แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
การขายข่าวอย่างนี้มีทุกวัน ทำให้เกิดความเอน็จอนาถแก่ชีวิตไม่ใช่เพราะว่าแก่แล้วถึงรู้สึก ถึงจะยังสาวกว่านี้ก็จะรู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน แล้วก็จะต้องเกิดความสงสัยว่านี่เราสร้างสังคมอะไร เราทำสังคมที่ปู่ย่าตาทวดให้มานั้นสูงขึ้นงามขึ้นดีขึ้นเพื่อจะมอบให้แก่ลูกหลานที่จะมารับต่อไปข้างหน้าอย่างชนิดที่เราภาคภูมิใจได้ หรือเรากำลังทำสังคมที่ปู่ย่าตาทวดให้มาให้มันลดต่ำลงๆ จนกระทั่งต่ำกว่าสภาพของสังคมคน นี่เป็นสิ่งที่จะต้องคิดเพราะฉะนั้นครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดนะคะ
ทีนี้ข้อที่สอง อัตถัญญูก็คือผล คือมองไปถึงผลการมีครอบครัวนั้นผลเพื่ออะไร แต่งงานทำไม มีคู่ครองทำไม มีผลอะไร ก็ส่วนมากเพื่อมีความเป็นอยู่ด้วยความมั่นใจอบอุ่นเป็นสุข ในการที่ได้มีกัลยาณมิตรเป็นผู้ร่วมเดินทางของชีวิตใช่ไหม ไม่ใช่เพียงความใคร่ซึ่งรสมันจืดจางเร็ว เกิดความเคยชินเข้ามันก็ไม่ตื่นเต้นแล้ว ไม่หวือหวาวาบหวิวแล้ว
เพราะฉะนั้นความใคร่น่ะมันจางหายรวดเร็วเหลือเกิน จึงจะมาถือเป็นจุดหมายปลายทางของการมีคู่ครองไม่ได้ แต่หวังว่าจะมีความสุขจากความใคร่นั้นจะเป็นความรัก คือมีความรักบนความใคร่ แต่เมื่อความใคร่จืดจางไปความรักนี้ยังคงอยู่ แล้วก็จะเป็นความรักที่นำความอบอุ่นมั่นใจให้เกิดขึ้นแก่ทั้งสองฝ่ายว่าเรามีเพื่อนเดินทาง มีเพื่อนที่จะปรึกษากันได้ หารือกันได้ ช่วยกันแก้ไขปัญหาชีวิตที่จะเกิดขึ้นได้ เป็นการผ่อนคลายความเครียด แล้วก็ยังประโยชน์ให้เกิดขึ้น ทั้งแก่ส่วนตนเอง สังคม ตนเอง ครอบครัว สังคม ไปด้วยกัน นี่คือผลที่เกิดขึ้น หวังอย่างนี้ได้ไหม ที่จะได้ช่วยเหลือกันและกันต่อไปจนตลอดชีวิต
ทีนี้มาดูอัตตัญญู ก็คือตนเอง ฉะนั้นผู้ที่จะเข้าแต่งงาน ต้องการจะมีคู่ครอง ไม่ใช่ผัวะเสร็จผัวะเสร็จ จะต้องคิดรายละเอียดหลายอย่างว่าผลนั้น ข้อแรกจะต้องรู้จักสถานะแห่งตนว่ามีความพร้อมในเรื่องนี้เพียงใด อยากจะมีคู่ครองอยากจะแต่งงานหญิงก็ตามชายก็ตามมีความพร้อมเพียงใด ไม่ใช่พร้อมเพียงเพื่อความใคร่อันนั้นไม่ใช่ความพร้อม อันนั้นเป็นตัณหาเป็นกิเลสที่หนาปราศจากคุณธรรม นี่หมายความว่าความพร้อมในเรื่องนี้เพียงใด เช่นมีความเข้าใจในเรื่องของชีวิตคู่มากน้อยแค่ไหน อยู่คนเดียวเป็นยังไง ที่อยู่คนเดียวอยู่แล้วนี่มีปัญหาของตัวเองมากน้อยแค่ไหน ที่อยู่คนเดียวนี่ แล้วเคยนึกบ้างไหมเมื่อไปอยู่สองคนเข้าปัญหามันต้องทวีคูณ อยู่คนเดียวเอาใจตัวเองยังไม่ค่อยจะเอาใจได้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง เดี๋ยวนั่นก็ชอบ เดี๋ยวนี่ก็ไม่ชอบ ทั้งที่ตัวเองทำให้ตัวเอง ไม่ใช่คนอื่นทำให้ ก็ยังไม่ค่อยจะชอบผู้หญิงทำกับข้าวให้ตัวเองกินนะ เออวันนี้กินอร่อย ไม่ได้ทำให้คนอื่นกิน กินเอง วันนี้อร่อย พรุ่งนี้ทำอยากเททิ้งหมดทั้งหม้อไม่อร่อยเลย เห็นไหมตัวเองทำให้ตัวเองกิน ไม่ได้ทำให้คนอื่นกินปัญหาก็ยังเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นมีความเข้าใจไหมว่าความมีชีวิตคู่นั้น แน่นอนที่สุดมันจะต้องมีปัญหาเกิดขึ้น และพร้อมที่จะรับปัญหาไหมพร้อมที่จะลดความเป็นอิสระลงไหม คนที่บอกว่าฉันชอบความอิสระ พร้อมที่จะลดความอิสระลงไปได้ไหม เคยทำอะไรตามใจของตัว พร้อมที่จะยอมตามใจคนอื่นบ้างไหม นี่คือสถานะแห่งตนที่ควรจะศึกษาดู พร้อมไหม
นอกจากนี้มีความพอใจจริงๆ หรือเปล่า สอบทานย้ำลงไปมีความพอใจจริงจริงหรือเปล่าในการที่จะครองชีวิตคู่ หรือว่าเพื่อนเราคนนั้นเขาก็แต่ง คนโน้นเขาก็แต่ง คนนี้เขาก็ไม่แต่งเขาก็แต่ง เราจะมาเอกาเดียวดายอยู่ยังไงมันว้าเหว่ นี่ไม่ใช่หลักการ นี่แสดงว่าไม่ได้รู้จักว่าชีวิตคู่มันจะมีปัญหาอย่างไรและตัวเองก็อาจจะไม่ได้พอใจจริงจริงด้วย เพียงแต่ว่าตามเขาไปเหมือนกับอย่างเขาเอนทรานซ์สอบเข้าวิชาอะไร เพื่อนรักก็ตามเขาไป การแต่งงานนี่มันตามกันไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของความพอใจที่ต้องเหมาะสมกันหลายอย่างหลายกรณี เพราะฉะนั้นถามใจตัวเองให้มากๆ ให้รู้จักสถานะใจของตัวเองจริงจริงว่าเป็นอย่างไร
นอกจากนี้ดูสถานะของตนเองว่ามีความใจเย็นมีความใจกว้างเพียงใด ใจเย็นใจกว้างก็คือพร้อมที่จะให้โอกาสแก่อีกฝ่ายหนึ่ง ใจเย็นอดทนได้ ยอมได้รอได้ ใจกว้างที่จะเปิดโอกาสให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง เช่นถ้าเผอิญผู้ชายไปพบผู้หญิงเก่ง ใจกว้างพอจะรับผู้หญิงเก่งคนนั้นได้ไหม หรือว่าจะเริ่มเป็นคู่แข่ง คู่แข่งกับคู่ชีวิตของตัวเอง นี่ใจกว้างรับไม่ได้ เคยมีผู้หญิงก็แข่งผู้ชาย ผู้ชายก็แข่งผู้หญิงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันนี้ เพราะฉะนั้นครอบครัวที่ทั้งผู้ชายและผู้หญิงทำงาน น้อยนักที่จะมีความอบอุ่นเกิดขึ้นในครอบครัวเพราะแข่งกันเองโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แล้วอะไรล่ะคะทำให้แข่ง นึกออกไหมอะไรทำให้แข่งอัตตาเห็นไหม อัตตาของแต่ละคน เวลารักกันก็อุ๊ยฉันรัก ผมก็รัก ยอมยอมให้ทุกอย่าง แต่ว่าถึงเวลาจริงจริงเข้า ความยึดมั่นถือมั่นในอัตตามันก็โผล่ออกมา เพราะฉะนั้นต้องนึกใจเย็นพอไหม ใจกว้างพอไหม
ที่จะยอมรับอีกฝ่ายหนึ่ง ยอมรับทั้งข้อบกพร่องของเขา จะเป็นใครก็แล้วแต่ จะหญิงหรือจะชายก็แล้วแต่ความผิดพลาดของเขาซึ่งจะต้องเกิดขึ้นตามวิสัยของปุถุชนมากบ้างน้อยบ้าง แล้วก็พร้อมที่จะให้อภัยได้จุดนี้เป็นจุดที่สำคัญมากถ้าผู้หญิงผู้ชายคนไหนไม่รู้จักสถานะแห่งจิตของตนในเรื่องนี้ จะต้องเอาให้ได้อย่างใจฉัน ยอมไม่ได้ อภัยไม่ได้ เธอของฉันจะต้องดีเสมอสมบูรณ์เสมอ ไม่มีข้อบกพร่อง เวลาที่พบกันทีแรกมันก็เอาแต่ของดีโชว์กัน ใจกว้างใจดี สปอร์ต เมตตากรุณาไม่เห็นแก่ตัว เธอก่อนเสมอ ผู้หญิงก็ยอมที่จะเดินเป็นช้างเท้าหลัง ผู้ชายก็พร้อมที่จะประคับประคอง แต่พอพ้นวัยหวานวันหวานซึ่งมันไม่นานเท่าไหร่ก็ลืม ของเดิมกลับออกมา ตอนนี้แหละ อะไรอะไรที่ซ่อนเอาไว้มันก็ออกมาทุกอย่าง และพร้อมไหม ต้องมองไปกว้างๆ ครูอาจารย์ที่จะสอนลูกศิษย์ในเรื่องนี้ก็น่าจะชี้ให้ลูกศิษย์ได้เห็นประเด็นแง่มุมที่สำคัญ เช่นเดียวกับพ่อแม่ที่จะสอนลูก ไม่ใช่ดูแต่เพียงว่านี่เขามีฐานะเงินเดือนรวยเงินในธนาคารเยอะมีตำแหน่งการงานดี ลูกแต่งไปเถอะลูกจะเจริญ แล้วพบมานักต่อนักแล้วที่ลูกเขาอกไหม้ไส้ขมเพราะเมื่อเขามีเงินมากมีเกียรติยศอำนาจมากเขาก็ไม่เห็นจะต้องแคร์ ผู้หญิงเยอะแยะไป เช่นเดียวกับผู้ชายบางคนที่เขาเปรียบผู้หญิง เคยได้ยินเขาบอก ถ้าจะแต่งงานเพื่อนจะถามว่านี่เกาะอะไร ขนาดเกาะลังกาหรือว่าเกาะออสเตรเลีย หรือว่าเกาะเล็กๆ ของฟิลิปปินส์ หรือว่าของญี่ปุ่น เกาะขนาดไหน
ถ้าผู้ชายคนใดหวังเกาะใหญ่ๆ ก็แน่ล่ะ วันหนึ่งเกาะนั่นก็ขึ้นมาเหยียบ ตอนนี้ทนไม่ได้ ศักดิ์ศรีลูกผู้ชายไม่เหลือแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งนี้เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาว่าพร้อมที่จะให้อภัยกันไหม การจะให้อภัยกันได้ก็เกิดจากความเข้าใจกัน ยอมรับว่าเกิดเป็นคนที่ยังไม่ได้บรรลุนะคะ มันต้องมีข้อบกพร่องทั้งนั้นแหละ มากบ้างน้อยบ้าง ฉะนั้นในเวลาที่พบปะสนทนารู้จักกันในครั้งแรก นี่แหละคือตอนที่จะสำรวจซึ่งกันและกัน สำรวจสถานะแห่งตนของกันและกันว่าข้อดีอะไร และข้อบกพร่องของเขาทนได้ไหม ในจุดที่เขาเป็นน่ะ ทนได้ไหม ถ้าพอทนได้ แก้ไขกันได้ ตักเตือนกันได้ มันก็พอจะไปกันได้ แต่ถ้ามันไม่สามารถจะทนกันได้ ถอยเสียก่อน จนกว่าจะแน่ใจว่าแก้ไขปรับปรุงได้
ข้อต่อไป ในเรื่องของอัตตัญญูก็คือ สามารถยอมรับได้ไหมว่า ความใคร่หรือกามารมณ์นั้นเป็นเพียงส่วนประกอบของชีวิตคู่ ไม่ใช่พื้นฐานของชีวิตคู่ จริงหรือไม่จริง แต่ส่วนมากสิ่งนี้มีหลายคู่ที่มันนำหน้า แล้วมันก็ทำให้ชีวิตนี่ ชีวิตคู่นี่มันเพี้ยนไป ฉะนั้น ถ้ามองเห็นว่าความใคร่หรือกามารมณ์เป็นเพียงส่วนประกอบของชีวิตคู่ แต่ละฝ่ายก็จะได้พยายามสร้างสรรค์คุณธรรมความดี ให้เกิดในตัวขึ้นมากๆ เพื่อที่จะได้ทะนุถนอมประคับประคองชีวิตคู่นั้น ให้อยู่ด้วยกันด้วยความอบอุ่น ด้วยความเป็นสุข ด้วยความเห็นใจซึ่งกันและกัน เมื่อความใคร่หรือกามารมณ์มันจางลงตามธรรมชาติ
ในขณะเดียวกันก็ต้องเห็นว่าสิ่งที่เป็นรากฐานของความรักที่มั่นคงถาวรยั่งยืนนั้น คือความเข้าใจและความเห็นใจในกันและกันอย่างแท้จริง ที่ยอมรับข้อบกพร่องของกันได้ อภัยกันได้ ช่วยกันตักเตือน ประคบประหงมกันได้ นั่นแหละคือรากฐานของความรักที่มั่นคงถาวรจริงๆ และอีกข้อหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ ทั้งสองฝ่ายแหละ สามารถข่มใจให้ลดละอัตตาของตัวตนได้มากน้อยเพียงใด เหมือนอย่างที่เขาเล่าว่า ผู้ชายแต่งงานกับผู้หญิงที่เป็นครูเป็นอาจารย์ ก็ขึ้นชื่อว่าครูอาจารย์แล้วก็ ฟังไม่เป็น ได้แต่พูด แล้วก็พูดมากด้วย แล้วก็สามีก็ต้องคอยเตือน นี่เธอฉันไม่ใช่ลูกศิษย์นะ นี่บ้านนะ ไม่ใช่ห้องเรียนนะ เพราะฉะนั้นลดละอัตตาได้ไหม ความเป็นครู ความเป็นอาจารย์ ความเป็นผู้อำนวยการ ความเป็นหมอ ความเป็นพยาบาล หรือว่าเป็นนักดนตรี หรือเป็นนักกีฬา เป็นอะไรสารพัดเป็นนั่น ลดอัตตาของความเป็นที่อมเอาไว้ในภพนั้นน่ะ ลดลงได้บ้างไหม เมื่อเวลาที่อยู่บ้าน เราไม่ใช่เป็นหนึ่ง มันเป็นสองอยู่ด้วยกัน สามารถจะลดอัตตานั้นได้บ้างไหม ถ้าลดอัตตาลงได้ ก็จะยอมรับกันได้ นี่ก็คืออัตตัญญู แล้วยังมีอีกเยอะนะคะ นี่เท่าที่นึกได้
ทีนี้ข้อที่สี่ มัตตัญญู ก็คือความรู้จัก ความพอเหมาะ พอดี ในการครองชีวิตคู่ ที่จะไม่ก่อให้เกิดปัญหา
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากนะคะ อะไรคือความพอดี อย่างผู้หญิง ถ้าหากว่าไม่แต่งงาน ก็งานมาที่หนึ่งได้ นี่พูดผู้หญิงที่ทำงาน งานมาที่หนึ่ง งานต้องมาเป็นอันดับแรก แต่เมื่อแต่งงานแล้ว ผู้หญิงจะต้องนึกว่านี่มีหน้าที่อะไรเพิ่มขึ้นมา หน้าที่ของภรรยา หน้าที่ของแม่บ้าน หน้าที่ของแม่ซึ่งเป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สังคมขาดเวลานี้อย่างยิ่งก็คือขาดแม่ จริงหรือเปล่า ที่เป็นปัญหาของสังคมทุกวันนี้เพราะสังคมขาดแม่ ไม่มีแม่ ไม่มีแม่อยู่ที่บ้าน เพราะแม่ต้องพากันไปทำงานหมด ลูกกลับมาก็พบบ้าน พบตู้เย็น พบเก้าอี้นั่ง พบเตียงนอน พบวิทยุโทรทัศน์ วิดีโอ มีเงิน แม่ให้ไว้ใช้ สิ่งเหล่านี้คืออะไร คืออะไร คือวัตถุใช่ไหมคะ คือวัตถุ เพราะฉะนั้นทำไมใจของลูกเดี๋ยวนี้ ถึงมักจะแข็งกระด้าง ไม่ค่อยเห็นใจพ่อแม่ แล้วพ่อแม่บางคนก็ออกปากว่า ลูกไม่รู้จักความกตัญญูเลย ไม่มีความกตัญญูกับพ่อแม่ ก็เพราะพ่อแม่โดยทั่วไป เจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม เอาอะไรเลี้ยงลูก เอาวัตถุเลี้ยงลูกใช่ไหม วัตถุมันแข็งกระด้าง มันไม่มีน้ำใจ ไม่มี ความรู้สึก ไม่มี ความอบอุ่น อ่อนโยน ที่จะให้ แล้วเราจะมาหวังให้ลูกนั้น มีความอ่อนโยน นุ่มนวล กตัญญู รู้คุณ รู้อยู่กับบ้าน ไม่เที่ยวตะลอนๆ ออกไปนอกบ้านได้อย่างไร ฉะนั้น สิ่งที่สังคมขาดที่สุดคือ แม่ ถ้าผู้หญิงที่ไม่แต่งงาน งานออกหน้า เห็นด้วย ทุ่มเทลงไปให้เต็มที่ แต่ถ้าแต่งงานแล้ว งานยังเป็นที่หนึ่งออกหน้าอยู่ นั่นเรียกว่าขาดหน้าที่ของความเป็นแม่และความเป็นแม่บ้าน เพราะฉะนั้นบ้านมันจึงเป็นแต่เฮ้าส์ ไม่มีโฮม Home sweet home ไม่มีวันได้ยิน สังคมทุกวันนี้ขาด Home sweet home ลงไป ยิ่งขึ้นทุกวันๆ
ดิฉันเชื่อว่าที่นั่งอยู่ที่นี่หลายท่านนี่มีความเห็นจริงตามที่ดิฉันพูด ว่าครอบครัวคือรากฐานที่สำคัญของสังคม และครอบครัวจะมั่นคง อบอุ่น เป็นสุข เพราะคนที่เป็นแม่ แต่คนที่เป็นพ่อ ก็ไม่ใช่ว่าจะหนีความรับผิดชอบนะ ถ้าพ่อถือว่าแม่จะต้องอยู่โยง เป็นหน้าที่ของแม่จะต้องดูแลบ้าน พ่อนี่มีหน้าที่เป็นนก
บินไปได้ทุกหนทุกแห่ง นั่นก็หาทำหน้าที่ของตัวถูกต้องไม่ และไม่สมควรแก่การที่จะเป็นพ่อ หรือเป็นสามี ถ้าเป็นอย่างงั้น อย่าแต่งงาน อยู่คนเดียว จะได้ไม่ทำบาปให้แก่คนอื่นเขา ไม่นำความเจ็บปวดรวดร้าว ความแตกแยกให้เกิดขึ้นแก่ครอบครัว ฉะนั้นที่บอกว่านี่เป็นพ่อนั่นเป็นแม่ขอจงเข้าใจเถิดว่าพ่อแท้ๆ แม่แท้ๆ นี่เกิดจากการทำหน้าที่ของพ่อและของแม่ ไม่ใช่เพียงแต่ให้กำเนิดเขามา เพียงให้กำเนิดน่ะไม่สำคัญไม่สำคัญจริงๆ ยิ่งเอาเขามาทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่ได้ให้ความอบอุ่นไม่ได้ทำให้เขามีความเป็นสัมมาทิฏฐิ ทำให้เขาเห็นกงจักรเป็นดอกบัวไม่รู้อะไรถูกอะไรผิด ถ้าจะพูดว่านี่แหละคือการทำลายคน ทำลายสังคมหรืออยากจะใช้คำว่าบาปใช้ได้เต็มที่เลย ฉะนั้นสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดิฉันรู้สึกอยู่ในใจแล้วก็อีกหลายๆ คนในวงสังคมนี้มีความรู้สึกเช่นเดียวกันแต่ก็ละเลยในการที่จะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างถูกต้อง เพราะอะไรก็เพราะความเห็นแก่ตัว เพราะละเลยต่อจริยธรรมไม่หันมาสนใจธรรมะ
นี่จึงเป็นข้อแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เรียกว่าจริยธรรมหรือธรรมะมีความจำเป็นที่จะเป็นรากฐานในจิตใจของมนุษย์เพียงใด จะสามารถทำหน้าที่พ่อถูกต้องแม่ถูกต้องช่วยให้ครอบครัวเป็นสุขได้ ฉะนั้นมัตตัญญูก็คือความรู้จักความพอเหมาะพอดีที่จะไม่ก่อให้เกิดปัญหา ปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น ปัญหาระหว่างสามีภรรยาปัญหาระหว่างพ่อกับลูก ลูกกับแม่ หรือว่าสามเศร้ากันทั้งหมดเลย ตลอดจนกระทั่งปัญหาเกี่ยวกับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกอย่างทุกประการ เพราะฉะนั้นความพอเหมาะพอดีที่ถูกต้องในกรณีนี้ก็จำเป็นจะต้องมีสัมมาทิฏฐิอีกด้วยเหมือนกัน ต้องมีสัมมาทิฏฐิเป็นตัวนำไม่ว่าจะประกอบจิตอันใดทั้งนั้นนะคะ ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทั้งเรื่องธรรมดาเรื่องของโลกเรื่องของธรรมะ สัมมาทิฏฐิเข้ามาเกี่ยวข้องเมื่อใดจะช่วยให้การกระทำนั้นมีความถูกต้อง
ทำไมถึงต้องมีสัมมาทิฏฐิเป็นตัวนำก็เพื่อไม่ให้เอาใจของตนเองเป็นที่ตั้งในการตัดสินใจใดๆ ทั้งสิ้น เพราะตอนนี้ไม่ใช่คนเดียวแล้วมันเป็นสองคนแล้ว การตัดสินใจใดๆ จึงต้องอาศัยการตัดสินใจร่วมซึ่งกันและกันแล้วก็เพื่อที่จะช่วยให้การตัดสินใจนั้นเป็นการตัดสินใจโดยธรรมะ แล้วก็เป็นธรรมะ พอเกิดปัญหาระหว่างกันขึ้นก็ใช้ธรรมะเข้ามาตัดสิน มันก็จะเกิดความเข้าใจอันถูกต้องร่วมมือกันที่จะกระทำสิ่งที่ถูกต้องต่อไป ฉะนั้นมัตตัญญูความพอดีๆ การที่จะร่วมคู่กันสำคัญมากเหลือเกิน เป็นสิ่งที่จะประคับประคองให้ชีวิตคู่นี้ตลอดรอดฝั่ง
ข้อที่ห้ากาลัญญู ก็คือการรู้จักจังหวะโอกาสเวลาสถานที่ให้เหมาะควร ในการที่เกี่ยวข้องกันอยู่ในครอบครัวนั่นแหละ จะต้องรู้จักจังหวะโอกาสเวลาสถานที่ให้เหมาะควร ถ้าอยากจะต่อว่ากัน อยากจะแสนงอนกระบึงกระบอนกัน ดูจังหวะดูโอกาสหน่อยเพื่อที่จะไม่ให้เกิดการแตกร้าวต่อมา ไม่ให้เป็นการเสียหน้าซึ่งกันและกัน ถ้ารู้จักจังหวะโอกาสเวลาสถานที่ได้อย่างเหมาะควร ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ความต้องการที่จะมีชีวิตคู่เพื่อจุดหมายดังกล่าวแล้วนั้น สัมฤทธิ์ผลได้ การที่จะมีกาลัญญูก็คือทั้งสองฝ่ายจะต้องรู้จักอดใจได้พอเกิดความโกรธ โดยเฉพาะอดใจได้ ยอมได้ คอยได้ เคยพบตอนที่รักกันคอยชั่วโมงสามชั่วโมงครึ่งวัน ไม่เป็นไรไม่เป็นไร พอมาอยู่ด้วยกันเข้า สิบนาทีก็บีบแตรแป๊ดๆๆๆ เสร็จยัง เสร็จยัง เสร็จยัง เพื่อนก็บอก มาแล้ว มาแล้ว พระเอกผู้ไม่รู้จักคอย รีบๆ เข้า นี่คือการที่ไม่มีกาลัญญู เพราะเอาแต่ใจของตัวเอง ผู้หญิงก็เช่นเดียวกัน
ข้อที่หก ปริสัญญู ก็คือความเป็นผู้รู้จักประชุมชน การมีชีวิตคู่จะต้องรู้จักประชุมชนอะไร ที่จริงจำเป็นมาก ประชุมชนของผู้ที่อยู่ชีวิตคู่ ประชุมชนหรือสังคมของผู้ที่ครองชีวิตคู่ก็คือ บิดามารดา พี่น้อง ญาติมิตร เพื่อนฝูงของทั้งสองฝ่าย ใช่ไหมคะ นี่คือประชุมชน ของคนที่มีชีวิตคู่ จำเป็นที่จะต้องทำความรู้จัก ศึกษากันให้รอบคอบทุกแง่มุมเสียก่อน ก่อนที่จะตัดสินใจตกลง โดยเฉพาะศึกษาในแง่ของความเป็นไปได้ให้ชัดเจน ความเป็นไปได้ก็คือการยอมรับกัน บิดามารดา ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของฝ่ายหนึ่งจะยอมรับอีกฝ่ายหนึ่งได้เพียงใด แล้วก็ตัวของฝ่ายนั้นเองคือชายก็ตามหญิงก็ตาม สามารถจะยอมรับบิดามารดา ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงของอีกฝ่ายหนึ่งได้เพียงใด ไม่ใช่เพียงแต่ว่าเขาจะยอมรับเรา เราล่ะจะยอมรับเขาได้เพียงไหน การที่อยู่กันไปแล้วแล้วก็จะมาดูถูกสบประมาทกันว่าอุ๊ยพี่น้องคุณนี่โง่ ฉันไม่เคยนึกเลยนะจะโง่อย่างนี้ พูดกันไม่รู้เรื่องอย่างนี้ นี่ไม่ใช่วิถีชีวิตของผู้มีธรรมที่ควรจะอยู่ด้วยกันเพราะฉะนั้นศึกษากันเสียก่อน จะโง่จะฉลาดจะบกพร่อง จะดีไม่ดีแค่ไหน หรือว่ามีคุณธรรมแค่ไหนศึกษากันเสียก่อน อย่าถือว่าพ่อแม่พี่น้องไม่สำคัญฉันอยู่กันสองคน จริงหรือเปล่า วัฒนธรรมไทยดั้งเดิมเราก็อยู่กันเป็นครอบครัวมีความอบอุ่น พอรู้จักวัฒนธรรมตะวันตกก็เห็นว่าอย่างนี้ดี พ่อแม่ปู่ย่าตายายแก่แล้วเข้ามาอยู่ใกล้ไม่ดี มันทำให้ความสุขความหวานของสองคนนี่มันจืดจางไป เพราะงั้นอยู่กันสองคนดีกว่า แล้วเป็นไงพอไม่มีคนใช้ พอมีลูกเข้ามา วิ่งไปไหน แม่ที่มีลูกหลายคนก็ถูกลูกคนนั้นหิ้วไปทีลูกคนนี้หิ้วไปที มาช่วยดูหลานหน่อย นี่เพิ่งออกใหม่ แล้วก็มาเห็นคุณว่าแม่ดี แม่ดูให้นี่ดียิ่งกว่าคนอื่นเยอะแยะไว้ใจได้ มีคนดูแล พี่เลี้ยงสักสามคนก็สู้แม่คนเดียวไม่ได้ เห็นไหมคะ เพราะฉะนั้นอย่างไรเสียความอบอุ่นความปรารถนาดีของพ่อของแม่แท้ๆ ย่อมมีมากกว่า และย่อมให้ความอบอุ่นมากกว่า ฉะนั้นการที่จะมาขัดแย้งกันจึงไม่เป็นผลทั้งสิ้น ไม่เป็นสิ่งที่สมควร จึงศึกษากันเสียก่อนว่าจะรับกันได้เพียงใด นี่คือความเป็นไปได้ที่จะรับกันได้
ข้อสุดท้ายปุคคลปโรปรัญญูก็คือการรู้จักบุคคลแต่ละคน ก็คือเจาะลงไปอีก คุณพ่อเฉพาะคุณแม่เฉพาะ พี่น้องคนที่เป็นคนสำคัญที่คนสำคัญของเราเขาพออกพอใจยกย่องนับถือมากเป็นอย่างไร ศึกษาไปอีกแต่ละคน เพื่อนฝูงที่มีอำนาจอิทธิพลที่คนของเรานับถือเชื่อฟังนัก ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้นั่นน่ะเป็นยังไง คนไหน นี่คือศึกษาแต่ละคนให้ชัดเจนและโดยเฉพาะที่สุดก็คือ คนที่เขาสำคัญคนสำคัญของเรานั่นแหละเขาของเราหรือว่าเธอของเรานั่นแหละต้องศึกษาให้ชัดเจนเสียก่อน
ศึกษาทุกแง่ทุกมุมเพื่อชั่งใจ ชั่งใจก็คือเอาขึ้นมาชั่งไตร่ตรองทั้งส่วนดีส่วนเสียส่วนบกพร่องส่วนเด่น ชั่งดูทุกอย่างทั้งบวกทั้งลบ ในเรื่องของความเป็นไปได้ ก็คือการเข้ากันได้ในระยะยาวนาน ไม่ใช่เพียงเฉพาะหน้าหรือปัจจุบัน นี่เป็นสิ่งที่ควรชั่งใจคิดให้มากๆ สำหรับคนสำคัญคนนั้น ในกรณีต่างๆ ทั้งเรื่องใหญ่ ไม่ใช่เอาแต่เพียงการศึกษา คนนี้ปริญญาเอกใช่ได้ เธอก็เอกเหมือนกัน แหมสองเอกรวมกันมันโก้ พออยู่กันไปเข้า เอกต่อเอกมันชักจะตีกัน มันก็เลยไม่ค่อยจะดีเสียแล้ว เอกนี่โอ้ยอย่างนี้ไปหาแค่มัธยมหกก็เห็นจะพอเพราะเราจะได้จูงได้ง่ายๆ หน่อย แล้วข้างเอกผู้หญิงก็ อย่างนี้มันต้องไปหาสักสองเอกสามเอกมันถึงจะยอมเชื่อกันได้ นี่มันเอกเดียวเท่ากัน มันก็เท่ากัน จะให้มันเชื่อกันได้ยังไง เห็นไหมคะอัตตาต่ออัตตาเริ่มมาตีกัน เหมือนอย่างในรูปที่เอ็มมานูเอล เชอร์แมนเขียน
ฉะนั้นต้องศึกษาคนสำคัญที่ตั้งใจให้แน่ๆ ว่าสามารถที่จะเป็นไปได้ รับกันได้แค่ไหนในระยะยาวที่จะเป็นกัลยาณมิตรกันได้ต่อไป ส่วนบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นไม่เป็นไรหรอกเราไม่ถือ อย่างผู้ชายบางคนก็บอกคู่รักอั๊วนี่ดีทุกอย่าง แต่อย่าไปกินข้าวกะอีนะ เพราะเวลากินข้าวอ้าปากกว้างๆ มองเห็นหมดเลยกี่ซี่กี่ซี่ อะไรอยู่ในปากเห็นหมดเลยนี่ นี่เล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่พอนานเข้ามันทนไม่ได้ เพราะมันเห็นทุกวัน ต้องกินด้วยกันทุกมื้อ มันทนไม่ได้ นี่พูดเรื่องจริงนะ ไม่ใช่พูดเล่นๆ เคยได้ยินมาแล้ว นี่บางทีเลิกกันเพราะทนกันไม่ได้นะ สิ่งเล็กๆน้อยๆนี่ หรือบางทีนอนกรน นี่ก็ค่อนข้างจะยากที่จะรู้สึกคือจะรู้จัก แต่บางคนก็ทนไม่ได้ ในสิ่งเล็กๆน้อยๆ เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จึงควรที่จะได้ลองคิดใคร่ครวญ ทั้งสิ่งที่เป็นจุดเด่นและก็จุดบกพร่อง เรื่องเล็กต่อบางคนอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ของบางคน เรื่องใหญ่ของบางคนอาจจะไม่เป็นไรเลยสำหรับอีกคน มันแล้วแต่ทัศนคติหรือรสนิยมของแต่ละคน
ฉะนั้นถ้าเราดูละเอียดละออเพียงใดนี่ มันใช้ได้ คือมันจะได้อยู่กันได้ระยะยาวมากกว่า นอกจากนั้น คนสำคัญอื่นๆ ก็เช่นพ่อแม่พี่น้องเพื่อนของเขานั่นแหละค่ะ ที่คนสำคัญของเราให้ความสำคัญเป็นอันมาก ก็ศึกษาในลักษณะเดียวกัน คือในเรื่องของความเป็นไปได้ รสนิยมเป็นยังไง พูดจารู้เรื่องกันไหม ชอบดูหนังรสเดียวกันมั้ย อุดมการณ์ในชีวิตเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้ไม่ควรจะใช้เวลาเพียงผิวเผิน ควรจะศึกษากันพอสมควร
ทีนี้สมมติว่าครองคู่กันแล้ว จะใช้ธรรมะอะไรมาเป็นคุณธรรมประจำใจ ก็ขอเสนอธรรมะที่ชื่อว่าฆราวาสธรรมสี่ หรือพระบรมราโชวาทสี่ประการ ขององค์สมเด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อเช้าก็ได้ฟังจากเพลงแล้วใช่ไหมคะ จำได้ไหม คุณธรรมสี่ประการ หรือฆราวาสธรรมสี่ประการ ก็คือ สัจจะ ธรรมะ ขันติ จาคะ สัจจะก็คือความจริงใจ หรือความซื่อสัตย์ นี่คือสิ่งที่เป็นคุณสมบัติที่สำคัญมาก สัจจะที่ได้ให้ไว้ต่อกัน ในตอนที่เราเริ่มพอใจกัน ก่อนที่จะตกลงกันจนตกลงกันแล้ว สัจจะที่ให้ไว้ต่อกัน ให้ไว้อย่างไร ต้องรักษาสัจจะนั้นและถ้าหากว่าผู้ที่เป็นพ่อแม่สามารถรักษาสัจจะต่อกันได้อย่างน่าชื่นชมน่าเคารพนับถือ คุณธรรมข้อนี้