แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในพระราชวังนี้หรือในบ้านเมืองนี้อนุญาตทุกแห่งทุกหน แล้วก็ประกาศไม่ให้ใครทำร้าย พร้อมกับจัดข้าราชบริพารจำนวนหนึ่งให้คอยดูแลรักษาพญาลิงเป็นอย่างดี เรียกว่าให้อยู่เย็นเป็นสุข ให้ได้กินสบายนอนสบายทุกอย่างทุกประการ พญาลิงก็อยู่ในพระราชวังกับพระราชา แล้วก็ออกไปเที่ยวตามบ้านตามเมือง จะเข้าห้องใครที่ไหนเมื่อไหร่ ไปได้ทุกหนทุกแห่ง ก็อยู่ไปจนกระทั่งวันหนึ่งพญาลิงก็เกิดอาการซึมเซา นอนเงียบเฉย ไม่ยอมกินอาหารเลย แล้วใครจะพูดด้วยยังไงก็นอนซมท่าเดียวเป็นเวลาหลายวัน บรรดาข้าราชบริพารก็เกรงว่าถ้าพญาลิงเกิดเจ็บป่วยล้มตายไปล่ะก็ เขาคงจะต้องถูกลงโทษแน่นอน เพราะพระราชาโกรธมาก ก็เลยรีบไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบว่าบัดนี้พญาลิงนี่เป็นอะไรก็ไม่ทราบ ไม่ยอมกินข้าวกินปลา คือไม่ยอมรับประทานอาหารเลย จะอ้อนวอนอย่างไรก็ไม่ยอม พระราชาก็เสด็จมาเยี่ยม แล้วก็ถามว่าเป็นอะไรไปขอให้บอก จะต้องการอะไรจะหามาให้หมด จะเจ็บป่วยเป็นโรคอะไรก็จะหาหมอมารักษา ขอให้บอก พญาลิงก็เฉยไม่ยอมพูด ผลที่สุดท่านก็อ้อนวอน พระราชาก็อ้อนวอน พญาลิงก็เลยทูลว่าถ้าจะให้หาย ขอได้ทรงโปรดปล่อยให้กลับไปอยู่ป่าตามเดิมเถิด เท่านี้แหละก็จะกินข้าวกินปลากินอาหารได้อย่างสนุกสนาน แล้วก็จะหายป่วยหายไข้ทันที พระราชาฟังแล้วก็สงสาร ก็เลยให้ข้าราชบริพารนี่นำไปปล่อยในป่า แล้วก็เหมือนกับพระราชทานอนุญาตเอาไว้ด้วยว่าไม่ให้มีใครไปทำร้ายแล้วก็รบกวนพญาลิงอีกต่อไป
พอบรรดาลูกน้องลิงเห็นพญาลิงกลับมาในป่า ดีอกดีใจต้อนรับขับสู้เพราะว่าจากไปเป็นเวลานานพอสมควร ก็มีการประชุมปรึกษาพูดจากันนี่นะคะ ก็บอกให้พญาลิงเล่าให้ฟังสิว่าที่เข้าไปอยู่ในพระราชวัง ไปอยู่ในบ้านในเมือง ในบ้านในเมืองเขาเป็นยังไงบ้าง คนบ้านคนเมืองเขาเป็นยังไงบ้าง พญาลิงก็เล่าให้ฟังถึงเรื่องบ้านเรื่องเมือง เรื่องปราสาทราชวัง มีความเป็นอยู่อย่างไรก็เล่าสารพัดนะคะ แต่สิ่งที่ไม่เคยเล่าเลยก็คือไม่เล่าว่าทุกคนชาวเมืองเขาคุยกันเรื่องอะไร ลูกลิงก็อยากฟัง บอกแหมเล่าอะไรตั้งหลายอย่างแล้ว บอกหน่อยสิว่าพวกคนเมืองเขาคุยกันเรื่องอะไรบ้าง เวลาเขาพูดเขาคุยน่ะ เขาพูดกันเรื่องอะไร พอพญาลิงได้ยินอย่างนั้น มีรูปนะคะรูปในชาดกนี่ ก็หันข้างให้ทันที หันข้างเบือนหน้าหนี ไม่อยากพูด ที่จะมาให้เล่าว่าชาวบ้านชาวเมืองเขาคุยกันเรื่องอะไร พูดง่ายๆ มนุษย์เขาคุยกันเรื่องอะไร ไม่อยากเล่า ไม่อยากเล่าให้ฟัง แหมเจ้าพวกลิงก็ยิ่งสงสัยใหญ่ แหมมันเรื่องลึกลับยังไงนะ แหมเล่าให้ฟังหน่อยเถอะ อยากฟังๆ พญาลิงก็อดไม่ได้ก็เลยบอกว่า อ้าวอยากฟังเหรอจะเล่าให้ฟัง พวกมนุษย์น่ะนะเขาพูดกันอยู่อย่างเดียวแหละ ขอโทษนะ ของกู ของกู ของกู ของกู เขาไม่พูดอย่างอื่นหรอก พอเจ้าพวกลิงได้ยินเท่านั้น พอแล้วๆ หยุดๆๆ กระโจนลงจากกันหมดเลย ไปล้างหูที่ได้ยินถ้อยคำที่สกปรกอย่างนี้ เพราะว่าบรรดาลิงอยู่ในป่ามันบริสุทธิ์ มันไม่เคยจะนึกว่านั่นเป็นของกู นี่เป็นของกู แล้วก็เบียดเบียนกัน แล้วก็แย่งกัน แล้วก็แบ่งกันไม่ได้ ไม่เคยพูด มันมีแต่ว่าอยู่ด้วยกันกินด้วยกัน รักกัน แบ่งกันเป็นพี่เป็นน้อง ชีวิตธรรมชาติเป็นอย่างนี้ แม้แต่เดี๋ยวนี้ชีวิตธรรมชาติก็ยังคงเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นพอเจ้าลิงเหล่านี้มันได้ยินมนุษย์พูดแต่ของกู ของกู ของกู โอ้ยทนไม่ได้ ทำไมมันถึงได้สกปรกอย่างนั้น จึงต้องวิ่งลงสระเพื่อไปล้างหู อย่าได้ยินถ้อยคำอย่างนี้อีกต่อไปเลย อย่าให้มันเกิดขึ้นอีกต่อไปเลย เห็นไหมคะ อัตตา ความยึดมั่นถือมั่นในอัตตา เป็นอุปสรรคไม่ให้เข้าถึงความเป็นอนัตตา จึงยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตน เมื่อมีตัวฉัน มันก็ต้องมีของฉัน สารพัดจะของฉันนะคะไม่ต้องจาระไน เพราะฉะนั้นยิ่งมีของฉันมากเท่าใด ก็ยิ่งหนักยิ่งเหน็ดเหนื่อย ยิ่งลำบาก เหนื่อยล้ามากยิ่งขึ้นเท่านั้น ที่จริงนิทานเรื่องนี้ิ ถ้าจะนึกไปแล้วค่อนข้างตบหน้ามนุษย์นะคะ ตบหน้ามนุษย์เจ็บๆ เลยนะนี่ แต่ก็ไม่รู้ว่ามนุษย์จะเจ็บรึเปล่า อันนี้เป็นสิ่งที่เราจะต้องคิดกันมากๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงสอนเรื่องอนัตตา เพราะท่านทรงเห็นแล้วว่าตราบใดที่มนุษย์ทั้งหลาย ยังมีความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวเป็นตน ต้องเป็นฉันต้องเป็นของฉัน มันจะต้องมีการเบียดเบียนอยู่ตลอด ตัวอย่างเห็นอยู่รอบตัวเราใช่ไหมคะ อ่านหนังสือพิมพ์ทุกวันนี่ มีบ้างไหมที่วันไหนอ่านหนังสือพิมพ์แล้วมีแต่ความสดชื่น สดชื่นเบิกบานอิ่มอกอิ่มใจ มีไหมคะ ไม่มีเลยมีแต่ความเหี่ยวแห้ง ทำไมถึงเหี่ยวแห้งล่ะ ก็เพราะตัวกูของกูมันออกมาชนกันใช่ไหมคะ มันมาเบียดเบียนกัน มันมาแย่งกัน มันมาทำร้ายกัน มันมาพยายามที่จะข่มเหงยื้อแย่ง เพื่อเอามาเป็นของเรา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงเห็นแล้วว่าตราบใดที่มนุษย์ยังยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตนอย่างเหนียวแน่น น้ำใจย่อมแห้งแล้ง แบ่งปันไม่ได้ จะได้ก็แต่เฉพาะแก่ตัวฉัน ลูกฉัน เมียฉัน ครอบครัวของฉัน พี่น้องเพื่อนฝูงของฉัน พรรคพวกของฉัน มันจะมีแต่สิ่งที่เกี่ยวข้องแก่ของฉัน อันอื่นไปก่อน เพราะฉะนั้นจึงทรงพยายามที่จะบอกให้รู้ว่า ถ้าเราอยากจะอยู่กันอย่างไม่เป็นทุกข์ อยากจะอยู่กันอย่างเป็นสุขให้ทั่วถึงกัน ก็ควรที่จะได้ศึกษาถึงเรื่องของอนิจจัง ความไม่เที่ยง เหมือนอย่างนิทานชาวบ้าน มีดีในเสีย มีเสียในดี ให้เห็นทุกขัง สภาวะที่ทนอยู่ไม่ได้ แล้วก็ให้เข้าถึงอนัตตาคือความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนที่แท้จริง อย่างเชื่อว่าท่านผู้ใหญ่ทั้งหลายเคยไปงานศพทั้งนั้นใช่ไหมคะ ไปงานศพแล้วที่จะเห็นชัดที่สุดก็คือเวลาที่ไปเก็บกระดูก ไปเก็บอัฐิ เวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ ตัวใหญ่สง่าผ่าเผย รูปร่างล่ำสันแข็งแรง พอถึงเวลาไปเก็บอัฐิ เก็บกระดูกเหลือเท่าไหร่คะ กำมือเดียวใช่ไหมคะ กำมือเดียว บรรดาลูกหลานอาจจะยังไม่เคยเห็นกันทุกคน แต่ถ้าใครเคยไปก็จะเห็น เหลือแค่กำมือเดียว ห่อผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดหน้าก็ยังห่อได้ ยังเหลือว่างั้นเถอะ แล้วไปไหน ไปไหนที่ใหญ่ๆ โตๆ ล่ำสัน แข็งแรง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าหายไปไหน ผมเผ้า กระดูก หน้าตา แข้งขา เนื้อหนัง เลือดเนื้อ หายไปไหน นี่แหละคือความเป็นอนัตตา ความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เรื่องของอนิจจังความไม่เที่ยงนี้ มีมานานแล้วคือพูดถึงกันมานานแล้ว ตั้งแต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมิได้อุบัติขึ้น คือในอินเดียเขาก็พูดถึงเรื่องอนิจจัง ความไม่เที่ยง เขาพูดกันมานานแล้ว แต่พระองค์ก็ทรงเห็นว่าถ้าเราจะมาทำความเข้าใจเพียงแค่อนิจจังคือความไม่เที่ยงเท่านั้น ไม่พอ เพราะอะไรจึงไม่พอ เพราะมันยังมีตัวคนที่เห็นความไม่เที่ยง ใช่ไหมคะ ฉันนี่แหละเห็นความไม่เที่ยง เธอยังไม่เห็นจริงหรอก ที่เธอพูดเธอยังไม่เห็นจริง เห็นไหมคะ มีตัวฉันมาทะเลาะกันอีก เพราะฉะนั้นถ้าเอาเพียงแค่ความไม่เที่ยง มันยังไม่สิ้นสุด ยังไม่สิ้นสุดของต้นเหตุ ของสิ่งที่ทำให้เป็นทุกข์ ท่านจึงสอนขึ้นไปถึงอนัตตา คือความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ซึ่งไม่ใช่ท่านทรงแสร้งสอนคือแกล้งสอนแต่สิ่งนี้เป็นสัจธรรม ก็จงมองดูเถิดว่าอะไรที่มันเหลือ ที่มันเหลือให้เราเห็น ที่มันเหลือให้เรายึดมั่นถือมั่น เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าชาวพุทธท่านใดสามารถที่จะศึกษา ทำความเข้าใจให้ลึกซึ้ง ละเอียดถี่ถ้วนและรอบด้าน จนเข้าถึงสภาวะของสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาได้เมื่อใด เมื่อนั้นความสงบระงับความดับเย็นสนิทก็จะเกิดขึ้นในจิต เกิดขึ้นในชีวิตตามลำดับทีละน้อยๆๆ
ทีนี้เคล็ดลับ เคล็ดลับนะคะของการที่จะฝึกให้เข้าถึงไตรลักษณ์คือลักษณะอันเป็นธรรมดา 3 ประการ ที่เรียกว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้นจะต้องฝึกอย่างไร ไม่ต้องลงทุนด้วยเงินนะคะ เพียงแต่ลงทุนความอุตสาหะพากเพียร ตั้งใจ การที่จะเข้าถึงไตรลักษณ์ให้ได้จะต้องเข้าถึงด้วยใจ ด้วยการดู ดูที่ใจ ด้วยการดู ดูที่ใจไม่ใช่การคิด การที่จะศึกษาอบรมปฏิบัติธรรมจะต้องเปลี่ยนวิธีการศึกษา จากการศึกษาในห้องเรียน อย่างเวลาที่ศึกษาในห้องเรียนที่ครูอาจารย์เลคเชอร์ให้ฟังนี่ ก็ศึกษาด้วยการฟังแล้วก็คิดตาม แล้วก็ใช้สมอง แล้วก็จดจำ แต่ในการศึกษาที่จะฝึกอบรมเพื่อให้เกิดธรรมะขึ้นในใจนั้น จะต้องศึกษาเปลี่ยนวิธีศึกษาจากการคิดเป็นการดู และการดูนี้ดูที่ใจ ใช้ใจนี่ดู ใช้ใจให้สัมผัส สัมผัสกับความไม่เที่ยงหรือความเปลี่ยนแปลง ใช้ใจนั้นให้สัมผัสกับความรู้สึกที่มันเกิดขึ้น คือที่พูดถึงว่าใจนี่มันก็เป็นการยากหน่อยนึง เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น เป็นนามธรรม แต่ใจนี้มีความสามารถที่รู้สึกได้ ใช่ไหมคะ อย่างเรารู้สึกร้อน ร้อนที่ไหน เราก็บอกที่ใจ ใจฉันนี่แหมตอนนี้มันร้อนยังกับไฟ ทั้งๆ ที่มองไม่เห็นรูปของใจ แต่ก็บอกใจนี่มันร้อนยังกับไฟ นั่นก็คือความรู้สึกของความร้อนที่มันเกิดขึ้น เวลานี้แหมใจฉันรู้สึกเย็น ใครจะเอาไฟมาลนฉันก็ไม่ร้อน เคยพูดไหมคะ นั่นแหละมันก็รู้สึกเย็นที่ใจอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการที่เราจะดูก็คือดูที่ใจ ให้ใจนี้มันสัมผัส สัมผัสกับสภาวะของความไม่เที่ยง ที่มันจะเกิดขึ้นในใจ ทีนี้ที่ว่าจะสัมผัสนี่เอาใจสัมผัส สัมผัสอย่างไร ก็อยากจะขออุปมาให้ฟัง เหมือนอย่างเวลาที่รักกันนี่เขามองกันที่ไหนคะที่ให้สัมผัส เขามองกันที่ไหน เขามองกันที่ดวงตาใช่ไหม แหมมองเข้าไปจ้องไปในดวงตา ฉันสัมผัสกับความรักของเขาที่มันฉายแสงออกมาเข้าสู่ใจฉัน ใช่ไหมวัยหนุ่มวัยสาว ท่านผู้ใหญ่ก็คงจะรำลึกได้ในวัยนั้น แหมมองเข้าไปแล้วนี่มันสัมผัส สัมผัสกับความรู้สึกอันนั้น มันแสดงความรักนี่ พอมองไปแล้ว แหมใจฉันอบอุ่นขึ้นมาเลย เพราะรู้สึกว่ามีเพื่อน มีเพื่อนร่วมชีวิต ที่จะอยู่ด้วยกัน สุขด้วยกัน ทุกข์ด้วยกัน มันอบอุ่นขึ้นมาเยอะแยะเลย นั่นแหละใจสัมผัสใช่ไหมคะ สัมผัสด้วยใจใช่ไหม ไม่ได้สัมผัสด้วยสมอง นี่แหละที่บอกว่าเอาใจสัมผัส ดูลงไปแล้วจะสัมผัส นี้ดูที่ไหนล่ะ ก็ดูเข้าไปที่ความรู้สึก
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอยู่ภายในนี่ ที่ภายในนี้ก็ชี้ไม่ได้นะคะว่าจะตรงไหน แต่ภายใน ภายในหัวอกนี่ แต่ไม่ใช่ตับไตไส้พุงหรือไม่ใช่หัวใจไม่ใช่ปอด แต่มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายใน เราก็สัมผัสมันเข้าไป ดูเข้าไป แล้วก็สัมผัสมันเข้าไป จะสัมผัสตอนไหนล่ะ ก็ตอนที่ความรู้สึกมันเกิดขึ้น รู้สึกดี รู้สึกชั่ว รู้สึกได้ รู้สึกเสีย รู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ สัมผัสเข้าไปในตอนนั้น แล้วก็ดูต่อไปอีกว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้มันคงที่ไหม มันเปลี่ยนไหม พอดูไปดูไปก็จะได้สัมผัสกับความเปลี่ยนแปลงที่มันค่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อยมากขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ นี่ล่ะค่ะที่ท่านหมายถึงว่าสัมผัส สัมผัสด้วยใจ ก็จะสัมผัสกับความไม่เที่ยง แล้วผลที่สุดเมื่อสัมผัสกับความไม่เที่ยงมากเข้า ไม่ช้าก็จะสัมผัสกับความเป็นอนัตตา คือความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ทีนี้จะสังเกตได้อย่างไรว่าใจเราสัมผัสแล้ว สำหรับท่านผู้ใหญ่นะคะ หยิบเอาประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตแต่ละอย่างๆๆ ที่ผ่านมา แล้วก็นั่งเงียบๆ คนเดียว ไม่ต้องพูดไม่ต้องคุยกับใคร ยิ่งตอนดึกๆ สงัดที่ไม่มีอะไรรบกวน เราก็หยิบลงมา ใจมันว่างโปร่งจะสัมผัสเห็นความไม่เที่ยง ความเปลี่ยนแปลงพร้อมๆ กับจะเห็นความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน คือเริ่มต้นด้วยความที่บอกว่าไม่ใช่ของเรา มันไม่ใช่ของเรา มันถึงมาแล้วมันก็ไป มันถึงได้เปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา มันจะค่อยๆ เกิดขึ้นทีละน้อยๆๆ และสิ่งที่จะเป็นข้อสังเกตที่จะทำให้รู้ตัวเองว่า นี่แหละเราได้สัมผัสแล้ว นั่นก็คือจะมีความรู้สึกสลดสังเวช สลดสังเวชตามมาในจิตใจ สลดสังเวชอะไร สลดสังเวชในความรู้สึกที่เราได้เคยรักเคยหลง เคยยึดมั่นถือมั่น เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า โอ้ยเราได้หลงยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่มันเป็นเงาเป็นมายาไม่ใช่สิ่งจริงเลย พอลืมตาขึ้นมันหายวับ หายวับ หายวับ มันไม่ได้อยู่กับเราจนเดี๋ยวนี้เลย นี่แหละค่ะความสลดสังเวชใจจะเกิดขึ้นมา พอเกิดขึ้นมาแล้ว อะไรตามมาอีก ตอนนี้มันจะค่อยๆ ผ่อนคลาย ผ่อนคลายความรู้สึกที่ยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นของฉันเป็นของฉันอย่างไม่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จะค่อยลดลงๆๆตามลำดับ เมื่อลดลงตามลำดับก็แสดงว่ากำลังค่อยๆ เข้าถึงความรู้ครบถ้วนเกี่ยวกับไตรลักษณ์ทีละน้อยๆๆ นี่คือการฝึกปฏิบัติ ทีนี้จะฝึกปฏิบัติอย่างนี้จะทำอย่างไร อย่าใจร้อนนะคะ อย่ารีบ อย่าหวังว่าฉันจะต้องเห็นทันที ทำไปเรื่อยๆ ช้าๆทีละน้อยๆๆ แล้วจะค่อยได้สัมผัส
แม้แต่บรรดานักเรียนก็ตาม เวลาที่นักเรียนเรียนหนังสือนี่ ลองนึกดูนะคะ อย่างเรียนหนังสือ เช่น วิชาประวัติศาสตร์ มองเห็นอนิจจังในนั้นไหม มองเห็นทุกขังในนั้นไหม มองเห็นอนัตตาในนั้นไหม ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ต่างประเทศหรือประวัติศาสตร์ของไทย เวลานี้เรามีกรุงรัตนโกสินทร์เป็นนครหลวง เมื่อเริ่มต้นขึ้นเรามีกรุงอะไรเป็นนครหลวงคะ นักเรียนจำได้ไหมคะ เมืองอะไรเป็นเมืองหลวง สุโขทัย จากสุโขทัยมาเมืองอะไร อยุธยา จากอยุธยามาเมืองอะไร ธนบุรี จากธนบุรีมารัตนโกสินทร์ นี่แสดงถึงอนัตตารึเปล่า แสดงถึงความไม่เที่ยงรึเปล่า แสดงให้เห็นความไม่เที่ยง จากนั้นก็แสดงให้เห็นความเป็นอนัตตา คือความไม่ใช่สิ่งจริงเลยซักอย่างเดียว มันจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เหมือนอย่างชื่อประเทศไทยนี่ เดี๋ยวนี้เราเรียกว่าประเทศไทย เมื่อก่อนนี้ท่านผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างหน้าย่อมจำได้ ชื่อว่าประเทศอะไรคะ ประเทศสยาม เพลงชาติก็ประเทศสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง บัดนี้เปลี่ยนเป็นประเทศไทย เห็นไหมคะมีอะไรแน่ จากชาวสยามก็เปลี่ยนเป็นชาวไทย เราจะไปยึดเอาอะไรเป็นของเที่ยงเป็นของแน่ไม่ได้เลยซักอย่างเดียว มันมีความเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นในชีวิตประจำวันของลูกหลานทั้งหลายนี่ ที่บ้านก็ดี ที่โรงเรียนก็ดี ในขณะที่เรียนหนังสือนี่นะคะหรือเรียนวรรณกรรมนี่ อ่านสารคดี อ่านอัตชีวประวัติให้สังเกตดูเถิดว่ามีอะไรคงที่บ้าง มีอะไรอยู่ได้ตลอดไปบ้าง นี่แหละคือการฝึกดู ฝึกดูให้เข้าถึงไตรลักษณ์คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไปทีละน้อยๆๆ แล้วจะรู้สึกว่าเรานี้เป็นผู้มีความเป็นอิสระ เป็นไทแก่ตัวมากยิ่งขึ้นตามลำดับ สมกับชื่อที่ว่าเราเป็นคนไทย
ทีนี้ก็อยากจะพูดต่อไปอีกสักนิดหนึ่งนะคะว่า ทีนี้ถ้าหากว่าเราถึงซึ่งความเป็นอนัตตา นั่นก็ไม่ใช่ของเรา นี่ก็ไม่ใช่ของเรา ตัวเรานี้ก็ไม่ใช่ของเรา รู้สึกเหงาว้าเหว่ไหมคะ รู้สึกวังเวงไหมว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน ถ้าหากว่าเราเข้าถึงจริงเราจะไม่วังเวงเลย แต่เราจะมีความมั่นคง มั่นคงยิ่งขึ้น หนักแน่นยิ่งขึ้น แล้วถ้าจะถามว่าแล้วตัวเราเดี๋ยวนี้จะเอาไปทิ้งเสียที่ไหน ตัวเราที่มองเห็น ที่จับต้องได้เดี๋ยวนี้จะเอาไปทิ้งที่ไหน คำตอบก็คือเมื่อมีตัวอยู่เดี๋ยวนี้ก็จงใช้ตัวที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ให้ถูกต้องที่สุด ถูกต้องอย่างไร ก็คือใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สุด เกิดประโยชน์ก็คือทำสิ่งที่มีประโยชน์ที่จะเกิดทั้งแก่ตนเองและแก่สังคม แก่เพื่อนมนุษย์ แล้วเราก็จะมีแต่ความสุข
เพราะฉะนั้นอะไรคือสิ่งที่เหลืออยู่ ถ้าสมมติว่าผู้ใดที่เข้าถึงความรู้ครบถ้วน นี่พูดไปล่วงหน้าก่อนนะคะ เพื่อให้คิด ฝากไว้ให้คิด สิ่งที่เหลืออยู่นั่นก็คือหน้าที่ เหมือนอย่างเช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อตรัสรู้แล้วพระชนมายุ 35 พรรษา พระองค์สิ้นพระชนม์คือเสด็จปรินิพพานเมื่อใด เมื่อพระชนมายุเท่าไหร่จำได้ไหมคะ 80 พรรษา แล้วอีก 45 พรรษานั่นน่ะ พระองค์ทรงทำอะไรคะ พระองค์ทรงทำอะไร เสด็จไปด้วยพระบาทเปล่า จากเมืองนี้ไปเมืองโน้นด้วยพระบาทเปล่า ไม่ได้มีรถมีเรือที่จะขึ้นหรือว่าโดยสารเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ ตลอดเวลา 45 พรรษาทรงตรากตรำพระวรกายเพื่อตรัสสอน นำธรรมะมาสอนแก่พวกมนุษย์ทั้งหลายที่ตกจมอยู่ในทะเลของความทุกข์ ให้ได้รอดพ้นจากความทุกข์ขึ้น ทั้งๆ ที่ถ้าพระองค์จะไม่ทำล่ะ จะทรงอยู่เฉยๆ ไม่ทำได้ไหม ได้ ไม่มีใครไปบังคับ แต่พระองค์ก็ทรงทำเพราะพระองค์ทรงรู้ดีว่านี่คือหน้าที่ของผู้เป็นพระศาสดา พระศาสดาก็คือครู นี่เป็นหน้าที่ของครู ครูจะต้องสอนด้วยความเสียสละ อุทิศชีวิต อุทิศร่างกาย อุทิศเวลา อุทิศทุกอย่างเพื่อที่จะให้ความดีงามความเป็นสุขสงบเย็น ให้บังเกิดขึ้นแก่มนุษย์ทั้งหลายที่เปรียบเสมือนเป็นลูกศิษย์ของพระองค์ นี่เป็นหน้าที่ พระองค์ทรงทำหน้าที่ หรือสมเด็จพระบรมราชชนนีที่ได้เสด็จสวรรคตไป มองเห็นไหมคะ พระชนมายุ 90 กว่าพรรษา แต่ตลอดเวลาทรงหยุดนิ่งไหม พระวรกายของพระองค์ก็ผอมบางนิดเดียว แล้วก็ไม่ทรงแข็งแรง โรคภัยไข้เจ็บรบกวนตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยทรงหยุดนิ่งจนวาระสุดท้าย นี่คือหน้าที่ หน้าที่ในฐานะที่เป็นพระบรมราชชนนีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วก็เป็นเรียกว่าเป็นพระบรมราชชนนีของบรรดาชาวไทยทั้งปวง เพราะฉะนั้นที่ใดมีทุกข์ที่ใดมีความยากลำบากลำเค็ญเสด็จถึงที่นั่นทุกหนทุกแห่ง นี่คือหน้าที่ของผู้ที่เป็นมนุษย์ ยิ่งมนุษย์ที่อยู่สูงเพียงใด ทรงธรรมเพียงใดก็ทรงใช้คุณธรรมเหล่านั้น ที่จะมาช่วยเพื่อนมนุษย์ให้มีความสุข มีความสงบเย็น พ้นจากความทุกข์ยากลำบากให้ได้ทั่วกันยิ่งขึ้น ฉะนั้นนี่คือสิ่งที่เหลืออยู่สำหรับมนุษย์ที่จะต้องทำ นั่นคือการปฏิบัติหน้าที่
ทีนี้สิ่งที่อยากจะขอฝากเพื่อให้ได้คิดนะคะ เกี่ยวกับเรื่องของพระพุทธศาสนา แล้วก็จะได้รู้สึกว่าการที่เราได้เป็นชาวพุทธเป็นพุทธศาสนิกชนนั้น นับเป็นกุศลมหาศาลเพียงใด ก็คืออยากจะขอพูดถึงคุณลักษณะพิเศษของพระพุทธศาสนาสัก 2-3 ข้อ มีมากแต่อยากจะยกมาเพียง 2-3 ข้อ ข้อแรกก็คือว่าพุทธศาสนานั้นเป็นพุทธศาสตร์ พุทธศาสตร์ก็หมายความว่าเป็นศาสนาที่ใช้ปัญญาเป็นเครื่องตัด ตัดอะไร ตัดความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่ไปใช้เวทมนตร์คาถา แต่ใช้ปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการศึกษาจนมีความรู้ครบถ้วนดังที่เรากล่าวแล้ว นั่นแหละจะมาเป็นศาสตร์คือเป็นศาสตราที่จะมีคม และก็ตัดสิ่งที่จะมารบกวนจิตคือโลภ โกรธ หลงนั้นให้จางคลายไป จนกระทั่งตัดตัณหาอุปาทานที่เป็นความอยากและก็เป็นความยึดให้ลดลงด้วย นี่เป็นคุณลักษณะพิเศษข้อที่หนึ่งของพระพุทธศาสนา เป็นพุทธศาสตร์ ข้อที่สองก็คือพุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อย่างที่เราพูดว่าพุทโธคืออะไร พุทโธก็คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ฉะนั้นเราชาวพุทธนี้ก็เป็นลูกศิษย์ของพระผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้อะไร ก็รู้ความรู้ครบถ้วน มีความรู้ครบถ้วน เพราะฉะนั้นเมื่อพระองค์ทรงมีความรู้ครบถ้วน พระองค์ก็เป็นผู้ตื่น ตื่นจากอะไร ตื่นจากการตกเป็นทาสของกิเลส ตื่นจากการตกเป็นทาสของตัณหาความอยาก ที่ทำให้เกิดความดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา ตื่นจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เป็นตัวเป็นตน จนกระทั่งทำให้มีความทุกข์ ใครทุกข์ ฉันทุกข์ ถ้าละลายตัวฉันได้ ใครล่ะจะทุกข์ใช่ไหมคะ นี่พูดเหมือนกับเล่นสำนวนแต่มันเป็นสัจธรรม ถ้าลองคิดแล้วจะเห็นว่ามันเป็นสัจธรรม เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาเมื่อเป็นศาสนาของผู้รู้ก็ตื่นขึ้น เมื่อรู้แล้วก็ตื่นคือตื่นจากความหลับ ความหลับนั้นเป็นเรื่องของไสยศาสตร์ ไสยะแปลว่าหลับ ไสยศาสตร์คือศาสตร์ของความหลับ ความสะดุ้ง ความหวาดผวา ความสงสัยลังเล เมื่อได้เป็นผู้รู้แล้วก็จะตื่นขึ้นมาจากความหลับ เพราะอาการของความหลับที่เป็นความหวาด ความสะดุ้ง ความสงสัยลังเลเป็นอาการของความทุกข์ เมื่อจิตเป็นมีความรู้สึกอย่างนี้มันจะระส่ำระสาย มันจะไม่มีความเป็นปกตินะคะ เพราะฉะนั้นพุทธศาสนานี่ก็คือจึงเป็นศาสนาของผู้รู้ ผู้ตื่น แล้วก็เป็นผู้เบิกบาน ฉะนั้นชาวพุทธทุกคนจึงมีสิทธิ์ มีสิทธิ์ที่จะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น แล้วก็ผู้เบิกบาน คุณลักษณะของพิเศษข้อที่สามก็คือ พุทธศาสนาเป็นศาสนาเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขในชีวิตปัจจุบันนี่อย่างทันตาเห็น จริงไหมคะ หรือยังไม่เห็น พุทธศาสนานะคะเป็นศาสนาเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขอย่างทันตาเห็น ยกตัวอย่างก็เช่น หยุดอยากเดี๋ยวนี้ก็เย็นเดี๋ยวนี้ จริงไหมคะ หยุดอยากเดี๋ยวนี้ก็เย็นเดี๋ยวนี้ กำลังอยากได้ที่ดินผืนนั้นเหลือเกิน ดิ้นรน ร้อน เงินไม่พอ จะไปกู้ใครดีเพื่อให้ได้ที่ดินผืนนั้น แต่พอคิดขึ้นมาว่าได้มามันก็เท่านั้นแหละ ได้มาแล้วมันก็มีดีในเสีย มีเสียในดี เรื่องอะไรจะต้องไปลำบากให้มากนัก หยุดเสียเถอะ เย็นไหมคะ ใจที่กำลังร้อนอยู่นั้นน่ะ นี่แหละพุทธศาสนามีลักษณะพิเศษตรงนี้ ท่านต้องการจะบอกว่าอยู่เย็นเป็นสุขได้ ทันตาเห็นเดี๋ยวนี้ เพียงแต่หยุดอยาก หยุดอยากเดี๋ยวนี้ก็เย็นเดี๋ยวนี้ หยุดเอาเดี๋ยวนี้ก็สิ้นความร้อนเดี๋ยวนี้ จริงไหมคะ หยุดเอาเดี๋ยวนี้ก็สิ้นความร้อนเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาของเหตุและผล ไม่ใช่ศาสนาของการคาดคะเน ไม่ใช่ศาสนาของการเดาเอา นึกเอา คิดเอา เป็นศาสนาที่สอนว่าให้อยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันขณะนี่ที่กำลังหายใจอยู่นี้ ทำหน้าที่ในปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุดอย่างผู้มีความรู้ครบถ้วนทีละน้อย ละน้อย แม้ยังไม่ครบถ้วนเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่เป็นไร แต่ศึกษาไปให้รู้ไปทีละน้อย ละน้อย ความรู้ครบถ้วนก็จะค่อยบริบูรณ์ขึ้นตามลำดับ เพราะฉะนั้นพระองค์จึงทรงสอนว่า พร่ำสอนแล้วสอนอีกว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา อย่างน้อยลองจำอันนี้ไว้ เท่านั้นก็เชื่อว่าจะมองเห็นว่าจะเป็นชาวพุทธอย่างไรจึงจะสิ้นปัญหาคือไม่มีความทุกข์ได้ตลอดเวลา ก็อยากจะขอจบด้วยการฝากการบ้านให้ไปคิดสักหน่อยหนึ่งนะคะ อันนี้ก็เป็นร้อยกรองของท่านอาจารย์สวนโมกข์ ซึ่งชวนให้คิดมากนะคะ สั้นๆ แต่ชวนให้คิดไปได้หลายเรื่อง แล้วก็ลึกซึ้ง ท่านเขียนเอาไว้ว่า “ยามจะได้ได้ให้เป็นไม่เป็นทุกข์ ยามจะเป็นเป็นให้ถูกตามวิถี ยามจะตายตายให้เป็นเห็นสุดดี ถ้าอย่างนี้ไม่มีทุกข์ทุกวันเอย”
พอจะมองเห็นไหมคะว่าหมายความว่าอย่างไร ก็อยากจะขยายความให้สักนิดนึงเพื่อเปิดหนทางให้ไปคิดต่อนะคะ ยามจะได้ได้ให้เป็นไม่เป็นทุกข์ ไม่ว่าจะได้อะไรทั้งนั้นเลย ได้เงินทอง ได้ตำแหน่งการงาน ได้โชคลาภที่พอใจ ได้ลูก ได้คู่ครอง ได้ความรัก ได้อะไรก็แล้วแต่ที่ดีๆ นี่ ได้ให้เป็นหมายความว่าไงคะ ได้ให้เป็น ก็เหมือนอย่างตาพ่อคนนั้น ตาพ่อในนิทานชาวบ้าน คือมีความรู้เท่าทันอยู่เสมอ เท่าทันในความไม่เที่ยง เท่าทันในความที่ไม่ใช่ของเรา เพราะฉะนั้นเมื่อรู้ด้วยความเท่าทัน จะหลงรักยึดมั่นถือมั่นกอดรัดเอามาเป็นของเราไหมคะ ยึดมั่นไหม ยึดมั่นเหนียวแน่นไหม ก็ยึดเหมือนกันแหละแต่ก็ยังไม่เหนียวแน่น ยังพอคลายได้ แต่ถ้าหากว่าไม่ได้หยั่งรู้ไม่เท่าทัน มันเหนียวแน่นมันแกะไม่ออก แล้วมันก็จะตายอยู่ตรงนั้นเอง เพราะฉะนั้นจึงบอกว่ายามจะได้ได้ให้เป็นไม่เป็นทุกข์ ไม่มีใครเขาห้ามหรอกว่าไม่ให้เอานั่นไม่ให้เอานี่ เอาเถอะแต่ว่าเอาอย่างชนิดรู้เท่าทันก็จะไม่เกิดความประมาทใช่ไหมคะ ทีนี้ยามจะเป็นเป็นให้ได้ตามวิถี ไม่ว่าจะเป็นอะไร เขาจะแต่งตั้งให้เป็นอะไร หรือเขาไม่ได้แต่งตั้งแต่เป็นตามธรรมชาติ เป็นลูก เป็นนักเรียน เป็นนักศึกษา เป็นครูบาอาจารย์ หรือว่าเป็นรัฐมนตรี เป็นผู้อำนวยการ ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งนั้น เป็นให้ถูกตามวิถี ตามวิถีของอะไร สิ่งที่เหลืออยู่สำหรับมนุษย์นั้นคืออะไร คือหน้าที่ใช่ไหมคะ ธรรมะคือหน้าที่ ทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องให้เกิดประโยชน์ เกิดประโยชน์แก่งาน เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม และเกิดประโยชน์แก่ตัวเอง ตรงไหน ตรงที่เราไม่เป็นทุกข์ เพราะเราได้ทำหน้าที่ถูกต้อง เราไม่เป็นทุกข์ เรามีแต่ความสุข ความอิ่มเอิบใจ เราได้เป็นชาวพุทธแล้ว อย่างผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทีนี้ยามจะตาย ตายให้เป็นเห็นสุขดี ตายให้เป็นจะตายยังไง ก็มันกำลังจะตาย แล้วจะตายให้เป็นจะตายยังไง ที่ตายไม่เป็นคือเป็นยังไง เราย้อนกลับนึก ที่ตายไม่เป็นคือตายยังไง ที่ตายไม่เป็น พอถึงเวลาจะตายเป็นยังไงคะ พอรู้ว่าความตายใกล้เข้ามา หวั่นหวาด สะดุ้ง กลัว ตัวสั่น เพราะอะไร เพราะไม่ศึกษาความรู้ให้ครบถ้วนตามที่องค์สมเด็จพระศาสดาทรงสอน ถ้าเราศึกษาให้ครบถ้วน แก่ก็ไม่ชอบใช่ไหมคะ มีใครอยากแก่บ้าง ไม่อยากแก่ แต่ก็ต้องแก่ มันหนีความแก่ไปไม่พ้น เพราะฉะนั้นถ้าเราศึกษาให้ครบถ้วน เราก็จะฝึกใจของเราเองให้เป็นผู้แก่อย่างสง่า แก่ก็แก่เถอะแต่แก่อย่างสง่า แก่อย่างสง่าคือยังไง พูดง่ายๆก็คือว่าลูกหลานไม่เบื่อ ลูกหลานอยากมาหา ลูกหลานอยากมาเยี่ยม อยากอยู่ใกล้ ไม่เบื่อเพราะอะไร เพราะคุณย่าคุณตาคุณยายไม่บ่นไม่จู้จี้ ไม่จะเอานั่นไม่จะเอานี่ นั่นแหละแก่อย่างสง่า เพราะยอมรับความแก่ ที่บ่นที่จู้จี้ที่ขี้โมโหที่จะเอานั่นเอานี่เพราะอะไร เพราะพออยู่ในวัยแก่เฒ่า เริ่มรู้สึกว่าแหมเราจะเป็นคนไม่มีค่าแล้ว เดี๋ยวใครเขาจะไม่ชอบ เพราะเราทำอะไรให้ใครก็ไม่ได้ นับวันจะหมดเรี่ยวหมดแรง จะเป็นคนที่เป็นภาระ เกิดความเหงา ความว้าเหว่ ก็เลยชดเชยด้วยการบ่นจู้จี้ใช้อำนาจของความเป็นปู่ย่าตายาย เป็นต้น นี่ก็ไม่ใช่แก่อย่างสง่า แก่อย่างขี้เหร่ พวกเราก็แก่อย่างขี้เหร่ ทำไมถึงขี้เหร่ เพราะลูกหลานไม่อยากเข้าใกล้ ใครๆก็ไม่อยากเข้าใกล้ เบื่อหน่าย ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาความรู้ครบถ้วน ถึงเวลาแก่ก็แก่อย่างสง่าได้ มีความสุขในความแก่ ถึงเวลาเจ็บก็อยากจะบอกว่าเจ็บอย่างสบาย ก็จะว่าอีกนั่นแหละเจ็บแล้วมันจะสบายได้อย่างไร จริงแหละมันไม่สบายที่ตรงไหน ก็ตรงที่มันเจ็บ เจ็บขา ขามันก็เจ็บ เจ็บหัวใจเป็นโรคหัวใจ มันก็เป็นที่หัวใจ แต่ใจคือความรู้สึกนี้ไม่เจ็บไปด้วย ไม่เจ็บไปกับขา ไม่เจ็บไปกับปอด ไม่เจ็บไปกับลำไส้ ไม่เจ็บไปกับอะไรในกายนี้ทั้งนั้น ปล่อยให้มันเป็นไปตามเรื่องของมัน รักษาใจเอาไว้ ให้ใจนั้นยอมรับสภาวะของความเป็นธรรมชาติที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แต่หน้าที่ในการจะต้องรักษาความเจ็บไข้อย่างไรก็รักษาเต็มที่ ทำตามที่หมอพยาบาลเขาแนะนำ นี่ก็เรียกว่าแก่ได้อย่างสง่า เจ็บได้อย่างสบาย พอถึงเวลาตายก็จะตายได้อย่างสงบใช่ไหมคะ ตายได้อย่างสงบ นี่แหละยามจะตายตายให้เป็นเห็นสุดดี เพราะมันเตรียมตัวมาตลอด เตรียมตัวตั้งแต่ยังเล็กๆ โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ แก่ เพราะฉะนั้นความตายมาถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น มันเป็นของธรรมดา หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรียกว่าเตรียมตัวรับความตายได้ด้วยความกล้าหาญ เพราะอะไร เพราะเห็นแล้วว่าของเรารึเปล่าคะ นี่ตามคำพูดนะ ถึงแม้เรายังไม่ได้ก็ตาม แต่ตามคำพูดท่านสอนว่าอนัตตา มันไม่ใช่ของเรา ถ้าเรายึดมั่นถือมั่นเราจะตัวสั่น ที่เขาถามว่าจะไปสุขคติหรือทุกขคตินะคะ มันจะทุกขคติแน่ๆถ้าตัวสั่น หวาดผวากลัวความตาย แต่ถ้าตัวไม่สั่น ไม่หวาดผวาเพราะเตรียมตัวเอาไว้แล้วว่าแก่อย่างสง่า เจ็บอย่างสบาย ตายมันก็ไปอย่างสงบ แล้วก็ไม่ต้องถามหรอกว่าจะไปไหน สุขคติเป็นที่หมายได้แน่นอน เพราะฉะนั้นท่านจึงบอกว่ายามจะตายตายให้เป็นเห็นสุดดี ถ้าอย่างนี้ไม่เป็นทุกข์ทุกวันเอย นี่แหละค่ะชาวพุทธจะไม่เป็นทุกข์ได้อย่างไร ก็ไม่เป็นทุกข์ด้วยตรงนี้ค่ะ มีคำถามไหมคะ อันนี้สุดแล้วแต่ท่านผู้ฟังนะคะ ดิฉันยังพร้อมที่จะตอบคำถาม แต่ถ้าท่านรู้สึกเบื่อแล้ว นานแล้วก็เลิกกันได้ แต่ถ้ามีคำถามก็ยินดีจะตอบคำถาม มีไหมคะ
คำถาม : คือกระผมเคยเป็นครู...ในขณะที่เป็นครูนั้นมีนักเรียนคนหนึ่งอายุค่อนข้างจะสูงแล้ว เขาถามว่าศาสนานี่ทำไมมันมีมากมายนัก มีทั้งศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ แล้วก็ศาสนาอิสลามอะไร เขาก็ถามไป แต่ทีนี้เขาถามต่อไปว่าใครล่ะเป็นคนทำให้เกิดศาสนา ตอนนี้แหละงงยกใหญ่ แต่ว่าผมตอบไปตอนนั้นคงจะตอบไม่ได้ดี
ตอบ: ใครเป็นคนทำให้เกิดศาสนาเหรอคะ ถ้าหากว่าจะถามดิฉันและจะเอาคำตอบให้ชัดเจน ก็ต้องขอเรียนว่าดิฉันก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน ว่าใครเป็นคนทำให้เกิดศาสนา แต่ก็ตอบได้ในแง่ที่ว่าศาสนาเกิดขึ้นได้อย่างไรนะคะ ถ้าจะพูดว่าเรามีศาสนาไว้ทำไม ก็อยากจะขอให้ทุกท่านคิดในแง่นี้ บรรดาลูกหลานทั้งหลายที่อยู่ข้างหลังน่ะค่ะ ฟังก่อนต้องฟังก่อน นี่ครูเก่านะคะนี่ เพราะฉะนั้นต้องบอกว่าให้ฟังก่อน ก็คือว่าอยากจะบอกว่าศาสนาเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็ให้นึกว่า เวลาเราหันเข้าหาศาสนานี่ ตอนไหน เวลาไหนคะ ที่มนุษย์เราหันเข้ามาหาศาสนา หรือเรียกว่าหันเข้ามาหาธรรมะ เมื่อเวลามีทุกข์ เมื่อเวลามีความทุกข์ แล้วก็ไปหาหมอดูก็แล้ว ไปรดน้ำมนต์ก็แล้ว บนบานศาลกล่าวก็แล้ว มันก็ไม่หายทุกข์ ตอนนี้ก็เลยหันเข้ามาหาศาสนามาเข้าวัดฟังเทศน์ มาปฏิบัติสมาธิภาวนา เพราะเราคิดว่าศาสนาคงจะเป็นที่พึ่งได้ใช่ไหมคะ ศาสนาคงจะเป็นที่พึ่งได้ ธรรมะคงจะช่วยเราได้ เพราะฉะนั้นจะเข้ามาเมื่อไหร่ ก็เข้ามาเมื่อมีความทุกข์ เมื่อมีปัญหา เพราะฉะนั้นศาสนาก็เกิดขึ้น ดิฉันก็เข้าใจว่าเมื่อคนเราต้องการที่พึ่ง เพราะฉะนั้นเมื่อต้องการที่พึ่งก็จะต้องมีบุคคลที่เป็นคนฉลาดค่ะ เป็นคนฉลาดในกลุ่ม เป็นคนฉลาดในหมู่ ท่านก็มีสติปัญญาที่จะให้คำแนะนำต่างๆ เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นก็จึงมีศาสนาเกิดขึ้นหลายศาสนา ส่วนใครผู้ใดจะนับถือศาสนาใดนั้นก็แล้วแต่ความพอใจ ความสนใจหรือเผอิญไปตกอยู่ในที่แวดล้อม ในสิ่งแวดล้อมเช่นนั้นก็จะนับถือศาสนาเช่นนั้น ซึ่งในความรู้สึกส่วนตัวของดิฉัน ก็มีความรู้สึกว่าการจะนับถือศาสนาใดนั้น ไม่เป็นไร ขอให้มีศาสนาเถอะ เพราะอย่างน้อยที่สุดทุกศาสนาก็ตั้งใจสอนให้ทุกคนกระทำความดีและก็เห็นแก่ผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัวแต่ฝ่ายเดียว เพราะฉะนั้นนี่เป็นจุดมุ่งหมายของทุกศาสนา แต่เมื่อพูดถึงพุทธศาสนาแล้ว ก็พูดได้ว่าเป็นศาสนาของปัญญา เป็นศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์ ที่ดิฉันเคยได้ยินท่านผู้รู้ท่านบอกว่า ต่อไปนี้โลกของเราซึ่งกำลังเป็นโลกของวิทยาศาสตร์ ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาตร์ทวีขึ้นทุกที และศาสนาที่สามารถจะรับมือกับวิทยาศาสตร์ได้คือพุทธศาสนานี่เอง เพราะเป็นศาสนาของเหตุและผล เป็นศาสนาที่สามารถพิสูจน์ได้ คงทนต่อการพิสูจน์ และพุทธศาสนานั้นก็มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นวิทยาศาสตร์โดยนามธรรม เพราะที่เราพูดกันมานี้เป็นสิ่งที่มีเหตุและมีผล เช่นถ้าอยากเมื่อไหร่เป็นเหตุ ผลมันก็คือความทุกข์ เพราะฉะนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงให้ทฤษฎีมา ทฤษฎีที่จะศึกษาเพื่อความดับทุกข์ ที่พระองค์ทรงสอนมาตลอดพระชนม์ชีพ นั่นก็คือเรื่องของอริยสัจสี่ และก็เรื่องของไตรลักษณ์ เรื่องของกฎแห่งเหตุและผล ซึ่งมีอีกมากมายที่เราจะพูดกันนะคะ แต่วันนี้ก็ขอตอบเพียงเท่านี้ค่ะ ตามความรู้ที่พอมี
คำถาม: อาจารย์คะ ท่านผู้ฟังท่านหนึ่งนะคะฝากถาม เรียนถามมาว่าในฐานะที่ดิฉันเป็นครู อยากทราบว่าจะสอนนักเรียนอย่างไร ด้วยธรรมะข้อใด เพื่อให้สังคมดีขึ้นกว่าทุกวันนี้ อาจารย์ท่านนี้ชื่ออาจารย์วรรณภา เข้าใจว่าจะนามสกุลสรรพสิทธิ์หรือเปล่าไม่ทราบค่ะ
ตอบ: เป็นคำถามที่น่าสนใจนะคะว่าครูจะนำธรรมะข้อใดเข้าไปสอนลูกศิษย์ ถึงจะทำให้ลูกศิษย์ไปช่วยสังคมได้ อันนี้อยากจะเรียนเชิญท่านอดีตอธิบดีกรมการฝึกหัดครู ท่านมาตอบอธิบายเพราะท่านได้ทำงานอันนี้มาเป็นอันมากเลย ที่จะพยายามที่จะใช้จริยธรรมเป็นรากฐานในการศึกษา เพื่อที่จะให้เราได้มีนักเรียนที่มีจริยธรรมอยู่ในจิตใจ แล้วก็มีคุณธรรมที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ต่อไปข้างหน้า ซึ่งท่านได้พยายามที่จะอบรมและฝึกครูให้เป็นผู้ที่มีคุณธรรมจนสามารถนำจริยธรรมไปสอนลูกศิษย์ได้ ขอเรียนเชิญท่านอดีตอธิบดีกรมการฝึกหัดครูคืออาจารย์ ดร.นิเชษฐ์ ค่ะ
อ.ดร.นิเชษฐ์ : กราบเรียนท่านอาจารย์ที่เคารพ คำถามเมื่อกี้นี้ ผมต้องขอขอบคุณที่ท่านกรุณาให้เกียรติ ถ้าฟังตลอดผมคิดว่าคำตอบก็อยู่ที่ท่านพูดไปแล้วทั้งหมด ประเด็นที่ท่านพูดมาทั้งหมดที่เกี่ยวกับการที่นับถือพุทธศาสนาและปฏิบัติอย่างไรนี่ นั่นคือคำตอบครับ ขอให้ไปย่อยเอาเองละกันครับ ตอบยาวกว่านั้นไม่ได้แล้วครับ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ขอบพระคุณค่ะ แต่ก็ที่ดิฉันเรียนเชิญท่านก็เพราะว่าในสมัยที่ได้เคยติดต่อกันในเรื่องของการทำงานจริยธรรม ท่านเป็นอธิบดีที่ดิฉันชมมากและก็สรรเสริญในที่หลายแห่งว่าท่านเป็นผู้ที่กล้าหาญที่สุดในบรรดาอธิบดีของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ท่านกล้าที่จะให้เรื่องของจริยธรรมเข้าไปในวิทยาลัยครู เพื่อที่ให้นักศึกษาครูได้สนใจ และก็ได้มีหลักสูตรเกี่ยวกับเรื่องของจริยธรรม ซึ่งท่านได้พยายามทำอย่างเต็มที่ในสมัยที่ท่านเป็นอธิบดี ก็เสียดายที่ไม่มีการต่ออายุราชการ มิฉะนั้นในทางสถาบันราชภัฏก็อาจจะมีเรื่องของจริยธรรมเป็นหลักในการอบรมนักศึกษาวิทยาลัยครูด้วย มีคำถามอีกไหมคะ ถ้าไม่มีเราก็น่าจะหยุดกันได้แล้วนะคะ เพราะว่าชั่วโมงกว่าแล้ว ก็ขอให้ธรรมะสวัสดีจงมีแด่ท่านผู้ฟังทุกท่าน ธรรมะสวัสดีก็คือมีความสวัสดีอยู่เย็นเป็นสุขด้วยพระบารมีของพระธรรม ธรรมะสวัสดีค่ะ