แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมสวัสดีค่ะ ท่านผู้ชม
วรรณกรรมกับธรรมะครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ ๓ นะคะ ดิฉันก็จะขอพูดกันถึงเรื่องบ้านพิลึกของ ว. วินิจฉัยกุล อีกต่อไปนะคะ เมื่อคราวที่แล้วได้กล่าวถึงความพิลึกต่างๆ ในการดำเนินชีวิตของบ้านพิลึกดังที่กล่าวแล้ว แล้วก็ได้ทิ้งเอาไว้ในตอนท้ายเพื่อฝากท่านผู้ชมลองใคร่ครวญดูอีก ก็คือว่า ระหว่างความพิลึกของบ้านของเด็กหญิงเกี้ยว กับความไม่พิลึกของบ้านของเด็กชายบอยนั้น อะไรคือสิ่งที่ถูกต้องและควรกระทำ นอกจากนี้ก็ลองใคร่ครวญดูอีกว่า อะไรคือวัฒนธรรมไทยที่แท้จริง ที่ซื้อขายกันไม่ได้ และก็ไม่มีผู้ใดมายื้อแย่งไปได้อีกด้วย และประเด็นที่ ๓ อะไรคือวิถีทางของการดำรงชีวิตที่ถูกต้อง ซึ่งสมควรเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นความเจริญที่ถูกต้อง ข้อที่ ๔ ความพิลึกอันควรละอายทั้งเด็กและผู้ใหญ่นั้นมันควรจะเป็นอย่างไร หรือมันควรจะคืออะไร จากประเด็นที่ฝากไว้ให้ท่านผู้ชมได้ลองใคร่ครวญไว้ก่อนแล้วนั้น เมื่อเรามาอ่านจากบ้านพิลึกของ ว. วินิจฉัยกุล ก็จะเห็นว่าผู้เขียนก็ได้มีวิธีการดำเนินเรื่องที่จะส่งเสริมความหมายของประเด็นต่างๆนั้นให้ชัดเจนขึ้น ด้วยวิธีการเปรียบเทียบ เปรียบเทียบให้เห็นความเป็นไประหว่างครอบครัวของเกี้ยวกับบอย เช่น ที่พูดถึงมากในตอนแรกก็คือ ความมีโทรทัศน์เอาไว้ที่บ้าน มีวิดีโอไว้ที่บ้าน กับความไม่มี ที่ดิฉันพูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า ดิฉันมีปฏิกิริยาต่อการมีโทรทัศน์หรือต่อเทคโนโลยีในด้านนี้ อันที่จริงนั้นโทรทัศน์ก็มีประโยชน์ อย่างน้อยที่สุดขณะนี้ก็เห็นอยู่แล้วว่าถ้าเราไม่มีโทรทัศน์ ดิฉันกับท่านผู้ชมก็คงไม่มีโอกาสพบกัน รายการวรรณกรรมทางธรรมะก็จะไม่มีในรายการของห้องสมุด ฉะนั้น โทรทัศน์นี้หรือเทคโนโลยีมีประโยชน์ต่อชีวิต แต่มีประเด็นอยู่นิดเดียวว่า เราจะใช้อย่างไรจึงจะได้ประโยชน์มากที่สุดนะคะ ซึ่งในเรื่องนี้ผู้เขียนคือ ว. วินิจฉัยกุล ก็ได้ชี้ให้เห็นถึงว่า การมีโทรทัศน์และจะใช้ประโยชน์ของโทรทัศน์ให้เกิดประโยชน์นั้น ควรจะมีรายการอะไรบ้างที่จะยังประโยชน์แก่จิตใจของผู้ชม โดยผู้เขียนได้ให้เด็กหญิงเกี้ยวมีการบ้านที่จะต้องทำเกี่ยวกับการวิจารณ์ว่า ในรายการโทรทัศน์ทั้งหมดที่เด็กไทยของเราได้ดูกันอยู่นี้มีรายการใดบ้างที่เด็กเห็นว่าเป็นรายการที่ดีที่สุด แล้วในวันที่ต้องทำการบ้านเด็กหญิงเกี้ยวก็ได้ไปขออาศัยดูโทรทัศน์ที่บ้านของบอยที่เป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน หลังจากที่ได้ดูแล้วคำตอบที่เด็กหญิงเกี้ยวมาบอกกับพ่อแม่ก็คือว่า ไม่สามารถจะบอกได้ว่ารายการอะไรเป็นรายการที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้น การมีโทรทัศน์เป็นสิ่งดีเป็นอุปกรณ์ที่จะให้ประโยชน์ในทางการศึกษา
แต่แง่คิดก็คือว่า เราจะใช้อย่างไรจึงจะเป็นประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ นอกจากนี้ผู้เขียนก็เปรียบเทียบให้เห็นถึงเรื่องของความแตกต่างของการแต่งกาย ของชีวิตความเป็นอยู่เหมือนดังที่กล่าวแล้ว เรื่องของการกิน เรื่องของของเล่นในชีวิต ของเล่นในชีวิตของเด็กๆ ตั้งแต่เริ่มต้นในวัยเยาว์มา ควรจะเล่นอะไรจึงจะส่งเสริมนิสัยของเขา ส่งเสริมความเคยชินของเขา ให้อยู่กับสิ่งที่จะเป็นคุณธรรมต่อไปข้างหน้า อันจะเป็นการช่วยส่งเสริมการดำรงชีวิตให้มีความถูกต้องยิ่งขึ้น หรือในเรื่องของการสะสมสิ่งที่เรียกกันว่า เป็นทรัพย์ เป็นเกียรติ เป็นศักดิ์ศรี นั้นคืออะไร ผู้เขียนก็ใช้วิธีเปรียบเทียบ จนกระทั่งเรื่องของขโมยขึ้นบ้าน วันหนึ่งก็มีขโมยขึ้นบ้านของเด็กชายบอย ซึ่งเขามีความภาคภูมิใจในทรัพย์สมบัติสิ่งของที่พ่อแม่ได้สะสมเอาไว้ให้ เครื่องลายครามที่มีราคารวมกันแล้วเป็นหลายล้าน แล้วก็เครื่องใช้ไม้สอยที่ดีงามสวยงามอีกต่างๆ นานาที่เขาชอบ รวมทั้งโทรทัศน์วิดีโอด้วย เมื่อขโมยขึ้นมาบ้านเผอิญพ่อแม่ไม่อยู่ไปกิจการต่างจังหวัด ก็จับเด็กสามคนพี่น้องคือ บี เบน และก็บอยนี่ มัดรวมกัน ซึ่งเกี้ยวเขาบอกว่าเมื่อเวลาที่เขาได้ไปเห็นในครั้งแรกตอนที่พ่อไปช่วยนี่ เขามีความรู้สึกเหมือนกับลูกหมูสามตัวนี้ถูกมัดรวมกัน ครั้นจะหัวเราะในตอนนั้นมันก็ไม่ต้องด้วยกาลเทศะ แต่ในใจทั้งที่เห็นใจเพื่อนสงสารเพื่อนแต่ก็อดหัวเราะไม่ได้ แล้ววันหนึ่งก็มีขโมยมาขึ้นบ้านของเกี้ยว ซึ่งพอมาขึ้นบ้านของเกี้ยวนี่ เมื่อเจ้าของบ้านรู้เพราะได้ยินเสียงดังโครม ก็พากันออกไปดู ก็ปรากฏว่าตู้หนังสือชั้นหนังสือที่มีอยู่นั้นนะล้มโครมลงมาพร้อมกับหนังสือก็กระจายไป แล้วก็ใต้หนังสือใต้กองหนังสือนั้น ก็มีผู้ชายคนหนึ่งนอนหงายถูกตู้ทับถูกหนังสือทับ แล้วปากก็มีencyclopedia เล่มหนึ่งปิดอยู่ที่ปากพอดี พวกพ่อแม่แล้วก็เกี้ยวกับแก้วก็มาถามมาดูว่า เอ..นี่เป็นขโมยใช่ไหม? ขโมยนั้นก็พยายามที่จะตอบ แต่ก็ตอบไม่ได้เพราะหนังสือปิดปากอยู่ พ่อก็เลยช่วยหยิบหนังสือออกจากปาก แล้วขโมยเขาก็ถามว่า เขาก็บอกว่า บ้านนี้นะมองดูข้างนอกก็สวยงามดีหรอก แต่เข้ามาแล้วไม่เห็นมีของมีค่าอะไรเลยสักอย่างเดียว
พ่อ..ซึ่งทีแรกก็พูดกับขโมยด้วยความนุ่มนวลอ่อนโยน แต่พอได้ยินคำที่ขโมยบอกว่า ไม่เห็นมีค่าอะไรสักอย่างเลย พ่อรู้สึกเป็นการสบประมาทมาก พ่อของเกี้ยวนะคะก็บอกว่า นี่ไม่รู้หรอกหรือว่า สิ่งที่มีค่าที่สุดนี่ก็คือ สิ่งที่ตัวกำลังนอนจมอยู่ในกองนี้ ขโมยก็ยังไม่รู้ พ่อก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นไหนเกี้ยวลองท่องให้ฟังหน่อยซิ ท่องเพื่อบอกให้รู้ว่าอะไรคือทรัพย์อันประเสริฐนี่ เกี้ยวก็ท่องว่า มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน จะตกถิ่นฐานใดก็ไม่แคลน ให้ขโมยฟัง เพราะฉะนั้นพ่อก็เลยอธิบายต่อว่า นี่แหละคือทรัพย์ที่มีค่าที่สุดของบ้านนี้ แม้เราจะไม่มีเครื่องลายคราม แม้เราจะไม่มีเครื่องใช้ไม้สอยที่มีราคามากมายก็ตาม แต่ทว่าเรามีหนังสือซึ่งเป็นขุมทรัพย์อันประเสริฐ ที่เราจะตักตวงเอาความรู้นี่เข้ามาไว้ได้ในสมองของเรามากมายก่ายกอง เป็นทรัพย์อันประเสริฐยิ่งเพราะไม่มีใครจะมาแย่งชิงเอาไปได้ ผู้เขียนก็เปรียบเทียบให้เห็นเพื่อที่จะให้มองเห็นว่า สิ่งที่เรียกว่าทรัพย์จริงๆ คืออะไร ที่ไหน แล้วก็เปรียบเทียบเรื่องการแต่งกาย ไปงานโรงเรียนของแม่ของเกี้ยวกับแม่ของบอย แม่ของเกี้ยวนั้นก็นุ่งผ้าซิ่นอย่างที่เคยนุ่ง แม่ก็มีความรู้สึกว่าไม่เห็นเป็นอะไร แต่ส่วนตัวเกี้ยวเองรู้สึกว่าเป็นทุกข์และก็อึดอัด กลัวแม่จะถูกหัวเราะเยาะเพราะว่าไม่ได้แต่งตัวตามสมัยเหมือนอย่างคนอื่น ส่วนคุณแม่ของบอยนั้นนะได้เตรียมเสื้อผ้าชุดที่งามที่สุด แล้วก็เป็นผ้าที่สั่งตรงจากประเทศเมืองนอกมา ไม่มีใครเหมือน แต่ก็ให้เผอิญอีกล่ะ พอไปถึงวันนั้นเข้าก็มีแขกต่างประเทศมา แขกต่างประเทศนั้นแทนที่จะสนใจกับเครื่องแต่งกายอันงดงามของผู้ที่เรียกว่าได้รับการตัดเย็บอย่างดี และก็แพรพรรณอันงดงามจากต่างประเทศ ก็กลับมาสนใจกับผ้าซิ่นมัดหมี่ที่แม่ของเกี้ยวนี่แต่งไป แล้วก็ได้รับคำชมเชยยกย่อง ที่สามารถรักษาวัฒนธรรมไทยนี่เอาไว้ได้ในทุกโอกาส ผู้เขียนก็เปรียบเทียบเพื่อที่ให้เกี้ยวค่อยๆ มีความรู้สึกขึ้นในใจถึงความถูกต้องว่า จะเป็นเช่นใดทีละน้อยๆ แล้วก็เพิ่มเหตุการณ์ คือเพิ่มเนื้อหาในเรื่องของเด็กหญิงญี่ปุ่น แล้วก็ตอนจบของเรื่องที่เราจะถือได้ว่าเป็น Climax นะคะ ก็คือ เมื่อตอนที่ทางโรงเรียนนี่ตัดสินการประกาศที่จะให้รางวัลแก่พ่อแม่ที่จะถือว่าเป็นตัวอย่างได้ คือ พ่อแม่ที่สามารถอบรมลูกให้ลูกเป็นผู้มีกิริยามารยาทงดงาม เป็นผู้ที่สามารถช่วยตัวเองช่วยผู้อื่นได้ นอกจากนั้น ยังส่งเสริมลูกนี่ให้เป็นผู้ที่มีความรู้สึกเป็นไทยอันคงความหมายของความเป็นไทยไว้ได้อย่างแท้จริง แล้วพ่อแม่ที่ได้รับการตัดสินท่านผู้ชมก็คงจะเดาได้ว่า ก็คือ พ่อแม่ของเกี้ยวกับแก้วนั่นเอง ได้รับการประกาศยกย่องว่าเป็นพ่อแม่ตัวอย่าง ก็ทำให้ความรู้สึกของเกี้ยวที่เคยเดือดร้อน เคยอึดอัดขัดใจ กับความไม่เหมือนของบ้านของตนกับบ้านของคนอื่น การประพฤติปฏิบัติที่ไม่เหมือนนั้นก็ค่อยคลายไป จนกระทั่งเกิดความแน่ใจว่า สิ่งนี้แหละเป็นสิ่งถูกต้อง
เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าเราจะพิจารณาดูอีกแง่หนึ่งนะคะ จากการอ่านวรรณกรรมเรื่องบ้านพิลึกของ ว. วินิจฉัยกุลนี่ ก็คือดูพัฒนาการความรู้สึกนึกคิดของเกี้ยว หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ดูพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กหญิงเล็กๆ คนหนึ่งอายุ ๑๐ ขวบนี่ เพราะเหตุว่าเกี้ยวเป็นแกนกลาง ที่เป็นแกนกลางคือเป็นตัวนำในเรื่อง ที่ชวนให้ผู้อ่านติดตามที่จะศึกษาว่าความพิลึกต่างๆ ที่มีนี้นะ มีอย่างไร และดำเนินไปอย่างไร โดยเริ่มต้นที่ความรู้สึกนึกคิดของเกี้ยวในตอนแรก ที่มีความสงสัย มีความลังเล มีความไม่แน่ใจนะคะ ตามสัญชาตญาณของสัตว์สังคม ต้องใช้คำว่าตามสัญชาตญาณของสัตว์สังคมเพราะเหตุว่า เรามักจะเป็นกันอยู่เช่นนี้เสมอ เมื่อกระทำสิ่งใดที่รู้สึกว่าไม่เหมือนคนอื่น ถ้าบอกว่าไม่เหมือนคนอื่น เกิดความอึดอัดไม่สบายใจ ทั้งๆ ที่ความที่จะพยายามทำให้เหมือนคนอื่นนั้น ก่อให้เกิดความอึดอัดความไม่อยากทำภายในใจนี่เป็นทวีคูณ แต่ก็ฝืนใจทำเพื่อที่จะให้เหมือนคนอื่นๆ โดยไม่ได้นึกดูว่าสิ่งที่เราเรียกว่าคนอื่นๆ เขาทำนั้นนะ ที่เราอยากจะทำให้เหมือน เป็นสิ่งที่สมควรเหมาะสมงดงาม และก็ทำให้ใจนั้นหมดปัญหาเป็นสุขได้หรือไม่เพียงใด สิ่งนี้เป็นประเด็นที่สำคัญมากนะคะ เป็นประเด็นที่เราน่าจะชวนคิด และก็ใคร่ครวญดูว่าเป็นสิ่งที่เราควรจะแก้ไข ให้จุดประเด็นของปัญหาในใจที่ว่า ฉันจะต้องทำอะไรให้เหมือนคนอื่น เธอมาบอกให้ฉันทำอย่างนี้มันไม่เหมือนคนอื่นเขานี่ ฉันไม่ทำหรอก การกระทำอะไรที่เราจะทำอย่างที่เขาเรียกว่าไปตามน้ำหรือตามกระแสน้ำ ทุกท่านก็ทราบแล้วว่าไม่ยาก ง่ายนิดเดียว แต่การจะทำอะไรที่มันทวนกระแสน้ำ ทวนกระแสเพราะเรารู้แล้วว่าสิ่งที่ตามกระแสนั้นนะ อาจจะพัดพาไปสู่หินโสโครกได้ง่ายๆ แต่ถ้าเราทวนกระแสเราพอจะมองเห็นช่องทางที่เราจะไปได้อย่างปลอดภัย ถึงแม้ว่าเราจะต้องทุ่มเทกำลังใจกำลังกายในการกระทำเช่นนั้นเพียงใดก็ตาม ฉะนั้น เกี้ยวก็คงไม่แตกต่างไปจากบุคคลอื่นๆ ส่วนใหญ่ นั่นก็คือความลังเลสงสัยไม่แน่ใจว่าตนไม่เหมือนคนอื่นตามสัญชาตญาณของสัตว์สังคม แต่ว่าเกี้ยวก็เป็นเด็กเพียงอายุ ๑๐ ปีเท่านั้นนะคะ เราจะไปหวังให้แกรู้อะไรมากไปกว่านี้ หรือแน่ใจขึ้นมาในทันทีทันใดย่อมเป็นไปไม่ได้
แต่แล้วเกี้ยวก็ค่อยๆ เห็น ค่อยๆ มอง หรือว่าพัฒนาสติปัญญาเกิดขึ้นเองทีละน้อยๆ ด้วยการที่ฝึกดู สังเกตดูจากสิ่งล้อมรอบตัว เหมือนอย่างวันที่ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของบอย ก็มีความแปลกใจมากเลยว่าทำไมนะพ่อแม่พี่น้อง ตลอดจนคุณยายและก็เด็กคนใช้ในบ้านของบอย ทำไมเขาไม่คุยกันเลย ต่างคนก็มีจานข้าวอยู่ในมือ แล้วก็ตาก็จ้องดูที่จอโทรทัศน์ จ้องดูไม่พูดไม่จา ใครจะทำเสียงอะไรมาสักนิด ก็จะบอกว่าเบาๆ เบาๆ เพื่อที่จะได้ฟังและจะได้ดูให้ชัดเจน แจ่มแจ้ง จนกระทั่งถึงเวลาโฆษณารายการที่มาคั่นเมื่อไหร่นั่นแหละ ทุกคนนี่จึงจะพร้อมใจกันตักข้าวเข้าปาก เหมือนอย่างกับที่เกี้ยวเขาเปรียบว่า เหมือนอย่างเวลาที่ฝึกกายบริหารอย่างนั้นเอง ถ้าพอถึงเวลารายการมา ก็ทุกคนหยุดกินหยุดพูด แล้วตาก็จ้องเล็งไปที่รายการโทรทัศน์ เหมือนกันอย่างนั้นทุกคน เกี้ยวก็เลยรู้สึกอึดอัดใจเพราะว่าที่บ้านของเกี้ยวนั้น พ่อแม่พี่น้องคุยกันมีความอบอุ่นสนุกสนาน ไม่มีใครที่ต่างคนต่างกิน ต่างคนต่างดู ต่างคนต่างอยู่ ทั้งๆ ที่อยู่รวมกันในที่แห่งเดียวกันนั่งกันอยู่ใกล้ชิด เกี้ยวก็ค่อยๆ เรียนสิ่งเหล่านี้ทีละน้อยๆ ว่า อ้อ.. การที่เราเคยละอายว่าบ้านเราไม่มีโทรทัศน์นี่ ถ้าหากว่าทุกคนทุ่มเทสนใจไปกับเรื่องของโทรทัศน์ทีวี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กๆ และเยาวชน จนกระทั่งไม่มีเวลาจะทำอย่างอื่น เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ เกี้ยวได้รับคำตอบเองโดยไม่ต้องมีใครตอบให้ นอกจากนี้ ความมั่นใจของเกี้ยว หรือการพัฒนาทางสติปัญญาก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อย เมื่อได้ฟังคำอธิบายของคุณยายจันที่อยู่ต่างจังหวัดว่า ประโยชน์ของการนุ่งผ้าโจงกระเบนนี่คืออย่างไร ทำไมคุณแม่ของเกี้ยวจึงไม่นุ่งกางเกงเหมือนอย่างคนอื่น และคำอธิบายของคุณน้าสร้อยที่อธิบายว่า ประโยชน์ของการนุ่งผ้าซิ่นนี่เป็นอย่างไร ดีกว่าการที่จะนุ่งกระโปรงสั้นหรือกระโปรงพับนั้นนะเพียงใด ก็รู้ขึ้นไปเองทีละน้อยๆ ตอนนี้เกี้ยวก็มีความมั่นใจขึ้นในความถูกต้องถึง 50% คือแน่ใจว่า เอาละที่เราเคยกลัวว่าบ้านเราพิลึกๆ ไม่เหมือนคนอื่นเขานะ แท้จริงไม่ใช่อย่างนั้น แต่ยังไม่ถึง 100% เมื่อเขารู้แล้วว่าการนุ่งผ้าโจงกระเบนนั้นนะให้ความสะดวกได้ในทุกโอกาส ไม่ต้องเสียเงินมากที่จะเปลี่ยนตัดกางเกงเพื่อจะให้ตามสมัยนิยม แล้วก็ยังได้รับความสะดวกในการที่จะเดินจะนั่ง แล้วก็จะทำงาน นอกจากในเรื่องของการประหยัด นอกจากนี้พัฒนาการในทางสติปัญญาของเกี้ยวถึงที่สุดก็คือ เมื่อพ่อแม่ได้รับการตัดสินยกย่องประกาศว่าเป็นพ่อแม่ตัวอย่างที่สามารถอบรมลูกอย่างน่าชื่นชม ใครๆ เห็นแล้วก็ต้องยกย่องว่านี่แหละ เด็กอย่างนี้แหละเป็นเด็กดี เป็นเด็กดีของพ่อแม่ เป็นเด็กดีของโรงเรียน แล้วก็เป็นเด็กดีของสังคม เกี้ยวจึงมีความแน่ใจ 100% ว่า ความพิลึกๆ ที่ใครว่านั่นนะ แท้ที่จริงแล้วถ้าใครอยากจะเรียกว่าพิลึกก็ช่างเถอะ แต่ทว่าเป็นความพิลึกที่เป็นความถูกต้อง เพราะเหตุว่าได้ช่วยให้เกี้ยวได้มีความสุข ได้มีความอบอุ่นอยู่กับบ้าน อยู่กับพ่อแม่ อยู่กับความรัก
และในขณะเดียวกัน เกี้ยวก็ยังสามารถที่จะมีพ่อแม่ที่ตนสามารถภาคภูมิใจได้นะคะ ฉะนั้นถ้าจะพูดว่าสิ่งใดละที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาของเกี้ยวให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นๆ ตามลำดับนะคะ จนกระทั่งเกิดความเข้าใจเกิดความรู้ที่ถูกต้องอันเป็นสัมมาทิฏฐิได้ในที่สุด ก็เห็นจะต้องกล่าวว่า ปัจจัยที่ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาของเกี้ยว ประการแรกก็คือ บุคลิกที่มีความมั่นคงและก็แน่ใจในความถูกต้องของสมาชิกในครอบครัวของเกี้ยว คือพ่อ แม่ และก็พี่สาวของเกี้ยว เหมือนดังเช่นพ่อของเกี้ยวเมื่อเวลาที่เกี้ยวมาปรารภว่า หนูดูโทรทัศน์แล้วนี่ยังบอกไม่ได้เลยว่า รายการไหนจะเป็นรายการที่ดีที่สุด เพราะยังไม่เห็นถูกใจเลยสักรายการหนึ่ง แล้วจะเขียนตอบครูว่าอย่างไร พ่อก็บอกว่าก็ลูกได้ไปดูรายการนั้นนะตามคำสั่งของครูแล้วใช่ไหมเพื่อจะทำการบ้าน นี่ก็เรียกว่าไม่ได้ขัดคำสั่งทำตามคำสั่งของครู ส่วนการที่จะให้ความคิดเห็นว่ารายการนั้นเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ มีรายการดีที่สุดหรือไม่ นี่เป็นหน้าที่ของเกี้ยวที่จะต้องตอบคำถามและทำการบ้าน และครูก็คงจะพอใจในคำตอบของเกี้ยวถ้าเต็มไปด้วยเหตุผล ด้วยสติปัญญาของเกี้ยวเอง เพราะฉะนั้นเกี้ยวก็เลยทำการบ้านในเรื่องเกี่ยวกับรายการโทรทัศน์ไปว่า ไม่มีรายการที่ดีเลยสักรายการเดียว นี่ในความเห็นของเด็กอายุ ๑๐ ขวบนะคะ ดิฉันก็ไม่ทราบว่า ว.วินิจฉัยกุล จะมีความรู้สึกว่า อยากจะเสนอแนะการจัดรายการเพื่อเด็กและเยาวชนให้มีพัฒนาการที่จะเกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้นด้วยหรือเปล่านะคะ หรืออย่างแม่ แม่ของเกี้ยวเอง เมื่อเวลาที่ลูกถามเกี่ยวกับเรื่องของสนามหญ้าว่า เอ๊ะ..ทำไมเราไม่มีสนามหญ้าหน้าบ้านเหมือนอย่างคนอื่นเขาบ้างล่ะจ๊ะแม่ ทำไมเรามีแต่สนามผักมาอยู่บ้าน ใครๆ ก็เลยเห็นว่าบ้านของเรานี่เป็นบ้านพิลึก แม่ก็ตอบลูกว่า ก็เรามีสนามหญ้าของเราอยู่หลังบ้านแล้วนี่ลูก เราก็เลยไม่จำเป็นที่จะต้องมีสนามหญ้าอยู่ที่หน้าบ้าน หรือเมื่อถามเกี่ยวกับเสื้อผ้าว่า แม่จะแต่งชุดใดไปโรงเรียน งานของโรงเรียน เมื่อแม่บอกเกี้ยวก็ถามว่าแล้วสวยไหมแม่ที่แม่จะแต่งไปนี่ แม่ก็ตอบอย่างเฉยๆ เรื่อยๆ เอ..แม่ก็ว่าของแม่สวยทุกชุดนะ ความมั่นคงในบุคลิกของพ่อและแม่ ความแน่ใจในสิ่งที่เชื่อแล้วว่ากระทำอย่างถูกต้อง เป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งนะคะ ที่ส่งเสริมให้พัฒนาการของเกี้ยวนี่เจริญ พัฒนาการทางสติปัญญานี่เจริญขึ้นไปทีละน้อยๆๆ จนถึงที่สุดได้ โดยไม่ต้องอาศัยการบอกการชี้การแนะ แต่ว่าเกี้ยวก็สามารถจะศึกษาได้ด้วยตนเองอันช่วยส่งเสริมให้เกิดความมั่นใจและแน่ใจ เรายังไม่จบในเรื่องปัจจัยส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาของเกี้ยวนะคะ เราจะได้พูดกันต่อไปในคราวหน้า นี่แหละค่ะ เห็นไหมคะเพียงแต่ว่าเรามองดูหรืออ่านหนังสือเล่มเล็กๆ นี้เล่มเดียวเท่านั้นเอง บ้านพิลึกของ ว. วินิจฉัยกุล แต่เมื่อเรามองดูโดยนำประเด็นของธรรมะเข้ามาอ่านประกอบ เรายังจะได้พบแง่มุมที่น่าคิดอีกหลายๆ แง่ทีเดียว
สำหรับวันนี้..ธรรมสวัสดีค่ะ