PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • อุบาสิกา คุณรัญจวน อินทรกำแหง
  • ทุกคนลิขิตชีวิตตัวเอง (ตอน12)
ทุกคนลิขิตชีวิตตัวเอง (ตอน12) รูปภาพ 1
  • Title
    ทุกคนลิขิตชีวิตตัวเอง (ตอน12)
  • เสียง
  • 12479 ทุกคนลิขิตชีวิตตัวเอง (ตอน12) /upasakas-ranjuan/12-7.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
อุบาสิกา คุณรัญจวน อินทรกำแหง
ชุด
URI 036 บรรยายในพรรษา 2546
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • อุบาสิกา คุณรัญจวน: มีผู้ใดสงสัยในหมวดหนึ่งสองสามที่ผ่านมาบ้างหรือเปล่าคะ หรือว่า กำลังใจรักในหมวดหนึ่งสองสามหมวดกายเวทนาจิต เราก็ทวนมาเห็นจะไม่น้อยกว่าสามครั้ง  เพราะฉะนั้น วันนี้ก็จะไม่ทวนแล้วนะคะเป็นอันว่าทุกท่าน สามารถที่จะควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจของตนได้ แล้วก็รู้ว่าเป็นจิตที่มีพลังพอสมควรทีเดียว จึงทำให้มันสงบก็ได้ทำให้มันเป็นจิตปล่อยก็ได้ คือไม่เอาอะไรเลยก็ได้ ฉะนั้นก็เรียกว่าผู้ใดมีจิตในลักษณะนี้ก็เป็นจิตที่อ่อนโยนนุ่มนวลประณีต ท่านบอกว่าควรแก่การงาน การงานในที่นี้ก็คือการงานทางธรรมก็หมายความว่าพร้อมที่จะพิจารณาในบทที่สี่ที่เป็นเรื่องของธรรมะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่งจึงต้องอาศัยจิตที่ละเอียด ก็เป็นสมมติว่าทุกท่านมีจิตที่ละเอียด พร้อมที่จะพิจารณาธรรมะนะคะ

    ทีนี้คำว่าธรรมะนั้นก็เป็นคำที่รู้จักกันดีทุกคน แล้วก็พูดกันมาเรื่อยแต่ถ้าจะถามว่าธรรมะคืออะไรจะตอบว่าไงคะ ธรรมะคืออะไร จะตอบจะตอบตัวเองว่าไง ธรรมะคือความปกติค่ะ ทั้งนี้ก็เนื่องจากคำว่าธรรมะนั้นก็หมายถึงธรรมชาตินั่นเองแล้วก็เมื่อพระพุทธเจ้าท่านทรงศึกษาธรรมะท่านก็ศึกษาจากธรรมชาติ นั่นก็คือ ท่านเสด็จเข้าไปในป่าอย่างที่ทราบแล้วนะคะ แล้วก็ประทับอยู่ในป่านั้นแหละ จะดำเนินไปไหนก็อยู่ในป่าไม่ได้ออกนอกป่า ก็ศึกษาถึงความเป็นธรรมดาธรรมชาติของป่า หรือของธรรมชาติเองทีละน้อยๆ จนทรงรู้จักธรรมชาตินั้นอย่างละเอียดละออ ถ้าจะถามคำแปลของคำว่าธรรมคำเดียวท่านบอกว่าแปลว่าสิ่ง ถ้าถามว่าธรรมะจะแปลว่าอะไรโดยตัวคำแปลของมันก็แปลว่าสิ่ง สิ่งที่ตรงกับภาษาอังกฤษว่า thingสิ่ง คำคำ นี้ มีอยู่ในดิกชันนารีภาษาอังกฤษลองไปเปิดดูที่คำว่าธรรมะที่ตั้งต้นด้วยตัว D  D H A M M A ธรรมะ ลองไปเปิดดูนะคะโดยเฉพาะก็ดิกชันนารีของ Chambers จะมองเห็นคำแปลคำนี้ เขาบอกว่าแปลว่า thing หรือแปลว่า สิ่ง ที่ใช้คำว่าสิ่งในที่นี้ก็เท่ากับอธิบายว่าทุกอย่างในจักรวาลนี้ ไม่ว่าสิ่งใดทั้งสิ้นจะเป็นสิ่งเล็กสิ่งใหญ่เป็นผู้คนหรือเป็นสัตว์เป็นพืชหรือเป็นภูเขาทะเลท้องน้ำเม็ดหินดินทรายรวมอยู่ในคำว่าธรรมะทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคำว่าธรรมะนี่จึงครอบคลุมหมดทุกอย่างในโลกนี้ในจักรวาลนี้ ไม่มีเว้นอะไรเลยสักอย่างเดียว ทีนี้เราก็จะได้ยินว่าคนบางคนพูดว่า สิ่งนี้เป็นธรรม แต่สิ่งนี้ไม่เป็นธรรม ก็คือ เป็นอธรรม เคยได้ยินไหมคะ บางทีเราเองก็พูด แล้วก็ นี่มันอธรรมนี่ ไม่เป็นธรรมนี่ แต่อันที่จริงในทางธรรมะ ทุกอย่างเป็นธรรมทั้งสิ้นคือ ธรรม เป็นธรรมทั้งสิ้นไม่มีอะไรที่เป็นอธรรม ทีนี้ ที่เวลาเราจะบอกว่า อะไรเป็นอธรรม หรือไม่ใช่ธรรม เพราะสิ่งนั้น หรือการกระทำนั้นเป็นยังไงคะ ถูกใจเราหรือไม่ถูกใจเรา ลองนึก ดูสิคะ ถูกใจเราหรือไม่ถูกใจเรา ถ้าถูกใจ ก็เป็นธรรมคือพูดง่ายๆ ว่า ถ้าเป็นสิ่งที่เราคิดเรานึกเราอยากได้ แล้วมันตรงกับใจเรา คือมีการกระทำอย่างนั้นเกิดขึ้น นี่เป็นธรรมนะ คนคนนี้เขามีธรรม ใช้ได้ น่าเชื่อถือ แต่ถ้าหากว่ามีใครมาทำอะไรตรงกันข้ามกับความคิดความนึกความรู้สึกความ ต้องการของเรา และถ้าเผอิญเราไปเป็นคู่กรณีเข้าก็ยิ่งแล้วใหญ่ นี่มันไม่ยุติธรรมนี่ นี่มันไม่เป็นธรรม นี่มันอธรรมนี่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ไม่เป็นอธรรมมันไม่ใช่ธรรม ใช่ไหมคะ ก็เพราะสิ่งนั้นถูกใจหรือไม่ถูกใจไม่ถูกใจ ไม่ตรงกับใจของเรา แต่ในทางธรรมแล้วละก็ทุกอย่าง หมายความว่าธรรมะทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นธรรมหรือเป็นอธรรม ท่านจึงบอกว่า ที่ว่าเป็นอธรรมนั้นน่ะ ผู้ที่กล่าวว่าเป็นอธรรมก็เพราะผู้นั้นเห็นธรรมหรือไม่เห็นธรรม เห็นธรรมหรือไม่เห็นธรรม จึงพูดว่าสิ่งนั้นเป็นอธรรม ไม่เห็นธรรม ถ้าเห็นธรรม ไม่ว่ามันจะถูกหรือมันถูกใจหรือไม่ถูกใจมันก็ เป็นธรรมเป็นธรรมะทั้งนั้นเพราะมันอยู่ในเรื่องของธรรมะ ท่านจึงบอกว่า ที่เป็นอธรรมนั่นน่ะ มันเป็นธรรมของพาลชน พาลชนก็คือ ไม่ได้หมายถึงคนพาลคนเกะกะเกเรนะคะ แต่หมายถึงผู้ที่อาจจะเขลาไปสักหน่อยจึงไม่ได้ศึกษาถึงสิ่งที่เป็นสัจธรรม ฉะนั้นก็เลยเอาใจของตนเป็นที่ตั้ง ถ้าถูกใจเป็นธรรม ถ้าไม่ถูกใจก็เป็นอธรรมแล้วก็โกรธแค้น ใช่ไหมคะ ไม่มีความสุขเป็นทุกข์เดือดร้อน เพราะอธรรมนั้น นั่นก็เพราะไม่เห็นสัจจธรรมคือไม่เห็นสิ่งที่เป็นธรรมะ แต่ถ้าผู้ใดศึกษาธรรมฝึกอบรมใจในเรื่องของธรรมะจนกระทั่งเป็นผู้ที่มีธรรมอยู่ในใจ อะไรที่เกิดขึ้นมันก็เป็นอย่างนั้นเองแหละ มันเป็นธรรมะเหมือนกันหมด ฉะนั้นก็อยากจะให้เข้าใจคำว่าธรรมะก่อนเบื้องต้นก่อนที่เราจะไปพูดถึงหมวดที่สี่ ซึ่งเป็นหมวดที่ชื่อว่าธรรมานุปัสสนา หมวดที่หนึ่งเราพิจารณาเรื่องกายเน้นกายลมคือลมหายใจ จะต้องรู้จักลมหายใจควบคุมลมหายใจ จนสามารถใช้มันให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตได้ หมวดที่สองควบคุมเรื่องของเวทนาความรู้สึกที่เป็นสิ่งก่อกวนชีวิตของมนุษย์ ไม่ให้ได้มีความสุขสงบวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา ก็เพราะเวทนา ฉะนั้น หมวดสองก็ศึกษาเรื่องเวทนา โดยเน้นไปที่ว่า เวทนาที่ท่านบอกว่าเป็นจิตตสังขาร มันปรุงแต่งจิตยังไงได้บ้าง ประเดี๋ยวให้สุข ประเดี๋ยวให้ทุกข์ และในสุขในทุกข์ก็ยังมีหลายอย่าง ดิ้นรนเดือดร้อนไปต่างๆก็เพราะจิตนั้นยังเขลาอยู่นั่นเอง จึงยึดมั่นในเวทนาที่เกิดขึ้น ในอานาปานสติก็ ศึกษาจนควบคุมเวทนาได้ นั่นก็คือควบคุมผัสสะได้นั่นเอง ผัสสะก็คือสิ่งที่มากระทบ พออะไรมากระทบเข้า ผ่านทางตาหูจมูก ลิ้นกาย ใจก็เฉย เพราะเห็นแล้วว่ามันเป็นอย่างงั้นเองคือเป็นธรรมะ เป็นธรรมดาอย่างนั้นเอง ทีนี้หมวดที่สาม ก็คือหมวดจิตก็คือการศึกษาให้รู้เรื่องของจิตจนกระทั่งสามารถที่จะควบคุมจิตจัดการกับจิตให้เป็นอย่างไรก็ได้ให้ปิติปราโมทย์ให้บันเทิงให้นิ่งสนิทเป็นสมาธิให้เป็นจิตปล่อยไม่เอาอะไรเลยสักอย่างเดียวเป็นจิตว่างสงบเป็นอิสระก็ทำได้ก็ไม่ได้ หมายความว่าทำได้ตลอดไปแต่ทำได้ในชั่วขณะที่ต้องการทำ ฉะนั้นก็จิตนี้ก็พร้อมที่จะพิจารณาธรรมเพราะการที่เราฝึกอบรมในหมวด 1 2 3 มาก็จุดประสงค์ตรงนี้ เพื่อใช้จิตที่อ่อนโยนนุ่มนวล สงบ ประณีต มีความลึกซึ้งที่จะมองอะไรได้ทะลุอยู่ในตัวของมันเอง เอามาพิจารณาธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากเข้าใจได้ยาก มองเห็นยากเพราะเป็นนามธรรมอย่างยิ่ง

    ทีนี้การพิจารณาธรรมนั้นจะพิจารณาอะไร ท่านก็บอกว่า เราลองมองดูไปในธรรมชาตินี่ค่ะมองดูต้นหมากรากไม้ก้อนหินดินทรายอะไรต่ออะไรทุกอย่าง แล้วก็ความเป็นไปในวันหนึ่งวันหนึ่งหรือชั่วขณะหนึ่งของธรรมชาติทั้งหลายล้อมรอบตัวเรา เมื่อมองดูแล้วมีความรู้สึกยังไงบ้าง รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกแตกต่างไปเรื่อย หรือมันไม่มีอะไรแปลกแตกต่าง มันเหมือนกันทุกวัน ลองนึกสิคะที่เรามองๆ ไปนี่ความรู้สึกของเราเป็นไงบ้าง เหมือนกันทุกวันไหม ไม่เหมือน อะไรที่ไม่เหมือนค่ะ มองดูสินี่อาจารย์กำลังยกตัวอย่างว่า ฉันมองดูใบไม้วันแรกอาจจะเห็นเป็นตุ่มเล็กๆแล้วไงคะก็หมายถึงความเจริญเติบโตของดอกไม้หรือใบไม้ก็แล้วแต่เถอะ จากที่มันเป็นตุ่มมันค่อยๆ โตขึ้นแล้วมันก็เปลี่ยนสีแล้วเสร็จแล้วมันก็ร่วงหล่นไป นี่อาจารย์เห็นว่ามันไม่เหมือน มันแตกต่างเพราะเหตุนี้ ท่านผู้อื่นล่ะคะเห็นยังไง เห็นเหมือนอาจารย์ไหมว่าทุกวันทุกวันที่ผ่านมา สิ่งแวดล้อมของเราในชีวิตของเราไม่ว่าในป่าในบ้านในเมือง มันเหมือนกัน หรือว่ามันต่างกัน ลองนึกดูอีกทีสิคะ ที่จริงอาจารย์กำลังจะอธิบายอะไรอย่างหนึ่ง แต่อาจารย์พูดในทางตรงกันข้าม ทีนี้คนอื่นล่ะคะอยากจะฟังความเห็นของผู้อื่นบ้าง เหมือนหรือต่าง ลองนึกสิคะ ทุกวันทุกวันนี่มันเหมือนหรือต่าง ลองนึกดูสิ คุณมนต์เหมือนหรือต่าง

    ผู้ร่วมสนทนา: ต่าง

    อุบาสิกา คุณรัญจวน:  ต่างยังไงคะ

    ผู้ร่วมสนทนา: ต่างในอารมณ์

    อุบาสิกา คุณรัญจวน: วันนี้อาจจะดูดี แต่อีกวันนึงอาจจะดูไม่ดี วันนี้อาจจะยิ้ม อีกวันหนึ่งอาจจะบึ้ง อะไรทำนองนั้นใช่ไหมคะ แล้วผู้อื่นล่ะค่ะ ตกลงมีความเห็นอันหนึ่งอันเดียวกันว่าต่าง ใช่ไหมคะ ดูอีกทีว่าในความต่างน่ะมีความเหมือนบ้างไหม มีความเหมือนไหม อะไรคือความเหมือนในความต่าง สิ่งที่มันทำให้คนทั่วๆไปคิดว่าเป็นความต่าง ก็เพราะว่ามันคงที่หรือไม่คงที่ มันไม่คงที่มันเปลี่ยนตลอดเวลา อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด หรือว่าสิ่งที่เป็นวัตถุล้อมรอบตัวเราจะเป็นบ้านช่องผู้คนข้าวของเครื่องใช้ หรือเหตุการณ์ในสังคม แต่ละวันละวันละวัน มันมอง ดูเหมือนกับต่าง แต่ในความต่างนั้นมีความเหมือนไหม และความเหมือนนั้นคืออะไร ความเหมือนก็คือความเป็นอนิจจังใช่เปล่า ความเปลี่ยนแปลงมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหากว่า ถ้าหากว่าผู้ใดไม่มองในแง่ของธรรมะก็จะรู้สึกว่ามันเปลี่ยนมันใหม่ แล้วก็ตื่นเต้นลิงโลดวุ่นวายดิ้นรนดีอกดีใจไปกับมัน หรือว่าเศร้าหมองขมขื่นเจ็บปวดไปกับมันใช่ไหม ก็นี่แหละ ที่เราอุตส่าห์ฝึกตั้งแต่หมวดหนึ่งหมวดสองหมวดสาม ก็เพื่อที่จะฝึกใจนั้นให้ละเอียดประณีตขึ้นมองอะไรด้วยความละเอียดด้วยความประณีต ไม่ใช่มองอย่างหยาบๆ ถ้าหากว่าเป็นตาข่ายก็ไม่ใช่ตาข่ายรูโตๆ ต้องเป็นตาข่ายที่ละเอียดกระชอนก็กระชอนที่ละเอียดเวลาที่จะไปกรองอะไรก็ไม่หลุดไม่ตกลงไปง่ายๆเศษอะไรก็ยังอยู่

    เพราะฉะนั้นถ้าหากว่ามองดูด้วยความละเอียดด้วยความประณีตของจิตใจก็จะเห็นว่าแท้ที่จริงแล้วละก็ ในธรรมชาติพยายามที่จะบอกให้มนุษย์รู้ว่า แท้จริงแล้ว มันไม่มีอะไร แตกต่างนะไม่ได้มีอะไรเป็นแตกต่างเลยสักอย่างมันมีแต่สิ่งที่เหมือนกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน สิ่งนั้นก็คือสิ่งที่เรียกว่า เรียกว่าอะไรคะ ก็เรียกว่าอนิจจังใช่ไหมคะ ความเปลี่ยนแปลงก็คือสิ่งที่เรียกว่าอนิจจัง ความเปลี่ยนแปลง มันเกิดขึ้นทุกขณะทุกขณะทุกขณะ ที่ท่านบอกว่าความเปลี่ยนแปลงนี่มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากเลย รวดเร็วจนกระทั่ง ผู้คนทั้งหลายรู้ไม่ทัน ว่าเรากำลังอยู่กับอนิจจังนึกดูสิคะ ว่าออกจากบ้านกี่โมง อากาศเป็นยังไง จิตใจตอนที่ออกจากบ้านเป็นยังไง ระหว่างที่มาตามทางเป็นยังไง จนกระทั่งมาถึงนี่เป็นยังไงเหมือนกันไหม ก็ไม่เหมือนใช่ไหมค่ะ มันก็เปลี่ยนมาเรื่อย เปลี่ยนมาเรื่อย แต่เราไม่สังเกต เราไม่พิจารณาในสิ่งที่เป็นธรรมชาติแท้ๆ ที่แสดงให้เราเห็นอยู่ ฉะนั้นเราถึงต้องวุ่นวายด้วยความทุกข์ กับความเป็นอนิจจัง ซึ่งเป็นสภาวะธรรมตามธรรมชาติ ที่จะเกิดขึ้นอย่างนี้ตลอดไป ที่พูดอย่างนี้ จริงหรือไม่จริง ใครห้ามอนิจจังได้บ้าง ใครเปลี่ยนแปลงอนิจจังได้บ้าง ไม่เอานะอย่า อย่าอนิจจัง ต้องนิจจัง นิจจังคืออะไร อนิจจังไม่เที่ยง นิจจังก็คือ เที่ยง มันต้องเที่ยงสิ ฉันว่ามันต้องเที่ยง มันต้องอยู่ มันไป มันเปลี่ยนไม่ได้ นี่ใจของมนุษย์ ถ้าถูกใจ ก็อยากจะรักษามันไว้ แต่ความจริง สิ่งที่เป็นนินจังในโลกนี้ มีอย่างเดียวเท่านั้นคืออะไร สิ่งที่เป็นนิจจังในโลกนี้มีอย่างเดียวเท่านั้นคืออะไร อนิจจัง โปรดจำไว้เถิด อนิจจังนี่แหละคือนิจจังล่ะ อนิจจังนี่แหละคือเป็นสิ่งที่คงทนเที่ยงแท้ถาวรไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น ทีนี้มนุษย์เราที่เป็นทุกข์ที่มีเวทนาในหมวดสองนั่นน่ะเวทนาเข้ามากลุ้มรุมใจของเราอยู่ตลอดเวลาก็เพราะเห็นอนิจจังหรือไม่เห็นอนิจจัง ไม่เห็นอนิจจังใช่ไหมคะ พออะไรเกิดขึ้นก็ไปเอาเรื่องกับมันทันทีเลยไม่ดูเลยว่า มันเกิดขึ้นประเดี๋ยวมันก็ดับไป เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนแปลงไปแต่พอเกิดขึ้นนี่มันทนไม่ได้เอาเรื่องกับมันทันทีเลยนี่เพราะไม่เห็นอนิจจัง เห็นไหมว่าชีวิตนี้เสียเวลาเปล่าไปเพราะอะไร เพราะไม่ยอมพิจารณาธรรมใช่เปล่าไม่พิจารณาธรรมะและการที่เราจะต้องพิจารณาธรรมะหรือสิ่งที่ควรพิจารณาธรรมะมากที่สุดก็คือสิ่งที่เราเรียกว่าเป็นกฎของธรรมชาติ ธรรมะนี่คือธรรมชาติทุกอย่างอย่างที่ว่าแล้วและในธรรมชาตินี่ เมื่อพระองค์ทรงพิจารณาไป ใคร่ควนไป หมายถึงพระพุทธเจ้านะคะ ในขณะที่ทรงค้นพบ ทรงแสวงหาสัจจธรรมก็คงจะได้ทรงมองเห็น ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่า ชีวิตคน ชีวิตสัตว์ พืชพันธุ์ธัญญาหารทุกอย่าง ไม่เห็นมันมีอะไรอยู่คงที่สักอย่าง ธรรมชาติแสดงตัวให้เห็นอยู่อย่างนี้ให้เห็นอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา เพียงแต่เราไม่ดูเหมือนใช่ไหมคะ เราไปดูอย่างอื่น ที่มันตรงกับรสชาติจิตใจของเรา แต่เราไม่ยอมดูสิ่งนี้ เพราะดูแล้วอาจจะบอกว่ามันไม่มีรสชาติ มันเฉยๆ เพราะฉะนั้นเมื่อไม่ดู ก็เลยไม่เห็น เลยไปยึดเอาความไม่ปกติเป็นความปกติ คือถ้าหากว่ามีอะไรเกิดขึ้นเป็นทุกข์ ต้องร้องไห้ คนร้องไห้นี่เป็นคนปกติ ถ้ามีอะไรถูกอกถูกใจมากมากก็ต้องตื่นเต้นสิ ถ้าไม่ตื่นเต้นยินดีนี่มันผิดปกติ ใช่ไหม ที่เราว่าเขา คนนี้แกเป็นอะไรไม่เห็นแกยินดีปรีดากับอะไรเลย แกเฉยเฉยนี่แกต้องผิดปกติแน่ๆ ที่จริงใครผิดปกติ คนที่ว่าเขานั่นแหละผิดปกติ เพราะฉะนั้นอันนี้ เราก็เลยมองไม่เห็นความเป็นปกติของธรรมชาติ ซึ่งเป็นกฎของธรรมชาติ ขอให้จำไว้เถอะค่ะ กฎของธรรมชาติที่แสดงตัวให้มนุษย์ได้เห็นอยู่ตลอดเวลาเลย ดูที่ตัวเราดูที่สิ่งแวดล้อม นี่ดูที่กาลเวลา อาการที่เกิดขึ้นจากกาลเวลาที่เปลี่ยนไป เมื่อตอนที่มาถึงเห็นแสงแดดไหมคะ แสงแดดจ้า ที่นั่ง ที่นั่งตรงนี้ก็มีแสงแดดเต็ม บัดนี้แสงแดดหายไป อะไรกำลังเข้ามาแทนที่ ความมืดกำลังเข้ามาแทนที่ นี่อนิจจังแสดงตัวตลอดเวลา แล้วก็อนิจจังนี้ จะเรียกว่ามีคุณ หรือมีโทษกับมนุษย์ รู้สึกยังไงคะ รู้สึกว่าอนิจจังนี่ กฎของธรรมชาติข้อนี้ มีคุณหรือมีโทษ แก่มนุษย์รู้สึกเป็นคุณ หรือเป็นโทษ รู้สึกเป็นสิ่งที่ดีไหม ที่เราได้รู้จักอนิจจัง ที่ได้เห็นอนิจจัง หรือที่ได้มีอนิจจังเป็นกฎธรรมชาติ มีความรู้สึกยังไง ลองนึกดู การศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม ไม่ต้องใช้สมอง ใช้ใจที่สัมผัสกับความ กับสิ่งที่มันเกิดขึ้น เรารู้สึกยังไง อาจารย์หยกบอกว่า ถ้าหากว่ายังไม่ได้ศึกษาธรรมะ ก็จะไม่ชอบอนิจจัง เพราะว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงใช่ไหมคะ มันอาจจะทำให้เดี๋ยวใจก็หล่นตุบ เดี๋ยวใจก็ผุดโผล่ขึ้นมาข้างบน อะไรทำนองนั้นนะ ฟูๆแฟบๆ แต่ถ้าได้ศึกษาธรรมะแล้ว แล้วก็เข้าใจอนิจจังแล้ว อาจารย์หยกก็บอกว่า อนิจจังก็มีประโยชน์ มีประโยชน์เพราะให้เป็นครูสอน สอนอะไร สอนให้เห็นความเป็นอนิจจัง ก็ไม่ผิด แต่จะพูดยังไงให้ชัดกว่านั้นอีก สอนอะไรอนิจจังสอนอะไร ธรรมะมันกว้างไปเอาแคบอีกหน่อยสิคะเป็นไงคะธรรมชาติของชีวิต ต้องซักต่อ เช่นนั้นเองคือยังไงต้องซักต่อกันอีก เป็นเช่นนั้นเองเป็นยังไง อันนี้จะมีประโยชน์อย่างไร อนิจจังมีประโยชน์ตรงที่ว่า พอเราเห็นว่า อะไรอะไรที่เราเคยยึดเคยรัก หรือเคยโกรธเคยเกลียดก็ตามทีเถอะ แท้ที่จริงแล้วไม่มีอะไรที่มันเที่ยงเลยใช่ไหมคะ ไม่มีอะไรคงอยู่ดำรงอยู่ได้ มันมีแต่เกิดดับเกิดดับ เปลี่ยนไปเรื่อย เดี๋ยวมาเดี๋ยวไปเดี๋ยวมาเดี๋ยวไป แล้วก็เร็ว เพียงแต่ว่าจิตของเราจับไม่ทันเอง นี่มันมีประโยชน์ตรงนี้ พอเราเห็นตรงนี้มากเข้ามากเข้า ก็จะค่อยค่อยได้สำนึกเองทีละน้อย พุทโธ่เอ้ย โง่แท้ๆ เลย ที่ไปเที่ยวยึดมั่นถือมั่นโน่นนี่จะเอาให้ได้ พอโกรธก็เอาเป็นเอาตาย พอรักก็เอาเป็นเอาตายอีกเหมือนกัน คือมันจะตายท่าเดียวไม่ว่ารักหรือว่าไม่ว่าเกลียด ไม่ว่าโกรธมันจะตายท่าเดียว เพราะมันจะเอาอย่างใจ โดยมองไม่เห็นว่าแท้ที่จริงแล้ว ความรักหรือความโกรธหรือความเกลียดก็ตามที มันก็ไม่เที่ยง พอมองดูไม่เที่ยงแล้วย้อนไปนึกถึงเวทนา หมวดเวทนา หมวดเวทนานั้นน่ะ ผลที่สุดเราจะต้องเห็นถึงความเป็นอะไรของมัน นึกได้ไหมคะ จำได้ไหม นึกถึงความเป็นอะไรของมัน เราถึงควบคุมบังคับไม่เอากับมันแล้วเวทนานี่เห็นมันเป็นอะไร จริงหรือไม่จริง เป็นมายา ถ้าหากว่าผู้ใดศึกษาธรรม แล้วก็พิจารณาธรรม ไม่เห็นความเป็นมายาของมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวทนา อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ไม่เห็นความเป็นมายาของมัน เรียกว่าเดี๋ยวก็หัวเราะเดี๋ยวก็ร้องไห้เดี๋ยวก็ชอบเดี๋ยวก็เกลียดเดี๋ยวก็รักเดี๋ยวก็ถูกใจไม่ถูกใจ ถ้าไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอันนี้ก็จะถือเป็นจริงเป็นจัง แต่ถ้าเห็นเมื่อไหร่ มันมายามันหลอกเรา อายุเราก็แค่นี้แล้วนะ แล้วถูกมันหลอกมากี่สิบปี พอหรือยังสำนึกหรือยัง รู้สึกอายไหม ทำไมนะ เราก็เป็นผู้ใหญ่มีความรู้มีความสามารถเฉลียวฉลาด จบปริญญากันทำงานทำการ ทำไมยอมให้มันหลอกได้ คำว่าเวทนานี่ เพราะเราไม่เห็นอนิจจัง เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าเห็นอนิจจัง ก็จะทำให้มีคุณค่า ที่ทำให้เกิดผ่อนคลาย ความยึดมั่นถือมั่นไปทีละน้อย

    ทีนี้ ทำไมถึงไม่เห็นอนิจจัง ท่านบอกว่า ถ้าหากว่าจะดูอนิจจังนะคะ คือหมายความว่า จะศึกษาหรือพิจารณาธรรมในความหมายของอนิจจัง เพราะว่าขั้นแรกของหมวดที่สี่ก็คือให้ พิจารณาอนิจจัง ท่านเรียกว่า อนิจจานุปัสสี คำว่านุปัสสีคือตามดู ไม่ต้องตามดูอะไร ตามดูเรื่องของอนิจจังให้ตลอดเวลา ที่ท่านพูดออกว่าไม่เที่ยงง่ายๆๆนี่ ดูให้เห็น อย่าดูเอาแต่สมอง ดูให้เห็น ว่าอนิจจังนี้มันคืออะไร มันมีลักษณะอาการอย่างไร แล้วถ้าจะดูแต่อนิจจังว่ามันไม่เที่ยงอย่าเดียวก็ไม่พอ ต้องดูต่อไปจนถึงทุกขัง ทุกขังคืออะไรคะ ในไตรลักษณ์ ดำรงอยู่ไม่ได้ตั้งอยู่ไม่ได้ มันน่าเกลียด ตรงนี้ ทุกขังมันน่าเกลียดตรงที่มันไม่ตั้งอยู่มันไม่ดำรงอยู่ มันเกิดแล้วมันก็ดับต้องดูให้ เห็นทุกขังพอจากทุกขังก็ดูไปอีกให้ลึกซึ้งให้ยิ่งขึ้น เมื่อเห็นความเป็นมายาความไม่ใช่สิ่งจริงของมันก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้ว มันมีตัวตนให้เราโกรธให้เราเกลียดให้เรารักหรือให้เราเอาไปยึดมาเก็บไว้ไหมไม่มีไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ถ้าจิตที่สงบ พื้นจิตที่สงบตามที่ได้ฝึกหัดอบรมมาแล้วจนจบหมวดที่สอง หมวดที่สามถึงขั้นที่สิบสองนะคะ แล้วก็ย่อมจะค่อยๆมองเห็นมองเห็นซาบซึ้งทะลุเข้าไปข้างในเองในใจอันนี้ ก็จะเห็นว่าท้ายที่สุดจริงแล้วมันไม่มีตัวตนให้รู้สึกอะไรสักอย่างเดียว นั่นก็คือเห็นอะไรอนิจจังทุกขังแล้วก็อนัตตา อนัตตาก็คือความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนคือจะบอกว่ามันไม่มีตัวไม่มีตนก็จะมีคนเถียง ก็นี่ไงล่ะตัวนี้ ที่พูดๆ อยู่นี่นั่งอยู่นี่ ไม่ใช่ตัวตนเหรอ ก็นั่งทนโทษอยู่อย่างนี้ ไม่ใช่ตัวตนเหรอ เพราะฉะนั้นเราก็จะพูดเสียว่ามันเป็นตัวตนตามสมมติ แต่มันไม่ใช่ตัวตนนี่เหมือนกับเล่นสำนวน พูดเหมือนกับเล่นสำนวนเข้าใจไหมคะ มันเป็นตัวตนโดยสมมติ แต่ความจริงมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนมันไม่มีตัวมีตนให้ยึดมั่นถือมั่นใช่ไหม เห็นหรือเปล่าอันนี้หรือไม่เห็นที่พูดอย่างนี้ ใครที่ไม่เห็นน่ะเพราะอะไร ก็นี่ไงล่ะตัวตน แล้วจะบอกว่าไม่ใช่ตัวตนได้ยังไงจะบอกว่ามันเป็นอนัตตาได้ยังไงก็มันเป็นอัตตามันเป็นตัวตนจะอธิบายว่าไงคะ จะอธิบายว่าไงมันเป็นอนัตตามันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนเพราะอะไร เราบังคับไม่ได้ อาจารย์หยกบอกว่าถ้าเป็นตัวตนของเราเราก็ต้องบังคับได้ นี่บังคับไม่ได้ ก็ทำไมถึงไม่พูดให้ตรงเสียเลย มันเป็น อนัตตา มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนเพราะอะไร เพราะมันแสดงอาการ นึกถึงไตรลักษณ์ข้อที่หนึ่งสิคะเพราะมันแสดงอาการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทิ้งอนิจจังแล้วไหม พูดกันเมื่อกี้นี่เองนี่ทิ้งอนิจจังแล้ว ถ้าหากว่าเราไม่ทิ้งเราจะเห็นทีเดียวต้องย้อนกลับมามันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนมันเป็นตัวตนเพียงโดยสมมติ โดยสมมติเท่านั้นเอง คือสมมติว่าเราต้องเรียกกันว่าตัวตน สมมติเรียกกันว่าฉัน สมมติเรียกกันว่าเธอ สิ่งที่ว่าเป็นสมมติอันนี้ ประโยชน์ก็เพื่อการสื่อสาร เพื่อความเข้าใจใช่ไหมคะ หรือมันมีชื่อมีเสียง อาจารย์หยก คุณเลี้ยง หรือว่าคุณไขศรีอย่างนี้ ก็สมมติเรียกกัน ถ้ามิฉะนั้นแล้วเราก็นั่งกันอยู่อย่างนี้ จะต้องการพูดกับคนนั้นน่ะ ก็ชี้ไปเถอะ กว่าจะได้ตัวมาใช่ไหมนั่นน่ะ นั่นน่ะ มันก็ไม่รู้ว่านั่นอะไร มันนั่นตั้งเยอะแยะใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้น เพราะฉะนั้นการที่มีชื่อมีเสียงมีนามมีอะไรต่ออะไรต่างๆ ขอได้เข้าใจเถอะมันเป็นสิ่งสมมติทั้งนั้น ท่านเรียกว่าเป็นสมมติบัญญัติมันไม่ใช่สิ่งจริงเพราะอะไร ชื่อเสียงก็เคยเห็นแล้วใช่ไหม คงที่หรือเปล่า บางคนมีตั้งสองชื่อสามชื่อก็มี บางคนเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก แม้แต่มีพาสปอร์ตก็ยังเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก หนังสือเดินทางน่ะเดี๋ยวก็สัญชาตินี้ไปเดี๋ยวก็สัญชาติโน้น ถ้าเผอิญอยู่ในอำนาจที่จะไปเปลี่ยนได้มีเงินมีทองเปลี่ยนกันอยู่เรื่อยไหนล่ะตัวจริง ตัวจริงอยู่ที่ไหน นี่พูดกันจริงจริงนะพูดกันจริงจริงอย่างที่เราพิสูจน์ได้เห็นได้ด้วยตัวของเราเองไหนล่ะจริงจริงไหนอนัตตาไหนตัวตน เพราะฉะนั้นอันนี้มันจึงเป็นเพียงสิ่งสมมติท่านเรียกว่าสมมติสัจจะ เข้าใจไหมคะ สัจจะมันมีอยู่สองอย่าง อย่างที่เรียกกัน อันนั้นพัดลมอันนี้ไมโครโฟนอันนี้นาฬิกาอันนั้นคน อันนั้นต้นไม้ อันนั้นสัตว์ อันนั้นน้ำ อันนั้นภูเขา อันนี้ทะเล นี่สมมติเรียกทั้งนั้นเป็นสมมติสัจจะ สัจจะแปลว่าอะไรล่ะคะ ความจริงแต่เป็นความจริงที่ สมมติเรียกกัน สมมติเรียกกันอย่างที่ท่านมาเป็นสมมติบัญญัติ สมมติเรียกกันว่าอย่างนั้นเรียกว่าอย่างนี้ เป็นครอบครัวก็เรียกผู้ชายว่าพ่อ เรียกผู้หญิงว่าแม่ เรียกคนที่เกิดมาจากพ่อแม่เป็นลูกอะไรอย่างนี้เป็นต้นแล้วก็มีหลานอะไรต่ออะไรต่างๆสมมติเรียกกัน แล้วก็นึกดูเถอะเราสมมติเรียกกันอย่างนี้ ถ้าสมมติว่าเราไปเมืองฝรั่ง จะไป ตะวันตกจะไปอเมริกาจะไปเมืองอะไรก็ตามที เขาเรียกเหมือนกับเราเรียกไหม เขาก็ไม่เรียกเหมือนเราใช่ไหม ลูกเขาก็จะเรียกว่าไง อย่างลูกชายเราเรียกว่าลูกชายเขาก็จะเรียกว่า son เราเรียกว่าลูกสาวเขาก็เรียกว่า daughter หรือจะไปหาฝรั่งเศสหรือจะไปหาเยอรมันก็ต่างออกไปอีกตามสมมติบัญญัติของเขาใช่ไหม ถ้าเราไม่รู้ภาษาของเขาเราก็ไม่รู้เรื่องนั่นเอง ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรเหมือนกัน เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้มันจึงเป็นสิ่งที่ท่านเรียกว่าเป็นสมมติสัจจะซึ่งอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ทุกเวลาเพราะฉะนั้นเมื่อมันเป็นสมมติสัจจะมันเปลี่ยนแปลงได้ทุกเวลาควรหรือที่จะไปยึดมั่นถือมั่นว่ามันเป็นจริงก็ไม่ควรนั่นแหละ แต่สิ่งที่เป็นปรมัตถสัจจะที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงก็คือเช่นก็ที่เราพูดกันอยู่นี่แหละค่ะ เช่นอะไรล่ะคะ กฎของธรรมชาติเช่นไตรลักษณ์ที่หมายถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อิทัปปัจจยตา หมายถึงว่าสิ่งใดมีเหตุ ปัจจัยเช่นนั้น ผลก็ต้องเป็นอย่างนั้นปัจจัยเช่นนั้น ผลก็ต้องเป็นอย่างนั้น ผลอย่างนี้ก็ต้องมาจากเหตุปัจจัยอย่างนั้น นี่เป็นกฎธรรมชาติที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น ใครจะมาคิดว่าฉันเปลี่ยนได้ เปลี่ยนไม่ได้ ถ้าเกิดขึ้นแล้วลองพิจารณาดู จะรู้ว่าเปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่างกฎของธรรมชาติ ท่านก็เรียกว่าเป็นปรมัตถสัจจะคือเป็นสัจจะที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เป็นสัจจะที่เป็นจริงอย่างนั้น ตลอดไปเพราะฉะนั้นที่บอกว่าตัวตนอันนี้มันเป็นเพียงสมมติ สัจจะหรือสมมติบัญญัติ ก็เพราะเหตุว่ามันเป็นอนิจจัง มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาก็จากภาวะที่จะมาเป็นรูปร่างลักษณะตัวเราอย่างขณะนี้ นึกออกใช่ไหมคะ มาจากอะไร มาจากเด็กเล็กเล็กตั้งแต่เป็นทารกเป็นเด็ก แล้วก็เป็นเด็กโต เป็นเด็กรุ่น เป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นผู้ใหญ่ จนกระทั่งเริ่มแก่เริ่มอะไร นี้คือความเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงนี่เอง มันจึงแสดงให้เห็นว่าอัตตานั้น จริงจริงแล้วหามีไม่ ลองพิจารณาตามนะคะ

    อัตตานั้นจริงๆ แล้วหามีไม่ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเป็นอนัตตา นี่อาจจะพูดกันด้วยปากเวลานี้ แต่ขอให้ลองพิจารณาดูจนซึมซาบซึมซาบมองเห็น ท่านถึงจะเรียกว่าเราเห็นอนิจจังจริง ถ้าหากว่าดูแต่อนิจจังเฉยๆธรรมดา ไม่ดูให้ตลอดสาย ไปจนกระทั่งถึงทุกขัง ดำรงอยู่ไม่ได้ ตั้งอยู่ไม่ได้มันเปลี่ยนแปลงอย่างนี้จึงทำให้ทุกสิ่ง ตั้งอยู่ไม่ได้ มีแต่เกิดดับ เพราะฉะนั้นเมื่อมันมีสภาวะแห่งความเกิดดับอย่างนี้มันจึงแสดงถึงสภาวะของความเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน อย่าไปหลงกับมันนักเลย อย่าไปหลงรักอย่าไปหลงยึดถืออย่าไปหลงอวดอ้างว่านี่คือตัวตนของฉัน นั่นเขาเรียกว่าคนขี้ตู่ ตัวอะไรคะ ตัวอะไรโกงอะไร ขี้โกงโกงอะไรขี้ตู่ขี้โกงอะไรโกงอะไร โกงใครนึกออกไหมคะ โกงใคร โกงตัวเองก็ตัวเองมันมีหรือเปล่าละที่เราพูดกันนี่โกงใครขี้ตู่ขี้โกงใคร เป้าว่าโกงใคร เขาเห็นไหมตู่หรือเปล่า เห็นไหมโกงหรือเปล่า หรือยังไม่เห็นยังไม่เห็น ยังไม่เห็นก็แล้วไป คอยฟังไปก่อน ขี้ตู่ใครโกงใคร ใช่ค่ะ ถูกแล้ว กองธรรมชาติตัวธรรมชาติ พอเกิดมานี้ เกิดมาจากไหนล่ะ ที่เป็นเนื้อเป็นตัวอยู่ในนี้ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ผ่าออกไปมีตับไตไส้พุงลำไส้หัวใจอะไรต่ออะไรต่างๆ เหล่านี้ทุกคนนี่ ไม่ว่าจีนไทยแขกฝรั่ง ต่างกันไหมไม่ต่างเลย เพียงแต่ผิวพรรณ ที่อาจจะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมของภูมิประเทศ ดำบ้างขาวบ้างเหลืองบ้างอะไรอย่างนี้เป็นต้น แต่ไม่มีอะไรแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นทุกชีวิต ตลอดถึงชีวิตของสัตว์ ของพืชพันธุ์ธัญญาหาร ของวัตถุอะไรต่ออะไรทั้งหลาย เม็ดหินดินทราย มาจากไหน ลองคิดดูให้ดี มันมาจากไหนมาจากสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติ แต่ตอนนี้ก็ไม่ต้องศึกษาค้นคว้าหรอกนะ ว่าธรรมชาตินี่มันจะเอามาจากไหน ท่านบอกว่าเป็นอจินไตย อจินไตยคืออะไรเรื่องที่ไม่สมควรไปคิดค้นหาความรู้  เพราะอะไรคะ ถึงคิดค้นก็ไม่บรรลุธรรม หรือคิดค้นจนหัวแตกก็เสียเวลาเปล่าๆ เพราะว่ามีหลายเรื่องที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่ทรงอธิบาย แต่พระองค์น่ะ ทรงเป็นสัพพัญญู คือรอบรู้หมดทุกอย่าง พระองค์ตอบได้หมดทุกอย่าง ใครจะถามคำถามอะไรแต่การที่จะนำมาอธิบายให้ อย่างเราๆ ฟังนี่ เสียเวลาของพระองค์ท่านเปล่าๆ และนอกจากนั้น สิ่งที่ฟังไปแล้ว ก็ไม่ช่วยให้เข้าถึงความพ้นทุกข์ กลับจะยิ่งอยากรู้นั่น อยากรู้นี่ รู้ๆๆแต่รู้เตลิด ไม่ใช่รู้พ้นทุกข์ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ท่านจึงบอกว่านี่เป็นอจินไตย ก็ไม่ต้องไปรู้หรอกแต่เรารู้ว่า คือการโกงธรรมชาติ ชีวิตทุกชีวิตนี่ ไม่ว่าชีวิตคนสัตว์อย่างที่ว่าแล้ว ล้วนแล้วแต่มาจากธรรมชาติถ้าหากใครจะบอกว่า มาจากพ่อแม่ชั้นต่างหากพ่อแม่ก็อาจจะบอกมาจากพ่อแม่ คือปู่ย่าตายายย้อนขึ้นไป แต่มีอะไรต่างกันไหม สภาพของรูปร่างหน้าตา ความเป็นไป ไม่มีแตกต่างกันมันเหมือนกันทั้งนั้น แต่เหตุปัจจัยต่างหาก ถ้าจะถามว่า แล้วทำไมถึง  หญิงชายคู่นั้นน่ะ มาเป็นพ่อเป็นแม่ แล้วก็มามีลูกมีเต้า ก็เป็นเหตุปัจจัย ที่เผอิญ ทำให้เขาได้มาพบกันทำให้ผู้ชายคนหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่ง ได้มาพบกัน แล้วก็ถูกอกถูกใจกันเข้า ก็อยู่ร่วมกันแต่งงานกัน แล้วก็พอมีลูกก็สมมติเรียกผู้ชายว่าพ่อ สมมติเรียกผู้หญิงว่าแม่ แล้วเคยเห็นลูกที่มันไม่ยอมเรียกพ่อแม่ มีไหมไม่ยอมเรียกพ่อว่าพ่อ ไม่ยอมเรียกแม่ว่าแม่ เคยมีไหม ไม่เคยเห็นนะ เราก็ได้ข่าว แล้วก็จะถึงขนาดที่ว่า มันฆ่าพ่อฆ่าแม่ก็มี ตีหัวพ่อแม่ กลางชามข้าวก็มี เพราะว่า ทำให้ไม่ถูกใจไม่ทันใจ ถ้าเป็นพ่อจริงเป็นแม่จริง ลูกควรจะต้องสำนึก ในบุญคุณของพ่อแม่ แต่มันก็มีวิปริต อะไรต่ออะไรต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มันเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย อันที่จริงที่ถูกที่ต้องแล้ว ลูกก็คงไม่ได้ตั้งใจจะทำอย่างงั้นทีเดียวหรอก แต่เหตุปัจจัยซึ่งอาจจะทำให้ โมโหหิว อย่างรุนแรง หรือไปเสพยาอะไรต่ออะไรมา ทำให้ขาดสติสัมปชัญญะ จนกระทั่งไม่สามารถจะรู้ผิดรู้ถูกทำความผิดอย่างชนิดที่ อาจจะไม่ได้ตั้งใจทำก็ได้ แต่มันขาดสติสัมปชัญญะ นี่คือเหตุปัจจัยก็เรียกว่า ผู้หญิงผู้ชายที่เผอิญถูกอกถูกใจ รสนิยมอันเดียวกัน ก็มาอยู่ด้วยกัน ก็เรียกกันว่า ผู้ชายเป็นสามี ผู้หญิงเป็นภรรยา มีลูกก็ผู้ชายเป็นพ่อ ผู้หญิงเป็นแม่ แล้วเคยเห็นไหมครับว่า เขาเป็นสามีภรรยากัน จนตายทุกคู่ มีไหม ไม่มีใครรับรองใช่ไหมว่าเขาจะต้องอยู่กินเป็นสามีเป็นภรรยาจนตายสิ้นลมหายใจด้วยกันทุกคู่ พออยู่ไปอยู่ไปสามเดือนเจ็ดปีมันเกิดมีอะไรไม่ถูกใจกันแล้ว ทนกันไม่ได้ทะเลาะวิวาทกันจนอยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็แยกทางออกจากกันไป พอแยกทางออกจากกันไปแล้วเป็นอะไรล่ะ ผู้ชายกับผู้หญิงคู่นั้นเป็นอะไรกัน เป็นอะไรกัน ยังเรียกว่าเป็นสามีภรรยากันไหมไม่เป็นแล้ว เป็นอะไรล่ะ ก็เป็นคนแปลกหน้าต่อกันใช่ไหมเป็นคนแปลกหน้าต่อกันเลยเคยเห็นหรือเปล่า บางคนก็ยังดีคือแปลกหน้าต่อกันไม่ได้อยู่ร่วมบ้านกัน แต่ก็ยังถือเหมือนกับว่าเป็นเพื่อนกันแต่บางคนเป็นศัตรูกันไปเลยก็มีนี่กฎอะไรกฎอะไรแสดงตัว กฎอนิจจังใช่ไหมคะไม่มีอะไรที่เราจะรับรองว่าเที่ยงจะต้องเป็นอย่างนั้นในโลกนี้ ไม่มีอะไรจะรับรองแต่การที่มันแปลกออกไปอย่างนั้นน่ะคือเปลี่ยนแปลงไปอย่างนั้นมันเปลี่ยนแปลงเองหรือเปล่า ไม่มันมีอะไร เหตุปัจจัยอย่าลืมนะคะอันนี้เป็นสิ่งสำคัญมากว่าอะไรที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดเองหรือยังคะสมมติสัจจะเห็นแล้วใช่ไหมนี่คือตัวอย่าง นี่เราอยู่กันด้วยสมมติทั้งนั้นน่ะ แล้ววันหนึ่งถ้าเหตุปัจจัยอะไรมันเกิดขึ้นมันก็เปลี่ยนแปลงได้เพราะมันเป็นสมมติสัจจะ เพราะฉะนั้นที่พูดอันนี้ก็เพื่อไม่ให้หลงไม่ให้หลงสมมติสัจจะ แต่ควรพยายามศึกษาให้เข้าใจในปรมัตถสัจจะคือสัจจะที่เป็นกฎของธรรมชาติอันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงมันจะต้องเป็นอยู่อย่างนี้ก็คือกฎของไตรลักษณ์แล้วก็กฎของอิทัปปัจจยตาที่แสดงว่าเมื่อเหตุอย่างนี้ ผลจะต้องเป็นอย่างนี้เป็นอื่นไปไม่ได้ ผลอย่างนี้ต้องมาจากเหตุอย่างนี้เป็นอื่นไปไม่ได้ ถ้าผู้ใดจำหลักกฎกฎธรรมชาติสองกฎนี้ไว้ได้นะคะจะไม่มีวันหลงทาง พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้วจะไม่มีวันหลงทาง หลงทางไปไหนก็หลงทางออกนอกคำสอนของพระพุทธเจ้า ออกนอกพระธรรมในพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาเป็นพุทธศาสตร์คือศาสตร์ของสติปัญญาถ้าออกนอกทางก็จะไปตกเป็นทาสของไสยศาสตร์ เคยได้ยินไสยศาสตร์ใช่ไหมคะไสยศาสตร์น่ะ ท่านแปลว่าศาสตร์ของผู้หลับ ไสยนี่คือหลับนอน เพราะงั้นนอนหลับนี่มีหัวคิดไหมมีสติปัญญาไหม มันก็ไม่มันก็ไม่รู้เรื่องอะไรแล้วแล้วก็จะตกไปเป็นฝ่ายของไสยศาสตร์ ตกไปเป็นทาสของความฉลาดเบาปัญญาอย่างที่เขาล่อกันไปเขาหลอกกันไปเห็นไหมคะ ให้เชื่อโน่นเชื่อนี่เอาเงินเอาทองมาทำบุญแล้วก็จะได้โน่นได้นี่ ก็ได้แต่ความหมดความสิ้นแต่ไม่ได้ได้อะไรออกมาบางทีถึงกับฆ่าตัวตายก็มี เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเรามีกฎสองเรื่องอันนี้ หลักสองอย่างนี้อยู่ในใจจะไม่หลงทาง จะไม่ถูกใครหลอกง่ายๆหลอกไม่ได้ง่ายๆเพราะเราเอามาพิจารณาแล้ว มันไม่ตรงกับหลักสองอย่างคือหลักไตรลักษณ์กับหลัก อิทัปปัจจยตา นี่มันไม่ถูกแล้วมันนอกทางของพระพุทธเจ้า เราก็จะไม่ไปเป็นเหยื่อของเขา เพราะฉะนั้นอันนี้นะคะ ในหมวดธัมมานุปัสสนา ขั้นที่หนึ่งหรือขั้นที่สิบสามของหมวดของอานาปานสติสูตร ก็คือให้พิจารณาอนิจจังตามดูเรื่องของอนิจจังทุกขณะจิตของชีวิตเราอนิจจังของทุกอย่างที่เกิดขึ้น ที่จริงแล้วควรจะเริ่มที่อนิจจังของตัวเราคือที่รูปนี้ที่กายนี้ถ้าเริ่มที่รูปนี้ที่กายนี้จะเห็นได้ชัดมากโดยเฉพาะผู้ที่ล่วงวัยไปมากแล้ว ถ้าเป็นเด็กเป็นหนุ่มเป็นสาวก็อาจจะยังไม่ยอมเห็นเพราะกำลังสนุกสนานกำลังว่องไวประเปรียว ก็จะยังไม่ยอมเห็นสิ่งเหล่านี้ แต่ถ้าจะมีเวลาพิจารณาดูสักนิดก็จะเห็นว่า เมื่อตอนที่ซักห้าปีมาแล้ว เราเหมือนอย่างนี้ไหม จะเป็นหยกก็ตามจะเป็นนัทหรือจะเป็นต้นเหมือนอย่างนี้ไหม เมื่อห้าปีมาแล้ว ก็ไม่เหมือนใช่ไหม นี่แหละแสดงถึงอนิจจังล่ะกฎของอนิจจังเปลี่ยนแปลงไป และต่อไปข้างหน้าก็จะต้องเหมือนป้ามล หนีไม่พ้นแล้วก็อยู่ต่อไปอีก ก็จะต่างไปเหมือนคุณย่า หนีไม่พ้น เพราะนี่มันคือกฎของธรรมชาติ มันต้องเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไป ไม่เป็นอื่นไปได้เลย

    เพราะฉะนั้นอันนี้ จึงควรที่จะเริ่มพิจารณาที่รูปนี้ที่กายนี้ ทุกวัน วันนี้ยังเดินคล่องแคล่ว พรุ่งนี้ทำไมเดินสะดุด แล้ววันนี้ยังจำอะไรได้ พรุ่งนี้ทำไมมันนึกไม่ออก นี่ มันก็รูปกายนี่แหละ แต่มันอยู่ที่หัวล่ะ ที่ประสาท ที่สมองหรือความคิด ดูความคิด ความคิดที่เกิดขึ้น ไม่ต้องเอาวันหรอก เอาแค่ชั่วโมงเดียว เป็นไง เคยสังเกตไหม ความคิดของเราภายในหนึ่งชั่วโมงเป็นไง เรื่องเดียวเปล่า คงที่เปล่า ไม่เลยสารพัดเรื่อง ยิ่งคนคิดเก่งมากล่ะ ไปไหนไปไหน ตามไม่กลับเลย เพราะฉะนั้น ท่านผู้รู้ ครูอาจารย์บางท่าน ท่านจึงสอนว่าให้เห็นความคิด ถ้าความคิดเกิดขึ้นให้เห็น คือรู้มันว่ากำลังคิดอะไร ไม่ต้องไปห้ามมันไม่ให้คิดด้วยทำไมท่านถึงบอกไม่ต้องห้าม เพราะคงได้ยินคำที่เขาพูด ผู้ใหญ่ก็บอกยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุใช่ไหม ยิ่งห้ามก็ยิ่งคิดใหญ่ยิ่งฟุ้งซ่านใหญ่ ยิ่งเตลิดใหญ่ท่านบอกว่าดูมันดูให้รู้ให้เห็นความคิดไม่ต้องห้ามความคิดแต่แต่อันนี้สำคัญนะไม่ต้องตามความคิด เข้าใจไหมไม่ต้องไปตามมันมันคิดไปไหนแล้วก็ตาเตลิด ปรุงแต่งไปกับมันไม่ต้องตามดูมันเฉยๆ ท่านผู้ใดเคยดูความคิดบ้างความคิดที่เกิดขึ้นเคยดูไหม ดูแล้วเป็นไง ก็พอคิดอะไรก็มองดูเหมือนเฉยๆ สมมติว่านี่กำลังคิดเรื่องบ้าน บ้านเรานี่ถ้าทางมันกำลังทรุดโทรม จะต้องซ่อมเสียแล้วจะต้องหาเงินก้อนใหญ่ แล้วจะหาเงินได้ที่ไหนนี่คิดนี่คิดเรื่องเดียวว่า เรื่องบ้านเริ่มต้นแต่มันกำลังต่อไปแล้วใช่ไหมคะ ปรุงแต่งไปแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราก็รู้ว่านี้ความคิด คิดเรื่องบ้านสมมตินะคะ ก็ดูมันให้รู้ว่าคิดเรื่องบ้านแต่ไม่ต้องไปตามความคิดอันนั้น ถ้าหากว่าเราไม่ตามความคิดอันนั้นมันจะหยุด และการหยุดนี่ มันก็มีเหตุผลน่ะมันสมควรคิดหรือยัง เรื่องบ้านมันจะต้องคิดตอนนี้หรือยัง มันจำเป็นที่จะต้องคิดเดี๋ยวนี้แล้วเหรอถ้ายังไม่จำเป็นหยุด หรือกำลังคิดอะไรต่ออะไรอย่างอื่นก็แล้วแต่ในจิตดูมันรู้มัน ความคิดที่มันโผล่เข้ามาที่มันไม่ใช่เป็นความคิดที่สร้างสรรค์หรือเป็นความคิดที่เป็นธรรมนะคะ มันเหมือนขโมยใช่ไหมคะ มันโผล่เข้ามาแว้บๆๆ จับไม่ค่อยทัน ถ้าขโมยเข้าบ้าน เจ้าของบ้านตื่น ขโมยก็หนีไป มันกลัวเจ้าของบ้านยิงเอาตีเอาหรือเปล่า ตำรวจจับ มันก็หนีไป เช่นเดียวกับความคิด มันก็เหมือนขโมย ถ้าหากว่าเจ้าของ คือเจ้าตัวมีสติ มีจิตตั้งมั่น ดูมัน มันอาย มันรู้จักอายนะ ความคิดนี่ แล้วมันก็หยุด มันหยุดคิด มันหายไป หรือบางทีมันก็ มีเรื่องอื่นกลับมาคิด ดูมันอีก ดูมันอีก เดี๋ยวมันก็หายไปอีก ที่ว่าดูนี่ คือดูเฉยๆนะ โดยเราไม่ปรุงแต่งไปกับมันเลย ถ้าเราปรุงแต่งไปกับมัน ได้เหยื่อแล้ว นี่เหยื่อแล้ว มันก็พาไป บางทีนั่งคิดไปเถอะ 5 นาที 10 นาที ชั่วโมงหนึ่ง ไม่รู้ตัว หมดไปกับความคิดที่หาสาระแก่นสารไม่ได้ เพราะฉะนั้นนี่ลองดู นี่ดูนี่ ที่พูดเมื่อกี้นี้เพื่อเป็นวิธีอธิบายว่า ถ้าเราอยากจะจัดการกับความคิด ไม่ให้มันคิดยืดยาวยุ่งเหยิง ท่านก็แนะนำ ครูอาจารย์บางท่าน ท่านก็แนะนำว่าให้ดูมัน คือดูให้เห็นว่ากำลังคิดอะไรไม่ต้องไปห้ามว่าอย่าคิด เดี๋ยวมันยิ่งยุ มันจะยิ่งคิดใหญ่ แต่ว่าไม่ต้องตามความคิดมัน ดูแล้วก็หยุด ดูแล้วก็หยุดแต่ทีนี้ ถ้าย้อนกลับมาพูดถึงว่าเรากำลังพิจารณาเรื่องอนิจจังนะคะ ที่ให้ดูความคิดก็คือว่า แม้แต่ความคิด เที่ยงไหมคะ ก็ไม่เที่ยง เห็นไหมคะ รูปนี้ กายนี้ ก็ไม่เที่ยง ความคิดก็ไม่เที่ยง ความรู้สึกเวทนาล่ะเที่ยงไหม ไม่เที่ยง เดี๋ยวก็ชอบเดี๋ยวก็ไม่ชอบ เดี๋ยวก็ถูกใจเดี๋ยวก็ไม่ถูกใจสารพัด เพราะฉะนั้นท่านจึงบอกว่าถ้าจะดูอนิจจังล่ะก็ต้องดูให้ตลอดสายดูให้เห็นความไม่เที่ยงทุกขณะ แล้วก็ดูจนกระทั่งเห็นทุกขังความตั้งอยู่ไม่ได้แล้วก็ดูจนเห็นชัดว่ามันอนัตตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนเป็นเพียงสิ่งสมมติเท่านั้น ถ้าพอมาเห็นว่ามันเป็นเพียงสิ่งสมมติเท่านั้นน่ะมันจบไหม จบไม่จบ จบ จบอะไรคะจบความยึดมั่นถือมั่นถูกคือไม่รู้จะไปยึดเอาอะไรใช่ไหม เพราะมันเป็นของหลอกทั้งนั้นนี่ มันเหมือนควันไฟ เหมือนรุ้งกินน้ำ เหมือนอะไรที่มองดูสวยๆ งามๆ เอื้อมมือไปจับมันหายจับหายไม่พบไม่มีตัวตนให้จับจริงๆ มันก็หยุด มันก็จบคือจบเรื่องความยึดมั่นถือมั่นนี่ที่พูดนี่คืออธิบายวิธีที่มันจะจบได้แต่แน่นอนละมันไม่ได้จบตามคำพูดของเรานะ มันจะต้องสมาธิ ฝึกไว้เถอะฝึกทุกขณะทุกเวลานาที ถ้าผู้ใดฝึกทุกเวลานาทีก็มีหวังมีโอกาส ทีนี้พอเห็นอนัตตาเห็นความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนจริงๆแล้วผลที่สุดก็จะเห็นไปจนกระทั่งถึงกับว่า โอแท้จริงแล้วนะ มันมีแต่ความว่าง พอพูดถึงความว่างครับบางคนก็ใจหาย ว่างแล้วจะอยู่ยังไง นึกไม่ออกว่าจะอยู่ได้ยังไง บางคนก็ใจหาย แต่ที่ใจหายนั่นเพราะเข้าใจความว่างว่าอะไร เข้าใจความหมายของความว่างว่าเป็นไง มันอ้างว้าง ใช่เปล่า เข้าใจความหมายของความว่างเหมือนกับ ตายอ้างว้างเหมือนก็ลอยอยู่ ไม่มีอะไรให้ยึด ไม่มีอะไรเป็นของเรา จะอยู่ได้ยังไง มันคนละอย่าง อันนั้นมันกิเลส ไม่ใช่ธรรมะ ถ้าก็ว่างของธรรมะนั้น คือว่างยังไงคะ โล่งจากอะไร โล่งจากความยึดมั่นถือมั่นใน ในอะไรคะ ตัวตนในอัตตาของเรา รู้สึกเป็นอิสระ เป็นอิสระจริงๆ เลย ที่เขาบอกว่าเป็นอิสระนั่นน่ะก็เป็นหรอกบางคนเราก็ไม่ได้เป็นทาสของใครแต่เหมือนไม่อิสระจริงๆ อย่างนี้นี่มันอิสระจริงๆ มันมันว่างอย่างชนิดที่ เป็นอิสระสงบเย็นเบาสบาย ก็เรียกว่าบอกไม่ถูก ท่านจึงเรียกว่าเป็นความว่าง ที่ฉันเรียกในภาษาบาลีว่าสุญญตา คือความว่างซึ่งพระพุทธเจ้าท่านก็จะทรงอยู่ด้วยสุญญตาวิหาร ทั้งๆ ที่ท่านเป็นพระพุทธเจ้าแล้วแต่ละองค์แต่ละองค์ท่านก็จะมีคล้ายๆ กับเป็นลักษณะของท่านว่าท่านจะพอใจอยู่กับอะไร แต่พระพุทธเจ้าท่านจะมักรับสั่งว่าท่านอยู่กับสุญญตาวิหารวิหารคือที่อยู่ ก็คือจะรู้สึกว่าทรงอยู่กับความว่าง ไม่มีอะไรเข้ามเกี่ยวข้องในพระทัยเลยแม้แต่นิดเดียว พระอรหันต์บางองค์ก็พอใจที่จะอยู่อย่างนั้นด้วยเหมือนกันเพราะถ้าเราดูไปดูไปทีละนิดทีละนิดละนิดนะคะ ก็จะเห็นจริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรให้ยึดมั่นถือมั่นเลย ที่สุดแล้วมันคือความว่าง ว่างจริงๆ ถ้านึกได้อย่างนี้เมื่อไหร่ โล่งก็ไม่ต้องว่าเมื่อไหร่จะนึกได้ เอาให้ได้สักนาทีหนึ่งก็ยังดี คือให้มีความรู้สึกในภาวะของความว่างอย่างนี้ สักนาทีในใจเราจะรู้สึกสบายนี่ก็เรียกว่าขั้นที่หนึ่ง ของหมวดที่สี่ ผู้ปฏิบัติจะต้องใช้เวลาทุกนาที ทุกข์ลมหายใจเข้าออก ตามดูเรื่องของอนิจจัง ความไม่เที่ยง ดูไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งซึมซาบ เข้าไปในจิตใจ ลึกซึ้งแจ่มแจ้ง ชัดเจนใจนี้สัมผัสกับสภาวะของความไม่เที่ยง ไม่ใช่เพียงพูด ไม่ใช่เพียงสมอง แต่ใจความรู้สึก มันได้สัมผัส เหมือนอย่างคนบางคนที่เป็นคุณแม่มารดาอาจจะสงสารลูกสุดหัวใจ มันซึ้งเข้าไปในหัวใจอธิบายไม่ถูก ฉันสงสารลูกของฉันแค่ไหน ถ้าเผอิญลูกไปตกทุกข์ได้ยากอะไรอย่างนี้ นั่นแหละ ความหมายคำว่าสัมผัส ไม่ต้องสัมผัสก็มาลึกซึ้ง ขนาดอย่างนั้น สัมผัสเห็นอนิจจังชัดเจน แล้วก็ดูไปดูไปก็คำว่าเกิดดับนี่ ก็ได้ยินมาเยอะแยะแล้วใช่ไหมคะ คงนับครั้งไม่ถ้วนเป็นร้อยเป็นพันที่ได้ยิน แต่พอเห็นอนิจจังชัดเจน ตอนนี้ มันจะสัมผัสกับเกิดดับเกิดดับนี่ ชัดขึ้นในใจ ที่ท่านสอนที่ท่านบอกว่า มันมีแต่เกิดแล้วก็ดับ มาแล้วก็ไปไม่มีอะไรตั้งอยู่ได้ มันจะค่อยๆ เห็น แล้วพอเห็นอันนี้ชัดเข้า คือดูไปอีกดูซ้ำไปอีกเรื่อยๆ นะคะ ไม่ใช่พอเห็นแล้วหยุดแล้วก็นึก เห็นแล้ว ยัง ยังไม่เห็นเพียงแต่ได้ชิมเท่านั้นเอง ชิมนิดเดียวเท่านั้นน่ะ เพราะงั้นต้องชิมจนกระทั่งรู้รสกลืนไปเลย จนอิ่ม จนอิ่มในมื้อนั้นน่ะ ถึงจะค่อยยังชั่วนะคะ ก็ดูไปอีก พอดูไปอีกไม่ช้าก็จะค่อยๆ มองเห็นสภาวะของความไม่มีอะไร คือไม่มีอะไรที่เป็นตัวตน ก็เป็นอนัตตานี่พอเห็นตอนนี้เข้า เรานี่โง่มานาน บางทีจะบอกตัวเอง โง่มานานจริงๆ นะ แหมไปหลงยึดว่าเป็นอัตตาตัวตน เหน็ดเหนื่อยเป็นทุกข์แทบตาย ไม่คุ้มเลย เพิ่งจะเห็น แล้วมันรู้สึกหลุดนะ มันรู้สึกหลุดในขณะนั้น หลุดจากเครื่องพันธนาการ พันธนาการที่ให้ยึดมั่นถือมั่นอยู่กับนั่นบ้างนี่บ้าง แล้วแต่เถอะ บางคนก็นับไม่ถ้วนในที่ถูกผูกอยู่กับอะไรอะไร บางคนก็อาจจะมีน้อยสิ่งหน่อย ถูกพันธนาการ เรานี่โง่แท้ๆ  นี่มันเป็นอิสระเลย ไม่น่าเลย มันน่าจะพิจารณามาเสียนานแล้ว อาจจะต่อว่าตัวเองก็ไม่ต้องต่อว่า พอถึงตอนนั้นเข้ามันชัดเจนแล้วจิตใจมันก็จะค่อยๆ ว่างไปเอง นี่ก็เป็นขั้นที่หนึ่งนะ

    ขั้นที่หนึ่งขั้นเดียวไม่ใช่ดูแค่อนิจจังต้องดูไปตามลำดับอย่างนี้ เพราะฉะนั้นงานไม่น้อยนะ งานไม่น้อย ขั้นที่สิบสามของบทนี้เพียงแค่อนิจจังขั้นอันเดียวเท่านั้น ทีนี้พอดูอนิจจังแล้วก็ต่อไปขั้นที่สองของบทที่สี่หรือขั้นที่สิบสี่ พอดูมากเข้ามากเข้าก็จะรู้สึกยังไงล่ะคะ อย่างที่พูดกันมาแล้วแต่เอามาย้ำซึ่งมันเป็นงานในขั้นที่สองหรือขั้นที่สิบสี่คือยังไง พอดูเห็นมากเข้ามากเข้าในอนิจจังจนเห็นอนัตตาความที่เคยยึดมั่นถือมั่นมันก็เป็นไง ก็ค่อยๆ ละลายไปทีละน้อย ท่านเรียกว่า วิราคะ ในภาษาบาลี ขั้นที่สองนี่ ของหมวดที่สี่ ก็คือ วิราคานุปัสสี พอเกิดวิราคะ เกิดความรู้สึกจางคลาย ในความยึดมั่นถือมั่น อย่าประมาทนะ พอเกิดความรู้สึกจางคลาย ดูซ้ำอยู่นั่นน่ะ ทุกลมหายใจเข้าออก ดูซ้ำในอาการของความรู้สึกจางคลาย ในอาการนะ ดูซ้ำในอาการของความรู้สึกจางคลาย ที่เกิดในใจของเรา เกิดจางคลายในความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ ที่เคยมีอยู่เป็นอยู่ มันไม่ค่อยอยากยึดมั่นถือมั่นแหละ มันอยากจะปล่อยในรูปนี้กายนี้ที่หลงรักนักหนา อุ้มชูประคับประคองทนงตน มันก็จางคลาย มันมองเห็นไม่มีอะไร หรือในความรู้สึกเดี๋ยวรัก เดี๋ยวเกลียด เดี๋ยวชอบ เดี๋ยวชัง มันก็แค่นั้นเอง มันไม่มีอะไรจริงเลยสักอย่าง ดูไปเรื่อยๆ ทีละเล็กละน้อย หรือความคิด ความอ่าน ที่เราเคยยึดมั่นว่า อย่างนี้ต้องถูก อย่างนั้นไม่ถูก มันก็แค่นั้นเองอีกเหมือนกัน ก็จะค่อยๆ จางคลายไปทีละเล็กละน้อย จนวันหนึ่ง อาจจะเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าจริงๆ แล้วไม่เห็นมีอะไรน่าอยากเอาน่าอยากเป็นอะไรสักอย่าง เคยไม่เคยหรือยัง ไม่เห็นมีอะไรน่าอยากเอาน่าอยากเป็น น่าอยากได้ เคยหรือยัง เคยรู้สึกหรือยัง ถ้ายังไม่เคยก็ไม่เป็นไร ดูไปล่ะค่ะ แล้ววันหนึ่ง พอเกิดจางคลายถึงที่ในใจมันเบื่อ ใครจะเอาเงินมากองให้ มันก็แค่เศษกระดาษไม่นึกอยากได้เลย แต่เอาเถอะ เพื่อจะช่วยสังคมหรือว่า คนที่ขาดแคลนเราก็อาจจะรับมาแล้วก็มาใช้ให้เกิดประโยชน์ แต่ในใจของเราเองที่อยากจะได้ กอบโกยเอามาเพื่อเป็นของตัวเอง ไม่มีความรู้สึกอย่างนั้น แต่อาจจะรับมาเพื่อช่วยทำให้เกิดประโยชน์ แก่ส่วนรวมแก่สังคมต่อไป ไม่เห็นน่าอยากเอา ไม่เห็นน่าอยากเป็น ใครเขาจะเอาตำแหน่ง อะไรดีๆ ที่คนอื่นน้ำลายไหล เอามาวางให้ ช่วยหน่อยเถอะ ช่วยรับตำแหน่งนี้หน่อยเถอะ มันก็แค่ นั้นเองอีกเหมือนกัน ไม่รู้จะเอามาแบกไว้ทำไม มาทูนไว้ทำไมให้มันหนัก ไม่เห็นน่าอยากได้ ยกเว้นอีกเหมือนกันว่า เผอิญเรามันเป็นคนสำคัญจริงๆ ถ้านอกจากเราไม่มีใครช่วยอันนี้ได้ แล้วก็ยังอยู่ในสภาวะที่พอจะช่วยได้ ก็อาจจะรับเพื่อช่วยชาติบ้านเมืองหรือว่าส่วนรวมแต่ต้องดูใจของตัวก่อนนะ ช่วยเพราะอยากหรือเปล่า ถ้ามันมีความอยากอยู่ในใจ เห็นมีหน้ามีตาซ่อนอยู่ในนั้นนี่ไม่จริงนะ นี่เจ้าคนนี้หลอกตัวเองว่าฉันนี่วิราคาแล้ว วิราคะจางคลายแล้วไม่มีอะไรแล้วแท้ที่จริงไม่ได้จางหรอก หลอกว่าจางเพราะเขาเอามายื่นให้มาทูนให้ช่วยรับหน่อยเถอะ ข้างหน้าก็ทำเป็นอิดเอื้อนแต่ข้างในมันตะครุบมันจะเอา นี่ไม่จริงนะคะ เพราะฉะนั้นต้องสำรวจจิตใจของตนเองอยู่เสมอการปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะหมวดที่สี่สำรวจอาการที่เกิดขึ้นในใจ ถ้าจริงๆ แล้วไม่ยินดีเลย ไม่ยินดีที่จะอยากเอาที่จะอยากเป็นที่จะอยากเกี่ยวข้อง แต่ว่าโดยหน้าที่ของมนุษย์มันก็อาจจะมีบ้างที่จำเป็นจะต้องทำ แต่ว่าโดยปกติแล้วในจิตนั้นก็จะไม่มีแล้วก็จะทำเพียงเพื่อเป็นหน้าที่ ฉะนั้นอาการของวิราคะนี่ ก็ดูมันจางคลายลงไปได้แค่ไหนในสิ่งที่เคยยึดมั่นถือมั่นทุกอย่างทุกประการจริงๆ แล้วมันไม่มีในที่สุดก็จะเกิดขั้นที่สาม ก็ถึงซึ่งความดับ นิโรธ ในภาษาบาลีท่านเรียกว่านิโรธดับ ดับอะไรก็คือดับความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลาย ที่เคยมีที่มันเคยรบกวนอยู่ในจิตที่ทำให้จิตนี้กระวนกระวายดิ้นรนไม่ได้สงบเงียบเลย เพราะว่ามันอยากได้นั่นอยากได้นี่มันยึดมั่นถือสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นห่วงเป็นหวงกลัวว่ามันจะขาดไปเสียไป วันนี้มันดับความรู้สึกเหล่านั้นดับหมด ดับความรัก ดับความโกรธ ดับความเกลียด ดับความกลัว นี่พูดถึงความรู้สึกที่ใหญ่ๆ ที่ปรากฏอยู่ในใจมนุษย์ใช่ไหมคะ ความรักในตัวเองความรักในบุคคลที่เกี่ยวข้องความรักในสิ่งของที่เคยมีเคยเป็นเป็นต้น จะดับความรักเหล่านั้น ดับความโกรธที่เคยโกรธอาฆาตพยาบาทด้วยเรื่องอะไรก็ตามทีถึงกับจะเอาเป็นเอาตายเอาชีวิตกัน มันดับมันไม่รู้จะเอาไปทำอะไร เอาไปก็มันก็เท่านั้นเองแล้วมันได้มีอะไรให้เอาด้วย ตัวนี้มันก็ยังไม่มีอะไรจะให้เอาเลย ดับความรักดับความโกรธ ดับความเกลียด นี่มันมักจะมาตามกันนี่พูดถึงอาการของความรู้สึกที่รุนแรง ที่เคยเกลียดนักหนาชาตินี้ จะไม่ต้องเห็นกันจนกว่าแผ่นดินจะกลบหน้ามันก็แค่นั้นเองอีกเหมือนกัน ดับความกลัว ความกลัวนี่คืออาการของอะไรนึกออกไหมคะ กิเลสตัวไหนทวนตอนต้นนิดหน่อยความกลัวนี่กิเลสตัวไหน ไม่ต้องเปิดตำราได้ไหม ความกลัวนี่เป็นกิเลสตัวไหนมันน่าจะอยู่ในใจนะ โลภใช่ไหมโลภะใช่ไหม ไม่ใช่ โกรธใช่ไหม ไม่ใช่  หลงก็คืออะไรกิเลสตัวนั้นชื่ออะไร โมหะนี่ผ่านมาไม่กี่สัปดาห์เลยนะคะ ความกลัวนี่แหละสำคัญมากที่สุด เป็นความรู้สึกที่น่ากลัวมากที่สุดที่มันจับหัวใจของมนุษย์ กลัวอะไรบ้าง นึกดูสิ กลัวอะไรบ้าง ตอนนี้ ตอบตัวเองได้ไหมคะ นี่เรากลัวอะไรบ้างนะ ในชีวิต เรากลัวอะไรบ้าง กลัวตาย กลัวผี นี่แสดงว่าเห็นอนัตตาหรือเปล่าคะ ถึงได้กลัวผี ถ้ากลัวผีนี่คือเห็นไหมอนัตตา ไม่เห็น คิดว่าผียังมีตัวมีตนอยู่ อันที่จริงท่านบอกว่าผีนั่นน่ะ มันเกิดขึ้นที่ไหนเกิดที่จิต เพราะจิตคิดว่าผีมา มาแล้ว มาจริงๆ ผีแหกอก แหกจริงๆ ต่อหน้าด้วย เพราะฉะนั้นผีนี่เกิดขึ้นที่ใจ ใครที่กลัวผีก็เพราะสร้างผีขึ้นมาเองในใจ แต่ถ้าหากว่าเราเห็นอนัตตาแล้วมันไม่มี คนก็ยังไม่มีแล้วผีมันจะมีได้ไง ใช่ไหมคะ

    เพราะฉะนั้นมันไม่มีความกลัวนี่ กลัว เกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่โดยธรรมดา เป็นสภาวะตามธรรมชาติ ความเกิดความแก่ความเจ็บความตาย ความเกิดนี่ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่จริงๆมันน่ากลัวนะ แล้วก็เป็นต้นเหตุของทุกอย่างเลย ที่ตายเพราะอะไร ที่กลัวตายเพราะอะไร หรือว่าถ้ามันมีการตายเกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะมันมีการเกิด ถ้าไม่เกิดแล้วจะตายไม่ได้ใช่ไหม ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีการตาย เพราะฉะนั้นอันนี้ท่านจึงสอนให้รู้จักธรรมชาติ ไม่ต้องกลัวความเกิด ไม่ต้องกลัวความตาย ถ้าหากว่าเรามองเห็นว่าทุกอย่างนั้นมันเป็นอนัตตา ความเกิด มันก็จะไม่มีแล้ว เพราะมันเป็นอนัตตาแล้วนี่ ความเกิดนี่คือเกิดเป็นตัวเป็นตนนะ เกิดเป็นตัวเป็นตนอันนี้ ทีนี้ถ้าเราเห็นชัดถึงว่าทุกอย่างเป็นอนัตตาแล้ว ดับแล้ว เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ต้องกลัวความเกิด ไม่ต้องกลัวความแก่ เพราะแก่เขาเป็นยังไง ท่านเรียกว่า เพราะความแก่เข้ามาคุกคาม โดยเฉพาะผู้หญิงเป็นไง เห็นรอยย่นบนหน้าผาก เห็นรอยตีนกาตรงลูกนัยน์ตา โดยเฉพาะคนที่รักความสวยความงามมาก สะดุ้ง ยังกะถูกจี้เลยล่ะ ยังกะถูกโจรจี้เลย สะดุ้ง กลัวว่าจะสูญเสียความงามความสวย เพราะฉะนั้น ความแก่นี่ก็กลัวใช่ไหมคะ กลัวความแก่ กลัวความเกิด กลัวความแก่ ถูกความแก่คุกคาม เข้าไม่รู้จะอยู่ยังไงถูกความเจ็บคุกคามเข้ามาไม่รู้จะทำยังไง พอถึงความตายนี่เรียกว่าบอกไม่ถูก มืดหมด มองไม่เห็นหนทางเลย แต่ความดับในที่นี้ ก็จะดับความกลัว ถ้าดับความกลัวได้ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายมีความหมายไหม ไม่มี เห็นไหมคะว่า ถ้าหากว่าเข้าถึงไตรลักษณ์ มีคุณประโยชน์แก่ชีวิตแค่ไหน เห็นไหมคะ นี่แหละมีคุณประโยชน์กับชีวิตถึงเพียงนี้ จะทำให้ชีวิตนั้นเป็นชีวิตที่ ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของอะไรทั้งสิ้น เป็นชีวิตที่เป็นอิสระ มีความสงบเย็นได้ ฉะนั้น กลัวความเกิด ความแก่ความเจ็บความตาย ไม่กลัวละ การคุกคามของสิ่งเหล่านี้ ไม่สามารถจะมาทำอะไรกับชีวิตนี้ได้ หรืออาการของความทุกข์ทั้งหลาย โศกเศร้าคร่ำครวญ พิไรรำพัน ร้องห่มร้องไห้ สะอึกสะอื้นก็ไม่มี ไม่มีเพราะอะไรเพราะอะไร เดี๋ยวนี้ยังมีเดี๋ยวนี้ยังมีแต่ต่อไปจะไม่มีเพราะอะไร เห็นอะไรล่ะคะ ก็เห็นอนิจจังน่ะสิ เพราะเราเห็นอนิจจังแล้วเวทนาจะคุกคามได้ไหม จะเข้ามาคุกคามจิตได้ไหม ไม่ได้ผัสสะที่เกิดขึ้นที่เป็นเหตุให้เกิดเวทนาก็จะสามารถมองเห็นว่าผัสสะที่มาจากกระทบเช่นรูปกระทบตาก็สักแต่ว่า เสียงกระทบหูก็สักแต่ว่ากลิ่นกระทบจมูกก็สักแต่ว่า รสกระทบลิ้นก็สักแต่ว่าทุกอย่างมันจะสักแต่ว่าเพราะฉะนั้น มันก็มาคุกคามอะไรไม่ได้อาการของความทุกข์อะไรทั้งหลายเหล่านั้นมันก็จะไม่มาคุกคาม จะมีความหวังไหม ยังมานั่งตั้งความหวังอีกไหม ถ้าเข้ามาถึงอาการของวิราคะของความดับ ยังจะอยากตั้งความหวังไหมลองนึกดูสิคะไม่นึกอยากไม่นึกอยากจะไปตั้งความหวังอะไร เพราะหวังไปได้มามันก็รักษาไว้ไม่ได้มันก็เท่านั้นเอง มาแล้วมันก็ไปอีกเหมือนกัน แล้วถ้าตั้งความหวังนั่นมันคืออาการของ ของอะไรคะ ที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ของอะไรชื่อมันเรียกว่าอะไร มันมีอะไรซ่อนอยู่ที่มีความหวังนี่ เพราะมีอะไรซ่อนอยู่ ไม่ได้ยินอาจจะมีใครพูดเมื่อกี้คะ อยาก อยากก็คืออะไรตัณหาไหมคะ ถ้าตั้งความหวังมันก็คือมีความอยากมีตัณหาซ่อนอยู่ก็แน่นอนน่ะมันไม่พ้นมันไม่หลุด มันต้องเป็นทุกข์แน่นอน ท่านบอกว่าพระอรหันต์นี่เป็นผู้สิ้นหวังพอได้ยินอย่างนี้ตกใจไหม นี่เป็นคำที่ท่านพูดกันนะ ในหมู่ท่าน ผู้รู้ธรรม ท่านบอก พระอรหันต์เป็นผู้สิ้นหวัง พอคนเราจะบอก คนนี้แกสิ้นหวังเสียแล้ว นั่นเป็นไง อาการใกล้ตายหรือว่าจะกำลังจะตายเลยใช่ไหม ถ้ารู้สึกว่าสิ้นหวังนี่มันไม่รู้จะอยู่ในโลกนี้ทำไม ไม่มีความหมายแล้วชีวิต แต่พระอรหันต์ ท่านเป็นผู้สิ้นหวังแล้ว ก็คือหมายความว่าไงคะ ก็หมายความว่าไงคะสิ้นความอยาก สิ้นตัณหา เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่มีต้อง ต้องหวังอะไร ท่านบอกสิ้นหวัง สิ้นหวัง หมดหวัง เพราะว่าท่านฝึกอบรมจิตใจของท่าน จนกระทั่งตัณหาเข้ามาเกี่ยวข้องมารบกวนไม่ได้ ไม่มีความดิ้นรนร่านร้อนเพราะความอยากใดๆ ทั้งสิ้น ท่านจึงมีความเย็นสนิท พระอรหันต์นี้จึงเป็นผู้สิ้นความหวัง ฉะนั้น ในเรื่องของความดับ นิโรธ ก็คือดับ ดับสิ่งที่มาคุกคามชีวิตทุกอย่าง ที่ยึดมั่นถือมั่นผูกพันทุกอย่าง ละลายจางหายไปหมด มันก็เป็นความดับเย็นสนิทชีวิตนั้นก็ถึงซึ่งความพ้นทุกข์นั่นแหละ ไม่ต้องเป็นเหยื่อของความทุกข์ อยู่เหนือความทุกข์ นี่เป็นขั้นที่สาม ของหมวดที่สี่ เผอิญเวลาก็จะหมดแล้ว ก็คงต้องพูดต่ออีกหน่อยในคราวหน้า สำหรับขั้นที่สี่ หรือขั้นสุดท้าย ของอานาปานสติ มีสงสัยไหมคะ ถ้ามีก็ถามได้ค่ะ ที่พูดมาแล้วค่ะ ถ้ามีก็ถามได้ว่าไม่เที่ยงคือหมายถึงความคิดการติดตามการปรุงหรือเปล่าคะที่เอามาพิจารณา ว่าง พิจารณาในในทุกอย่างที่เกี่ยวข้องหรือเปล่าคะ ถ้าถ้าพิจารณาในทุกอย่างที่เกี่ยวข้องก็ถูกต้องค่ะเพราะว่าก็จะได้เบื่อหน่ายในสิ่งอื่นๆ ต่อไปอีก นอกจากจะหยุดการปรุงแต่งได้นะคะเพราะคุณป้าฉลวยเป็นผู้ทำอาหารอร่อยแล้วก็ทำเก่งนี่เป็นธรรมดาของผู้ทำอาหารอดไม่ได้ที่จะปรุงไปเรื่อย พรุ่งนี้จะทำอะไรอย่างนี้เป็นต้น ต้องต้องรีบฆ่ามันนะต้องรีบฆ่ามัน ค่ะดีค่ะ มีอะไรอีกไหมคะ ที่จะเล่าสู่กันฟังก็ได้ค่ะ ถ้าไม่มี ก็เผอิญมันมืดเร็วนะคะ ถ้างั้นก็เอาไว้เสาร์หน้า ซึ่งอาจจะเป็นเสาร์สุดท้ายเพราะว่าจะออกพรรษาอยู่แล้วออกพรรษาวันที่ 10 วันเสาร์หน้าวันเสาร์ที่ 4 ค่ะ จริงๆ เราก็ยังมีร่างกายตัวตนโดยสมมติอยู่ ท่านก็บอกว่าก็ใช้ร่างกายตัวตนนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ชีวิตเท่าที่สามารถจะทำได้ เป็นต้นว่าใช้ร่างกายตัวตนนี้ สังขารร่างกายนี้ในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์ อย่างผู้ที่เป็นเด็กก็ตั้งใจเรียนหนังสือจนกระทั่งเรียนได้สำเร็จ พอถึงเวลาทำงานก็ทำงานให้เกิดประโยชน์เต็มฝีมือความสามารถของตน และก็พึงปฏิบัติตนเป็นผู้ที่อยู่ในทำนองครองธรรมเพื่อจะได้มีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองต่อไป พูดง่ายๆ ก็คือว่ามีตัวตนก็จริงแต่เราจะไม่เห็นแก่ตนหรือไม่เห็นแก่ตัว แต่จะพยายามเห็นแก่ผู้อื่นให้มากขึ้นอย่างนี้ก็เรียกว่าใช้ตัวตนอันนี้ให้เกิดประโยชน์คุ้มแก่การที่ธรรมชาติได้ให้มา แต่ถ้าหากว่าคนบางคน เราก็เห็นใช่ไหมคะใช้สังขารร่างกายไปติดอะไรต่ออะไรต่างๆ ติดยาทั้งหลายเหล่านั้น นี่ก็ไม่ได้คุ้มกับธรรมชาติให้มาเท่ากับทำลายตัวตนก็ไม่ถูกต้องผิดหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ แล้วก็ยังผิดหน้าที่ต่อผู้ที่ได้รับของที่เขาให้มา ไม่รักษาเขาเอาไว้ให้ถูกต้องอีกด้วยถึงเวลาคืนเขาก็คืนอย่างชำรุดทรุดโทรมแต่ว่าคนที่ดีก็ต้องคืนเขา เขาให้มายังไงก็ต้องคืนเขาให้มันคุ้มค่ากันอย่างนั้น ทีนี้บางคนก็อาจจะบอกว่ามันแก่แล้วมันก็ต้องทรุดโทรมไม่พูดถึงอันนั้น แต่พูดถึงคุณประโยชน์ที่ได้ทำแก่โลกแก่สังคมแก่ชาติบ้านเมืองนี่ก็เรียกว่าคุ้มค่าแก่การที่ได้ใช้ตัวตนที่สมมตินี้ให้เกิดประโยชน์สุดเท่าที่เราจะทำได้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องอย่าลืมว่าฝึกให้มองเห็นว่าตัวตนนี้เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติมันหาใช่ตัวจริงไม่ มันคืออนัตตา

     

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service