหตุที่จะดึงเอาความโกรธเข้ามา ความเกลียดเข้ามา ความกลัวเข้ามา ความวิตกกังวลเข้ามา ความอิจฉาริษยาหึงหวง ความอาวรณ์โหยไห้ใช่ไหมคะ ความรักนี้สำคัญเพราะฉะนั้นท่านจึงบอกว่า สิ่งที่พึงระมัดระวังที่สุดแล้วก็ต้องใช้สติกำกับนั่นคือระมัดระวังสิ่งที่น่ารัก สิ่งที่น่ารักน่าพอใจต้องระวังที่สุด เจ้าประคุณท่านอาจารย์สวนโมกข์ท่านบอกว่า มาให้รักก็ไม่รัก มาให้เกลียดก็ไม่เกลียด ระมัดระวังใจเอาไว้ด้วยสติ จำ คงจะจำเรื่องได้ที่อดีตนายกรัฐมนตรีของอินเดียผู้หนึ่ง ถูกอะไรล่ะ ถูกฆ่าตายด้วยอะไรนึกออกไหมคะ คนที่มาหาเขาถืออะไรมาให้ ดอกไม้ใช่ไหม ถือดอกไม้มาให้ ก็รับด้วยความชื่นชมเพราะว่า เขาชื่นชมเราเขาจึงเอาดอกไม้มาให้เพราะตามสมมุติเขาถือกันว่า ดอกไม้เป็นสิ่งที่ประดับโลกเป็นสิ่งที่จะให้กันเมื่อเรามีไมตรีจิตต่อกัน พอรับเข้าก็ปัง โป้ง ระเบิด หยุดหายใจทันที เห็นไหมคะ เพราะฉะนั้นหน้าตาที่รัก อำนาจที่รัก อะไรๆที่น่ารักนั่นแหละ จงระวังมันคือยาพิษ ยาพิษที่จะทำให้ดื่มกินเข้าไปทีละน้อยๆ โดยไม่รู้ตัว พอมันซึมซาบเต็มที่ ตาย ตายทั้งเป็นทั้งที่ยังหายใจอยู่เห็นไหมคะ การหายใจอย่างปราศจากสติมันร้ายแค่ไหน ตายทั้งเป็นนี่มันตายซะดีกว่าอย่างที่คนบางคนเขาว่า เพราะมันกลายเป็นซากที่เดินได้เป็นที่สังเวช สมเพชของเพื่อนมนุษย์ รวมทั้งของตัวเองนี่จิตมันอยู่ในนรกตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นจงระมัดระวังสิ่งใดที่น่ารักน่าพอใจไม่ว่าจะเป็นรูปธรรม เป็นวัตถุ สิ่งของ หรือเป็นนามธรรม จงระมัดระวังจิตที่จะเข้าไปใกล้สิ่งนั้นให้มากๆ เมื่อจำต้องเข้าใกล้ เมื่อจำต้องมีก็จงมีมัน หรือว่ารับมัน หรือปฏิบัติต่อมันด้วยสติ มีสติควบคุมเสมอมองเห็นอนิจจังในความน่ารักนั้นเสมอ ในความสวยในความงามนั้นเสมอ หลวงพ่อท่านอาจารย์ชาท่านพูดอยู่เรื่อยใครที่เป็นลูกศิษย์ท่านไปฟังธรรมจากท่านจะได้ยินท่านยกตัวอย่างว่า เหมือนกับมีแก้ว ได้แก้วใหม่ ได้ถ้วยแก้วใหม่ๆ งามๆ ใบนึงถืออยู่ในมือก่อนจะใช้มันดูมันแล้วก็ให้มองให้เห็นสุดท้ายของมัน ว่าแก้วใบนี้ผลสุดท้ายมันจะเป็นยังไง มันจะยังคงงาม คงใหม่ คงใส คงสวย เหมือนอย่างขณะนี้ตลอดไปหรือไม่ ท่านบอกจงดูมันสุดท้ายของมันก็คืออะไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันต้องเปลี่ยนแปลงจากใสๆ ใหม่ๆ มันก็ต้องเก่า มัว สลัว ยิ่งไม่ระวังรักษามันก็ต้องเก่า มัว สลัว ไม่ระมัดระวังประมาทมันก็แตก แล้วจะต้องมาร้องไห้เพราะมัน เพราะฉะนั้นเมื่อต้องมีได้มี คือมีคนรักก็ดีกว่ามีคนเกลียดใช่ไหมคะ ดีกว่า แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมีมันได้มันก็จงปฏิบัติต่อมันด้วยสติคือไม่ประมาท ไม่ประมาทสติจะเตือนว่าอย่ายึดมั่น อย่ายึดมั่นในเจ้าสิ่งนั้น หรือคนนั้น หรือความอันนั้น จะเป็นความมีหน้ามีตา มีอำนาจอะไรก็แล้วแต่ อย่าไปยึดมั่นจงใช้มันอย่างผู้มีสติและปัญญา ใช้มันเพื่อให้เกิดประโยชน์แต่ไม่ยึดมั่นในมัน ถ้ายึดมั่นในมันเมื่อใดต้องทุกข์เพราะมันเมื่อนั้น จิตจะอยู่เป็นนรกทันที ขุมตื้นบ้าง ขุมลึกบ้างแล้วแต่ แล้วแต่แรงอัตราของความยึดว่าจะมากน้อยเพียงใด ฉะนั้นสติจะคอยควบคุมไม่ให้เกิดความเครียด ไม่ให้ตกเป็นทาสของความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว แล้วก็ต่อไปๆ อีกเยอะแยะมากมาย ความเครียดนี่แหละคือลักษณะอาการของความทุกข์
นี่ไม่ได้หมายความว่าแนะนำให้กลายเป็นคนโดดเดี่ยวอยู่ในสังคมไม่ได้ อย่าเข้าใจผิดนะคะ อย่าเข้าใจผิด ยังอยู่ได้มีเพื่อนมีฝูงได้ มีคู่รักคู่ใคร่ได้ มีครอบครัว มีลูก มีสามีภรรยาได้ ทำงานได้ มีเพื่อนฝูงได้ จะไปเข้าสมาคม ไปปาร์ตี้ไปเถอะสารพัดไป จะไปทำอะไรไป จะไปเต้นรำก็ได้แต่ให้มีสติ ให้มีสติอยู่ในนั้น จะไปร้องกรี๊ดกับเขาก็ได้เวลาที่เขาไปดู ไปดูร้องเพลง ไปฟังดนตรีอะไรต่างๆ นั่นน่ะ พอดาราที่ถูกใจออกมาก็กรี๊ดจนเต็มเสียงไปกรี๊ดกับเขาก็ได้ แต่กรี๊ดด้วยสติแล้วจะหยุดกรี๊ดเอง กรี๊ดด้วยสติแล้วจะหยุดกรี๊ดเองเพราะมันสำนึกขึ้นมาว่า เอ๊ะนี่มันบ้าหรือเปล่า มันบ้าหรือเปล่า อย่าว่าแต่เด็กเลยผู้ใหญ่ก็จูงกันไป ชวนกันไป นี่ได้ยินเขาเล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้ไปเธอไปกรี๊ดกันหน่อยมันจะได้สบายขึ้นบ้าง คือเรียกว่ากรี๊ดอย่างถูกวัฒนธรรมไทยสมัยใหม่หน่อย แต่ถ้าปู่ ย่า ตา ทวดขึ้นมาต้องรีบวิ่งกลับลงหลุมปวดหูฟังไม่ไหวเสียงกรี๊ดของลูกหลานสมัยนี้ ถ้ากรี๊ดอย่างชนิดไม่มีเหตุไม่มีผลอยากจะแนะนำพวกชอบกรี๊ดทั้งหลายนะคะ เวลาจะไปกรี๊ดถือกระจกไปด้วย บานใหญ่ๆ หน่อยพอจะกรี๊ดก็เอามาส่องดูก่อนจะได้ดูว่าหน้าตาที่แต่งไปงามๆ น่ะ คิ้วที่เขียน ปากที่ทา แก้มที่ทา เสื้อสวยๆ มันเป็นยังไง นี่มันหน้าคนหรือหน้าอะไรเพราะฉะนั้นวัฒนธรรมกรี๊ดนี่มันไม่ใช่เรื่องของวัฒนธรรมที่น่ายกย่องหรือว่าน่าติดตาม มันเป็นลักษณะของคนที่หาทางระบายพูดง่ายๆ ก็คือประสาทอ่อนๆ อาจจะแก่ก็ได้นะคะแล้วก็หาที่ คือยังมีสติอยู่บ้างตามธรรมดาก็หาที่เพื่อระบายแต่หาเกิดประโยชน์อะไรไม่ นี่คือการกระทำที่ขาดทั้งสติขาดทั้งเวลา
เพราะฉะนั้นท่านจึงบอกว่าให้ระมัดระวัง ให้ระมัดระวังให้มากที่จะตกเป็นทาสของความรักเพราะมันจะนำไปซึ่งอะไรต่ออะไรอีกหลายๆ อย่าง ทำให้ชีวิตนี้เป็นชีวิตที่เป็นทุกข์ ฉะนั้นชีวิตที่ปราศจากสติเปรียบเหมือนเรือที่ปราศจากหางเสือนั่นก็คือ เป็นชีวิตที่อยู่กับปัญหาตลอดเวลาท่านบอกว่าเป็นชีวิตที่ถูกกัดอยู่ตลอดเวลาแต่ไม่รู้ ว่าแต่คนอื่นเขากัด คนนั้นกัดเรา คนนี้กัดเรา กัดข้างหน้าบ้างข้างหลังบ้างแต่เรากัดตัวเราเองเราไม่รู้เพราะเราขาดสติ นี่คือชีวิตที่ถูกกัดไม่ใช่กัดด้วยหมากัดด้วยแมว เรากัดตัวเราเองกัดเพราะขาดสติ นำเอาความทุกข์นำเอาปัญหาเข้ามาสุมตัวเองจนชีวิตเครียดนี่คือการกัดตัวเองเพราะฉะนั้นในทางธรรมท่านจึงสอนให้ดูตัวเอง ควบคุมตัวเอง แก้ไขตัวเองเพื่อตัวเองจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์แล้วก็ไม่ต้องถูกกัดแล้วก็หยุดเพ่งโทษคนอื่นนี่มันเกิดประโยชน์ด้วย ไม่ไปเพ่งโทษคนอื่นมีสติจะสอนให้ดูข้างในดูตัวเองสำรวจตัวเองมันก็หยุดเพ่งโทษคนอื่น พอหยุดเพ่งโทษคนอื่นปัญหาความขัดแย้ง ความแตกสามัคคีกลมเกลียวก็ไม่มีมีแต่จะขวนขวายรีบทำตามหน้าที่ของตนแล้วก็สมัครสมานสามัคคีกัน