แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
...ในเรื่องอะไร หรือว่ามีอะไร เพราะฉะนั้นเจ้าน้องชายก็สนุกสนานอยู่กับเรื่องทารุณกรรมอันนี้ ส่วนพี่ชายก็ฮึดฮัดทุรนทุรายอยู่กับเรื่องทางเพศ ก็อยากจะลอง แต่ว่ายัง ยังไม่แก่กล้า ก็ยังไม่กล้าที่จะออกไปลองที่ไหน มองไปมองมาก็มีสาวใช้ที่อยู่ที่บ้านนี่ ซึ่งอายุมากกว่าสองคนนี่ สองคนนี่ก็เรียกเขาว่าพี่ เพราะว่าเขาเคยเลี้ยงมา แต่ว่าบัดนี้เมื่อมันเกิดความรู้สึกต้องการอันนี้ขึ้นมาก็เพ่งมองดูที่สาวใช้ที่อยู่ด้วยกัน วันหนึ่งก็เป็นเวลาที่สาวใช้เข้าห้องน้ำ ก็ไปแอบดูเขา จนกระทั่งสาวใช้รู้ตัว แล้วก็มีโอกาสเข้าไปถึงตัว แต่เผอิญสาวใช้คนนี้ ผู้หญิงสาวคนนี้เขาแข็งแรง เขาก็ต่อสู้เต็มที่ ข้างน้องชายก็เชียร์อยู่ข้างนอก เพื่อจะคอยดูฉากต่อไป เจ้าพี่ชายนี่ ทำไมมันถึงไม่แข็งแรงพอนะ มันไม่สามารถจะพิชิต สาวใช้คนนี้ได้สักที น้องชายชอบทารุณกรรมอยู่แล้วก็จับ ดูเหมือนว่าจะเป็นค้อนนี่ ถือเข้าไป เพื่อจะช่วยพี่ชาย ก็ฟาดเข้าไปที่ผู้หญิงนั่น แต่เผอิญไปถูกที่สำคัญ ผู้หญิงนั่นก็เลยตาย พอตายเข้า ทำไง ความที่ทุรนทุรายหาย เกิดเหงื่อแตกซิกๆ เพราะยังอ่อนเยาว์อยู่ ถึงแม้จะมีความคิดมิชอบก็ตาม ปรึกษากันสองคนพี่น้อง ผลที่สุดก็บอกว่า ที่บ่อในบ้านนั่นน่ะ เราต้องช่วยกันเอาศพนี่ ไปลงบ่อในบ้าน ก็ช่วยกันทุลักทุเลสองคนพี่น้อง เอาศพไปทิ้งในบ่อ แล้วก็หาอะไรมา ใส่ๆๆ ลงไปในบ่อ เพื่อปิดบ่อนั้นเสีย แล้วก็ทำเป็นคนบริสุทธิ์ ไม่มีอะไร พอแม่กลับมาจากที่ทำงาน ก็ถามลูกชายว่าเอ๊ะสายไปไหนล่ะ สายคือชื่อของเด็กผู้หญิงคนนั้นน่ะนะคะ ก็บอกแม่ว่า เขาไปเยี่ยมป้าเขา ข้างแม่ก็เออ ไม่เป็นไรหรอก แล้วก็หายไป สองวันก็แล้ว สามวันก็แล้ว สี่วันก็แล้ว ไม่กลับสักที ก็ไม่คิดที่จะไปไต่ถามนะคะ ว่าเป็นเพราะอะไรถึงไม่มาสักที นี่แหละเป็นสิ่งแสดงว่า อะไรที่ไม่ใช่ของเรา คือไม่ใช่ลูกของเรา ถ้าลูกของเราหายไปสักคืนนึงสิ ขี้คร้านจะวิ่งแจ้นใช่ไหมคะ ไปเที่ยวติดตามหา นี่มันเด็กคนใช้ที่บ้าน เราก็ไม่มีเวลา ผลที่สุดก็หายเงียบไปเลย หายเงียบไปทำยังไง ก็ปล่อยเรื่อยไป ไปหาสาวใช้ใหม่มา ไปได้สาวใช้ใหม่มาอีกคนนึง พอได้สาวใช้ใหม่มาอีกคน เจ้าพี่ชายก็ย่ามใจอีก คือนึกว่าเออ เราเก่งนะ ฆ่าตายไปคนแล้วยังไม่เห็นมีใครจับเราได้ นี่มีมาใหม่อีกคน ก็จ้อง คอยจ้องคนนี้ เผอิญเด็กผู้หญิงสาวคนนี้นี่ เป็นคนที่เคยมีประสบการณ์ในทางเพศมาแล้ว เพราะฉะนั้นก็รู้เชิง แล้วก็เป็นคนชอบสนุกด้วย ก็พอใจที่จะสนุกกับเจ้าพี่ชาย แต่เจ้าน้องชายนี่ ที่เคยแอบดูมาแล้วหลายครั้ง ก็อยากจะเล่นด้วยคนนึง อยากจะขอเล่นด้วย แต่เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ยอม คือถึงจะชอบสนุกก็เถอะ แต่ไม่ถึงกับสำส่อน เพราะฉะนั้นก็ไม่ยอมเล่นกับเจ้าน้องชาย เจ้าน้องชายก็โกรธมาก แล้วก็เลยพูดออกมาว่า ระวังนะ ขืนอวดดีเถอะ วันนึง จะต้องเหมือนนางสาย คือเอ่ยชื่อนางสายคนเก่าที่ตายไป ซึ่งข่าวอันนี้ ชาวบ้านแถวนั้นเขาก็ลือกันนะคะ ว่าอยู่ดีๆ เด็กผู้หญิงคนนั้นหายไปไหน แล้วอีกอย่างนึงว่า พอเวลามีลมพัดโชยมานี่ มันก็จะได้กลิ่น ได้กลิ่นตุๆ อะไรนี่มาจากในบริเวณบ้านนี้ จากแถวๆ บ่อน้ำนี่ แล้วเด็กผู้หญิงคนใหม่นี้ก็ต้องได้ระแคะระคาย คือได้ข่าวอย่างนี้ แล้วเป็นคนมีไหวพริบ เป็นคนฉลาด พอได้ยินเจ้าน้องชายกล่าวอาฆาตอย่างนั้น ก็เอามาผสมปะติดปะต่อกัน ก็เลยเดาเรื่องว่านี่เป็นแน่เลย สายนี่ต้องถูกฆ่าตาย แล้วคงจะต้องอยู่ในบ่อน้ำนั่นเป็นแน่เลย แล้วตัวเองก็เลยเกิดกลัว กลัวภัยอันตรายที่จะมาถึงตัวเอง ว่าเอ๊ะ ถ้าหากว่าเขาเกิดไม่ชอบเราขึ้นมา อาฆาต วันหนึ่งเขาอาจจะฆ่าเราอย่างนางสายก็ได้ เพราะฉะนั้นเด็กผู้หญิงคนนี้ก็วิ่งแจ้นไปโรงพักเลย ไปถึงก็ไปแจ้งความตำรวจ เป็นตุเป็นตะไปเลยบอกว่านี่แหละ มีศพผู้หญิงอยู่ในบ่อนั้น แล้วก็เจ้าพี่น้องสองคนนี่เป็นคนลงมือฆ่า ตำรวจเขาก็มาที่บ้าน พอมาเข้า มันก็ไม่ยากเย็นอะไรเพราะไม่ใช่คดีซับซ้อน เขาก็ไปเปิดบ่อ ขุดบ่อลงไปดูก็พบศพ ก็เป็นเวลาเย็น เย็นวันศุกร์ เป็นเวลาที่พอดีกับพ่อนี่กลับมาจากการทำงานต่างจังหวัด ก็หอบข้าวของพะรุงพะรังมาเต็มมือเชียว เพื่อจะมาฝากลูกด้วยความรัก อาทิตย์นึงกลับมาเยี่ยมลูกทีนึง ก็หวังจะได้ชื่นใจกับลูก พอเข้ามาในบ้าน เอ๊ะ วันนี้ทำไมมีผู้คนในบ้านมากนัก แล้วก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้คนในเครื่องแบบ มายืนออกันอยู่เต็ม พอพ่อเข้ามาถึง ก็ได้รับแจ้งจากตำรวจว่า เขาขอจับกุมตัวลูกชายทั้งสองคนนี่ในฐานะที่ฆาตกรรมเด็กผู้หญิงคนนั้น พ่อก็เข่าอ่อน คาดไม่ถึง นึกไม่ได้เลยว่าลูกเราจะเป็นได้อย่างนี้ ครั้นจะปฏิเสธ มันก็มีประจักษ์พยานอยู่ พอแม่กลับมาจากทำงานในตอนเย็น ได้ข่าว พ่อเล่าให้ฟัง คำตอบจากแม่ก็คือเสียงร้องโหยหวนอย่างใจจะขาด แล้วเรื่องนี้ก็จบลง เรื่องนี้ชื่อเรื่องว่าเหยื่อ ก็โปรดคิดเถอะค่ะว่า อะไรคือเหยื่อ ใครเป็นเหยื่อใคร
ทีนี้ วิธีที่เราจะช่วยกันคิดนะคะ ดิฉันจะขออนุญาตถามเป็นคำถาม แล้วก็ลองช่วยกันตอบ ขอให้ทุกท่านลองนึกดูว่าคำถามนี้มันน่าจะตอบอย่างไรนะคะ อันแรกที่สุด ลองนึกซิคะว่า สมาชิกของครอบครัวที่ ในเรื่องที่ชื่อว่าเหยื่อนี้นะคะ มีชีวิตที่มีคุณภาพไหม อย่างนี้เราเรียกว่าเป็นครอบครัวที่มีชีวิตที่มีคุณภาพ น่าปรารถนาใช่ไหมคะ แล้วก็สมาชิกทั้งครอบครัวนี้ ได้ช่วยกันสร้างคุณภาพชีวิตให้เกิดขึ้นแก่ชีวิตของตนหรือไม่ ทีนี้ก็ลองขยายความไปอีกเป็นข้อๆ นะคะ
ข้อที่หนึ่ง ปัจจัยสี่ขาดแคลนไหมคะ ไม่ขาดแคลนเลย อย่างที่ว่า ทางฝ่ายการพยาบาล ถือว่าปัจจัยสี่นี่แหละสำคัญ ที่อยู่ มีบ้านอยู่สบาย อาหารพร้อมมูล บริบูรณ์ เสื้อผ้าไม่ขาดแคลน ยารักษาโรค ถ้าเจ็บป่วยก็เชื่อ จะต้องได้รับการรักษาอย่างดีเพราะว่าพ่อแม่มีเงินทองพอ มีปัจจัยสี่บริบูรณ์พร้อมมูล นอกจากปัจจัยสี่แล้ว ยังมีปัจจัยอื่นเสริมเพิ่มอีกไหมคะ มีไหมคะ มีปัจจัยอื่นเสริมเพิ่มไหมคะ ลูกสองคนนี่ค่ะ ทรัพย์สินเงินทอง จับจ่ายใช้สอยฟุ่มเฟือย ถ้าไม่ฟุ่มเฟือยคงไม่สามารถไปเช่าวีดีโอมาดูได้ โปรดใคร่ครวญตามลำดับด้วยนะคะ แล้วเราจะได้สรุปว่า มีคุณภาพชีวิตไหม ถ้าไม่มีเพราะอะไร อะไรเป็นเหตุที่ทำให้ไม่มี ถ้ามี เพราะอะไรจึงมี ที่มีปัจจัยเพิ่มเติม ทรัพย์สินเงินทอง การศึกษาก็ได้รับ วีดีโอ โทรทัศน์ รถยนต์อะไรอีกต่างๆ สารพัดมากมาย จนกระทั่งเกินความพอดีที่ควรมี แล้วมีความสุขไหม ลองนึกดูนะคะว่า มีความสุขไหม หรือไม่แน่ใจคะ เห็นชัดไหมคะ ความสุขอันนี้ ดิฉันหมายถึงความสุขที่จะนำความชุ่มชื่น ความชุ่มชื่นใจมาสู่ อันเป็นความสุขที่เกิดจากความสำเร็จ เป็นความอิ่มเอิบ เบิกบาน ไม่ใช่ความสุขที่ไหม้เกรียม นี่ก็เป็นกลอนความสุข
ความเอ๋ย ความสุข
ใครใคร ทุกคน ชอบเจ้า เฝ้าเรียกหา
แกก็สุข ฉันก็สุข ทุกเวลา
แต่ดูหน้า ตาแห้ง ยังแคลงใจ
ถ้าเราเผา ตัวตัณหา ก็น่าจะสุข
ถ้ามันเผา เราก็สุก หรือเกรียมได้
เขาว่า สุข สุก เน้อ อย่าเห่อไป
มันสุขเย็น หรือสุกไหม้ ให้แน่เอย
ครอบครัวนี้มีความสุขไหมคะ มีสุขไหนคะ สุก ก ไก่ สุกไหม้ สุก ก ไก่ นี่เป็นคำกลอนของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ สวนโมกขพลาราม ท่านเขียนอะไรที่จะเตือนใจคนไว้เยอะ แล้วก็ กลอนนี้เป็นกลอนที่ คนชอบมาก พอเอ่ยขึ้นความสุข ตาโตกันทั้งนั้น มีชีวิตอยู่ทุกวันก็พยายามแสวงหาความสุข ใช่ไหมคะ ทีนี้ถ้าจะขอถามต่อไปว่า อะไรคือต้นเหตุของความสุกที่ไหม้เกรียม อะไรคือต้นเหตุของความสุกที่ไหม้เกรียม ถ้าเราเผาตัวตัณหาก็น่าจะสุข สุข ข ไข่ ถ้ามันเผา มันอันนี้คืออะไรคะ ตัณหา ถ้ามันเผา เราก็สุกหรือเกรียมได้ นี่แหละ สุกเกรียมทั้งพ่อทั้งแม่ทั้งลูกใช่ไหมคะ เพราะอะไรล่ะ ก็เพราะตัณหา ที่พ่อแม่อุตส่าห์ไปทำงานเหน็ดเหนื่อย ไปทำงานต่างจังหวัดอยู่ตลอด บ้านอยู่ที่นี่ ไม่ใช่สบาย แต่อุตส่าห์ไป แม่ก็ไปทำงานบริษัทแต่เช้ามืด กลับจนค่ำ ก็ไม่ใช่อยากจะทำ แต่อุตส่าห์ไป ก็เพราะอะไรล่ะคะ ก็เพราะตัณหา เพราะความอยาก ความอยากได้เงิน อยากมีเงิน ตามค่านิยม ที่นิยมกันในยุคปัจจุบัน ก็มี เขาก็มีเงิน มีบ้าน มีช่อง มีอะไรอย่างที่ต้องการ มีสิ่งที่คนเดี๋ยวนี้บอกว่า นี่แหละคือปัจจัยของความสุข แต่ถ้าดิฉันจะถามว่า ท่านผู้ใด อยากจะมีครอบครัวที่มีความสุขอย่างครอบครัวนี้ไหมคะ ปรารถนาไหมคะๆ ตอบในใจก็ได้ค่ะ ก็คงไม่มีใครปรารถนา พอพูดมาถึงตรงนี้ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ใช่ไหมคะ ทีนี้ทำไมครอบครัวนี้จึงประสบกับผลที่เกิดขึ้นดังที่ปรากฏในเรื่อง ทำไมถึงมาประสบโศกนาฏกรรมอย่างนี้ สุดแสนจะน่าสงสาร ทำไมถึงมาประสบสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ลองนึกซิคะ เพราะอะไร อันนี้เป็นโคลงโลกนิติ มีท่านผู้ใหญ่หลายท่านที่เห็นอยู่ในที่นี้ซึ่งดิฉันก็ดีใจที่ได้พบ ก็คงจะได้เคยพบกับโคลงโลกนิติมาแล้วบ้าง
หมอ แพทย์ ทายว่าไข้ ลมคลุม โหรว่าเคราะห์ แรงรุม โทษให้
แม่มดว่า ผีกุม ทำโทษ ปราชญ์ว่ากรรมเองไซร้ ก่อให้ ส่งให้ เป็นเอง
ชีวิตของครอบครัวนี้ มีเหตุ ตรงกับบาทไหนของโคลงนี้คะๆ
หมอ แพทย์ ทายว่าไข้ ลมคลุม คือนี่ ถ้าพ่อแม่ไปหาหมอ แพทย์ หมอแพทย์ก็จะต้องบอกว่า นี่มันมีโรคอย่างนั้น อย่างนี้ ตัวไวรัสอันโน้นเข้ามา เข้ามีอะไรต่างๆ สารพัด ถ้าไปหาโหร หมอดู หมอดูก็ นี่อะไรเล็งลักษณ์ต่ออะไรก็ไม่รู้ มันถึงได้เคราะห์ร้ายเหลือเกิน ถ้าไปหาแม่มด หมอผี ก็จะต้องบอกไปอีกอย่างหนึ่ง ว่านี่นะเป็นเพราะว่าผีกุม ทำโทษ แต่ถ้าไปหาบัณฑิต ไปหานักปราชญ์ ท่านก็จะบอกว่า กรรมเองไซร้ ส่งให้ เป็นเอง ตรงกับบาทไหนล่ะคะ บาทสี่ กรรม
แต่กรรมในที่นี้เป็นกรรมอดีตหรือกรรมปัจจุบัน โปรดสังเกตนะคะ สังเกตให้มาก เป็นกรรมอดีตหรือเป็นกรรมปัจจุบัน กรรมปัจจุบัน ใครทำให้หรือเปล่าคะ เปล่าเลย เป็นเหตุปัจจัยที่ก่อขึ้นเอง ก่อขึ้นเองตั้งแต่ใคร ลองนึกดูซิคะ ก่อให้เอง ตั้งแต่ใคร ตั้งแต่พ่อแม่ พ่อแม่ไม่ใช่มีหน้าที่แต่เพียงหาเงินให้ลูกมีกิน มีใช้ มีอยู่ หรือว่ามีเรียน ไม่ใช่เพียงแค่นั้น หน้าที่ของพ่อแม่นั้น ไม่ใช่เพียงให้ลูกเรียนหนังสือ มีปริญญา มีวิชาความรู้ไปทำมาหากินได้ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ต้องอบรม สั่งสอน พัฒนาใจของลูก ให้เป็นจิตใจที่มีคุณธรรม มีจริยธรรม รู้สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก นี่สิ มันถึงจะเป็นมรดกอันประเสริฐที่ให้แก่ลูก ให้เงินให้ทองโดยไม่มีคุณธรรม เงินทองให้สักกี่ร้อยล้านก็ผลาญได้ในสิบวัน เพราะฉะนั้นกรรมอันนี้ กรรมในปัจจุบันนี้เอง แต่สิ่งที่น่าเสียดายสำหรับชาวพุทธเราก็คือ มัวไปมุ่งกรรมในอดีตใช่ไหมคะ พออะไรเกิดขึ้นในทางที่ไม่ถูกใจ โอ๊ย มันเป็นกรรม จะไปแก้อะไรได้ พอพูดยังงี้เป็นไงคะ มืออ่อนเท้าอ่อนสบาย มืออ่อนเท้าอ่อนด้วย สบาย สบายด้วยเพราะอะไร รอดตัวไป มันไม่ใช่เรื่องของเรา เราไม่ได้ทำอะไรผิด มันเป็นกรรมเก่า มันแก้ไม่ได้ นี่แหละค่ะ เป็นความที่เข้าใจพระพุทธศาสนาไม่ถูกต้อง หรือเข้าใจเรื่องของกรรมไม่ถูกต้อง เพราะเรื่องของพระพุทธศาสนานั้น เป็นเรื่องของปัญญา พุทธะ นี่คือเรื่องของปัญญา ถ้าเราจะศึกษาเรื่องของพระพุทธศาสนาจะเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทรงสอนให้ใช้ปัญญาทุกขณะจิตแห่งชีวิต ไม่ว่าจะพูด จะทำสิ่งใด เริ่มจากการคิด คิดให้ถูกต้อง แล้วพูดให้มันถูกต้อง ให้เกิดประโยชน์ กระทำให้ถูกต้อง ให้เกิดประโยชน์ และนี่แหละคือกรรม กรรมคือการกระทำ แต่การกระทำปัจจุบัน ในชีวิตปัจจุบันที่มองเห็นได้นี้เอง นี้เรียกว่าเป็นกฎแห่งเหตุและผล ถ้าไปอ่านในพระไตรปิฎกนะคะ จะพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ไม่รู้กี่สิบแห่งเลย เป็นร้อยๆ แห่ง ที่ท่านจะทรงบอกว่า สิ่งใดที่เกิดขึ้น ตามเหตุตามปัจจัย มีเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอยๆ มีเหตุมีปัจจัยที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นก็ย่อมจะมีความดับไป ตามเหตุตามปัจจัยอีกเหมือนกัน ไม่มีอะไรเกิดลอยๆ ไม่มีอะไรดับลอยๆ ชีวิต ไม่ว่าชีวิตอะไรทั้งสิ้นในจักรวาลนี้ จะมาจากเหตุปัจจัยทั้งสิ้นนะคะ ไม่มีอะไรลอยๆ เลย นี่พ่อแม่ในครอบครัวที่ชื่อเรื่องว่าเหยื่อ คงจะไม่ได้เคยศึกษาเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นจึงคิดแต่เพียงว่า เอาล่ะมีเงินมีทองให้ลูกก็พอแล้ว นี่เป็นกฎแห่งเหตุและผล
ถ้าจะถามว่า ในเรื่องนี้ พ่อแม่ใจร้ายไหมคะ พ่อแม่ใจร้ายกับลูกไหมคะ ไม่เลย ต้องบอก พ่อแม่ใจดีสารพัด ให้อิสระเสรีลูกก็ชอบ แต่เป็นการให้อิสระเสรีที่เป็นอย่างไร ลองนึกซิคะ เป็นอิสระเสรีที่เป็นอย่างไร เป็นโทษหรือเป็นคุณแก่ลูก เป็นโทษหรือเป็นคุณแก่ลูก ดิฉันเชื่อว่าคงมีคุณพ่อคุณแม่อีกจำนวนมหาศาลเลย เป็นพันๆ หมื่นๆ ที่เลี้ยงลูกแบบเดียวกันอย่างนี้ แล้วก็มาเสียใจทีหลัง มาร้องไห้คร่ำครวญทีหลัง ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าเราไม่เริ่มต้น ปรับปรุงพัฒนาให้ถูกตั้งแต่ยังตอนต้น พ่อแม่ไม่ได้ใจร้าย เราจะว่าพ่อแม่ไม่ทำหน้าที่ของพ่อแม่ได้ไหมคะ พ่อแม่ไม่ทำหน้าที่ของพ่อแม่ได้ไหมคะ ก็ไม่ได้ เขาก็ทำ แต่เขาทำแต่เพียง ครบทั้งชีวิตไหมคะ ครบทั้งชีวิตของลูกไหมคะ ไม่ครบ ครึ่งเดียว คือทำให้แต่เรื่องของร่างกาย แต่เขาไม่ได้ทำในส่วนใจ เขาลืมว่าขีวิตประกอบด้วยกายใจ มันจะต้องไปด้วยกัน จึงจะเป็นชีวิต จะมีแต่กายอย่างเดียวก็ไม่ได้ จะมีแต่ใจอย่างเดียวก็ไม่ได้ แต่สิ่งที่สำคัญระหว่างใจกับกายก็คือใจ ที่มันเป็นประธาน เป็นสิ่งที่นำชีวิต เพราะฉะนั้น พ่อแม่ไม่ใจร้าย เป็นพ่อแม่ที่รักลูก พยายามทำหน้าที่ แต่ก็ทำไม่ครบ ไม่สมบูรณ์ เพราะความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ จึงไม่ได้ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ ก็เลี้ยงแต่กาย ไม่เลี้ยงใจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่นำชีวิต เพราะฉะนั้นในการเลี้ยงลูก อบรมลูก จึงจำเป็นที่จะต้องให้ทั้งอบรมจิตใจ ให้ตั้งอยู่ในความถูกต้อง จึงจะเกิดความถูกต้องแก่ชีวิตต่อไป คือรู้จักคิดให้ถูกต้อง ไม่เกิดปัญหาเป็นทุกข์ พูดให้ถูกต้อง แล้วก็ทำให้ถูกต้อง ทีนี้ถ้าจะถามว่าลูกอกตัญญูหรือเปล่าคะที่ลูกทำอย่างนี้ เป็นลูกอกตัญญูหรือเปล่าคะ เป็นไหมคะ เป็นลูกอกตัญญูไหมคะ ดิฉันเล่าเรื่องนี้แล้วก็ชวนให้คิดเพราะอะไร เพราะดิฉันรู้สึกว่าชีวิตของครอบครัวทั้งหลายในปัจจุบันมีสภาพคล้ายคลึงกับเรื่องของเหยื่อเยอะเหลือเกิน เป็นลูกอกตัญญูไหมคะ ว่าได้ไหมคะว่าลูกสองคนนี่อกตัญญู ก็ไม่ได้ตั้งใจๆ พ่อแม่ให้เงินไปเรียนหนังสือ แต่กลับไม่สนใจเท่าที่ควร กลับมาสนใจวีดีโอลามกอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่ได้ตั้งใจ แต่ทีนี้ก็เป็นเพราะว่า ในปัจจุบันนี้อีกเหมือนกัน ทั้งที่บ้านและทั้งที่โรงเรียน พูดกันเรื่องความกตัญญูน้อยที่สุด หรือเกือบจะไม่ได้พูดเลย ใช่หรือเปล่าคะ ท่านที่เป็นคุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยายแล้วที่นั่งอยู่ในห้องนี้ ไม่ต้องยกมือนะคะ ขอเรียนถาม ใจจริงของท่านว่า ทุกวันนี้ท่านมีความชื่นใจกับลูกหลานมากน้อยเพียงใด มีความชื่นใจในความกตัญญู ในความรับใช้รู้คุณ ของลูกหลานของท่านมากน้อยเพียงใด ได้รับความชื่นใจบ้างไหม หรือมีแต่ให้ท่าเดียว โปรดนึกเอาเอง แล้วทำไมถึงเป็นอย่างนั้น แล้วเราจะแก้ไขอย่างไร ท่านอาจารย์ที่สวนโมกข์ ท่านพูดไว้ชัดเจน ท่านบอกว่า โลกรอดได้เพราะกตัญญู มีความกตัญญูอย่างเดียวเท่านั้น โลกเราจะรอดได้ จะอยู่ร่วมกันได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข เพราะถ้าหากว่าเราสอนเรื่องความกตัญญูแล้วล่ะก็ ความกตัญญูนี้ มันจะเป็นความสำนึกที่มีอยู่ในใจ แล้วก็จะส่งออกไปกตัญญูต่อทุกอย่างที่เราเกี่ยวข้อง กตัญญูต่อเสื้อผ้าที่เราใส่ นั่นคือใส่อย่างทะนุถนอม ไม่ใส่ทิ้งๆ ขว้างๆ ฉีกขาดก็รู้จักซ่อม เลยไปถึงคุณสมบัติเรื่องของความประหยัด มีความกตัญญูต่อที่อยู่ที่อาศัย โดยเฉพาะต่อธรรมชาติที่ให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่เรา ผู้ที่เป็นหมอเป็นพยาบาล จะไม่รู้สึกว่า เรานี่ต้องทำหน้าที่รับใช้คนไข้ แต่กลับจะมีความกตัญญูต่อคนไข้ เพราะมีคนไข้ล่ะซิ เราจึงมีโอกาสได้ทำงาน ได้มีชื่อว่าเป็นพยาบาล ได้มีชื่อว่าเป็นแพทย์ และคนไข้ก็มีความกตัญญูต่อพยาบาล ต่อหมอ เพราะเหตุว่า ได้ช่วยรักษาให้เรามีความเป็นอยู่สุขสบาย ซึ่งทุกวันนี้เราพูดถึงความกตัญญูกันน้อยเหลือเกิน เราจึงเห็นแต่ความแข็งกระด้าง แข็งกระด้างเพิ่มมากขึ้น ทุกทีๆๆ เพราะฉะนั้นลูกไม่ได้อกตัญญู ลูกไม่ได้ตั้งใจ ลูกทำไปก็เพราะว่า ไม่มีใครบอก ไม่มีใครสอน แล้วอะไรเป็นเหตุให้เขาพากันดำเนินชีวิตเช่นนี้ ถ้าจะถามต่อไปนะคะ แล้วอะไรเป็นเหตุที่ทำให้เขาดำเนินชีวิตเช่นนี้ เขามีความเห็นผิดหรือเห็นถูก ก็แน่นอน เห็นผิด นั่นก็เพราะขาดการเรียนรู้เรื่องจิตของสัมมาทิฐิ
ท่านคงทราบแล้วว่าทิฐิคือความเห็น สัมมาก็คือถูกต้อง สัมมาทิฐิก็คือความคิดเห็นที่ถูกต้อง ถ้าหากว่าลูกสองคนได้อยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่สั่งสอนอบรมในเรื่องของคุณธรรม แล้วพ่อแม่มีเวลาให้ ไม่เอาเวลาไปทำงานเพื่อหาเงินอย่างเดียว แต่รู้ว่าเราหาเงินมาเพื่อลูก ลูกนี่คือชีวิตจิตใจ ความสุขของลูก ความเจริญของลูก ความสำเร็จของลูกคือความสุขของพ่อแม่ เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่พ่อแม่ ที่ลูกต้องการยิ่งกว่าเงิน นั่นคือความรัก ความเอาใจใส่ ความอบอุ่น ที่จะได้รับจากพ่อแม่ พ่อแม่ก็ต้องเจียดเวลาให้แก่ลูก เพราะฉะนั้นลูกสองคนนี่ถ้าจะว่าไปแล้ว ทั้งๆ ที่มีเงินทอง มีบ้านอยู่ มีอะไรๆ พร้อม ดิฉันอยากจะบอกว่า เป็นลูกอาภัพ เป็นคนอาภัพ อาภัพมาก เพราะอยู่ในครอบครัวที่มิได้เป็นสัมมาทิฐิ คือมิได้มีความคิดเห็นที่ถูกต้อง ท่านบอกไว้ว่า คนมีบุญนั้น คือคนที่เกิดในสิ่งแวดล้อมที่เป็นสัมมาทิฐิ ถึงแม้จะยากดีมีจน แต่มีพ่อแม่ที่เป็นสัมมาทิฐิ มีปู่ย่า ตายาย มีสิ่งแวดล้อม ที่เป็นบุคคลที่มีสัมมาทิฐิ คือคนที่คิดอะไรถูกต้อง อยู่ในทำนองคลองธรรม แล้วพูดก็ถูกต้อง เกิดประโยชน์ ไม่เบียดเบียนกัน แล้วกระทำก็ถูกต้อง ด้วยความเมตตากรุณาต่อกัน เห็นประโยชน์ซึ่งกันและกัน นี่คือสัมมาทิฐิ ความคิดเห็นที่ถูกต้อง ทิฐิคือความเห็น สัมมาคือความถูกต้อง เพราะฉะนั้น ลูกสองคนนี่อาภัพ พ่อแม่เป็นมิจฉาทิฐิ คำว่ามิจฉาทิฐิ ไม่ได้หมายถึงคน โจร ปล้น ทำร้ายเขา แต่หมายถึงคนที่มีความคิดในทางที่ผิด คิดแล้วเบียดเบียนตนเอง คิดแล้วทำให้เกิดความทุกข์ ทำให้เกิดปัญหา เพราะพาการพูดการกระทำที่เป็นไปในลักษณะเช่นนั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ครอบครัวนี้ยึดอะไรเป็นสรณะ พอจะมองเห็นไหมคะ ยึดอะไรเป็นสรณะ ยึดธรรมะหรือยึดวัตถุ วัตถุ วัตถุนิยม ซึ่งเป็นค่านิยมที่กำลังเหนียวแน่นมาก ฝังรากลึกในสังคมทุกวันปัจจุบันนี้ นี่คือโทษอันร้ายแรง มันทำลายชีวิตของครอบครัว ทั้งครอบครัวทีเดียว พ่อแม่คู่นี้รักลูกไหม ไม่ต้องถาม รักยิ่งกว่าชีวิตซะอีก พูดได้ไหมว่าพ่อแม่คู่นี้มีชีวิตอยู่เพื่อลูก ที่ทำงาน งกๆๆๆ เหน็ดเหนื่อยเพื่อลูก ไม่ใช่เพื่อใคร แน่นอนที่สุด เพื่อลูก แต่ นับแต่นี้ไป นับแต่นาทีที่ตำรวจเขาจับลูกไป ในฐานะเป็นฆาตกร พ่อแม่ก็ยังมีชีวิตอยู่หรอก แต่มีแต่ลมหายใจเท่านั้น ชีวิตนั่นตายแล้ว ใช่ไหมคะ พ่อแม่คู่นี้ตายแล้ว มีแต่ลมหายใจ ตายแล้วเหลือแต่ซาก เพราะเงินที่หาเอาไว้ บ้านช่องที่หาเอาไว้ ความสะดวกสะบาย เพื่อใคร เพื่อลูก บัดนี้ ลูกหมดอนาคตแล้ว กลายเป็นฆาตกร แล้วจะไปอยู่ทำไม จะทำอะไร เพราะฉะนั้นสิ่งนี้น่าคิด น่าคิดแล้วก็น่าระมัดระวังด้วย อันนี้ ดิฉันอ่านพบแล้วก็รู้สึกชอบ ไม่ทราบว่านำมาให้มากไปหรือเปล่านะคะ แต่ดิฉันรู้สึกชอบ ก็เลยคิดว่า บางทีผู้ฟังเขาอาจจะรู้สึกชอบบ้างละมัง นี่เป็นของเชกสเปียร์ เชกสเปียร์บอกว่า
กระแสชีพมนุษย์ ไหลรีบรุด เร็วเหลือล้ำ
ผ่านไป ดุจสายน้ำ อาจสุขล้ำ ฤาทุกข์ทน
ชีวิตนี่มันผ่านไปเร็วเหลือเกิน วันนึงๆๆ ลืมตาขึ้นประเดี๋ยวค่ำแล้ว ไม่ทันทำอะไรสักเท่าไหร่ เอ้า พอนอนไป เช้าแล้ว ประเดี๋ยวค่ำแล้ว วันนึงๆ ชีวิตหมดไปอย่างนี้ มันเร็วเหลือเกิน เพราะฉะนั้นประมาทไม่ได้...