แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ผู้ดำเนินรายการ : วันนี้อาจารย์พามาเที่ยวโรงหนัง
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ใช่ค่ะ นี่นะคะเราเรียกว่าโรงมหรสพทางวิญญาณ แล้วก็เป็นโรงมหรสพที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางที่สุด เพราะฉะนั้นก็เป็นโรงมหรสพที่พิเศษมาก ถ้าหากว่าใครต้องการที่จะเข้าดูเข้าชมเมื่อไร ได้เสมอทุกโอกาส คือสถานที่ๆ จะให้ความเพลิดเพลินสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจทางอารมณ์ ทีนี้อันนี้เป็นโรงมหรสพทางวิญญาณ วิญญาณในที่นี้ก็อีกเหมือนกัน ไม่ได้หมายถึงภูติผีปีศาจ แต่หมายถึงสติปัญญา เราไปดูหนังดูละครก็เพื่อที่จะให้เกิดความบันเทิงเริงรมย์กับอารมณ์ของเรา ทําให้ใจมันชื่นบาน บางทีก็เพื่อกลบทุกข์ที่มันมีอยู่ อย่างบางคนบอกพอไม่สบายใจซื้อตั๋วนั่งเข้าโรงหนังปล่อยใจไปตามบทบาทของตัวละครที่แสดงอยู่ แล้วพอกลับมาออกจากโรงหนังก็เคยโกรธอย่างไรเคยทุกข์อย่างไรก็กลับไปตามเดิม แล้วก็อาจจะไปชดเชยอย่างอื่นต่อไป เพราะฉะนั้นอันนี้ การที่ชดเชยด้วยวิธีนั้นก็อาจจะบอกได้ว่าขณะที่เราไปชดเชยอย่างนั้นนี่ เราขาดสติ เราขาดสติ เราขาดปัญญา เราจึงไปใช้วิธีชดเชยกลบมันไปชั่วคราว พอเสร็จแล้วมันก็พุ่งขึ้นมาอีก
ฉะนั้นมหรสพทางวิญญาณก็คือหมายความว่า ทําอย่างไรเราจึงจะให้ความเพลิดเพลินกับสติปัญญาของเราบ้าง เพื่อเป็นการพัฒนาสติปัญญาให้รู้ถูก คิดถูก แล้วก็จะได้พูดถูก แล้วก็ทําถูก เพราะฉะนั้นโรงมหรสพทางวิญญาณที่เจ้าประคุณท่านอาจารย์ได้จัดขึ้นไว้นี่เพื่อตั้งใจที่จะให้ความเพลิดเพลิน เพื่อสนองหรือส่งเสริมให้สร้างสรรค์สติปัญญาของเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายนี่ค่ะ ที่จะให้ได้เป็นไปในทางที่งดงามและก็ถูกต้องยิ่งขึ้น โรงมหรสพทางวิญญาณอันนี้นี่ เราใช้อะไรเป็นอุปกรณ์นะคะ อย่างถ้าหากว่าที่โรงหนังโรงละครนั้น ใช้การแสดงของตัวละครใช่ไหมคะ การแสดงของตัวละครตามบทบาทที่ได้เขียนขึ้น แต่ที่โรงมหรสพทางวิญญาณนี้เจ้าประคุณท่านอาจารย์ได้รวบรวมภาพต่างๆ จากหลายชาติ จากของไทยก็มี อย่างเช่นภาพที่มองเห็นตามเสาด้านนี้นะคะ เป็นภาพจากนิทานชาดก แล้วก็ที่น่าสนใจมากภาพข้างใต้ที่นั่งเห็นไหมคะ ภาพนั้นน่ะคือภาพเรื่องของนิทานยายกะตา เคยฟังบ้างหรือเปล่า
ผู้ดำเนินรายการ : ยายกับตาปลูกถั่วปลูกงาเหรอครับ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: นั่นแหละ ยายกะตาปลูกถั่วปลูกงาให้หลานเฝ้า ครูเคยฟังมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แต่ไม่เคยคิดว่ามันมีธรรมะอะไรซ่อนอยู่ภายในนิทานเรื่องยายกะตา แต่นี่เป็นนิทานเรื่องยายกะตาที่น่าสนใจมากเลย แล้วก็จะแสดงถึงอะไร แสดงให้เราเห็นถึงเรื่องของเหตุปัจจัย เหตุอย่างใดผลอย่างนั้น เหมือนอย่างเช่นเด็กหลานสองคนนั่นน่ะ ทําไมถึงต้องลุกลนไปเที่ยวหานายพรานมาช่วยจนกระทั่งไปหาช้างหาลิงให้มาช่วยเพราะอะไร ก็เหตุปัจจัยก็คือไม่ทําหน้าที่ของตัว ยายกับตาสั่งให้ดูแลถั่วงาให้ดีๆ นะ แล้วก็ไม่ทําไปเที่ยววิ่งเล่นเสีย กาก็มากินถั่วกินงา แล้วก็ผลก็คือถูกตายายลงโทษ นี่มันแสดงถึงเหตุปัจจัยหลายอย่างทีเดียว น่าสนุกนะคะ
แล้วก็อย่างภาพจากข้างบนที่ใต้คานอันนั้นที่เริ่มต้นตั้งแต่แมงมุมเลยนะคะ แล้วก็เรื่อยมาตามคานนี่นะคะ ไปตลอดไปจนกระทั่งถึงสุดคานด้านโน้นยาวมากเลย เราเรียกว่าเป็นภาพปริศนาธรรมหนวดเต่าเขากระต่าย ตัวจริงนี่ยังอยู่ที่กรุงเทพฯ จะอยู่ที่หอสมุดแห่งชาติหรือหอจดหมายเหตุก็ไม่แน่ใจนะคะ แต่อันนี้เป็นภาพที่จําลองมา ซึ่งทางใต้นี่ได้นํามาทําเป็นภาคหนังตะลุง นี่เป็นภาพสมัยกรุงศรีอยุธยา อายุก็ประมาณสัก 300 ปีแล้วนะคะ แล้วก็ภาพนี้ก็น่าฟังๆ เรื่องราวก็น่าสนใจแบ่งออกเป็นภาคๆ แต่ถ้าเราจะพูดกันล่ะก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงเลยนะคะ ก็เป็นแต่เพียงรู้ว่านี่คือภาพหนวดเต่าเขากระต่าย แล้วก็ภาพนี้สรุปแล้วเมื่อเราศึกษาใคร่ครวญจนจบก็จะมองเห็นว่า มันจะชี้ไปถึงเรื่องของความว่าง หรือว่าสุญญตา หากว่าผู้ใดสามารถที่จะปฏิบัติในทางจิตได้ ตามความหมายที่กล่าวถึงก็จะสามารถเข้าถึงเรื่องของสุญญตาได้
ผู้ดำเนินรายการ : เพราะเต่าไม่มีหนวด กระต่ายก็ไม่มีเขา
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ใช่ค่ะ แล้วคนเราก็สมมติ เหมือนอย่างตัวตนนี่มันก็หาใช่ไม่ แต่เราก็ไม่สามารถจะรับว่ามันเป็นเพียงสิ่งสักว่าได้
นอกจากเป็นภาพของไทยแล้วก็ยังมีภาพเช่น อย่างที่เห็นจากทางฝาผนังนั้นนะคะ เป็นภาพเซนที่มีตัวหนังสือนะคะ เป็นภาพจากจีนก็มี จากญี่ปุ่นก็มี ที่เป็นตัวหนังสือภาษาอังกฤษนั้นก็เป็นภาพของเอ็มมานูเอล เชอร์แมน (Emanuel Sherman) ที่เราเคยพูดถึงแล้วครั้งหนึ่ง แล้วก็ทางด้านนี้ก็ท่านอาจารย์ก็ได้อธิบายภาพเอาไว้เป็นร้อยกรองเขียนเอาไว้ที่ด้านล่าง ถ้าผู้ใดเข้ามาในโรงมหรสพทางวิญญาณแล้วก็เผอิญไม่มีท่านผู้ใดจะอยู่อธิบาย ก็สามารถจะอ่าน อ่านแล้วก็ดูภาพ แล้วก็ทําความเข้าใจกับตนเองก็จะได้รับความรู้ในเรื่องนี้ บางเสาก็จะเป็นภาพเขียนจากนิทานอีสปก็มี จากหนังสือหิโตปเทศของอินเดียก็มี แล้วก็มีภาพจากของธิเบต จากของจีน ของญี่ปุ่น เรียกว่าหลายประเทศนะคะ
ภาพใดที่จะให้ความรู้ให้ความเข้าใจในเรื่องของธรรมะได้ ท่านก็พยายามรวบรวมเข้ามาไว้ เราเรียกว่า อุปกรณ์ของมหรสพทางวิญญาณที่ใช้กันนี้ก็คือ สิ่งที่เป็นภาพปริศนาธรรม ก็หมายความว่าภาพเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นภาพที่มีศิลปะทั้งนั้น แต่ว่าการที่เราจะดูภาพปริศนาธรรมอย่าไปเจาะจงเอาที่ศิลปะ คืออย่าไปมุ่งเน้นประเด็นของการดูในแง่มุมของศิลปะ เพราะถ้าหากว่าเราจะไปเน้นแง่มุมของการดูอย่างเช่นภาพนี้ที่ศิลปะแล้วเราจะพลาดสิ่งที่เป็นความหมายที่เจ้าของภาพตั้งใจจะอธิบาย เพื่อจะบอกว่าอะไรคือความหมายของธรรมะที่ซ่อนอยู่ เหมือนอย่างเราอ่านหนังสือนะคะ เราก็ต้องระมัดระวังที่จะรู้ว่าสิ่งที่อยู่ ซ่อนอยู่ในระหว่างบรรทัดนั้นคืออะไร เราลองเดินดูไหมคะ ก็จะพอมองเห็นได้ว่าภาพในโรงมหรสพทางวิญญาณนี้เป็นภาพที่ประกอบด้วยภาพต่างๆ อย่างไรบ้างนะคะ นี่นะคะภาพทางด้านซ้ายมือนี่ก็จะเป็นภาพที่มาจากของเซนบ้าง ภาพของเอ็มมานูเอล เชอร์แมน บ้าง ซึ่งจะสังเกตว่าถ้าหากว่ามีชื่อลายเซ็นของเขาแล้วก็จะเป็นภาพของเอ็มมานูเอล เชอร์แมน
ผู้ดำเนินรายการ : ผู้ดับไม่เหลือ จิตว่างได้ยินหญ้าพูด
อุบาสิกา คุณรัญจวน: : ค่ะ ฝนอิฐเป็นกระจกเงา อันนี้อริยมรรคมีองค์แปด ก็ของเอ็มมานูเอล เชอร์แมนอีกเหมือนกัน
ผู้ดำเนินรายการ : แม่น้ำคด น้ำไม่คด
อุบาสิกา คุณรัญจวน: น่าแปลก สาหร่ายเขียนพระไตรปิฎกอยู่ตลอดเวลา พ้นแล้วโว้ย ดูอันนี้
ผู้ดำเนินรายการ : Free is Now
อุบาสิกา คุณรัญจวน: อันนี้เป็นภาพที่กลัวกันมากโดยเฉพาะพวกฝรั่ง บอก ไม่เอาแล้ว ถ้าสมมุติว่า Free is Now แล้วเสร็จแล้วก็มาบอกว่าผลที่สุดในโลกนี้แม้แต่ความสุขก็ไม่มี ไม่รู้จะอยู่ไปทําไม
ผู้ดำเนินรายการ : ฝรั่งกลัว
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ฝรั่งกลัว คนไทยก็กลัว เรียกว่าคนกลัวกันเป็นส่วนใหญ่เลย
ผู้ดำเนินรายการ : ที่ท่านพุทธทาสบอกว่าอตัมมยตานั่นใช่ไหมครับ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ไม่ใช่
ผู้ดำเนินรายการ : แล้วความหมาย
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ถ้าหากว่าถึงอตัมมยตาแล้วล่ะก็ไม่ต้องกลัวเลย เพราะรู้ว่าถ้าเราค้นพบว่าผลที่สุดแม้แต่ความสุขก็ไม่มี มันก็ไม่เอาอะไร แต่มันก็ยังมีเหมือนกัน ในความสุขสงบที่แท้จริง ซึ่งถ้าหากว่า Free is Now โดยแท้จริงเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็สุขสงบอย่างแท้จริง ลองดูภาพอะไรสักภาพหนึ่งให้ชัดๆ ดีไหมคะจะมีเวลาไหม
ผู้ดำเนินรายการ : มีครับ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: มองดูภาพนี้สิคะ พอจะจำได้ไหมว่าเป็นภาพของใคร
ผู้ดำเนินรายการ : อ๋อ เอ็มมานูเอล เชอร์แมน
อุบาสิกา คุณรัญจวน: เอ็มมานูเอล เชอร์แมน เขาจะมีลายเซ็นแสดงเอาไว้ว่าเขาเป็นผู้เขียนภาพนี้ ภาพนี้ถ้าใช้ชื่อในภาษาอังกฤษ เขาบอกว่า The Self and The Self ถ้าแปลออกมาก็ ตัวกูกับตัวกู หรืออัตตากับอัตตา นั่นเอง ลองดูนะคะ เอ็มมานูเอล เชอร์แมน เขาเขียนในภาพนี้มีอะไรบ้างที่เขาให้ความหมายว่า นี่แหละคือสัญลักษณ์แสดงถึงตัวกูกับตัวกู หรืออัตตากับอัตตา ที่มันต่อสู้กันอย่างเต็มที่ เพราะเจ้าตุ๊กแก 2 ตัวที่เรามองดูมันกำลังเกาะข้างฝาและหันหน้าเข้าหากัน ท่าทางของมันคงไม่ได้บอกว่ามันกำลังจะสนทนาปราศรัยสนุกสนานใช่ไหมคะ
ผู้ดำเนินรายการ : จะกัดกัน
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ท่าทางของมันบอกว่ามันกำลังจะกัดกัน สู้กันอย่างเต็มที่เลย ทีนี้ เอ็มมานูเอล เชอร์แมน เขาใช้ตุ๊กแกเป็นสัญลักษณ์ ลองนึกสิคะตุ๊กแกนี่เป็นสัตว์ที่มีลักษณะพิเศษยังไง
ผู้ดำเนินรายการ : น่าเกลียด
อุบาสิกา คุณรัญจวน: น่าเกลียด นอกจากน่าเกลียด
ผู้ดำเนินรายการ : น่ากลัว เสียงตุ๊กแกน่ากลัว
อุบาสิกา คุณรัญจวน: เท่านั้นเองเหรอคะ ทําไมคนเราถึงกลัวตุ๊กแกจะมากัด
ผู้ดำเนินรายการ : ดุร้าย
อุบาสิกา คุณรัญจวน: มันมีลักษณะอะไร ตีนเหนียวมาก นี่ลักษณะพิเศษของตุ๊กแกคือเป็นสัตว์ที่ตีนเหนียวมากกว่าสัตว์อื่นๆ เพราะฉะนั้นเมื่อมันเกาะอะไรแล้วมันจะไม่ยอมปล่อยง่ายๆ ใช่ไหมคะ อย่างผู้หญิงนะกลัวตุ๊กแกมาเกาะนะ ถ้าเป็นตัวแมลงตัวอื่นแม้แต่จิ้งจกเราก็ยังไม่กลัวเท่าไหร่ เพราะว่าตีนมันไม่เหนียว ถ้าตุ๊กแกเกาะอะไรแล้วยากที่มันจะปล่อย เพราะฉะนั้นเอ็มมานูเอล เชอร์แมน นี่คงจะรู้จักธรรมชาติมากพอสมควรทีเดียวแหละ ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายด้วย เขาจึงเลือกเอาตุ๊กแกนี่มาเป็นสัญลักษณ์ เพื่อแสดงถึงความเหนียวแน่นของตัวกูกับตัวกูอันเกิดจากอะไร
ผู้ดำเนินรายการ : ความยึดมั่นถือมั่น
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ความยึดมั่นถือมั่น อุปาทาน ก็คือความยึดมั่นถือมั่นมันเหนียวแน่นอย่างนี้ มันจึงทําให้เกิดเป็นตัวกูกับตัวกู เขาก็จึงเขียนเป็นภาพของเจ้าตุ๊กแก 2 ตัวกําลังเกาะฝาแล้วก็หันหน้าเข้าหากันเพื่อที่จะต่อสู้กัน ต่อสู้กันในเรื่องอะไร ก็ต่อสู้กันในเรื่องของความเห็นของตัวฉัน นั่นก็ตัวฉัน นี่ก็ตัวฉัน ต่างก็มีความคิดเห็นเป็นของตัว หรือว่ามีมาตรฐานของตัวโดยอาศัยจากความรู้จากประสบการณ์ จากความคุ้นเคยต่างๆ แล้วก็มารวมกันเป็นว่า นี่แหละฉันว่า นี่แหละฉันเห็น นี่แหละฉันคิดว่าต้องอย่างนี้ต้องอย่างนั้นนะคะ นี่มันมาสรุปรวมกัน เราจึงจะเห็นว่าความคิดที่ว่าเป็นตัวกูหรือของกูนี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง มันเกิดขึ้นจากความรู้จากประสบการณ์ จากการอบรมจากสิ่งแวดล้อม จากความเคยชินผสมผเสกันแล้วหล่อหลอมขึ้นมาเป็นความคิดโดยสรุป ว่านี่แหละฉันคิดอย่างนี้ ฉันเห็นอย่างนี้ ทีนี้เราก็จะพบว่าตัวกูกับตัวกู หรืออัตตากับอัตตานี่ มันสําแดงเดชเมื่อไหร่ จะเห็นได้ง่ายเลยในการพูดจาสนทากันอย่างพื้นๆ อย่างหนึ่งล่ะ แม้แต่ในวงเพื่อนฝูงพูดกันไปคุยกันไปก็เดี๋ยวเดียวเอาแล้ว ใช่ไหมคะ
ผู้ดำเนินรายการ : ครับ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ทะเลาะกัน แว้งเข้าหากัน ก็เพราะอะไร เพราะมันมีมาตรฐานของตัวกูกับตัวกูอยู่ในใจ แต่ที่เห็นชัดยิ่งกว่านั้นเลยก็ในที่ประชุมต่างๆ ในที่ประชุม ในที่สัมมนา พอมีการอภิปรายกันยิ่งต้องแสดงถึงความวิเศษของตัวฉัน ฉันรู้มากกว่า ฉันเก่งมากกว่า ฉันทําอะไรถูกต้องมากกว่า นี่แหละสังเกตดูเถอะค่ะ ในโต๊ะกลมหรือว่าโต๊ะสี่เหลี่ยมของการประชุม หรือในที่ประชุมใหญ่ของสัมมนามันจะสําแดงในลักษณะของตัวกูกับตัวกูออกมาชัดแจ้งเลย จากคําพูด จากท่าทาง จากการกระทํา บางทีก็เป็นเพื่อนรักใคร่ชอบพอกัน แต่พอออกจากห้องประชุมต่างก็หันหลังให้แก่กัน เพราะไม่สามารถจะทนกันได้จากคําพูดที่พูดกันเมื่อกี๊ นี่ทุกคนต่างยึดมั่นถือมั่นในความคิดเห็น ในมาตรฐานของฉันว่าเป็นอย่างนี้
ก็นึกดูสิเรายืนอยู่กี่คนนี่ 5-6 คนนี่นะคะ แต่ละคนก็มีมาตรฐานออกมา ทีนี้ถ้าเวลาเราพูดเราคุยกัน เราเอามาตรฐานกฎเกณฑ์ของตัวเรา ความคิดเห็นของตัวเราวางลงบนโต๊ะ อะไรมันพูดกัน ตัวกูกับตัวกู อัตตากับอัตตามันพูดกัน ไม่ใช่ธรรมะพูดกันใช่ไหมคะ ถ้าธรรมะพูดกันก็เอาธรรมะวางลงบนโต๊ะ แล้วก็ดูว่าอะไรคือความถูกต้อง อะไรคือประโยชน์ที่จะได้ เราก็ดูตรงนี้ แล้วเสร็จแล้วก็เอาสิ่งนั้นมาพูดกันมันก็ไม่ต้องทะเลาะกัน ไม่ต้องวิวาท ไม่ต้องโกรธเคืองกัน เพราะฉะนั้นเอ็มมานูเอล เชอร์แมน เขาคงเห็นแล้วว่าฤทธิ์เดชของอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น นี่แหมมันทำให้คนเราร้ายกาจแล้วก็น่าเกลียดได้ถึงเพียงนี้ อย่างที่ว่าตุ๊กแกมันน่าเกลียด ไม่มีใครที่อยากจะจับตุ๊กแก ไม่อยากเข้าใกล้ตุ๊กแก เพราะตัวกูของกูเขาจับจิตเมื่อไหร่ แล้วก็สำแดงออกมาทางวาจา ทางการกระทำ มันทำให้คนน่ารักเป็นคนน่าเกลียดได้อย่างนี้ ทีนี้เขาก็มีไม้กวาดเอามาปรากฏไว้ในภาพนี้ด้วย ไม้กวาดมีไว้ทำไมคะ
ผู้ดำเนินรายการ : มาตีตุ๊กแกเหรอครับ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: เพื่อที่จะกวาดทำความสะอาดใช่ไหมคะ เราใช้ไม้กวาดเพื่อทำความสะอาด สะอาดพื้น สะอาดห้อง สะอาดได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นจิตที่เต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่นมันก็เปรียบเหมือนกับจิตที่มีความสกปรก ความสกปรกโสโครกติดอยู่ในจิต เพราะฉะนั้นวิธีที่จะแก้ไขให้ความยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกู หรืออัตตาของตนนี่ลดลงก็ต้องรู้จักกวาด แต่ทีนี้ไม้กวาดอันนี้ต้องเป็นไม้กวาดวิเศษ คือต้องเป็นไม้กวาดแห่งธรรมะ ต้องใช้ไม้กวาดแห่งธรรมะมากวาด จะเอาไม้กวาดธรรมดากวาดไม่ได้ ไม่สะอาด เพราะไม้กวาดธรรมดากวาดได้แต่ภายนอก เพราะฉะนั้นก็ต้องใช้ไม้กวาดแห่งธรรมะ ไม้กวาดแห่งธรรมะก็คือไม้กวาดเช่นอะไร ไม้กวาดเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง สักแต่ว่า ไม่ใช่สิ่งที่คงที่ เที่ยง มันมาแล้วก็ไป อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อริยมรรคมีองค์แปดหนทางสายกลาง เยอะแยะ ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ต้องยืมเขามา นําสิ่งเหล่านี้มาเตือนใจ หรือปฏิจจสมุปบาทที่เราพูดถึงว่า อะไรล่ะคือต้นเหตุที่ทําให้เกิดทุกข์ นี่เราก็ปล่อยสิ่งเหล่านี้ เอานี่มาเป็นไม้กวาดแล้วก็กวาดออกไป ความมืดที่ครอบงําจิตด้วยอํานาจของอวิชชาจนทําให้อุปาทานเหนียวแน่น มันจะค่อยๆ จางคลายหายไป เสร็จแล้วอวิชชาที่เคยครอบงํามันก็ต้องถอยหลังถอยหนี เพราะตอนนี้วิชชา ช สองตัว คือปัญญาหรือความรู้อันถูกต้องเข้ามาครอบงําจิตแล้ว มันก็ตัวกูกับตัวกูก็ถูกลบไปด้วยมันก็จะเหลือแต่การกระทําที่ถูกต้องที่สมควร นี่ก็มีคําอธิบายเป็นร้อยกรองอยู่ที่ข้างล่างนี่นะคะ ซึ่งเราจะดูกันต่อไปให้ชัดเจนทีหลังก็ได้ แต่ว่าตอนนี้คือที่ว่าทีหลังก็ได้ หมายความว่าเชิญมาอ่านเองนะคะ ตอนนี้คิดว่าเราจะลองขึ้นไปข้างบนสักหน่อยหนึ่งจะดีไหมคะ เพราะว่ายังมีภาพข้างบนที่น่าดูอีกมาก
ลองดูภาพต่อไปนะคะ ที่ข้างบนนี้ก็มีภาพหลายภาพที่น่าสนใจ แต่ภายในเวลาที่เรามีไม่มากนักนี่ อยากจะขอให้ดูภาพเล็กๆ ภาพนี้ เป็นภาพถ่ายธรรมดาๆ ตัวภาพน่ะไม่สําคัญสักเท่าไหร่หรอก แต่ที่สําคัญและก็อยากจะชวนให้ความสนใจให้มากคือประโยคที่อยู่ข้างล่าง “ทั้งวันเราไม่ได้ทําอะไร” ทั้งวันเราไม่ได้ทําอะไร ภาพที่มองเห็นอยู่นี้ก็คือภาพของเจ้าประคุณท่านอาจารย์ยืนหันหน้าเข้าหาองค์ท่านเอง แล้วก็เขียนประโยคว่า “ทั้งวันเราไม่ได้ทําอะไร” คําธรรมดาไม่ได้มีศัพท์อะไรที่ต้องแปลเลยสักคํา ทั้ง วัน เรา ไม่ ได้ ทํา อะ ไร แปดคํา ธรรมดาๆ แต่ว่าพอจะเข้าใจความหมายบ้างไหมคะ ว่ามีความหมายอะไรที่ซ่อนอยู่ในภาพนี้ ทั้งวันเราไม่ได้ทําอะไร ก็ลองนึกดูสิคะว่าเชื่อไหมว่าท่านไม่ได้ทําอะไรเลยทั้งวัน นั่งเก้าอี้โยกไปโยกมาอยู่เฉยๆ เป็นเวลาตั้งหลายสิบปี เชื่อไหม
ผู้ดำเนินรายการ : ใครจะเชื่อครับ
อุบาสิกา คุณรัญจวน: ไม่ใช่ที่พูดว่าใครจะไปเชื่อ นี่มันต้องมีเหตุผลด้วย ไม่ใช่พูดเฉยๆ มีผลงานให้เรามองเห็น มีสวนโมกข์เก่าที่พุมเรียง สวนโมกข์ปัจจุบัน และขณะนี้ก็ยังมีสวนโมกข์นานาชาติอย่างที่เราเคยไปดูไปชมแล้ว เป็นที่ๆ ให้การอบรมแก่ผู้ที่สนใจในการที่จะปฏิบัติสมาธิภาวนา แล้วก็ยังมีงานเขียนที่ศาลาธรรมโฆษณ์อีกมาก งานบรรยายธรรม งานสอนงานอบรม ซึ่งเดี๋ยวนี้แม้ว่าท่านจะอายุ 84 ปี ซึ่งก็เรียกว่าสุขภาพก็ชรา แต่ก็คงทำงานอยู่ตามกำลังที่ท่านจะทำ หากสมัยที่ท่านยังแข็งแรงนี่ท่านบอกว่าทำงานถึงวันละ 18 ชั่วโมงแล้วก็ยังมีประโยคนี้ว่า ทั้งวันเราไม่ได้ทำอะไร มีความหมายว่ายังไงบ้างคะ อันที่จริงที่ชี้ให้ดูภาพนี้นะคะ ไม่ได้ตั้งใจว่าจะเป็นการอวดอะไรเลยสักอย่างหนึ่ง แต่ในใจนี่ในฐานะที่เคยเป็นคนทำงานมาก่อน แล้วก็ทำงานมาหลายปี หลายสิบปีเหมือนกัน แล้วก็เคยมีความรู้สึกตลอดเวลาว่า ฉันทำๆๆ ไม่ได้เคยมีความรู้สึกว่า ฉันไม่ได้ทำอะไรสักที ฉันทำๆๆ มาตลอด แล้วก็ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาที่รู้สึกว่าฉันทำ ฉันทำโน่น ฉันทำนี่ ทั้งงานส่วนตัวงานราชการงานสาธารณะ แล้วฉันก็โตขึ้นๆๆ ทุกที
ในขณะเดียวกันฉันก็ทุกข์ๆ ในการที่ฉันทำ เพราะอะไร ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะมันไม่ได้อย่างใจ ไม่ได้อย่างใจของฉัน เพราะมันมีฉันเข้าไปทํา เพราะฉะนั้นพอเห็นประโยคที่ว่า ทั้งวันเราไม่ได้ทําอะไร มันชวนให้สะกิดใจแล้วก็นึกถึงเพื่อนฝูง นึกถึงใครๆ ที่มาเที่ยวนะคะ แล้วพอมาคุยกันส่วนใหญ่เลยจะบ่นเรื่องงาน ไม่อยากทํางานเลย เหนื่อย หนัก เบื่อ ขี้เกียจ เมื่อไหร่จะได้หยุดทํางานสักที ก็หวนมานึกถึงตัวเองว่า อ๋อ เหมือนกันกับเราเมื่อก่อนนี้เรามัวแต่บ่นนะ นั่นก็ฉันทํา นี่ก็ฉันทํา มันเกินความรับผิดชอบไม่เห็นมีใครช่วยเลย เราไม่เคยคิดว่าทั้งวันเราไม่ได้ทําอะไร เพราะฉะนั้นเมื่อฉันเข้าไปทํา ฉันก็หนัก ฉันก็เหน็ด ฉันก็เหนื่อยสารพัด แล้วฉันก็ทุกข์ๆ เพราะอะไร เพราะฉันก็มีตัวฉัน ฉันก็มีมาตรฐานของฉัน อย่างที่เราดูภาพตัวกูกับตัวกูของเอ็มมานูเอล เชอร์แมน เราก็อยากให้ทุกอย่างนี่เป็นอย่างที่ฉันต้องการ เราก็เลยรู้สึกว่าการทํางานไม่สนุก ไม่มีความสุขในการทํางาน
ฉะนั้นฟังอย่างนี้แล้วเห็นไหมคะว่าประโยคนี้ซ่อนความหมายอะไรไว้ เพื่อเป็นเครื่องให้กําลังใจแก่เราทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่ จะอยู่โดยปราศจากงานไม่ได้ เราจะต้องทํางาน ทีนี้เราควรจะฝึกใจของเราให้รู้จักวิธีการทํางานอย่างไรเราจึงจะไม่รู้สึกว่าเหนื่อยหนัก แล้วก็ยังมีพลังเหลือที่จะทํางานต่อไปได้มาก แล้วก็ทํางานต่อไปได้ด้วยความสุขสนุกสบายด้วย ก็เวลาทําอะไร ลืมตัวเสีย จําได้ไหมที่เคยพูดถึงเรื่องลืมตัว ภาษาคนกับภาษาธรรม สมัยที่ยังทําอยู่นี่แล้วก็ฉันทําๆๆ นั่นก็ของฉัน นี่ก็ของฉัน นั่นก็ลืมตัวเหมือนกัน แต่ลืมตัวภาษาอะไร ภาษาโลก ภาษาคนๆ ลืมตัวว่าเราเก่งเราสามารถแล้วเราก็มักจะวิเศษกว่าคนอื่น บางทีก็เลยกลายเป็นคน ขอประทานโทษที่เขาเรียกว่า จองหองอวดดีโดยไม่ได้ตั้งใจโดยไม่เจตนา แล้วใครเขาจะชี้ คนนั้นน่ะแกลืมตัวชะมัดเลย แล้วคนก็จะเกลียด ไม่ชอบไม่อยากเข้าใกล้ แต่ถ้าลืมตัวภาษาธรรม ก็คือหมายความว่า ลืมเสียว่าตัวฉันกําลังทําอะไร ให้มีแต่การกระทํา มีความรู้เท่าไหร่ มีประสบการณ์เท่าไหร่ มีความสามารถเท่าไหร่ มีความถนัดเท่าไหร่ มีความเก่งเท่าไหร่ ใส่ลงไปในการทํางานเต็มที่ให้สุดฝีมืออยู่เสมอ แล้วก็ถ้าเราทําเต็มที่ เราทําดีที่สุด สุดฝีมืออยู่เสมอ จําเป็นไหมคะที่จะต้องหวัง ไม่จําเป็น เพราะเราทําเต็มที่ทําดีที่สุดแล้ว อย่างไรเสียผลมันก็ต้องออกมาดี เป็นแน่ๆ ดีมากหรือว่าดีที่สุดหรือว่าดี ไม่มีวันที่มันจะเลว ไม่มีวันที่มันจะเสีย เพราะฉะนั้นจะหวังมันก็ดี ไม่หวังมันก็ดี
ถ้าหวัง มันมีผิดหวัง ถ้าไม่หวังก็ไม่ต้องมีผิดหวัง ไม่ต้องมีสมหวัง แต่ผลมันจะเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย อันจะช่วยให้ผู้กระทํานี่สามารถมีความอิ่มใจพอใจในการกระทําได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นรูปนี้นะคะเวลาใครบอกว่าให้ช่วยพามาที่นี่หน่อยสิ ก็จะต้องอธิบายแล้วก็บอกอยู่เสมอว่า นี่มาดูภาพนี้ด้วยกัน เพราะภาพนี้สําหรับคนที่บอกว่ายังอยู่ในโลก ยังต้องอยู่ในโลก ก็สามารถที่จะใช้ภาพนี้ให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตในทางโลกได้อย่างยิ่งเลย เพราะอะไร เพราะชีวิตของเราต้องอยู่กับการทำงาน ทั้งงานส่วนตัวแล้วก็งานในทางอาชีพ
ก็ลองฝึกดูนะคะว่า ทั้งวันเราไม่ได้ทำอะไร แต่เราก็ทำไม่ได้หยุดเลย ถ้าหากว่าเราสามารถฝึกใจได้อย่างนี้ พลังใจที่เราต้องเสียไปเพราะความเสียใจเพราะผิดหวัง มันก็ไม่ต้องเสีย เราก็รวมมันเอาไว้ๆๆ มาใส่ทุ่มเทลงไปในการทำงาน แล้วแน่นอนที่สุด เราจะมีทั้งความสนุกและก็มีทั้งความสุขในการทำงาน ฉะนั้นทั้งวันเราไม่ได้ทำอะไร ประโยคง่ายๆ นะคะ เมื่อใดที่เหนื่อย ทั้งวันเราไม่ได้ทำอะไร แล้วเราจะมีพลังที่จะทำอะไรได้อีกเยอะทีเดียว ที่จริงมีอะไรอีกเยอะในมหรสพทางวิญญาณ ที่จะช่วยส่งเสริมให้สติปัญญาของเราแจ่มกระจ่างใสสะอาดยิ่งขึ้น แต่สำหรับวันนี้เห็นจะต้องธรรมสวัสดีเพียงแค่นี้ก่อนนะคะ
ธรรมสวัสดีค่ะ