แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพราะฉะนั้นถ้าจะถามว่า ความเจริญของจิตเกี่ยวกับระดับการศึกษาหรือไม่ หรือเกี่ยวกับความเจริญของวัตถุภายนอกหรือไม่ หรือเกี่ยวกับการสามารถประพฤติปฏิบัติตามค่านิยมของสังคมหรือไม่ เชื่อว่าทุกท่านตอบได้ใช่ไหมคะ ไม่เกี่ยวกันเลย เรื่องของการศึกษาภายนอกไม่เกี่ยวกับเรื่องของจิตเจริญ หรือความเจริญของจิต ตราบใดที่ยังศึกษาแต่เพียงเรื่องของวิชา คือวิชาการ ช ตัวเดียวที่เป็นศาสตร์ต่างๆ ก็รู้แต่เพียงศาสตร์ต่างๆ แล้วก็รู้ไม่รู้จบเพราะมันมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ดิฉันเรียนหนังสือจนบัดนี้มีศาสตร์อะไรที่ดิฉันไม่เคยได้ยินเกิดขึ้นหลายศาสตร์เลย แล้วก็ยังจะเกิดได้ต่อๆไปเพราะเหตุว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามสมมุติ เพราฉะนั้นมันจะไม่ ไม่ใช่เอามาเปรียบได้กับความเจริญของจิต
ถ้าเราจะไปดูท่านครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ที่ได้รับความเคารพนับถือของคนทั่วประเทศ หรือบางท่านจากคนทั่วโลกอย่างเช่นหลวงพ่อท่านอาจารย์ชาที่เพิ่งมีงานพระราชทานเพลิงศพเสร็จไปเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ ถ้าไปถามว่าหลวงพ่อเรียนหนังสือจบชั้นอะไรเจ้าคะ ไปดูการศึกษาของท่านประถม 1 แต่ลูกศิษย์ของหลวงพ่อล่ะ ฝรั่งมังค่าไม่รู้กี่ชาติกี่ภาษา ปริญญาตรี ปริญญาโท แล้วคนโลภปริญญาเอกก็มีเยอะแยะ ไปดูจากงานพระราชทานเพลิงศพของหลวงพ่อผู้คนล้นหลามเป็นหมื่นเป็นแสน หลายๆแสน ด้วยความเคารพในท่านผู้มีวิชาการเพียงแค่ประถม 1 แต่ทำไมถึงไปเคารพท่านมากมายก็เพราะในเรื่องของวิชชา ช 2 ตัว ความรู้ความเจริญในเรื่องของทางจิต การพัฒนาจิตให้เป็นผู้ที่มีจิตอันเจริญอย่างถึงที่สุดอันควรแก่การเคารพนั้นมีมากเหลือเกิน แล้วก็ไปดูท่านครูบาอาจารย์องค์อื่นๆ ประถม 3 ประถม 4 หรืออย่างมากแค่มัธยม นี่จึงเป็นเครื่องแสดงว่า การศึกษาภายนอกคือการศึกษาในสถาบันการศึกษาไม่เกี่ยวกับการพัฒนาจิตให้เจริญ จนกว่าจะศึกษาพัฒนาจิตของตนข้างในให้เป็นจิตที่เริ่มรู้จักจะให้เพราะลดละจากความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน ถ้าตราบใดที่ยังยึดมั่นถือมั่นในอัตตา ในความเป็นตัวตน จิตนั้นจะเจริญไม่ได้ยังขรุขระอยู่ ทีนี้ความเจริญของวัตถุภายนอกเช่น บ้านเรือน ทรัพย์สินเงินทอง เครื่องอำนวยความสะดวก อย่างที่เราพูดกันเมื่อวานนี้ก็หาใช่เครื่องวัดความเจริญของจิตไม่ เช่นเดียวกันกับค่านิยมที่เราได้พูดมาแล้วนั้นเพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกันเลยตราบใดที่ยังไม่พัฒนาภายในตราบนั้นจิตก็ยังไม่เจริญอยู่นั่นเอง เพราะความเจริญของวัตถุเพียงเพื่อสนองความสะดวกสบายทางกายเท่านั้นนะคะ มันไม่ได้สนองมากไปกว่านั้น
ฉะนั้นความเจริญทางการศึกษาที่ไม่มีรากฐานของจริยธรรม ถ้าไม่ระมัดระวังมันจะกลายเป็นการส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ความเอาเปรียบ เบียดเบียน ทำลายล้างกันยิ่งฉลาดเท่าใด ก็นึกดูเถอะคะระหว่างคนโง่กับคนฉลาด 2 คนที่มีจิตไม่เจริญทั้งคู่ คนไหนจะสามารถคิดหาอุบายเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ได้มากกว่ากัน เพราะฉะนั้นความฉลาดที่ไม่มีปัญญาภายในควบคุมเป็นอันตรายอย่างยิ่งเลย แล้วก็ยิ่งไปหลงในความฉลาดของปริญญาบัตรของความรู้ในทางการศึกษา ท่านบอกว่านี้คือความมืดสีขาว ท่านอาจารย์สวนโมกข์ท่านใช้คำซึ่งดิฉันรู้สึกว่าเก๋ดี ท่านเรียกว่า “ความมืดสีขาว” เพราะผู้ที่กำลังหลงอยู่ในความรู้ ความฉลาด ในตำแหน่งการงาน ในความโก้ ความเก่ง ความวิเศษต่างๆ ของตน นี้คือความมืดสีขาว เพราะมันมองดูทางไหนมันดีทั้งนั้น มันจึงมองเหมือนกับขาวสะอาดปลอดโปร่งล้วนแล้วแต่เป็นความงดงาม แต่ความจริงมันมีจุดบอดจุดมืดอยู่ในความเป็นสีขาวนั้นแล้วก็เป็นอันตรายอย่างยิ่งเลย แล้วก็สิ่งที่จะช่วยกำจัดความมืดในสีขาวให้เป็นสีขาวที่บริสุทธิ์จริงๆ ก็คือเพิ่มการศึกษาข้างในเข้าไปซึ่งกล่าวซ้ำได้ว่า ชาวตะวันตกเวลานี้กำลังสำนึก หรือกำลังเริ่มสำเนียก สังวรในความมืดสีขาวที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขา เขาร่ำรวยด้วยวัตถุมากมายมหาศาลจนเรียกกันว่า เป็นประเทศที่เจริญแล้วแต่ภายในนั้นร้อนรน ดิ้นรน เพราะกำลังเริ่มเห็นชัดในโทษทุกข์ของความเจริญทางวัตถุที่ขาดการควบคุมของใจที่เจริญด้วยสติ สมาธิ ปัญญาก็ต้องขอย้ำว่า มันเลวทรามยังไง มันเป็นโทษทุกข์ยังไง เพราะมันล้วนแล้วแต่กระตุ้นให้เกิดความเห็นแก่ตัวอย่างรุนแรง แล้วก็เบียดเบียนกัน แย่งชิงทำลายล้างกันแล้วก็ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ต่างๆ นานาอย่างชนิดที่ไม่น่าพึงปราถนา เพราะฉะนั้นเมื่อมาปฏิบัติจิตตภาวนาหรือพัฒนาจิตให้เจริญ พัฒนาทำไม เพื่ออะไร คำตอบก็คือ
ข้อแรกเพื่อหยุดจิตที่ดิ้นรน ท่านผู้ใดที่มาด้วยความปราถนาหรือความตั้งใจของตนเองนะคะ ที่มาเพื่อมาฝึกปฏิบัติจิตตภาวนาเพราะรู้ว่าจิตนี้มันดิ้นรน มันดิ้นรนเพราะความเครียด ความเครียดก็เป็นอาการของความรู้สึกที่สุดโต่ง ที่มันรุนแรงขึ้นในใจมันทำให้เกิดความเครียด เครียดจนเซ็ง เครียดจนเหนื่อย อ่อนล้าจนย่อท้อห่อเหี่ยวจนเกิดความเบื่อหน่าย เบื่อหน่ายเพราะความที่ต้องทนใช่ไหมคะ ชีวิตของมนุษย์ที่เป็นทุกข์เพราะต้องทนใช่หรือเปล่า ทนกิน ทนพูด ทนเล่น อาจจะนึกแปลกว่าทนเล่น ไปทนเล่นมันทำไม บางทีไม่ได้อยากเล่นเลยแต่ถูกแค่นให้เล่น แม้แต่จะเล่นกีฬาเพราะฉะนั้นเมื่อต้องทนเล่นเพราะความเกรงใจ กลัวจะไม่เป็นไปตามค่านิยมเขาจะไม่ยอมรับเป็นสมาชิกของสังคม ทนเล่นตามเขาไปเพราะฉะนั้นอะไรที่ต้องทนมันเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ทั้งนั้นเลย แม้จะต้องทนพูดมันก็เป็นความทุกข์ทุกอย่าง แต่ถ้าจะสรุปก็อาจจะบอกว่า เบื่อหน่ายต่อความต้องทน ต่อความมี มีชื่อมีเสียง มีหน้ามีตา เวลายังไม่มีก็อยากมี อยากมีชื่อเสียงอย่างเขา อยากเป็นซัมบอดี้ (somebody) ในสังคมอย่างคนอื่นเขาพอโผล่ไปที่ตรงไหนใครๆ ก็รู้จัก ใครๆก็ทักทาย แหมอยากเป็นอย่างนั้น พอมีชื่อมีเสียงมีเกียรติยศเข้า เหนื่อยๆ เพราะหาเวลาเป็นของตัวเองไม่ได้เลย เมื่อไรนะสิ่งนี้จะหมดไปสักที นี่ต้องทน เพราะฉะนั้นทนต่อความมี ทนต้องความเป็น เป็นนั่นเป็นนี่ ทนต่อความได้ ได้มาเรื่อยแม้แต่ได้ของ ของกำนัลมากมายมันก็เป็นทุกข์เหมือนกัน ไม่มีที่จะเก็บ ไม่รู้จะเก็บตรงไหนไม่รู้จะไว้ตรงไหน ไม่ว่าจะเป็นผลหมากรากไม้ของสดของแห้ง หรือว่าข้าวของมันล้วนแล้วแต่ให้อะไรมากเกินไปนะคะ ที่มันไม่ใช่มัชฌิมาปฏิปทามันทำให้เกิดความต้องทนเท่านั้น เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงรับสั่ง สอนเรื่องให้รู้จักความพอดีเพราะถ้าพอดีแล้วจะไม่ต้องทน ถ้ามันพอดีมันพอเหมาะเหมือนอย่างรับประทานอาหารพอดีๆ มันอิ่มพอดีๆ มันสบายไม่อึดอัด แต่ถ้าหากมันไม่พอดีมันเกินไปเพราะว่าตามใจปาก ที่จริงไม่ใช่ตามใจปากหรอก ปากมันทำหน้าที่เคี้ยวตามที่ใจสั่ง ใจที่ยังไม่ยอมหยุดกินมันจะกินต่อ นี่มันเกินพอดีมันก็อึดอัด ถ้ามันน้อยเกินไปมันก็หิวเพราะฉะนั้นมันจึงบอกว่า ความเบื่อหน่ายเพราะความต้องทน ทนต่อความมี ความเป็น ความได้ แล้วประเดี๋ยวก็ต้องทนต่อความไม่มี เมื่อยังไม่มีคู่รัก ไม่มีความรักก็อยากจะมีเพราะมันรู้สึกหิวโหย รู้สึกอ้างว้างเดียวดาย พอมีคู่รักเข้ามาคนใหม่ๆ ก็อบอุ่นดีประเดี๋ยวมันเป็นภาระ ภาระจริงๆ เคยเป็นอิสระ ทำอะไรก็ไม่ได้เป็นอิสระก็ต้องคอยเอาใจคอยระมัดระวัง ลำบากเพราะฉะนั้นก็เกิดต้องทนขึ้นมาอีก เดี๋ยวก็ทนต่อความมีเดี๋ยวก็ทนต่อความไม่มี เดี๋ยวก็ทนต่อความเป็นเดี๋ยวก็ทนต่อความที่ไม่ได้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เดี๋ยวก็ต้องทนต่อความไม่ได้โน่นไม่ได้นี่ พอได้มาแล้วต้องทนต่อความได้เห็นไหมคะ มาปฏิบัติจิตตภาวนาก็เพื่อให้รู้ว่ามันเรื่องอะไรถึงจะต้องไปทน ใครเขาบังคับให้ทน ท่านลองถามดูใครเขาบังคับให้ทน จิตที่มันแส่ส่ายด้วยตัณหานั่นแหละมันทำให้ต้องทนเพราะมันความอยาก พออยากได้มันก็อยากโลภกวาดเอามากอบโกยเอามา มาเป็นของเราพอมากเข้าเกิดความต้องทนเพราะเกินความพอดี ฉะนั้นมาปฏิบัติจิตตภาวนาทำไม ประการแรกก็เพื่อรู้จักหยุดจิตที่ดิ้นรนจนจิตเครียด ชีวิตเครียด ชีวิตเซ็ง ชีวิตเหนื่อยเปลี้ยอ่อนล้าหมดแรง ให้เป็นชีวิตที่สามารถอยู่ได้ด้วยความพอดี ไม่มากไม่น้อยจะได้ไม่ต้องทน แล้วก็ไม่ต้องทุกข์นะคะ
ข้อที่ 2 ก็คือเพื่อหยุดการต่อสู้กับตัณหา ความอยากที่ร้อนรนโดยสามัญสำนึกความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเราผู้มีการศึกษาแล้ว เรารู้จักคือเรารู้สึกอยู่ในใจเสมอว่า นี่มันเกินไป นี่มันไม่สมควร แต่มันบังคับไม่ได้ มันบังคับไม่ได้ เหมือนอย่างคนคอเหล้า คนคอบุหรี่ เคยสูบอยากจะหยุดสูบแต่มันหยุดไม่ได้ถึงเวลาก็มันหิว เคยดื่มถึงเวลามันก็อยากดื่ม มันรู้ว่ามันไม่ดีเป็นการทำลายร่างกาย เผาเงินเผาทองแต่มันหยุดไม่ได้นี่ก็เป็นตัณหาเป็นความอยากที่มันร้อนรน มันกระตุ้นเพราะฉะนั้นก็เพื่อหยุดการต่อสู้กับตัณหา อย่างคนที่ก่อคดีในทางเพศที่มีมากเหลือเกินในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวันนี้ นั่นแหละควรจะได้มาเรียนรู้เพื่อหยุดการต่อสู้กับตัณหาที่มันไม่ได้ก่อกวนเฉพาะตัวเอง แต่มันไปเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์อย่างน่ากลัว น่าสยดสยอง น่าละอาย หรือบางทีก็ทำให้ตัวเองต้องสูญเสียชื่อเสียงเกียรติยศต่างๆ นานาไปหมด เพราะฉะนั้นก็เพื่อหยุดการต่อสู้กับตัณหากับความอยากที่ร้อนรนที่ใจรู้ส่วนหนึ่งของส่วนดีในใจบอกให้รู้ว่า นี่ไม่ดีแต่หยุดไม่ได้ ก็มาเรียนรู้วิธีเพื่อฝึกหัดอบรมว่าจะหยุดมันได้อย่างไร
ข้อที่ 3 ก็เพื่อดับความทุกข์ ดับความเครียดแล้วจิตจะรอดพ้นจากปัญหาที่รุมรัด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการงาน ปัญหาทางบ้าน ปัญหาสังคม หรือว่าปัญหาส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ ก็จะได้รู้ว่าความทุกข์มันเป็นยังไง ความเครียดมันเป็นยังไง มันแก้ไขได้ไหม ถ้าแก้ไขได้วิธีแก้ไขทำยังไง
อีกข้อหนึ่งก็เพื่อหยุดกลบทุกข์ เพื่อหยุดกลบทุกข์เหมือนอย่างแมว เวลามันอึแล้วมันก็กลบ แต่แมวอึแล้วกลบดีไหมคะ ดีเพราะมันช่วยทำให้ไม่ต้องส่งกลิ่นเหม็นไปถึงใครๆ แล้วถ้ามันกลบสนิทก็ทำให้ไม่มองดูสกปรกด้วย แมวมันกลบอึของมัน มันยังได้ประโยชน์แต่คนที่กลบทุกข์นี่ได้อะไรบ้างลองนึกดูซิคะ กลบทุกข์คืออะไรก็เช่นพอทุกข์ขึ้นมาไปหาเหล้ากินดีกว่า ไปเล่นม้าก็แล้วกันจะได้เพลินๆ หรือไปเล่นไพ่ หรือถ้าหากว่าดีขึ้นมาอีกนิดนึงก็อ้าวไปเที่ยว ไปดูหนัง ไปคุยกับเพื่อน หรือว่าหาอะไรมาแก้เหงา นั่นคือการกลบทุกข์แต่แล้วพอเสร็จจากกิจกรรมนั้นก็กลับมานอนก่ายหน้าผากใหม่ต่อไปอีก นอนก็ไม่หลับตาค้าง เพราะทุกข์นั้นเพียงแต่กลบเอาไว้เหมือนหินทับหญ้านั่นแหละ ไม่ได้ถอนรากถอนโคนมันเพราะฉะนั้นมันก็เข้ามารบกวนอีก ฉะนั้นการกลบทุกข์ของคนนี้ไม่ได้ประโยชน์ไม่เหมือนแมวกลบอึ แมวกลบอึเรายังชม แมวตัวนี้เรียบร้อยแต่ว่าคนกลบทุกข์นั้นเสียเวลาหรือเปล่า...