แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ธรรมสวัสดีค่ะ ในรายการวรรณกรรมกับธรรมะในคราวนี้นะคะ ก็จะต้องขออนุญาตพูดถึงเรื่องของ “ต้นส้มแสนรัก” ต่อไปอีกครั้งหนึ่ง เมื่อคราวที่แล้วเราจบลงตอนที่ “เซเซ่” เด็กน้อยวัย ๕ ขวบ ปรารภเชิงรำพึงรำพันกับต้นส้มของเขาว่า เขาอยากจะมีลูกสัก ๑๒ คน และก็มีอีก ๑๒ คน ๑๒ คนแรกนี่ เขาบอกว่าจะให้เป็นเด็กตลอดไป แล้วก็ไม่ให้ถูกตีเลย อีก ๑๒ คนให้เป็นผู้ใหญ่ และเขาก็จะคอยถามลูกที่เป็นผู้ใหญ่นะคะว่า “ลูกรัก” เจ้าอยากจะเป็นอะไร เจ้าอยากจะเป็นคนตัดฟืนหรึอ เอาสิ เอาขวานของเจ้ากับเสื้อตาหมากรุกไป นี่เขาคิดว่าคือเครื่องมือหรืออุปกรณ์ของคนที่จะต้องไปทำหน้าที่ตัดฟืนนะคะ หรือว่า เจ้าอยากเป็นคนฝึกสิงโตหรือ ในละครสัตว์น่ะใช่ไหม ดีมาก เอาไปสิ นี่แส้กับเครื่องแบบสำหรับที่จะเป็นคนฝึกสิงโต เจ้าอยากเป็นโคบาลหรือ นี่รองเท้ากับเชือก เอาไปนะ ลูกอยากเป็นวิศวกรไฟฟ้าหรือ หมวกแก๊ปกับนกหวีด เป็นต้นนะคะ จากคำปรารภรำพึงของ เซเซ นี่ เมื่อเราผู้อ่านได้อ่านแล้วมีความรู้สึกว่าเด็กน้อยอายุ ๕ ขวบได้บอกอะไรแก่ผู้ใหญ่บ้าง ดิฉันลองใคร่ครวญดูแล้วก็รู้สึกว่า สิ่งหนึ่งที่เซเซ่พยายามจะบอกกับผู้ใหญ่ในการที่เขาปรารภว่าเขาอยากมีลูก ๑๒ คน ใน ๑๒ คนนั้นน่ะ ให้เป็นเด็กตลอดไป แล้วก็อีก ๑๒ คนให้ ๑๒ คนนั้นน่ะเป็นผู้ใหญ่ หมายความว่าอะไร ทำไมถึงต้องมีตั้ง ๑๒ คน ในใจของเซเซ่คงรู้สึกว่าการได้อยู่ร่วมกันมากๆ พี่น้องหลายๆคนมันคงจะช่วยทำให้เกิดบรรยากาศที่อบอุ่น เกิดความรัก เกิดความอบอุ่นในระหว่างพี่ๆน้องๆ เพราะฉะนั้นเขาจึงอยากมีลูกมากๆ ๑๒ คนเป็นเด็ก ๑๒ คนเป็นผู้ใหญ่ ทีนี้ทำไมล่ะ เขาจึงให้ ๑๒ คนแรกเป็นเด็กและก็ข้อสำคัญต้องไม่ให้ถูกตีเลยด้วย ก็เห็นจะเป็นด้วยว่าชีวิตของเซเซ่ เด็กน้อยอายุ ๕ ขวบที่น่าสงสารคนนี้ ชีวิตของเขาคือการถูกตี ถูกตีเป็นประจำ ถ้าวันไหนไม่ถูกตีนี่ วันนั้นเป็นวันพิเศษ เป็นวันที่เขารู้สึกว่าพระบุตรนี่อยู่ในใจ ตามธรรมดามันมักจะเป็นเจ้าตัวผีหรือปีศาจอะไรกระมังที่มาอยู่ในใจของเขา จึงทำให้เขาทำอะไรที่เขาไม่คิดว่าจะเป็นอะไร แต่ก็เป็นเหตุให้เขาต้องถูกตีอยู่เรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น ก็เท่ากับว่าเป็นคำร้องอุทธรณ์ต่อผู้ใหญ่ทั้งหลายว่า เด็กก็คือเด็ก และเด็กก็ไม่อยากที่จะให้ถูกตีบ่อยๆเลย เพราะมันเป็นการชอกช้ำทั้งกายและใจ เพราะนอกจากนี้ทำไมถึงให้เป็นเด็กตลอดไป ๑๒ คนเ ก็เท่ากับว่าเมื่อเกิดมาเป็นเด็กก็ย่อมจะต้องมีความรู้สึกหวงแหนในความเป็นเด็กตามสัญชาตญาณ ซึ่งแสดงถึงความเยาว์วัย ความแจ่มใส ความบริสุทธิ์ นี่เป็นจินตนาการตามวิสัยของเด็กและก็เผอิญเป็นเด็กที่ฉลาดมากเสียด้วยนะคะ
ทีนี้หน้าที่ของผู้ใหญ่เราถ้าเผอิญมีลูกหลานที่ฉลาดอย่างนี้ จะทำอย่างไร ก็เห็นจะไม่มีวิธีอื่นนอกจากว่าจะต้องคอยตะล่อมความฉลาดของลูกหลานเล็กๆที่น่ารักเหล่านี้ให้เข้าสู่หนทางของความฉลาดที่ถูกต้อง คืออย่าให้เป็นฉลาดที่เขาเรียกว่า “เฉโก” แต่ให้เป็นฉลาดที่เป็นสัมมาทิฐิ แล้วก็ให้ใช้ความฉลาดนั้นให้ถูกต้อง เพื่อเป็นพื้นฐานของความถูกต้องต่อไปข้างหน้า ความถูกต้องที่พูดในที่นี้ตามธรรมะนั้น หมายถึงความถูกต้องอันเกิดประโยชน์ขึ้นแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกประการ ไม่ว่าทั้งส่วนรวมและส่วนตัว ถ้าหากการว่ากระนั้นทำไปแล้วมันทำให้มีผู้เป็นทุกข์ มันมีโทษขึ้นแก่ผู้หนึ่งผู้ใด การกระทำนั้นก็ยังไม่ใช่การกระทำที่เราจะเรียกว่าเป็นความถูกต้องตามทางธรรม ทีนี้ส่วนลูกอีก ๑๒ คน เซเซ่บอกว่าให้เป็นผู้ใหญ่ นั่นก็หมายความว่าในภาพในหัวใจของเด็กๆคงจะแบ่งออกได้เป็น ๒ ภาค ภาคหนึ่งก็เป็นภาคของเด็กเล็กๆตามธรรมชาติ อีกภาคหนึ่งก็เป็นภาคของความรู้สึกที่อยากจะเหมือนผู้ใหญ่ ท่านผู้ชมทุกท่านที่เป็นผู้ใหญ่ แต่เราก็ผ่านวัยของความเป็นเด็กมาแล้ว คงจะระลึกได้ทีเดียวว่าในวัยของความเป็นเด็กนั้นน่ะ มีอยู่บ่อยหลายครั้งเหลือเกินที่เราอยากจะทำอะไรเหมือนผู้ใหญ่ อยากจะกินอย่างผู้ใหญ่ อยากจะดื่มกาแฟอย่างผู้ใหญ่ แล้วก็อยากจะไปเล่น ไปสนุก อยากจะพูด อยากจะทำอะไรอย่างที่ผู้ใหญ่เขาทำ เหมือนอย่างที่เซเซ่เองก็ได้พยายามที่จะทำตนเป็นผู้ใหญ่เช่นอย่างนั้นเหมือนกัน รู้จักแต่งตัวให้น้อง น้องคนเล็กของเขาที่ชื่อ “หลุยส์” ที่ได้ชื่อว่าเป็นเด็กดี น่ารักที่สุดในบ้านเพราะมีความเรียบร้อย มีความสงบ ไม่ทำอะไรให้คนอื่นเวียนหัว ปวดหัว เหมือนอย่างตัวเซเซ่ ทั้ง ๆ ที่เซเซ่อายุ ๕ ขวบ ตัวเล็กนิดเดียว ก็ยังรู้จักรักน้อง แต่งตัวให้น้อง ดูแลน้อง อันนี้ก็อาจจะเป็นด้วยว่า ภาคหนึ่งในใจของเขาที่มีความรู้สึกเป็นอะไรคล้ายๆกับผู้ใหญ่ก็เป็นได้ ฉะนั้นเขาจึงปรารถนาที่จะให้ลูกอีก ๑๒ คนนั้นน่ะเป็นผู้ใหญ่ นอกจากนี้ก็ยังอนุญาตที่จะให้ลูกที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ๑๒ คนนี้เลือกอาชีพตามที่ตนเองต้องการ ไม่มีการบังคับว่าลูกต้องทำงานอย่างนี้ ลูกต้องมีอาชีพเป็นอย่างนั้น แต่ให้เลือกเอา เลือกจะเป็นคนตัดฟืนได้ พร้อมกับแจกเครื่องมือให้ เอาขวานไป ไปเป็นคนตัดฟืน อยากจะเป็นคนฝึกสิงโต เอาไป เอาแส้ไป เพื่อที่จะได้ไปฝึกหัดสิงโต อยากจะเป็นโคบาล เอารองเท้าไป เอาเชือกไป วิศวกรไฟฟ้า เอาหมวกแก๊ปกับนกหวีดไป อันที่จริงถ้าเราจะดูอุปกรณ์ที่เซเซ่ให้มอบแก่ลูกเขาแต่ละคนๆ มันก็ไม่ค่อยสู้จะเหมาะนักหรอกนะคะ กับอาชีพที่จะต้องไปกระทำ อย่างเช่น การเป็นวิศวกรนี่ก็เอาหมวกแก๊ปกับนกหวีดอะไรอย่างนี้ นี่มันก็แสดงถึงว่าเด็กก็ยังคงเป็นเด็ก แม้จะอยากเป็นผู้ใหญ่ แต่การที่จะให้คิด ให้พูด ให้ทำ ถูกต้องสมบูรณ์อย่างผู้ใหญ่ทั้งหลายนั้นก็ย่อมเป็นไปไม่ได้เพราะเขายังไม่มีประสบการณ์ในชีวิตเพียงพอ แต่อย่างไรก็ตาม จากคำปรารภรำพึงรำพันของเซเซ่นี่ ก็อยากเหมือนเป็นคำประกาศบอกให้ผู้ใหญ่ทั้งหลายรู้ว่า ยังรักความเป็น เด็กก็ยังเป็นเด็ก อยากสนุก อยากเล่น อยากซน อยากทำอะไรที่นอกรีตนอกรอยจากคำสอน คำอบรมของผู้ใหญ่บ้าง แต่ในขณะเดียวกัน ทั้ง ๆที่ยังเป็นเด็กอยู่ในความดูแลของผู้ใหญ่ แต่ก็อยากจะมีอิสรภาพบ้าง เพราะฉะนั้นเซเซ่จึงสมมติใจของเขาว่า ถ้าเขาเป็นพ่อของคน เขาคงไม่บังคับลูกว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่จะให้อาชีพลูก ให้ลูกเลือกอาชีพเอง แล้วเราก็จะสังเกตว่า อาชีพต่างๆที่เซเซ่สมมติให้แก่ลูกของเขา เช่น อาชีพคนตัดฟืน คนตัดฟืนก็ต้องอยู่กับป่า ได้เที่ยวป่า ได้ดูป่า ถึงแม้ว่าจะไปตัดต้นไม้ในป่า แต่ก็ยังอยู่กับธรรมชาติ นี่ก็เป็นนิสัยของเด็กที่ชอบเที่ยวป่าเพื่อความสนุกสนาน ฝึกสิงโต นั่นก็คือเด็กชอบสัตว์อย่างยิ่ง ชอบไปสวนสัตว์ ชอบดูละครสัตว์ เขาก็หยิบสิ่งนี้มาเป็นอาชีพ หรือโคบาล มันก็เป็นอาชีพที่ผาดโผนมาก การที่จะได้ขึ้นไปขี่อยู่บนหลังม้าที่มีพยศผกโผนไปมาและก็จะต้องมีความสามารถบังคับม้าให้เชื่องได้ นี่เป็นความสนุกสนานตื่นเต้นอย่างยิ่งของเด็กทีเดียว หรือเป็นวิศวกร เป็นช่าง ในความรู้สึกของเซเซ่ก็ โก้ดีนะ เก่งด้วย แต่ว่าอุปกรณ์เครื่องมือที่ให้นี่ก็คือหมวกแก๊ปกับนกหวีด เช่นนี้เป็นต้น ฉะนั้น เราก็จะเห็นว่าเด็กก็คือเป็นเด็ก แต่ก็ยังแสดงถึงความอยากเป็นผู้ใหญ่ อยากจะเลียนแบบผู้ใหญ่ และในขณะเดียวกันก็ใฝ่ฝันในอิสรภาพที่อยากจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างใจ แต่แล้วก็ยังคงผสมอยู่ในความเป็นเด็กอยู่นั่นเอง และเซเซ่ก็ไม่รู้ว่าจะไปพูดให้ใครฟัง จึงรำพึงให้กับ “มิงกินโย” ซึ่งเป็นต้นส้มที่แสนรักของเขา ต้นส้มในทางวัตถุอันนี้ มันเป็นต้นไม้ เป็นต้นส้มที่ยังไม่เติบโต เป็นต้นส้มเล็กๆต้นหนึ่งที่เกิดขึ้นที่หลังบ้าน หลังบ้านหลังใหม่ของเขา ที่บ้านนั้นเมื่อมีต้นส้ม มีต้นมะขาม แล้วก็มีต้นอื่นอีก พี่กับน้องก็เลือกเอาต้นไม้ใหญ่ไปหมด เหลือต้นส้มต้นเล็กนี่แหละที่จะเป็นของเซเซ่ เพราะเขาไม่มีที่เลือกอีกแล้ว สิ่งที่เซเซ่เด็กน้อยคนนี้ปรารถนาอย่างยิ่งในหัวใจของเขาจากคำปรารภอันนี้ ก็รู้สึกว่าเขาต้องการความเข้าใจจากผู้ใหญ่ ต้องการความเข้าใจของผู้ใหญ่ที่จะสามารถเข้าใจหัวใจของเด็กได้อย่างถูกต้อง ด้วยการอาศัยความรักประกอบด้วยความเมตตาเป็นพื้นฐาน ดิฉันรู้สึกว่าความรักที่ประกอบด้วยความเมตตาเท่านั้น ที่จะสามารถขจัดความโกรธ ความฉุนเฉียวออกเสียจากใจของผู้ใหญ่ได้ ในเมื่อผู้ใหญ่มาพบกับความดื้อหรือความฉลาดแกมแก่นของเด็ก อย่างเซเซ่นี่ ก็เป็นเด็กฉลาดมาก แต่ในความฉลาดนั้นก็มีความแก่นอยู่หลายๆอย่าง และเพราะว่า พ่อ แม่ พี่ น้อง โดยเฉพาะพี่ๆ ล้วนแล้วแต่มีการงานจะต้องทำเพื่อปากเพื่อท้อง ก็เลยไม่มีเวลาที่จะมาสนุกสนานกับความฉลาดแกมแก่นของน้องหรือของลูกของตน ก็เลยไม่สามารถจะทนได้ ก็เลยเอาความทุกข์ของตัวเข้ามาใส่ด้วยการด่าว่าเฆี่ยนตี แต่ความรักที่ประกอบไปด้วยความเมตตาหรือเปี่ยมไปด้วยความเมตตาเท่านั้น ที่จะขจัดความอาฆาตพยาบาทเด็ก เมื่อเด็กทำอะไรไม่ถูกใจ ออกเสียจากใจของผู้ใหญ่ได้ หรือแม้แต่ว่าเด็กอาจจะทำอะไรที่ผู้ใหญ่รู้สึกเหมือนกับว่าเป็นการเยาะเย้ยหรือสบประมาท โดยเด็กนั้นไม่ได้เจตนา แต่เมื่อผู้ใหญ่รู้สึกขึ้งเคียดขึ้นมาในใจ ก็จะสามารถขจัดความรู้สึกขึ้งเคียดอันนั้นได้ด้วยมีความเมตตาอยู่เป็นพื้นฐาน อย่างเช่นเป็นต้นว่า “จันทิรา” พี่สาวก็ตามหรือ “โททอก้า” พี่ชายของเซเซ่ก็ตาม ถ้าทั้ง ๒ คนนี้มีความรักที่ประกอบด้วยความเมตตาอยู่แล้วล่ะก็ ทั้ง ๒ คนพี่น้อง จะช่วยกันรุมตีน้องชายเล็กๆที่ตัวผอมแห้งด้วยแส้ จนกระทั่งยับเยินแตกไปหมดทั้งหน้าทั้งตาทั้งปากทั้งคอ ย่อมทำไม่ได้เป็นอันขาด จะทำได้อย่างไร นี่ก็เป็นเพราะว่าความรักที่ขาดความเมตตาเป็นพื้นฐาน พอมีความโกรธกระโจนเข้ามาเท่านั้นแหละ ความรักมันก็หายวับเพราะความเมตตามันไม่มีเหลืออยู่เป็นพื้นฐาน ถ้ามันมีความเมตตาอยู่มันก็จะค่อยๆกระจายแผ่ความเมตตานั้นออกไป ความโกรธก็จะจางหายไปเพราะให้อภัยแก่ความยังเป็นเด็ก เพราะความเขลา ถึงแม้จะฉลาดก็ฉลาดอย่างเด็ก ยังมีความเขลา ยังมีความไม่รู้ปะปน จึงได้กระทำสิ่งที่ผู้ใหญ่มองเห็นว่าไม่น่ากระทำ หรือตัวพ่อของเซเซ่เอง ถ้าหากว่ามีความรักที่ประกอบอยู่ด้วยความเมตตาเป็นพื้นฐานอย่างชุ่มชื่นอยู่เสมอแล้ว ย่อมจะไม่สามารถตบหน้าลูกชาย ให้หันซ้ายหันขวา แล้วก็มิหนำซ้ำยังเฆี่ยนด้วยเข็มขัดที่มีหัวทองเหลือง และก็มีเข็มที่จะร้อยรูเข็มขัดอย่างแหลมด้วยทองเหลือง จนกระทั่งลูกชายสลบไป สาเหตุก็เพียงเพราะว่าลูกร้องเพลง แล้วเพลงที่ร้องนั้น เซเซ่ไม่ได้ตั้งใจจะร้องเพื่อตัวเอง เป็นเพลงที่ไปร้องตามที่ได้ยินผู้ใหญ่เขาร้องกัน แล้วความหมายก็ยังไม่เข้าใจชัดเจนดีนัก แต่ทำนองมันไพเราะ เซเซ่ชอบทำนอง เมื่อเห็นพ่อนั่งหน้าตาเหม่อลอยอยู่คนเดียว ก็ด้วยความสงสารก็นึกว่า พ่อคงจะอยากได้อะไรซักอย่างหนึ่งมาปลอบใจให้ชุ่มชื่นละกระมัง และเขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะปลอบใจพ่อด้วยอะไร ก็นึกถึงได้เพลงนี้ที่มีทำนองไพเราะมาก เซเซ่ก็ร้องออกมา แต่เผอิญในถ้อยคำของเนื้อเพลงนั้นน่ะ มันมีคำเหมือนกับว่าฉันอยากได้สาวเปลือย พ่อได้ยินเข้าก็ร้องรียกลูก “ไหนมานี่สิ เข้ามาใกล้ๆ” เซเซ่ก็ดีใจว่าเราร้องเพลงนี้พ่อคงจะชอบ พ่อคงจะรู้สึกเบิกบานขึ้นถึงได้เรียกไปใกล้ๆ ให้ไปร้องใกล้ๆ พอไปถึงพ่อก็ถามว่า “ร้องอะไรนะเมื่อกี้นี้ ร้องอีกซิ” เซเซ่ก็ร้องด้วยความดีใจคิดว่าพ่อชอบ แต่พอร้องจบประโยค พ่อก็ตบหน้าอย่างแรงจนหน้านี่หันไปสุด แล้วพ่อก็บอกให้ร้องอีกซิ เซเซ่ก็ร้องอีก พ่อก็ตบอีก ตบจนเรียกว่าแก้วหูแทบจะแตกนั่นแหละ แต่แล้วผลที่สุดก็ยังตีซ้ำอีก ร้องไม่พอก็ยังตีซ้ำอีก ฉะนั้นด้วยความที่เซเซ่มีความรู้สึกว่าตนถูกตีและก็ถูกตบเสียจนกระทั่งเกินความยุติธรรม เป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดรวดร้าว แล้วก็ทำไมล่ะ คนเหล่านี้จึงสามารถทำเช่นนี้กับเด็กเล็กๆได้ ทั้งพ่อและทั้งพี่ๆ ทำไมทำกับเด็กเล็กๆเช่นนี้ได้ ก็เพราะเหตุว่ามันเกิดจากการที่คนเหล่านี้ขาดความรัก ขาดความรักที่มีพื้นฐานของความเมตตา ขาดความรักที่มิได้มีพื้นฐานของความเมตตาอยู่ เรียกว่าเป็นความรักที่มิได้ประกอบด้วยธรรมะ ความรักที่ประกอบด้วยความเมตตา เป็นความรักพิเศษ ไม่ใช่ความรักที่เราพูดถึงกันอยู่ธรรมดา อย่างที่เรามีคำพูดว่าสัญชาตญาณของมนุษย์หรือธรรมชาติของมนุษย์ มีความต้องการความรัก ต้องการความรักที่จะให้คนอื่นเขารัก และตัวเองก็ต้องการที่จะให้ความรักแก่คนอื่นได้ ความรักอย่างนี้มันเป็นความรักที่ต้องการตอบแทนจึงจะเป็นสุข
ถ้าเรารักใครคนหนึ่งแล้วได้รับความรักจากคนผู้นั้นตอบแทน ก็จะรู้สึกเป็นสุขและก็อบอุ่น เรียกว่าเป็นความรักที่ต้องการการตอบแทน เป็นความรักที่ตั้งความหวังเอาไว้ ความรักเช่นนี้มันฆ่าคนมาเสียนักต่อนักแล้ว ฆ่าคนให้ตายทั้งเป็น เพราะหวังที่จะได้ความรักเช่นนั้น แต่ใครเล่าจะสมประสงค์ในความรักเช่นนั้นเสมอไป อย่างนี้เราเรียกว่า เป็นความรักตามธรรมดาอย่างโลกๆที่เราจะพบในจิตใจของมนุษย์ทั่วไป และความรักเช่นนี้ เมื่อผิดหวัง ไม่สมหวัง ก็จะเปลี่ยนกลับกลายเป็นความโกรธ เป็นความแค้น เป็นความพยาบาทอย่างรุนแรง แล้วก็เลยเป็นสาเหตุที่ให้เกิดการเบียดเบียนกันจนทุกวันนี้ จนกระทั่งถึงแก่การประหัตประหารซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราอยากจะอยู่ร่วมกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข แม้แต่ในระหว่างสามีภรรยา ในระหว่างพ่อแม่กับลูก กับเพื่อนๆ แล้วก็ในสังคมที่ขยายกว้างออกไป จนกระทั่งถึงสังคมของโลกนั้น เราทุกคนจำเป็นที่จะต้องมาฝึกฝนอบรมใจ ให้ใจนั้นเป็นใจที่รู้จักมีความรักที่ประกอบด้วยความเมตตา คือมีความเมตตา มีความกรุณาเป็นพื้นฐาน ถ้าหากว่าเป็นความรักที่มีความเมตตากรุณาเป็นพื้นฐาน มันจะไม่ต้องการสิ่งตอบแทนมันจะไม่หวัง แต่ทว่าจะทำเพราะเห็นว่าเกิดมาเป็นมนุษย์นี้แล้วนี่ มันจำเป็นที่จะต้องมีความรู้สึกช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน และจะทำได้อย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อมีความเมตตากรุณาเกิดขึ้นในจิต และความรักที่มีความเมตตากรุณาอยู่ในจิตเช่นนี้ จะเป็นความรักที่ในทางธรรมท่านเรียกว่าเป็น “อัปปมัญญา” คำว่า อัปปมัญญา ก็หมายความว่าไม่มีขอบเขต เป็นความรักที่ไม่มีขอบเขต เป็นความรักที่ใครจะมาตักตวงเท่าใดก็ไม่รู้หมด มันจะไม่มีวันจืดจาง จะไม่มีวันเหือดแห้งหายไป เพราะเป็นความรักที่พร้อมที่จะให้แก่ทุกคนที่กำลังได้รับความตกทุกข์ได้ยาก หรือกำลังได้รับความลำบาก กำลังมีความทุกข์เหือดแห้งอยู่ในจิต บุคคลที่มีความรักพร้อมด้วยเมตตากรุณาจะยื่นมือไปโอบอุ้ม จะยื่นมือไปช่วยเหลือ หรือจะเรียกว่าจะยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้แก่ผู้ที่มีความทุกข์เช่นนี้ก็ได้ เราต้องการความรักอย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหัวใจของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อและเป็นแม่ เพื่ออะไร เพราะว่าลูกที่ยังเป็นทารก ที่จะเติบโตมาเป็นเด็กเล็กๆนี้ เป็นเด็กที่มีหัวใจที่อ่อน อ่อนอย่างยิ่ง ชอกช้ำได้ง่ายอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นความรักที่ประกอบไปด้วยความกรุณาเมตตาที่บริสุทธิ์ใจเป็นพื้นฐานที่หนักแน่น จะค่อยๆช่วยหล่อหลอมหัวใจของเด็กเล็กๆ ให้เติบโตขึ้นเป็นจิตใจที่พร้อมที่จะรักผู้อื่นอย่างถูกต้อง แล้วมนุษย์เราก็จะอยู่ร่วมในโลกนี้ด้วยกันด้วยความสันติสุข เพราะสันติภาพนี้จะเกิดขึ้นแก่ส่วนรวม สำหรับวันนี้ธรรมสวัสดีค่ะ