แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ถ้ากล่าวโดยสรุปจิตเจริญก็คือเป็นจิตที่ว่าง ว่างคืออะไร ก็คือว่างจากความรู้สึกยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นในความโลภ ความโกรธ ความหลง ยึดมั่นถือมั่นในความเห็นของตนเอง ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นฉันในความเป็นตัวเป็นตน นี่คือความหมายของคำว่า ว่าง ไม่มีกิเลสตัณหาอะไรเข้ามารบกวนได้มีแต่ความเยือกเย็น บริสุทธิ์ ผ่องใส ตั้งมั่น เฉียบคม เป็นจิตที่เฉียบคมนะคะไม่ใช่จิตที่มึนซึม ถ้าหากว่าปฏิบัติแล้วมันมึนซึม มันง่วงงุนนั่นไม่ใช่จิตที่เจริญอย่าเข้าใจผิด นั่นกำลังเป็นจิตที่ต้องการการพัฒนาอย่างยิ่งนะคะ ฉะนั้นจิตที่เจริญนั้นต้องว่องไวแล้วก็เฉียบคม ท่านบอกถึงลักษณะของจิตที่เป็นสมาธิ ที่พร้อมทั้งความสงบแล้วก็พร้อมทั้งความเจริญของปัญญา นั่นก็คือเริ่มแรกในความบริสุทธิ์ บริสุทธิ์เพราะไม่มีกิเลสตัณหาอุปทานคือความยึดมั่นถือมั่นเข้ามาครอบงำในจิตแล้วก็มีความตั้งมั่น มั่นคงหนักแน่นจะเปรียบกับภูเขาอะไรเดี๋ยวนี้ก็เปรียบไม่ได้ ภูเขามันถูกขุดอยู่ตลอดเวลาแต่ว่าจิตที่ตั้งมั่นแล้ว มันมั่นคงยิ่งกว่าภูเขาอะไรทั้งสิ้นนะคะ นอกจากนี้ก็มีความว่องไว เฉียบคม พร้อมที่จะทำการงาน พร้อมที่จะทำการงานไม่ว่าเป็นการงานทางโลกจะต้องเล่าเรียนศึกษา หรือจะต้องทำงานในหน้าที่ ว่องไว กระฉับกระเฉง ภายในหนึ่งชั่วโมงทำงานที่ควรจะเสร็จได้หลายอย่างแล้วก็ดีด้วย เรียบร้อยด้วย ถ้าเป็นการทำงานทางธรรมคือ การฝึกปฏิบัติข้างในจิตนั้นก็สามารถใคร่ครวญธรรมได้ลึกซึ้งละเอียด ประณีต ชัดเจนจนประจักษ์แจ้งยิ่งขึ้น นี่คือความหมายของความเฉียบคม ว่องไวพร้อมที่จะทำการงานทั้งนี้เพราะเป็นจิตที่เงียบ อย่างที่เราพูดเรื่องจิตเงียบแล้ว นิ่ง สงบ ว่างจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน ว่างจากความหมายแห่งความเป็นตัวตนก็คือ อนัตตา มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ตัวตน เวลานี้ยังไม่เห็นก็ไม่เป็นไรนะคะฟังเอาไว้ก่อน แล้วค่อยๆ ฝึกไปแล้ววันหนึ่งก็จะค่อยๆ เข้าใจว่า ที่ว่ามันสงบ มันนิ่ง มันว่างจากตัวตนนั้นคือหมายความว่าอย่างนี้ นี่คือลักษณะของจิตที่เจริญ แล้วก็เป็นจุดมุ่งหมายของการมาฝึกอบรมจิตภาวนาเพื่อให้ได้จิตที่เจริญในลักษณะอย่างนี้
ทีนี้จิตที่ไม่เจริญมีลักษณะอย่างไร ถ้าจะให้เห็นชัดนะคะก็ต้องเปรียบกันหน่อยกับจิตที่ไม่เจริญ จิตที่ไม่เจริญก็คือจิตที่ดิ้นรน กระเสือกกระสนด้วยอำนาจของความอยากตามกิเลส เชื่อว่ารู้จักกันทั้งนั้นใช่ไหมคะเพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเราไม่มากก็น้อย มันดิ้นรนอยู่ตลอดเวลาเดี๋ยวอยากได้โน่นเดี๋ยวอยากได้นี่ วัตถุสิ่งของ รูปธรรม หน้าตา นามธรรม ความรัก ความนับถือ ความนิยมยกย่อง มันอยากได้อยู่เรื่อยตั้งแต่สิ่งเล็กๆ ไปจนกระทั่งถึงสิ่งใหญ่แล้วแต่ว่าจิตนั้นจะเป็นจิตเถื่อนมากหรือน้อยแค่ไหน จิตที่ไม่เจริญคือจิตเถื่อน จิตป่าเถื่อน แม้จะได้เล่าเรียนศึกษาจบมหาวิทยาลัย ปริญญาโท ปริญญาเอกแต่ตราบใดที่จิตยังดิ้นรน กระเสือกกระสน ในทางธรรมท่านเรียกว่า เป็นจิตที่ป่าเถื่อนอยู่นั่นเอง ยังไม่ศิวิไลซ์จริงๆ ไม่ใช่จิตที่เป็นอารยะจริงๆ เพราะฉะนั้นจิตที่ไม่เจริญก็คือจิตที่ดิ้นรนตามความอยาก ตามอำนาจของกิเลส ความโลภ โกรธ หลง แล้วมีโอกาสกระทำก็ทำตามความดิ้นรนที่เกิดจากภายใน
จิตที่ไม่เจริญลักษณะที่ 2 ก็แสดงถึงจิตที่หวั่นไหว สั่นสะเทือนอย่างรวดเร็ว กระทบง่ายที่บางคนบอกว่า ฉันนี่เป็นคนเซนซิทีฟ (sensitive) แล้วก็รู้สึกว่าความเป็นคนเซนซิทีฟนี่ มันมีเกียรติมันแสดงว่าเป็นคนหวั่นไหว แต่แท้จริงนี่แหละคือลักษณะของจิตที่ไม่เจริญจะเซนซิทีฟก็ดี หรือจะเซนติเมนทัลก็ดี จิตไม่เจริญทั้งนั้นมันจึงหวั่นไหวง่าย โกรธง่าย เกลียดง่าย ดีใจง่าย ร้องไห้ง่าย หัวเราะง่าย ตื่นเต้นลิงโลดง่าย เรียกว่าโดนลูกยอเข้าก็ลอยขึ้นฟ้า โดนลูกด่าเข้าก็ฟุบลงดิน เห็นไหมคะ นี่แหละคือลักษณะของจิตที่หวั่นไหว มันหวั่นไหวอย่างนี้อะไรมากระทบเข้าหน่อยมันรวดเร็วเหลือเกิน มันซวดเซเร็วเห็นไหมคะ มันหกล้มเร็ว แม้ข้างนอกยังตั้งมั่นอยู่แต่ข้างในนี่มันล้ม มันล้มลุก มันกระเสือกกระสนบางทีสลบไปเลยแล้วก็ฟื้นใหม่แล้วก็สลบอีก นี่คือลักษณะของจิตที่หวั่นไหว มันถูกกระทบง่ายเหลือเกินกระทบตรงไหน กระทบที่ความรู้สึกเป็นตัวตน เป็นฉัน นี่แหละใช่ไหมคะ ความยึดมั่นถือมั่นในฉันที่มันมีอยู่แต่รู้ความแต่ไม่ได้สังเกต แล้วมันก็ค่อยๆ พอกพูนเพิ่มมากขึ้นๆๆ ทีละน้อยๆ จนวันหนึ่งมันเต็มที่ ที่ท่านบอกว่า มันอหังการเหลือเกินเพราะว่าความเป็นตัวเป็นตนนี้มันมาก แล้วนอกจากนี้ลักษณะของจิตที่ไม่เจริญก็คือจิตที่คิดแต่จะเอา เบียดเบียน ทำลาย ให้ไม่ได้ถึงจะให้ก็ให้สิ่งที่ตัวไม่ต้องการแล้วนั่นล่ะให้ได้เอาไปเอาไปเลย จะเอาเท่าไรเอาไปเลย แหมแสดงท่าทางใจกว้าง เมตตากรุณา แต่เพราะฉันไม่ต้องการแล้ว เอาไปเถอะมันหนักบ้าน มันเกะกะ ช่วยเอาไปเลย เอาไปเลยแต่อะไรที่ฉันชอบแม้แต่เป็นสิ่งเล็กน้อยก็อย่าหยิบนะ ให้ไม่ได้ นี่แหละลองดูนะคะ แล้วจิตนี้มันมักจะหลอกลวงเรา มนุษย์มักจะคิดว่าเราใจดี ใจกว้าง ไม่ถือโทษโกรธเคือง โกรธง่ายหายเร็ว นี่ถือเป็นคุณสมบัติพิเศษของตัวเองอีกอย่างหนึ่ง แต่มันก็หาใช่ของดีไม่เพราะไม่ใช่ลักษณะของจิตที่เจริญนะคะ นี่ก็เปรียบเทียบเพื่อให้เห็นชัดว่า เรามาพัฒนาจิตให้เป็นจิตที่เจริญ คือพัฒนาจิตจากจิตที่เป็นยังไงไปสู่จิตที่เป็นยังไง ก็จากจิตที่หวั่นไหว กระทบกระเทือนง่ายไปเป็นจิตที่ตั้งมั่น ตั้งมั่นคง จากจิตที่วุ่นวายระส่ำระสายไม่มีความสงบเลยไปเป็นจิตที่สงบ เยือกเย็น ผ่องใส จากจิตที่เขลาคิดแต่จะเอาให้เป็นจิตที่ฉลาดมีปัญญาภายใน แล้วก็เกิดความรู้สึกที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตนจึงจากความเป็นจิตที่จะเอาเป็นจิตที่พร้อมที่จะให้เอื้อเฟื้อเจือจานแบ่งปัน แต่แน่นอนเป็นการแบ่งปันที่ไม่ใช่หว่านทาน ไม่ใช่หว่านทาน แล้วก็นี่หว่านตั้งกี่ล้าน เท่าไรก็ตามทีใครจะอยากได้มาเอาๆ ไม่ใช่เป็นการหว่านอย่างนั้น การหว่านอย่างนั้นเป็นการหว่านที่ยังไม่ได้ใช้สติปัญญา ถ้าจะเป็นการให้อย่างใช้สติปัญญาคือให้แล้วเกิดประโยชน์ ไม่ใช่ให้แล้วไปช่วยให้เขาขี้เกียจมากขึ้น หรือไม่ใช่ให้แล้วไปส่งเสริมให้เขาเกิดความโลภอยากได้มากขึ้นแล้วคอยจ้องแต่จะเอาจะให้ นั่นเป็นการให้ที่ไม่ใช้สติปัญญาเป็นการให้ของความเป็นตัวตนมีอีโก้อยากให้คนเขาชมว่า โก้ เป็นคนเก่งเป็นคนดีไม่ใช่อย่างนั้น