แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อานิสงส์ของการปฏิบัติอานาปานสติภาวนานั้นมีมาก ข้อแรก ที่รู้สึกกับตัวเองก็คือ มันเป็นการปฏิบัติที่อิสระ คือรู้สึกมีความอิสระ ไม่ต้องผูกพันอยู่กับใคร ไม่ต้องผูกพันอยู่กับครูบาอาจารย์ ไม่ต้องผูกพันอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น พวกที่ใช้เป็นเครื่องมือ มันเป็นอิสระอย่างยิ่ง เพราะลมหายใจมันหายใจอยู่แล้ว มันปฏิบัติได้ทุกขณะ ทุกโอกาส ทุกเมื่อ ทุกเวลา มันทั้งสะดวก ไม่ต้องเสียเวลาในการจัดสถานที่ และยิ่งกว่านั้น นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่มหาวิทยาลัย จะอยู่ที่ทำงาน หรืออยู่ที่บ้าน หรือกำลังอยู่ในวงการสมาคมกับเพื่อนฝูง หรืออื่น ๆ สามารถปฏิบัติได้ตลอดเวลา นอกจากนี้แล้วมันไม่เป็นที่เพ่งพินิจผิดสังเกตของใคร ๆ ว่า “แหม ยายคนนี้แกน่ากลัวจะผิดปกติ แกไม่เหมือนคนอื่น แกทำอะไรขมุบขมิบ ๆ แล้วประเดี๋ยวแกก็ยกแขนซ้ายยกแขนขวา” ไม่เกิดอย่างนั้น เพราะการหายใจเป็นการหายใจอยู่แล้วตามธรรมชาติ มันสะดวก มันสบาย มันละเอียด มันประณีต มันเป็นอิสระ และใช้ในชีวิตประจำวันได้
นี่เป็นอานิสงส์ของการปฏิบัติอานาปานสติ หรือเป็นประโยชน์ของการปฏิบัติอานาปานสติ แต่อานิสงส์ของการปฏิบัติอานาปานสตินั้น ก็อยากจะบอกว่า อานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ก็คือการพัฒนาสติให้เกิดขึ้น ชีวิตใดที่ขาดสติ ท่านก็เปรียบแล้วว่าเหมือนกับเรือที่ปราศจากหางเสือ มันก็แล่นเกยหินโสโครก พายุมาก็อับปาง เพราะไม่รู้จักหลบหลีกด้วยสติปัญญา ฉะนั้นชีวิตที่ขาดสติจะพาตนเองไปสู่หายนะ เราพบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนังสือพิมพ์ทุกวันนี้ ที่ทำลายซึ่งกันและกัน เบียดเบียนซึ่งกันและกัน เพราะสติ ขาดสติตัวเดียวเท่านั้น และกระทำสิ่งที่จะต้องอับอายไปหลายปี บ่อย ๆ ก็มี จนตาย จะหยุดหายใจก็ยังไม่หายอาย เพราะอะไร เพราะขาดสติอย่างเดียว ฉะนั้นเรื่องของสติจึงเป็นคุณธรรมที่สำคัญต่อชีวิตของมนุษย์ทุกคน ขาดไม่ได้ ขาดไม่ได้เลยสักนาทีเดียว ขาดสติเมื่อใด จะพูดผิดทำผิดขึ้นมาทันที ที่ต้องไปเสียใจทีหลัง ไม่ควรเลย ไม่ควรเลย ไม่ควรเท่าไรมันก็ทำไปแล้ว มันแก้ไม่ได้ ต้องมาเสียใจทีหลัง ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นอานิสงส์ของการปฏิบัติอานาปานสติภาวนา ชื่อก็บอกอยู่แล้ว คือการพัฒนาสติอยู่ทุกขณะที่ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ตราบใดที่สามารถรู้ลมหายใจทุกขณะ นั่นคือแสดงถึงการมีสติ เพราะเราเองก็หายใจมาตั้งแต่เกิดใช่ไหมคะจนเดี๋ยวนี้ แต่ก็กล่าวได้ว่าส่วนใหญ่หายใจอย่างปราศจากสติ แล้วก็ถือว่า ลมหายใจมันมีอยู่แล้ว ไม่เห็นจะต้องไปสนใจอะไรมันเลย ไม่นึกด้วยซ้ำว่าธรรมชาติให้ลมหายใจมา มันมีอยู่แล้วก็หายใจมันไป ไม่ใส่ใจ เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า หายใจอย่างปราศจากสติ ชอบคิดผิด พูดผิด ทำผิด อยู่เรื่อย ๆ
แต่บัดนี้ เมื่อเรารู้แล้วว่า การหายใจอย่างปราศจากสติมันล้วนแล้วแต่นำผลลบมาสู่ชีวิต เราก็มาฝึกซะใหม่ ด้วยการที่จะพัฒนาสติให้เกิดขึ้น สติคืออะไร ถ้าพูดอย่างง่าย ๆ สติก็คือความระลึกรู้ที่ถูกต้องด้วยสติปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ คือมนุษย์เราก็มีสติอยู่แล้วบ้างตามธรรมชาติ ถ้าไม่มีสติเลยก็จะไม่สามารถทำงานทำการ ไม่สามารถเรียนหนังสือ ไม่สามารถดูแลบ้านเรือนได้ มีสติอยู่แล้วตามธรรมชาติในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่เพียงพอ เพราะถ้าเพียงพอ เราก็คงมีชีวิตเย็นเป็นประโยชน์แล้วใช่ไหมคะ คือยังไม่มี เราจึงต้องมาฝึกสติที่มีอยู่แล้วตามธรรมดาธรรมชาตินั้น ให้เป็นสติที่สามารถระลึกรู้ได้อย่างถูกต้อง ด้วยสติปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ท่านบอกว่า สติเป็นสิ่งนำให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ถ้าหากบุคคลใดมีสติกำกับใจ ก็จะมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม คือไม่หลงลืม ไม่เลอะเลือน เดี๋ยวก็ลืมใส่กุญแจบ้าน เดี๋ยวก็ลืมเอาปากกามามหาวิทยาลัย เดี๋ยวก็ลืมกุญแจรถไว้ในรถ บางทีก็ลืมตัวเอง อย่างขนาดลืมนุ่งผ้า นั่นคือขาดสติอย่างเหลือหลาย สติที่ไม่มีเลย
เพราะฉะนั้น สติเป็นสิ่งนำให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม จะเรียกว่าสัมปชัญญะก็ได้ เพราะเมื่อมีสติ มันก็มีสมาธิ คือจิตมันมั่นคงหนักแน่น ไม่ลอกแลกโลเล และมีปัญญาอยู่ในระดับหนึ่ง ฉะนั้นก็เกิดเป็นสัมปชัญญะ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม จะทำอะไรมันก็มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม เข้าห้องน้ำก็ไม่ต้องวิ่งออกมาหาสบู่ ทำอะไรเสร็จก็เก็บเรียบร้อย ไม่วางทิ้งเอาไว้เลอะเทอะ ต้องมีคนเก็บตาม นั่นคือคนที่ขาดสติ จริง เราบอกว่ามักง่าย คนมักง่ายก็เพราะขาดสติ ถ้ามีสติแล้วไม่มักง่าย จะทำอะไรได้อย่างเรียบร้อย ไม่เป็นที่น่ารำคาญหรือเป็นภาระแก่ผู้อื่น ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม นอกจากหมายถึงไม่หลงลืม เลอะเลือน ก็หมายถึงไม่สะเพร่า มักง่าย ไม่วุ่นวายสับสน ผู้มีสติจะไม่วุ่นวายสับสน จะไม่รู้ว่าเอาอะไรดี ทำอะไรดี ถ้ามีอะไรมาหลายอย่าง เลยนั่งเวียนหัว ปวดหัว มืออ่อนเท้าอ่อน ฉันจะทำอะไรก่อนดี นั่นคือความไม่มีสติ มันจึงมีความวุ่นวายสับสน เพราะตัดสินใจไม่ได้ เห็นอะไรมันเบลอไปหมด ในหัวนี่มันเบลอไปหมด นั่นคือความไม่มีสติ เพราะไม่มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม เมื่อมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมก็จะไม่ตัดสินใจอย่างวู่วาม อย่างวู่วาม อย่างผลุนผลัน เหมือนอย่างตัวอย่างที่เราพบอยู่บ่อย ๆ นะคะ ตัดสินใจอย่างวู่วาม อย่างผลุนผลัน แล้วก็เสียใจ เรียกคืนไม่ได้ และแน่นอนที่สุด ไม่เครียด ไม่มีความรู้สึกตึงเขม็ง อึดอัด เหมือนกับจะระเบิด ถ้าสติไม่กำกับ พออะไรเข้ามา รับ ๆ ๆ แล้วก็เอามาสับกัน อย่างสับสนวุ่นวาย ก็เกิดอาการเครียดตึง อึดอัด จนจะระเบิด ถ้าไม่เรียนรู้วิธีที่จะแก้ไขความเครียดด้วยธรรมะ นอกจากนี้ สติจะกำกับจิตให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความไม่ประมาท คงจะจำบทสวดมนต์ได้ ที่เป็นปัจฉิมโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราสวดอยู่ทุกวัน จงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด นี่แสดงถึงว่าสติเป็นเรื่องสำคัญเพียงใด แม้ในวาระสุดท้ายที่จะเสด็จปรินิพพานแล้ว ก็ยังตรัสเตือนพุทธสาวกและคนทั้งหลายว่า จงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด ให้มองเห็นอยู่เสมอว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง ไม่มีความคงทน อย่าประมาทไปยึดมั่นถือมั่นในอะไรเข้า ถ้ายึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ทุกข์เพราะสิ่งนั้น จะทำผิดเพราะสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นสติเป็นสิ่งที่สำคัญมาก มิเช่นนั้นพระองค์จะไม่ตรัสในวาระสุดท้ายแห่งกาลที่ก่อนที่จะเสด็จปรินิพพาน